Title: กรุงเทพฯ...ชีวิต...
ณ มุมหนึ่งของสถานีรถไฟลอยฟ้า

ผมยืนมองขบวนรถไฟ...ที่ค่อยๆเคลื่อนขบวนออกจากสถานีเอื่อยๆ
ไม่ต่างอะไรกับย่างก้าวอ่อยๆจากขาของผม

ผมค่อยๆเดินไปยังที่นั่งบนสถานี
หยิบรูปถ่ายหน้าตรง ขนาด 1.5 นิ้วของผมออกมานับจำนวน

“เหลืออยู่ 2 ใบ” ผมพูดกับตัวเองพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
หลังจากนับรูปถ่ายของตัวเองเสร็จเรียบร้อย
ทั้งๆที่เมื่ออาทิตย์ก่อน เพิ่งไปอัดรูปมาเป็นจำนวน 3 โหล
มาวันนี้เหลือแค่ 2 รูป...ว่าแล้วขอถอนหายใจอีกทีก็แล้วกัน

เฮ้อ....

-------------------------------------------------------

ปากกาเมจิสีเหลืองสะท้อนแสงถูกหยิบออกมา
พร้อมกับหนังสือพิมพ์สมัครงาน

ผมค่อยๆบรรจงขีดเส้นสะท้องแสงสีเหลืองนั้น
ลงบนประกาศสมัครงานในหนังสือพิมพ์เล่มนั้น

วันนี้ทั้งวันผมได้สมัครงานอยู่ 2 ที่และแต่ละที่ แต่ละบริษัท
ก็ไม่ได้มีทีท่าสนใจรับผมเข้าทำงานเลยแม้แต่น้อย

งานนี่ช่างหายากหาเย็นจริงๆ

ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง
“หรือว่าเพราะเราไม่ได้จบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังวะ”
“หรือว่าเพราะเกรดเฉลี่ยเรามันห่วยแตก”
“หรืออาจจะเป็นเพราะหน้าตาของเรา”
“หรือเพราะเราไม่ได้มีเส้นสายอย่างใครเขา” ฯลฯ

สารพัดสารพันเหตุผลและปนความสงสัย
ที่ระดมอยู่ในก้อนเนื้อในสมองของผม

ลมเย็นๆพัดเข้ามาในสถานี
ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้ว ผู้คนมากมายต่างยื้อแย่ง แข่งขันกัน
ให้ได้ที่นั่งบนรถไฟ เพื่อความสบายของตน

ผมยังนั่งอยู่ตรงที่เดิม...

หมดแรง...ท้อใจ...เหนื่อยใจ
หลับตา...นิ่งคิด...พักเหนื่อย...ให้กำลังใจตัวเอง
ลุกขึ้นยืน...พร้อมก้าวเดินต่อไป

ก้าวแรก คือการเดินลงจากสถานีรถไฟฟ้า
ก้าวที่ 2 คือการเดินเข้าร้านอัดรูป
เพื่อเตรียมความพร้อม
ที่จะออกไปสมัครงานในวันรุ่งขึ้น...ต่อไป

---------------------------------------------------

ณ มุมหนึ่งของป้ายรถเมล์

ฉันยืนมองรถเมล์คันที่ฉันเพิ่งลงมา ขับจากไปช้าๆ
ควันดำจากท่อไอเสีย ค่อยๆลอยมารุมล้อมฉัน

วันนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยและเพลียเหลือเกิน
กับการงานของฉันที่ยุ่งวุ่นวายทั้งวัน

ทั้งเจ้านาย ทั้งเพื่อนร่วมงาน ทั้งงานของฉัน
ที่รุมสุมที่ฉันคนเดียว...เหมือนกับควันดำ
จากท่อไอเสียของรถเมล์ร่วมฯ คันนั้น

ฉันนั่งรถเมล์กลับบ้าน....
ด้วยงานที่แบกกลับมาทำต่อด้วยความพะรุงพะรัง

ฉันมองหาน้ำใจ..บนรถเมล์
ก่อนขึ้น ฉันภาวนาขอให้ใครสักคน
ช่วยฉันถือของที่มากมายเหล่านี้ก็เพียงพอแล้ว
แต่นึกไม่ถึงเลย...ว่าจะไม่มีใคร
ที่มีน้ำใจบนรถเมล์คันนี้เลย

----------------------------------------------------

ฉันค่อยๆทรุดตัวนั่งลงกับที่นั่งที่ป้ายรถเมล์
กอดอก ก้มหน้าลงกับหัวเข่า...

ฉันเหนื่อย...ฉันอยากร้องไห้...ฉันท้อ...ฉันเบื่อ...ทุกๆสิ่งในเมืองนี้

นิ่งคิด...

ฉันจะลาออก จากไอ้งานเฮงซวยพรรค์นั้น
ฉันมีความฝันของฉัน และ...
ฉันจะก้าวไปตามความฝันของของฉัน

ฉันจะต้องจัดการกับชีวิตของฉันในวันพรุ่ง...
เริ่มจาก...

จัดการตัดระบบชีวิตมนุษย์เงินเดือนของฉัน
ที่ครอบงำฉันมานานแสนนาน ออกไปเสียที
ฉันจะสู้เพื่อความฝันของฉัน

เอาล่ะ...เวลานี้ก็เย็นมากแล้ว
ได้เวลาเดินกลับบ้านเสียที

ฉันเหลือบมองผู้คนยื้อแย่งกันขึ้นรถเมล์อย่างเอาเป็นเอาตาย
ต่างคนต่างก็ต้องการที่นั่งบนรถ
คนแก่ และ เด็ก ได้แต่ยืนมองอยู่ท้ายแถว
เนื่องจากไม่มีแรงที่จะไปสู้รบตบมือกับใคร

ฉันหัวเราะ...
ทุกๆวันที่ผ่านมา ฉันคงเป็นเหมือนกับผู้คนตรงหน้าฉันตอนนี้นี่แหล่ะ

ความสบาย...ผลประโยชน์ส่วนตน
ทำให้เรา หลงลืมคำว่า น้ำใจ...

--------------------------------------------------

ผมเดินลงมาจากสถานีรถไฟฟ้า
เห็นคนมากมาย ยื้อแย่ง เบียดเสียด
พยายามที่จะขึ้นรถเมล์

หึหึ...ไม่ต่างอะไรจากผู้คนบนรถไฟฟ้าซักนิดเลย
สังคมทุกวันนี้...ทำให้คนเราต้องเป็นแบบนี้สินะ

เราไม่ทำเขา...เขาก็ทำเรา

แต่...ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในป้ายรถเมล์นั้น
เธอ...กำลังหัวเราะ

แน่ล่ะ...ภาพตรงหน้านี่มันช่างน่าขันจะตายไป
มองดีๆ เหมือนกับพวกปลาในบึง
ที่รุมกันตอดอาหาร ยังไงยังงั้นแน่ะ

ผมยิ้ม และหัวเราะอย่างชอบใจ

---------------------------------------------

เสียงของรถไฟฟ้า ข้างบนแล่นผ่านไป
ฉันนึกในใจ ผู้คนบนรถไฟฟ้านั้น
ก็คงไม่ต่างจากผู้คนที่อยู่ตรงหน้าฉันซักเท่าไหร่

สังเกตจากใครที่กำลังก้าวเดินลงจากสถานีนั้น
ต่างคน...ต่างเร่งรีบ....

ต่างคน...ต่างก็ห่วงแต่เรื่องของตน

จนฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่ง
ก้าวเดินลงจากสถานีอย่างช้าๆ
เหมือนดั่งว่า...เวลาไม่สำคัญกับตัวเขา
เขากำลังเป็นผู้ครอบครองเวลานั้นอยู่สินะ

ที่สำคัญ เขากำลังหัวเราะ

เขาคงกำลังนึกสมเพชภาพผู้คน
ที่แย่งกันขึ้นรถเมล์ตรงหน้าฉันหรือเปล่านะ

แน่ล่ะ...ก็มันน่าหัวเราจริงๆนี่

------------------------------------------------------

ผู้หญิงคนที่ผมเห็นว่าเธอกำลังหัวเราะอยู่นั้น
หันมายิ้มให้ผมด้วยล่ะ...

ผมจะทำอะไรได้นอกจาก ยิ้มตอบกลับไป

บางที รอยยิ้มเล็กๆ ของคนที่เดินสวนทางกัน
ก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเหมือนกันนะ

รอยยิ้ม...ที่ผมหาได้ยากในสังคมนี้...
มันช่างยากพอๆกันกับการหางานทำเลยทีเดียว

-------------------------------------------------------

ภายหลังที่ฉันยิ้มให้เขา
เขาก็ยิ้มตอบฉันกลับมาเช่นกัน

ฉันนึกอะไรอยู่นะ ถึงยิ้มให้เขาไปอย่างนั้น

ช่างเถอะ...การที่คนเรายิ้มให้แก่กัน
ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลนี่

แม้จะเป็นแค่เพียง คนที่เดินผ่านกันเท่านั้น

แต่รอยยิ้ม ที่เขายิ้มตอบฉันกลับมานั้น
มันทำให้ฉันมีกำลังใจขึ้นเป็นกองเลยล่ะ

--------------------------------------------------------

เขากำลังทำท่าบุ้ยปากให้ฉันมองไปข้างบน

---------------------------------------------------------

ผมเห็นโฆษณาที่ติดบนเส้นทางของรถไฟฟ้า
มันตลกดี จนผมต้องทำท่าบุ้ยใบ้ให้เธอหันไปมองข้างบนบ้าง

แต่ผมน่ะเหรอ...หลังจากเห็นโฆษณานั้นแล้ว
ผมถึงกับหัวเราะออกมาดังเชียวล่ะ
พร้อมกับทำกิริยาบางอย่างเหมือนๆกับเธอ

---------------------------------------------------------

เมื่อฉันเห็นโฆษณานั้นแล้ว
ฉันถึงกับหัวเราะออกมาเลยทีเดียว

ก็จะอะไรเสียอีกล่ะ...ฉันว่าโฆษณานั้นตลกจะตายไป
หลังจากที่ฉันหัวเราะพอหอมปากหอมคอแล้ว
กิริยาบางอย่างที่ไม่น่าออกมาจากหญิงสาวอย่างฉัน

แต่...ฉันขอซักทีเหอะนะ

------------------------------------------------------



“ กรุงเทพฯ...ชีวิตดีๆที่ลงตัว”

------------------------------------------------------

ถะ...ถะ...ถะ...ถุยส์







Create Date : 11 ตุลาคม 2549
Last Update : 12 มกราคม 2550 1:13:08 น.
Counter : 2116 Pageviews.

1 comments
ความสุขดุจทองคำ สมาชิกหมายเลข 7582876
(9 ม.ค. 2568 12:19:26 น.)
: กะว่าก๋าแนะนำหนังสือ - ชัมบาลา : กะว่าก๋า
(11 ม.ค. 2568 05:42:07 น.)
งานซ้อมใหญ่พยุหยาตราทางชลมารค 2567 (6) ผู้ชายในสายลมหนาว
(10 ม.ค. 2568 14:17:46 น.)
เก็บตกการเดินออกกำลัง... tanjira
(9 ม.ค. 2568 14:11:34 น.)
  
เยี่ยม !
โดย: Bean Sprout วันที่: 28 มกราคม 2550 เวลา:18:04:09 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Pinkyangmatoy.BlogGang.com

ยางมะตอยสีชมพู
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด