เจิ้นก็ยังคงสง่าผ่าเผยอย่างนี้แหละ กงจื่อจั้น เขียน นิยายในหมวดนี้เป็นเรื่องราวความรักระหว่างชายกับชาย ช่วงตอบคำถามสื่อ Q: หาย (หัว) ไปไหนมา (ยะหล่อน) A: ติดถ้ำหลวง ป่วย นอยด์ชีวิต ไม่อยากอ่านหนังสือ ติด BLACKPINK บูมบาย่า ตือรึดตือรึดตื่อ ไร้สาระมากอะ แต่จริง คือเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี่แหละ รวมกัน เรียงตามลำดับ ตอนนี้ฟังเพลง BLACKPINK วน ๆ ไป ปั่นจักรยานแล้วก็จินตนาการว่าฉันจะผอมและสวยเหมือนพวกเธอ แต่หลัก ๆ แล้วคือไม่รู้สึกอยากอ่านนี่แหละ มันเลยหาเหตุไปทำอย่างอื่นไง เรื่องนี้สามเดือน กรี๊ด บ้าไปแล้ว ป.ล. ทุกไลก์และฟอลโล่ที่มีอยู่และเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องทำเรารู้สึกผิดมากอะ ไม่อยากสัญญิงสัญญาใด ๆ แต่เรายังไม่ลืมกันนะ เจิ้นก็ยังคงสง่าผ่าเผยอย่างนี้แหละ (2 เล่มจบ) กงจื่อจั้น เขียน ไช่ฉิง แปล สำนักพิมพ์ Rose ในเครืออมรินทร์ 690 บาท 813 หน้า หลังปก เราคิดว่าโลกใบนี้มันค่อนข้างจะสัปดนอยู่สักหน่อย หลังกลับมาเกิดใหม่เราเลยรู้สึกกลัวอยู่บ้าง มหาเสนาบดีของเราติดนิสัยชอบเขียนจดหมายรักเป็นงานอดิเรก ไม่เพียงแค่ชอบเขียน แต่ยังชอบส่งจดหมายรักพวกนั้นมาให้เราอ่านอีกต่างหาก ส่วนแม่ทัพใหญ่ของเรานั้น พอมีเวลาว่างหน่อยก็จะต้องเข้าวังพร้อมถือของแทนใจชิ้นหนึ่ง ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน มาเรียกร้องให้เรารับผิดชอบ แต่ที่น่ากลัวที่สุดก็คือท่านราชครู กลางค่ำกลางคืนชอบดอดมาที่ห้องบรรทมของเรา แล้วชวนเราถกเรื่องศิลปะในห้องหอ เราว่าโลกใบนี้ท่าทางจะวิปริตวิปลาศไปเสียแล้ว โชคดีที่พอกลับมาเกิดใหม่ เราก็ยังคงสง่าผ่าเผยแบบนี้ แต่เตียงบรรทมมังกรของเรามันรับน้ำหนักมากๆ ไม่ค่อยได้นะ! คุยกันหลังอ่าน กรี๊ด จบแล้วววว วันนี้ดี๊ด๊ามาก คือในที่สุดก็จบ ค้างอยู่เล่มสอง เชื่อมั้ยโอถือติดมือตลอด เอาขึ้นนอนและลงมาไปไหนมาไหนสามเดือน แต่ไม่รู้สึกอยากอ่านเลย ถือจนเบื่อหน้าปกกันไปเลย เรื่องเล่าถึงตัวเอกที่ได้โอกาสกลับมาใช้ชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตายเมื่ออายุ 24 และกลับมาเกิดซ้ำ ๆ ถึงปัจจุบันเป็นชาติที่ห้า แล้วก็ยังคงมีความทรงจำของชาติก่อน ๆ อยู่นะ แต่ไม่ได้กลับมาที่จุดเริ่มต้นเหมือนกันทุกครั้ง บางชาติก็ย้อนมาตอนโตแล้ว อารมณ์เรื่องไม่เครียดนะ เป็นนิยายวายรักโรแมนติกเน้น ๆ เลย เยียนจี้ ตัวเอกในชาติที่ 2 ถึง 5 เป็นถึงไทจื่อ (รัชทายาท) ที่จะขึ้นมาเป็นหวงตี้ตั้งแต่อายุยังไม่มาก อุปสรรคที่เจอมาในชาติก่อน ๆ ก็มีพอสมควร แต่เพราะเกิดมาหลายรอบ ความทรงจำและบทเรียนทุกอย่างสอนมาหมดแล้วว่าจะเกิดอะไร ต้องทำยังไง ผลลัพธ์จะเป็นแบบไหน ชาติปัจจุบันเลยเป็นชาติที่เหมือนไม่ต้องการอะไรแล้ว รู้หมดแล้ว เรียกว่าเกิดมาเสพสุขในชาตินี้นี่เอง เรื่องอุปสรรคหรือวิธีแก้ไขปัญหาผู้เขียนจะเล่าผ่าน ๆ เลย ให้ความรู้สึกว่าตัวเยียนจี้เปรียบเสมือนพระเจ้าที่หยั่งรู้ทุกสิ่ง แล้วก็มีอำนาจเล่นกับชีวิตคนอื่น แต่ถึงจะบอกว่ารู้ทุกอย่าง สิ่งที่เยียนจี้ไม่เคยมีเลยในชาติก่อน ๆ ก็คือไม่เคยรู้สึกถึงคำว่ารัก ชาตินี้เขาจะต้องเรียนรู้สิ่งนี้ (รู้จนกระอัก สำลักความรักไปเลย) จบเรื่องย่อโดยสังเขป (นั่นเรียกว่าย่อใช่ไหม) มาที่ความรู้สึกโอบ้าง ถึงจะสามเดือนกว่า แต่จดมาอยู่ว่าจะบ่นเรื่องอะไร ฮ่า ๆ เรื่องนี้มีสองเล่มจบ แต่ละเล่มหนาเลยละ สำหรับโอนะ เล่มหนึ่งเป็นจุดอ่อนของผู้เขียนในเรื่องนี้เลย เล่มสองดีขึ้นมาหน่อย แต่โดยรวมยังไม่ดีพอ ขาดการวางแผนที่ดี ให้น้ำหนักในแต่ละประเด็นได้แย่มาก ขาดความสมจริง ขาดชั้นเชิง ขาดความสมจริง คือถ้านึกและคิดตาม จะรู้สึก เอ๊ะ ใช่เหรอ ตลอด ถ้าไม่อยากหงุดหงิด ต้องไม่ช่างสงสัย เพราะจะเกิดคำถามแล้วหมดสนุก ขาดชั้นเชิง ชั้นเชิงจะเห็นตอนวางแผน ตอนใช้ความคิด ตอนแก้ปัญหา แต่ผู้เขียนไม่มีให้ หรือไม่ยอมแสดงออกมา เยียนจี้วางแผน (ในใจและไม่เห็นขั้นตอน) >> สั่งงาน (ไม่เห็นขั้นตอน) >> รอรับผล >> ผลลัพธ์ดีงาม >> เยียนจี้เก่ง มันไม่ใช่อะ แบบนี้ใคร ๆ ก็ทำได้ สั่งลม เรียกฝน ไม่ตรองผล อ่านแล้วรู้สึกว่าเหมือนผู้เขียนอยากเขียนเล่น ๆ ในเล่มหนึ่ง แล้วรู้สึกว่าไม่ได้การละ ฉันต้องจริงจังกว่านี้ (เดี๋ยวไม่จบ) ในเล่มสอง โอรู้สึกอัศจรรย์กับความยาวเมื่อเทียบกับเนื้อหาและความสมเหตุสมผล ที่ไม่ไปด้วยกันเลย ถ้าทำใจและคิดว่าผู้เขียนไม่เก่งเรื่องการวิเคราะห์วางแผน ความรักในเรื่องก็ยังไม่ดีพอ คำพูด การบรรยาย สวยฟุ้งหรูหรา เหมือนอยู่ในวิมานลอย แต่ไม่สามารถสัมผัสได้ อ่านแล้วไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึงความรักในเรื่องเลย จะไปแนวการใช้ชีวิตในแต่ละวันก็ยังใช้ไม่ได้ เขียนซ้ำไปซ้ำมา เหตุการณ์เดิม ๆ ไม่ก่อให้เกิดสิ่งใหม่ ใครว่าเขียนแนวนี้ง่าย โอว่ายากนะ ทำยังไงจะทำให้แต่ละวันที่ถ้าไม่โลดโผนเกินไปก็คงซ้ำ ๆ กันนั้นไม่น่าเบื่อ มันต้องมีจุดมุ่งหมาย ว่าเหตุการณ์นี้จะนำผลลัพธ์อะไรมาให้ ผลลัพธ์อะไรก็ได้ ถ้าเกี่ยวข้องกับแกนหลักของเรื่องได้จะยิ่งดีมาก คือเขียนแบบมีเป้าหมาย นี่ก็ไม่มีอีก จะตลก โอก็ไม่ขำ แต่อันนี้บางทีมันขึ้นกับต่อมขำส่วนบุคคลด้วย โอว่าถ้าจะตลกต้องจับจังหวะดี ๆ ใครเล่นกับจังหวะเป็นจะได้เปรียบ โดยภาพรวมเรื่องนี้ไม่ใช่แบบที่โอชอบเลย อ่านแล้วมันจะมีจุดที่ติดอยู่ในใจแล้วรู้สึกอึดอัดตลอด เล่มหนึ่งค่อนข้างแย่ เล่มสองดีกว่าเล่มแรก รู้สึกว่าผู้เขียนจับจังหวะเก่งขึ้น จับอารมณ์เก่งขึ้น และไม่เรื่อยเปื่อยเท่าเล่มแรก (แต่โอหมดไฟอ่านแล้วไง) จบได้ไม่เลวทีเดียว แต่ก็น่าจะมีคำถามค้างคาใจอยู่บ้าง เช่น ผู้เขียนไม่ได้อธิบายมาตรง ๆ และไม่ได้บอกเหตุผลน่ะนะ แต่ดูจากเชิงอรรถเล่มแรก และช่วงท้ายเล่มสองนิดหน่อย (กลับมาอ่านคำนำจริง ๆ เขียนไว้ตั้งแต่คำนำสำนักพิมพ์เลย) เยียนจี้จริง ๆ ชาติแรกเป็นคนปัจจุบันนี่แหละ แต่ทะลุมิติไปเป็นหวงตี้ในชาติอื่น ๆ
เพื่อ? คือไม่มีเหตุผล และไม่มีประโยชน์ต่อเนื้อเรื่องใด ๆ ทะลุไปขำ ๆ แค่อยากให้ทะลุเฉย ๆ ฮ่วย! ให้เป็นคนยุคอดีตก็ได้มั้งถ้างั้น เราก็นึกว่าจะมีเล่นประเด็นอะไรให้ติดตาม หรือ ทำไมเยียนจี้ ตัวเอกในเรื่อง ถึงเป็นคนพิเศษที่ได้รับโอกาสมากกว่าคนอื่น (ซึ่งเป็นโอกาสดีหรือร้ายก็ไม่ทราบ) ก็ไม่อธิบายไว้ หรือตอนที่เยียนจี้บอกว่าจะค้นหาเหตุผลที่ทำไมตนเองต้องเกิดและตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุด สุดท้ายก็ไม่ทำอะไรอยู่ดี ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ว่างั้น หรือช่วงท้าย ที่เยียนจี้บอกว่าตัวเองเสียดายเวลา เสียดายโอกาสที่ยังไม่ได้ทำโน่นนี่ คืออ่านมาตรงนี้โอโมโหมากเลย เยียนจี้รู้เรื่องเวลาอยู่แล้ว แม้ไม่ชัวร์แต่อะไรที่เคยเกิดขึ้นก่อนซ้ำ ๆ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดอีกมากจริงไหม แล้วคุณใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะ ปั่นหัวคนนั้นแกล้งคนนี้ สุดท้ายบ่นเสียดายเวลา
มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย ถ้าบอกว่าเยียนจี้โกรธ โมโห ที่เวลาจำกัด นี่ยังเป็นไปได้มากกว่า มันควรเป็นคนอื่นสมควรพูดคำนี้มากกว่านะ ค่อนข้างชวนหงุดหงิดใจ (1+1.5)/2 = 1.25 ดาว มีภาพสีให้ในแต่ละเล่ม (ภาพเดียวกันนี่แหละ) |
บทความทั้งหมด
|