ปัญญา ๓
 ปัญญา  ๓

        ปัญญานั้น แท้จริงก็มีอย่างเดียว ได้แก่  ธรรมชาติที่เป็นความรู้เข้าใจสภาวะ  คือ หยั่งถึงความจริงของสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็น    แต่ก็นิยมจำแนกแยกประเภทออกไปเป็นหลายอย่าง    ตามระดับของความรู้เข้าใจ บ้าง   ตามหน้าที่หรือแง่ด้านของการทำงานของปัญญา บ้าง   ตามทางที่ปัญญานั้นเกิดขึ้น บ้าง  เป็นต้น

        ปัญญาชุดหนึ่งซึ่งจำแนกตามแหล่งที่มา  หรือทางเกิดของปัญญา ได้แก่ ปัญญา  ๓  อย่าง   ชุดที่แยกออกไปเป็น   สุตมยปัญญา   จินตามยปัญญา   และภาวนามยปัญญา    คำท้ายคือปัญญาเป็นตัวกลางร่วมกัน     ส่วนคำข้างหน้าที่ต่างกัน   บอกที่มา หรือแหล่งเกิดของปัญญานั้น   ว่า  หนึ่ง เกิดจากสุตะ (การสดับฟัง  การอ่านและเล่าเรียน)  สอง  เกิดจากจินตะ  (การคิดไตร่ตรองพิจารณา)  และสาม   เกิดจากภาวนา  (การปฏิบัติต่อจากนั้น)

       ปัญญา  ๓  ชุดนี้  ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงน้อย    แต่มีผู้นำมาพูดค่อนข้างบ่อย    ข้อสำคัญคือเข้าใจความหมายกันไม่ค่อยชัด  จึงควรแสดงคำอธิบายที่พ่วงมากับถ้อยคำเหล่านี้สืบแต่เดิมไว้    เพื่อประโยชน์ในการศึกษา

        เริ่มด้วยการเรียงลำดับ   ปัญญา  ๓  นั้น    ตามที่พูดกัน  มักเรียงสุตมยปัญญาเป็นข้อแรก    แต่ของเดิมในพระไตรปิฎก  ทั้งในพระสูตร (ที.ปา. ๑๑/๒๒๘/๒๓๑)  และในพระอภิธรรม   (อภิ.วิ.๓๕/๗๙๗/๔๒๒)   เริ่มต้นด้วยจินตามยปัญญาเป็นข้อแรก   อย่างไรก็ตามในเนตติปกรณ์  ซึ่งพระเถรวาทสายพม่าถือเป็นคัมภีร์หนึ่งในพระไตรปิฎกด้วย   (จัดรวมไว้ใน  ขุททกนิกาย  แห่งพระสุตตันตปิฎก)   เรียงสุตมยปัญญาขึ้นก่อน    (และเรียกชื่อต่างไปเล็กน้อยเป็น  สุตมยีปัญญา   จินตามยีปัญญา  ภาวนามยีปัญญา)    และต่อมา  ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา-ฎีกา    นิยมมากขึ้นในทางที่จะเรียกชื่อเป็น สุตมยญาณ  จินตามยญาณ  และภาวนามยญาณ   
 
        ในที่นี้  ขอเรียงลำดับ  ปัญญา ๓  ตามพระไตรปิฎกชั้นเดิมไว้ก่อน  พร้อมด้วยแสดงความหมายสั้นๆ ดังนี้

       ๑.จินตามยปัญญา      ปัญญาเกิดจากการคิดพิจารณา     (ปัญญาเกิดจากโยนิโสมนสิการที่ตั้งขึ้นในตนเอง)

        ๒.สุตมยปัญญา         ปัญญาเกิดจากการสดับเล่าเรียน    (ปัญญาเกิดจากปรโตโฆสะ)

        ๓.ภาวนามยปัญญา    ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติบำเพ็ญ   (ปัญญาเกิดจากปัญญาสองอย่างแรกนั้นแล้วหมั่นมนสิการในประดาสภาวธรรม)

           การที่ท่านเรียงจินตามยปัญญาขึ้นก่อน  หรือสุตมยปัญญาขึ้นก่อน  จับความได้ว่า   อยู่ที่การคำนึงถึงบุคคลเป็นหลัก    หรือมองธรรมตามความเกี่ยวข้องของบุคคล

           ในกรณีที่เรียงจินตามยปัญญาเป็นข้อแรก    ก็คือ  ท่านเริ่มที่บุคคลพิเศษประเภทมหาบุรุษก่อน    หมายความว่าพระพุทธเจ้า  (และพระปัจเจกพุทธเจ้า)   ผู้ค้นพบและเปิดเผยความจริงขึ้นนั้น    มิได้อาศัยสุตะ    ไม่ต้องมีปรโตโฆสะ คือ  การฟังจากผู้อื่น   แต่รู้จักคิดพิจารณาด้วยโยนิโสมนสิการของตนเอง   สามารถสืบสาว   เรียงต่อ   ไล่ตามประสบการณ์ทั้งหลายอย่างถึงทันทั่วรอบทะลุตลอด   จนหยั่งเห็นความจริงได้  จากจินตามยปัญญา    จึงต่อเข้าภาวนามยปัญญาไปเลย   (ไม่ต้องอาศัยสุตมยปัญญา)  

          แต่เมื่อมองที่บุคคลทั่วไป   ท่านเริ่มด้วยสุตมยปัญญาเป็นข้อแรก    โดยมีคำอธิบายตามลำดับว่า  บุคคลเล่าเรียนสดับฟัง  ได้สุตะ  ได้ข้อธรรม    ได้ข้อมูลแล้ว   เกิดศรัทธาขึ้นเป็นพื้นเบื้องต้น    จึงนำไปใคร่ครวญตรวจสอบพิจารณาได้ความรู้เข้าใจในสุตะนั้น    ก็เกิดเป็นสุตมยปัญญา   แล้วในขั้นต่อไป   อาศัยสิ่งที่ได้เรียนสดับนั้นเป็นฐาน    เขาตรวจสอบชั่งตรองเพ่งพินิจขบคิดลึกชัดลงไป    มองเห็นเหตุผลความสัมพันธ์เป็นไปชัดเจน   เกิดเป็นจินตามยปัญญา   เมื่อเขาใช้ปัญญาทั้งสองนั้นขะมักเขม้นมนสิการในสภาวธรรมทั้งหลาย (พูดอีกสำนวนหนึ่งว่า อาศัยหรือตั้งอยู่ในปัญญาทั้งสองนั้นแล้ว เจริญวิปัสสนา - สุตจินฺตามยญาเณสุ หิ ปติฏฺฐิโต วิปสฺสนํ  อารภติ.  เนตฺติ. ๕๓)   แล้วเกิดญาณ  มีความรู้สว่างประจักษ์แจ้งความจริง   เป็นมรรคที่จะให้เกิดผลขึ้น    ก็เป็นภาวนามยปัญญา

          พึงสังเกตด้วยว่า  สำหรับคนทั่วไปนี้  ถึงจะได้รับสุตะ คือ ข่าวสารข้อมูลมากมาย  แต่คนจำนวนมากก็ได้แค่สุตะเท่านั้น (ได้แค่ฟังเท่านั้น) หาได้ปัญญาไม่ คือ ในข้อที่ ๑ นั้น ต้องแยกว่า คนจำนวนมากได้แต่สุตะ มีเพียงบางคนที่อาศัยสุตะนั้นแล้วสามารถทำให้เกิดสุตมยปัญญา

           น่าสังเกตว่า   ในคัมภีร์วิภังค์แห่งอภิธรรมปิฎก  ท่านอธิบายภาวนามยปัญญาว่า ได้แก่ "สมปนฺนสฺส   ปญฺญา"   ซึ่งแปลตามตัวอักษรว่า  "ปัญญาของผู้ประกอบ"  หรือ "ปัญญาของผู้ถึงพร้อม"  (สมาปนฺน  คือประกอบ   หรือถึงพร้อมนี้     ในที่ทั่วไป   ใช้ได้ทั้งทางดีและทางร้าย   เช่น  ถึงพร้อมด้วยสิกขาสาชีพ     ประกอบการบรรพชา    ถึงพร้อมด้วยอิจฉาและโลภะ    ประกอบการสนุกสนาน  เล่นหัว    ประกอบด้วยโสกะปริเทวะ  เปี่ยมด้วยกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก  ฯลฯ  แต่เวลาใช้โดดๆ   ในทางธรรม   มักหมายถึงเข้าฌานสมาบัติ)    และอรรถกถาแห่งคัมภีร์วิภังค์นั้น   (วิภงฺค.อ.441)  ไขความว่า    "สมาปตฺติสมงฺคิสฺส   อนฺโตสมาปตฺติยํ    ปวตฺตา  ปญฺญา   ภาวนามยา  นาม"   (ปัญญาของผู้ประกอบด้วยสมาบัติ   อันเป็นไปในสมาบัติ  ชื่อว่าเป็นภาวนามัย)    ทำให้รู้สึกว่า ความหมายจำกัดเฉพาะมาก     แต่คัมภีร์ต่างๆ  เช่น   ปรมัตถมัญชุสา     อธิบายว่า  คำไขความดังกล่าวนั้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง   โดยสาระก็มุ่งเอาการเห็นแจ้งความจริงที่เป็นมัคคปัญญา  อันเป็นไปด้วยวิปัสสนานั่นเอง

          มีแง่ของการอธิบายที่กินความคลุมถึงฌานสมาบัติ   และมองได้กว้างออกไป    พร้อมทั้งเข้าใจง่ายขึ้นด้วย    คือจับที่คำว่า  อัปปนา   ซึ่งหมายถึงสมาธิที่เป็นแกนของฌานทั้งหมด     ดังที่ท่านไขความว่า  "ปัญญาที่สำเร็จด้วยอำนาจภาวนา อันถึงอัปปนา ชื่อว่า ภาวนามัย คำไขความตรงนี้    ที่กล่าวถึงภาวนา โยงไปถึงข้อความข้างต้นที่ว่าขะมักเขม้นมนสิการในประดาสภาวธรรม ซึ่งก็คือวิปัสสนาปัญญาเห็นแจ้งชัดถึงขีด    จิตก็เป็นสมาธิถึงอัปปนา  ความประจักษ์แจ้งจดจิตสนิทแน่ว    ถึงกับให้สิ่งหมักหมมผูกรัดหุ้มพอกจิต    ที่เรียกกิเลส   ถูกสลายล้างออกไป   จิตพ้นจากกิเลสสิ้นเชิง หรือ บางส่วนก็ตาม  ความรู้แจ้งถึงขั้นทำให้เกิดความเปลี่ยนของชีวิตอย่างนี้ได้     คือภาวนามยปัญญา     ซึ่งเป็นมรรคญาณ

          มีความรู้ประกอบอีกหน่อยว่า ในเนตติปกรณ์ (เนตฺติ ๘)  ท่านโยงปัญญา  ๓  นี้  กับการจัดประเภทบุคคล  ๔  ด้วย   โดยแสดงความหมายของบุคคล ๓  ประเภทแรกที่เป็นเวไนย  (เวไนย ๓)  ให้เห็นทุนเดิมก่อนจะก้าวสู่ภาวนามยปัญญาว่า    คนที่มี  ๒  อย่าง  ทั้งสุตมยปัญญา  และจินตามยปัญญา   เป็น  อุคฆฎิตัญญู    (ผู้รู้ได้ฉับพลันเพียงแค่ฟังหัวข้อก็เข้าใจ)    คนที่มีสุตมยปัญญาอย่างเดียว  เป็น  วิปจิตัญญู    (ผู้รู้เข้าใจต่อเมื่อมีการขยายความ)    คนที่ยังไม่มีปัญญา  ๒  อย่าง  ทั้งสุตมยปัญญา  และจินตามยปัญญา   เป็นเนยยะ  (ผู้ที่จะพึงแนะนำโดยฝึกสอนอบรมให้เข้าใจต่อไป)  ส่วนปทปรมะ    ไม่เป็นเวไนย    เป็นอันไม่ต้องพูดถึง

         เมื่อรู้เข้าใจหลักต่างๆ   ข้างต้นเป็นพื้นฐานแล้ว  อาจจะประมวลเป็นคำอธิบาย   ปัญญา ๓   สำหรับคนทั่วไป   ที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ คร่าวๆ

         ทวนความก่อนว่า อัจฉริยบุคคล  ในขั้นพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นนักคิดที่แท้จริง คือมีปัญญายิ่งใหญ่เหนือคนทั่วไป อย่างที่ว่า ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์ทั้งหลาย ที่คนอื่นๆพบเห็นกันมาเป็นสิบปีร้อยปีพันปีแล้ว   กี่รุ่นกี่ชั่วคน  เขาก็อยู่กันมา   ก็รู้เข้าใจตามๆ กันมาอยู่แค่นั้น  แต่พระพุทธเจ้า  เกิดขึ้นมา  ทรงมีโยนิโสมนสิการ   ที่จะมองเห็นสิ่งทั้งหลายในแง่มุมอื่นๆ    ที่คนทั่วไปนึกไม่ถึง มองไม่เห็น  สามารถคิดสืบสาวหยั่งเห็นความจริงที่ลึกล้ำอยู่เบื้องหลัง  คิดริเริ่มใหม่ๆ ในสิ่งที่คนยังไม่เคยคิด  ทำให้มีการมองใหม่เห็นใหม่ค้นพบใหม่  ได้ความรู้ความเข้าใจใหม่  และก้าวต่อไปในโยนิโสมนสิการนั้น  จนเข้าถึงความจริงที่ไม่มีใครอื่นหยั่งถึงได้

        ปัญญาที่เกิดจากการรู้จักคิดด้วยโยนิโสมนสิการของตนเองอย่างนี้  เรียกว่าจินตามยปัญญา  ซึ่งพระพุทธเจ้า   และพระปัจเจกพุทธเจ้าทรงมีโดยไม่ต้องอาศัยการสั่งสอนแนะนำจากผู้อื่น (และไม่มีคนอื่นมีปัญญารู้ที่จะมาบอกมาสอนให้ได้)  จึงเป็นปัญญาของบุคคลพิเศษ   ที่คนทั่วไปไม่มี  ถ้าไม่มีบุคคลพิเศษที่มีจินตามยปัญญาอย่างนี้  การค้นพบใหม่  การแหวกวงล้อมหรือกรอบทางปัญญาออกไป  ก็ไม่อาจเป็นไปได้  และคนก็อยู่ก็รู้ก็คิดตามๆ  กันเรื่อยๆไป

       ในเมื่อคนทั่วไปไม่มีจินตามยปัญญาจากการใช้โยนิโสมนสิการเริ่มคิดด้วยตนเอง จึงต้องอาศัยการสดับตรับฟัง เล่าเรียนคำแนะนำสั่งสอนจากผู้อื่นเป็นจุดเริ่ม นี่คือเริ่มจากการสร้างสุตมยปัญญาก่อน ในขณะที่บุคคลพิเศษข้ามสุตมยปัญญานี้ไปเลย  
 
      (ต่อหัวข้อข้างล่าง)



Create Date : 08 เมษายน 2564
Last Update : 9 เมษายน 2564 15:39:28 น.
Counter : 254 Pageviews.

0 comments
: มีกับไม่มี : กะว่าก๋า
(20 พ.ค. 2566 05:51:57 น.)
ธรรมมีอุปการะมาก ๒ ทุจริต ๓ สุจริต ๓ ปัญญา Dh
(19 พ.ค. 2566 15:33:03 น.)
เจริญ ก้าวหน้า ปัญญา Dh
(18 พ.ค. 2566 21:03:08 น.)
อยู่บ้าน นาฬิกาสีชมพู
(14 พ.ค. 2566 11:11:22 น.)
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Samathijit.BlogGang.com

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]

บทความทั้งหมด