Title: ปาก ![]() มิตรภาพ เริ่มต้นที่ปาก ผมนึกถึงคำนี้อยู่ในใจ ขณะที่สายตาของผมจับจ้องไปที่เบื้องหน้า วันนี้เป็นวันที่ผมมาสัมภาษณ์งาน และในขณะที่ผมกำลังรอคอยด้วยความกระวนกระวายนั้น สายตาผมก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวอยู่คนหนึ่ง... เปล่าหรอกครับเธอไม่ได้สวยสะดุดตาอะไรขนาดนั้น ตรงกันข้ามเธอกลับเป็นคนหน้าตาธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่เดินตามท้องถนนทั่วๆไปนั่นแหล่ะ ชีวิตจริงๆนะครับ ไม่ใช่นิยายที่ผมจะไปเจอะเจอหญิงสาวสวย นัยน์ตาคมเข้ม ผมยาวสลวยสวยเก๋ ปากสีชมพูอวบอิ่ม ผิวสีชมพูขาวนวล รูปร่างได้สัดส่วน เหมือนดั่งที่พระเอกในนิยายเจอสาวที่ตนเองหมายปองอยู่ง่ายๆซะเมื่อไหร่กันล่ะ แต่ในความธรรมดาของหญิงสาวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าผมนั้น กลับมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่าง... ที่สามารถกระตุ้นขาของผมลุกขึ้นยืน ให้เดินเข้าไปหา และพูดคุยกับเธอ คือไอ้แรงดึงดูดที่ว่านั้นก็คงเป็นความรู้สึกถูกชะตาล่ะมั้ง ผมว่าอย่างนั้นนะ เอ่อ...ขอโทษนะครับ มาสัมภาษณ์งานเหมือนกันใช่ไหมครับ นั่นคือคำทักทายแรกของผม ค่ะ...ใช่ค่ะ นั่นก็คือคำแรกที่เธอเอ่ยออกมาให้ผมได้ยินเสียงห้าวๆของเธอ หากแต่ผมเห็นรอยยิ้มจากการพูดคุยด้วยกันเป็นครั้งแรกของเรา และรอยยิ้มนั้นก็ถูกบดบังด้วยเหล็กดัดฟันสีชมพูสดใส ตามที่วัยรุ่นทั่วไปสมัยนี้นิยมสวมใส่กัน... ผมถึงบอกไงครับว่านี่คือชีวิตจริงๆ เสียงของเธอไม่ได้หวานเหมือนในนางเอกนิยาย ขณะเดียวกันฟันของเธอก็ไม่ได้เรียงสวย เมื่อเธอฉีกยิ้มกว้างอะไรขนาดนั้น แล้วทำไมผมถึงรู้สึกถูกชะตากับเธอน่ะหรือ... คำตอบก็คือ ไม่รู้ หรือมันอาจจะเป็นธรรมชาติของมนุษย์หรือของผมเองก็ได้ เมื่อต้องเข้าไปอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน อีกทั้งรอบข้างยังมีแต่ศัตรูผู้หมายอยากจะได้งานทำเช่นเดียวกัน มันจึงไม่แปลกอะไรไม่ใช่เหรอ ที่เราต้องการเพื่อนสักคนหนึ่ง ในที่ที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ อีกอย่างหนึ่งเมื่อผมมองหลายคนที่มาสัมภาษณ์งานพร้อมกับผม คนหนึ่งเป็นหญิงสาว ท่าทางเข็ดฟันที่กำลังคุยโทรศัพท์มือถือด้วยท่าทีที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าไหร่นัก ชายหนุ่ม 2 คนที่จับคู่คุยกันไปซะแล้ว และหญิงสาวหน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่งที่สายตาเหม่อมองเพดาน ช่องแอร์ เก้าอี้ไปเรื่อยเปื่อย เป็นคุณ คุณจะเลือกเข้าไปคุยกับใครล่ะ แล้วสัมภาษณ์ฝ่ายไหนหรือครับ เป็นคำถามที่สองของผม ที่ยิงใส่เธอหลังจากเว้นวรรคด้วยความเงียบเชียบไปนาน ฝ่ายขายอ่ะค่ะ สังเกตุได้ว่าคำตอบของเธอมีวลีของวัยรุ่นแทรกอยู่ด้วย แล้วเธออ่ะ ทีนี้เป็นเธอครับที่เป็นฝ่ายถามผมบ้าง การตลาดฮะ... แล้วชื่ออะไรเหรอครับ...เราชื่อไทรนะ ไทรเหรอ ชื่อแปลกดีเนอะ เราชื่อเชอรี่อ่ะ เรียกว่ารี่ก็ได้ เชอรี่เหรอ ชื่อไม่เข้ากับหน้าเลยเนอะ โอ้โห...ปากเหรอจ๊ะนั่น นี่ขนาดเพิ่งเจอกันวันแรกนะเนี่ย จะวันแรกหรือกี่วันปากเราก็อย่างนี้แหล่ะ ไม่แตกต่างๆ ฮ่าๆ แต่เมื่อกี๊เราล้อเล่นน่า ชื่อเธอน่ารักดี อยากหาเพื่อนชื่อน่ารักๆอย่างนี้มานานแล้ว เธอพยักหน้ารับรู้อย่างงอนๆ พลางใช้สายตามองค้อนผมเล็กน้อย หลังจากนั้นเราก็พูดคุยกันด้วยภาษาที่เป็นกันเองมากขึ้น และมันก็ทำให้ผมรับรู้ถึงความน่ารักของเธอมากขึ้นด้วย เออ...เธออายุเท่าไหร่แล้วล่ะรี่ นี่ๆ ใครเค้าให้ถามอายุผู้หญิงกันล่ะ เธอนี่ไม่รู้อะไรเอาซะเลยนะ อ้าว...ก็อยากรู้นี่ อ่ะเราบอกก่อนก็ได้ เรา 27 แล้ว โห...แก่จัง อ้าวๆ พูดงี้มีสวย อ่ะล้อเล่นนนน...เราให้เธอทายดีกว่า 25 ผมตอบทันที ตลกและ หน้าเราแก่ขนาดนั้นเชียว ใช่ ปฏิเสธบ้างก็ได้นะเธอน่ะ...พ่อหน้าเด็ก ฮ่าๆ ล้อเล่นน่า ขอเดาอีกทีว่าเธออายุ 22 ปิ๊งป่อง ถูกต้องงงง โห...ห่างกว่าเราตั้ง 5 ปี อายุน้อยแต่... แต่อะไร แต่น่ารักไงจ๊ะ... แล้วไป อย่างนี้แล้วเราก็ต้องเรียกเธอว่าพี่สิ... เรียกทำไม รุ่นเดียวกัน ไม่ต้องๆ โห...กล้าพูดนะเนี่ย แล้วอย่ามาว่าเราปีนเกลียวทีหลังล่ะ หลังจากนั้นเธอก็ถูกเรียกตัวเข้าไปสัมภาษณ์ และคิวถัดมาก็เป็นผม หลังจากสัมภาษณ์เสร็จแล้ว ผมรีบออกมาทันทีและภาวนาให้เธอยังนั่งรอผมอยู่ แต่...เธอได้กลับบ้านไปเสียแล้ว ผมจึงได้แต่หวังว่าซักวันเราคงได้พบกันอีก... หลังจากวันนั้นผ่านไป 2 อาทิตย์ผมก็ได้เริ่มต้นทำงานที่ใหม่ ในขณะที่ผมกำลังรอเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลมาอบรมพนักงานเข้าใหม่นั้น สายตาผมก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งผู้ซึ่งผมคิดถึงเธอมาตลอด 2 อาทิตย์ก้าวเข้ามาในห้องอบรม เชอรี่...เป็นเธอจริงๆ!! ผมไม่รอช้าตะโกนร้องเรียกเธอทันที ซึ่งมันก็ทำให้เธอต้องรีบเดินเข้ามาตรงที่ผมนั่งอยู่ พร้อมกับทำท่าจุ๊ปาก ให้ผมหรี่เสียงอันดังของผมลง การรอคอยของผมสิ้นสุดลงแล้ว ผมกับเธอได้ทำงานในบริษัทเดียวกัน และต่อจากนี้ผมก็จะได้เจอเธอทุกวัน เรียกได้ว่าเป็นความสมหวังของผมเล็กๆก็ได้มั้ง ถึงผมจะดีใจที่ได้เจอเธอแต่ผมก็อดที่จะตัดพ้อเธอเล็กๆไม่ได้ แหม...วันนั้นนึกว่าจะรอกินข้าวด้วยกัน รีบกลับไปไหนล่ะ วันนั้นต้องขอโทษด้วยจริงๆนะ เราต้องรีบกลับไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศเก่าอ่ะ จ้า...ไม่เป็นไร ไม่โกรธหรอก เราล้อเล่นน่ะ พูดจบผมก็ฉีกยิ้มกว้างให้กับเธอ และเธอก็ยิ้มตอบผมด้วยเช่นกัน นับตั้งแต่วันที่ทำงานวันแรก ผมได้นั่งกินข้าวกลางวันกับเธอทุกวัน ตรงโต๊ะประจำตัวเดิม ได้คุยกับเธอทุกวัน ได้เห็นหน้าเธอทุกวัน และในการที่ผมได้มีโอกาสเจอเธอทุกวันนั้น ผมก็ยิ่งได้เห็นความน่ารักของเธอทีทวีเพิ่มขึ้นทุกวันด้วยเช่นกัน จากการสังเกตุการณ์ของผมที่ชอบลอบมองข้ามไปที่แผนกของเธอ ทำให้ผมรู้อีกว่าเธอเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีมาก และพี่ๆเพื่อนๆในแผนกต่างชอบเธอกันทุกคน มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอถามผมว่า แกไม่ชอบสาวๆที่นี่บ้างเหรอ น่ารักๆทั้งนั้นเลยนะ ฉันเห็นเอกเพื่อนฉันที่แผนกจีบอ้อยที่แผนกแกอยู่นี่ ไม่เอาอ่ะ...ฉันไม่อยากมีแฟนในที่ทำงานเดียวกัน ทำไมอ่ะ ก็หลายเรื่องอ่ะนะ ทั้งถูกคนนินทา แถมวันไหนหากทะเลาะกันก็ไม่เป็นอันทำงานอีก และยิ่งคู่ไหนเลิกกัน มันจะทำงานด้วยกันไม่ได้มองหน้ากันไม่ติดน่ะสิ อืม...จริงด้วยสิ เป็นเพื่อนกันเหมือนแกกับฉันดีกว่าเนอะ ผมไม่พูดอะไร ได้แต่ก้มหน้ากินข้าวต่อไป ทั้งที่ใจคิดตรงกันข้ามกับที่พูดมา แต่...เฮ้อ ผมล่ะอยากตบปากตัวเองเสียจริง จนเวลาผ่านไปนานๆ ผมกับเธอไม่ได้กินข้าวด้วยกันแล้ว เนื่องจากแต่ละคนเริ่มปรับตัวได้ จึงแยกย้ายไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนในแผนก ผมได้คุยกับเธอน้อยลง เนื่องจากภาระที่รับผิดชอบในงานของตนมันมากซะเหลือเกิน แต่...ทำไมนะ ความรู้สึกหลงไหลชื่นชอบในตัวเธอของผมกลับทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเธอคิดยังไงกับผม แต่จากลักษณะการพูดคุยกับผม เมื่อเราเจอกันตรงทางเดิน เธอคงเห็นผมเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน ที่เคยสนิทคนหนึ่งเท่านั้น จนเวลาผ่านไประยะหนึ่ง วันที่ผมตัดสินใจลาออก ได้ข่าวว่าแกจะลาออก ในขณะที่ผมนั่งดื่มกาแฟที่โต๊ะทำงานในตอนเช้า เชอรี่ก็เดินเข้ามาหาที่ผมถึงโต๊ะและถามถึงการตัดสินลาออกของผม คาดว่าเธอคงรู้จากเพื่อนที่ฝ่ายบุคคลแน่ๆ แกรู้มาจากใคร ผมถามกลับทั้งๆที่ผมก็พอรู้อยู่ว่าใครเป็นคนบอกเธอ ฉันถามแกก่อนนะ นี่แกเห็นฉันเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่าเนี่ย หมู่นี่ก็ไม่ค่อยมาคุยด้วยเอาแต่หลบหน้าหลบตา ก็เห็นงานเธอเยอะ...ไม่มีโอกาสบอกด้วย งานฉันก็เยอะ ทำไมถึงออกล่ะ เบื่อเหรอ อืม...ก็หลายๆอย่างล่ะนะ อีกอย่างฉันเดิมพันอะไรหลายสิ่งหลายอย่างไว้กับการลาออกครั้งนี้ด้วย เดิมพันอะไร เออน่า เดี๋ยวก็รู้ ฉันสัญญาว่าจะบอกเธอเป็นคนแรกเลย แล้วที่ใหม่เป็นไง ดีไหม ก็ดีแหล่ะ ได้เงินมากกว่าอยู่ที่นี่ 5 พันได้ โห...ไปได้ดีนี่ งั้นไม่เป็นไร อภัยให้ได้ ผมเห็นสีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นยิ้มสดใสทันที น่าแปลกที่ผมอยากเห็นเธอซึมเศร้ามากกว่านี้ที่รู้ว่าผมจะลาออกจากบริษัทนี้ไป เธอ...คงคิดกับผมแค่เพื่อนจริงๆล่ะมั้ง และแล้ววันทำงานวันสุดท้ายของผมก็มาถึง เพื่อนๆที่บริษัทก็จัดงานเลี้ยงส่งให้กับผม และแน่นอน เชอรี่ก็ไปร่วมงานนั้นด้วย ผมเฝ้าคอยหาโอกาสที่จะคุยกันตามลำพังกับเธอ และเมื่อโอกาสมาถึง ในขณะที่เพื่อนๆทุกคนกำลังเมามันกับอักษรคาราโอเกะที่อยู่หน้าจอทีวีสีขนาด 38 นิ้วนั้น ผมจึงได้เรียกเชอรี่ออกมาคุยด้วยกันข้างนอก ผมนิ่งคิดอยู่นานว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี จนเชอรี่เอ่ยลอยๆขึ้นมาเบาๆ พรุ่งนี้ก็จะไม่ได้เจอแกแล้วเนอะ ผมยังยืนนิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดกับเธอ แกยังจำได้ไหม ที่ฉันบอกว่าฉันเดิมพันหลายสิ่งหลายอย่างไว้กับการลาออก จำได้... แล้วจำได้ไหม ที่ฉันบอกว่าฉันจะไม่จีบใครในที่ทำงานเดียวกัน จำได้ อย่าบอกนะว่าแกลาออกเพื่อจะจีบใครคนนั้น แล้วถ้าบอกว่าใช่ล่ะ... โห...ลงทุนว่ะ แล้วใครล่ะที่แกชอบอยู่ ผมตัดสินใจรวบรวมความกล้าอยู่นาน...จนเธอทวงถามถึงคำตอบผม บอกมาเหอะน่า ฉันไม่ไปบอกใครหรอก เชอรี่...แกนั่นแหล่ะ ผมบอกเธอไปทันควัน ผมสังเกตุเห็นเธอยืนอึ้งไปนานสองนาน คาดว่าเธอคงจะไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองจะได้ยินเท่าไหร่นัก เชอรี่...ฉันรักแกว่ะ ผมเอ่ยวลีนี้ที่ฮอทฮิตอยู่ช่วงหนึ่งออกมาอีกครั้งเพื่อย้ำถึงความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอ เธอ...ยังคงยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น หรือเธออยากให้ผมบอกกับเธอว่า เพื่อน...กูรักมึงว่ะ อย่างนั้นหรือเปล่า... แต่ผมตัดสินไม่บอกซ้ำเนื่องจากวลีนั้นค่อนข้างที่จะสยองจนเกินไป ผมยังคงเห็นเชอรี่ยืนนิ่งอยู่ ผมจึงจะอธิบายถึงความรู้สึกที่ผมมีต่อเธอมานานแสนนานให้เธอฟัง แต่...เธอก็ได้วิ่งหนีผมไปเสียแล้ว และไม่แม้แต่ที่จะหันมองกลับมาเลย นี่แหล่ะคือสิ่งที่ผมกลัวที่สุด ในการบอกรักใครซักคน และยิ่งกว่านั้น คนๆนั้น คือเพื่อนสนิท... มิตรภาพ เริ่มต้นที่ปาก แต่...มิตรภาพก็จบลงที่ ปาก ได้เช่นเดียวกัน แหม ... แกน่ะก็ยังดีที่ได้บอกความในใจที่แกมี
แต่ฉันซิ ไม่กล้าบอก จนกระทั่งสายไป แบบว่า ตอนนี้ ก็ แอบรักคนมีเจ้าของซะแล้ว แป่ว วววว อย่าคิดว่า เศร้า นะ ฉันก็มีความสุขลึกๆ ลึกมากๆ ที่ได้รักเขา ก็เท่านั้น ไม่หวังอะไรมาก ก็ยังรักและคิดถึงเขาเรื่อยๆ นั่นแหละ แม้ว่าจะนานแล้วก็ตาม โดย: ณู IP: 118.174.5.169 วันที่: 13 พฤษภาคม 2551 เวลา:12:31:20 น.
เขียนเรื่องนี้ออกมาได้ดีค่ะ
บางอย่างถ้าเอ่อยออกไปอาจจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง แต้ถ้าไม่เอ่ยออกไป เราอาจจะมาเสียใจทีหลังก็ได้เนอะ ^ ^ โดย: หมูปิ้งไม้ละ 5 บาท
![]() คุณสิงห์อมบ๊วย - ขอบคุณนะครับม ที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมกัน ผมก็ไม่ค่อยอัพบล๊อคบ่อยเท่าไหร่นักแต่ถ้าเข้ามาตอนไหน เวลาไหน ก็ยินดีต้อนรับเสมอนะครับผม ส่วนเรื่องของเชอรี่ ผมว่ามันรู้แต่มันไม่สนใจอ่ะ... T T
คุณณู - อย่างไรก็ตาม การได้รักใครซักคนคือความสุขไม่ใช่หรือฮะ...ดีใจที่คุณยังมีความสุขและยังมีความรู้สึกที่จะรักอยู่นะฮะ ^ ^ คุณหมูปิ้งฯ - ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจแล้วล่ะครับเนอะ...ว่าจะเอาอย่างไร บางทีสิ่งที่เราคิดไปก่อน อาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก้ได้...หรือเปล่า เนาะ ![]() โดย: ยางมะตอยสีชมพู IP: 58.181.141.8 วันที่: 14 พฤษภาคม 2551 เวลา:7:08:11 น.
เข้ามาจะขำหรือว่าเศร้ากับไปป์ดีวะ เอาน่า เค้าไม่วิ่งหนีแกวันแรกก็บุญแล้ว (อึ๋ย ปากตู) เอาน่า เราว่าเค้าวิ่งหนีไปตั้งหลักว่ะคะ ให้เวลาหน่อยก็แล้วกัน (หรือว่านี่เรื่องแต่งอ่ะ? เริ่มงง) แหม สาวๆ ออกจะเยอะ อย่างน้อยก็ยังทำใจชอบใครคนใหม่ได้แล้วนี่นา พัฒนาไปอีกขั้นแล้วนะ สำหรับคนโสดอกเดาะด้วยกัน เรายังทำไม่ได้เลยอ่ะ ทำใจไปชอบใครคนใหม่ยังไม่ได้เลย ได้แต่เป็นอีแอร์นั่งมองน้ำลายไหลเวลาเห็นหนุ่มผู้โดยหล่อๆ (ย้ำ ฝรั่ง ไม่ใช่แขก)
![]() โดย: GottaBeMary
![]() |
บทความทั้งหมด
|
อืม...ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ในความคุ้นเคยกันอยู่
มันแฝงอะไรที่มากกว่านั้น
เชอรี่เอ๋ย...เพลงมันอาจจะเก่าแต่เหมาะกับน้องเชอรี่มาก
ขออนุญาตadd.นะคะ