ข้อเข่าเสื่อม ( OA knee , Osteoarthritis knee )
 

เครดิต ภาพ https://med.mahidol.ac.th/ramachannel/home/article/6-อาการควรรู้--ข้อเข้าเสื/

 
ข้อเข่าเสื่อม

ข้อเข่าเสื่อม ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด อาจเกิดจาก อายุที่มากขึ้น (มักพบในผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป) น้ำหนักตัวมาก พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 3 เท่า และ จากการใช้ข้อไม่เหมาะสม สาเหตุอื่น ๆ เช่น อุบัติเหตุ การติดเชื้อในข้อ เป็นต้น

เมื่อเกิดข้อเสื่อม จะเกิดการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่าง ภายในข้อ เช่น กระดูกอ่อนผิวข้อบางลง และ ผิวไม่เรียบ มีกระดูกงอกบริเวณขอบ ๆ ข้อ และ เกิดการสูญเสียคุณสมบัติของน้ำไขข้อ ปริมาณมากขึ้น แต่ความยืดหยุ่นลดลง

อาการและอาการแสดงของโรคข้อเข่าเสื่อม อาจพบอาการเพียงอาการเดียว หรือ หลายอาการพร้อมกันก็ได้ ในระยะแรกมักจะเป็นไม่มาก และ เป็น ๆ หาย ๆ แต่เมื่อข้อเสื่อมมากขึ้น ก็จะมีอาการบ่อยมากขึ้น หรือ เป็นตลอดเวลา

• ปวดข้อเข่า รู้สึกเมื่อย ตึงที่ ต้นขา น่อง และ ข้อพับเข่า ผิวหนังบริเวณข้อ อุ่นหรือ ร้อนขึ้น

• ข้อขัด ข้อฝืด เหยียด-งอเข่าได้ไม่สุด มีเสียงดังในข้อเวลาขยับข้อเข่า จากการเสียดสีกันของผิวข้อที่ไม่เรียบ

• ข้อเข่าบวม เพราะน้ำไขข้อมากขึ้นจากการอักเสบ หรือ มีก้อนถุงน้ำในข้อพับเข่า ( เบเคอร์ ซีสต์ , Baker’s Cyst ) จากเยื่อบุข้อเข่าโป่งออก

• เข่าคดเข้า เข่าโก่งออก หรือ มีกระดูกงอก ทำให้ข้อผิดรูปร่าง กล้ามเนื้อรอบข้อลีบเล็กลง


เอกซเรย์ อาจพบสิ่งผิดปกติ เช่น ช่องของข้อเข่าแคบลง กระดูกงอก (ในผู้สูงอายุปกติ ที่ไม่มีอาการก็พบได้ )

ความผิดปกติทางเอกซเรย์ ไม่สัมพันธ์กับอาการปวด บางคนเอกซเรย์พบว่าข้อเสื่อมมากแต่กลับไม่ค่อยปวด โดยทั่วไปแล้ว แพทย์สามารถวินิจฉัยว่าเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมได้โดยไม่จำเป็นต้องเอกซเรย์ ยกเว้นผู้ที่จะรักษาด้วยการผ่าตัด หรือ ผู้ที่รักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น
 


แนวทางรักษา มีอยู่หลายวิธี เช่น

• ควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อหลีกเลี่ยงการงอเข่ามากเกินไป

• กายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อาจใช้ ผ้ารัดเข่า เฝือกอ่อนพยุงเข่า (แต่ถ้าใช้นาน ๆ จะทำให้กล้ามเนื้อลีบ)

• ยาบรรเทาอาการ เช่น ยาแก้ปวดลดการอักเสบที่มิใช่สเตียรอยด์ ยาคลายกล้ามเนื้อ แต่ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานเพราะจะทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น แผลในกระเพาะอาหาร ไตวาย ความดันโลหิตสูง เป็นต้น

• ยากระตุ้นการสร้างกระดูกอ่อนผิวข้อ (ปกติ กระดูกอ่อนผิวข้อจะไม่สร้างขึ้นใหม่) หรือ ยาชะลอความเสื่อม

• ฉีดน้ำไขข้อเทียม ซึ่งจะช่วยให้อาการดีขึ้นเฉลี่ย 6 เดือน – 1 ปี แต่มีราคาค่อนข้างสูง (13,000-16,000 บาท)

• การผ่าตัด เช่น ผ่าตัดจัดแนวกระดูกใหม่เพื่อลดเข่าโก่ง ส่องกล้องเข้าไปในข้อ หรือ ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม

วิธีผ่าตัดถือว่าเป็นทางเลือกสุดท้าย จะใช้ในผู้ที่มีอาการมาก และรักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล เท่านั้น


การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อ หรือ เจาะข้อเพื่อดูดน้ำไขข้อออก จะทำให้อาการปวดดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อผ่านไป 1-2 เดือน ก็จะกลับมาเป็นอีก และมีผลข้างเคียง เช่น กระดูกอ่อนผิวข้อบางลง ทำให้ข้อเสื่อมเร็วขึ้น กระดูกพรุน กล้ามเนื้อลีบ หรือ ติดเชื้อในข้อ จึงถือว่าเป็นเพียงแค่บรรเทาอาการชั่วคราวเท่านั้น

ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็ไม่ควรฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อ หรือ เจาะดูดน้ำไขข้อออก แต่ถ้าจำเป็นต้องฉีดยาสเตียรอยด์ หรือ เจาะข้อ ก็ต้องป้องกันการติดเชื้อขณะฉีดอย่างดี (ต้องใช้ผ้าปลอดเชื้อคลุมบริเวณที่ฉีด) และ ไม่ควรฉีดมากกว่าปีละ 2-3 ครั้ง หลังจากฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อ ต้องลดการใช้งานข้อข้างที่ฉีด ประมาณ 1-2 อาทิตย์ และใช้ผ้าพันรัดเข่าไว้ด้วย
 

ข้อแนะนำในการดูแลรักษาด้วยตนเอง

1. ลดน้ำหนัก เพราะเมื่อเดินจะมีแรงกดลงที่เข่าประมาณ 5 เท่าของน้ำหนักตัว แต่ถ้า วิ่ง จะมีแรงกดลงที่เข่า เพิ่มขึ้นเป็น 7 – 10 เท่าของน้ำหนักตัว ( การถีบจักรยาน เข่าจะรับแรงกดเพียง 1.5 เท่าของน้ำหนักตัวเท่านั้น )

ดังนั้น ถ้าลดน้ำหนักตัวได้ เข่าก็จะรับแรงกดน้อยลง ทำให้เข่าเสื่อมช้าลงและอาการปวดก็จะลดลงด้วย

2. ท่านั่ง ควรนั่งบนเก้าอี้สูงระดับเข่า ซึ่งเมื่อนั่งห้อยขาแล้วฝ่าเท้าจะวางราบกับพื้นพอดี

ไม่ควร นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ นั่งคุกเข่า นั่งยอง ๆ หรือ นั่งราบบนพื้น เพราะจะทำให้ผิวข้อเข่าเสื่อมเร็วมากขึ้น

3. เวลาเข้าห้องน้ำ ควรนั่งถ่ายบนโถนั่งชักโครก หรือ นั่งบนเก้าอี้สามขาที่มี รู ตรงกลาง วางไว้เหนือคอห่าน

ควรทำที่จับยึดบริเวณด้านข้างโถนั่ง เพื่อใช้จับพยุงตัวเวลาจะลงนั่งหรือจะลุกขึ้นยืน

ไม่ควรนั่งยอง ๆ เพราะผิวข้อเข่าเสียดสีกันมาก และเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงขาถูกกดทับ ทำให้เลือดไปเลี้ยงขาได้ไม่ดี

4. นอนบนเตียง ซึ่งมีความสูงระดับเข่า เมื่อนั่งห้อยขาที่ขอบเตียงแล้วฝ่าเท้าจะแตะพื้นพอดี

ไม่ควรนอนราบบนพื้นเพราะต้องงอเข่าเวลาจะนอนหรือจะลุกขึ้น ทำให้ผิวข้อเสียดสีกันมากขึ้น ข้อก็จะเสื่อมเร็วขึ้น

5. หลีกเลี่ยงการขึ้นลงบันได ขณะขึ้นลงบันได จะมีแรงกดที่เข่าประมาณ 3 เท่าของน้ำหนักตัว

6. หลีกเลี่ยงการยืนหรือนั่งในท่าเดียวนาน ๆ ถ้าจำเป็นก็ให้ขยับเปลี่ยนท่า หรือ เหยียด-งอข้อเข่า บ่อย ๆ

7. การยืน ควรยืนตรง ขากางออกเล็กน้อย ให้น้ำหนักตัวลงบนขาทั้งสองข้างเท่า ๆ กัน

ไม่ควร ยืนเอียงลงน้ำหนักตัวบนขาข้างใดข้างหนึ่ง เพราะจะทำให้เข่าที่รับน้ำหนักมากกว่าเกิดอาการปวดได้

8. การเดิน ควรเดินบนพื้นราบ ไม่ควร เดินบนพื้นที่ไม่เสมอกัน เช่น บันได ทางลาดเอียงที่ชันมาก หรือ ทางเดินที่ขรุขระ เพราะทำให้น้ำหนักตัวที่ลงไปที่เข่าเพิ่มมากขึ้น และ อาจจะเกิดอุบัติเหตุหกล้มได้ง่าย
ควรใส่รองเท้าแบบมีส้นเตี้ย (สูงไม่เกิน 1 นิ้ว) หรือ ไม่มีส้นรองเท้า พื้นรองเท้านุ่มพอสมควร และ มีขนาดกระชับพอดี

9. ใช้ไม้เท้า โดยเฉพาะ ผู้ที่ปวดมากหรือข้อเข่าโก่งผิดรูป เพื่อช่วยรับน้ำหนัก และ ช่วยพยุงตัวเมื่อจะล้ม

วิธีถือไม้เท้า ในผู้ที่ปวดเข่ามากข้างเดียว ให้ถือในด้านตรงข้ามกับเข่าที่ปวด แต่ถ้าปวดทั้งสองข้างให้ถือในข้างที่ถนัด

10. บริหารกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า ให้แข็งแรง ซึ่งจะช่วยลดอาการปวด ทำให้ข้อเคลื่อนไหวและการทรงตัวดีขึ้น

11. การออกกำลังกายวิธีอื่น

ควรออกกำลังกายที่ไม่ต้องลงน้ำหนักมากนัก เช่น ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เดินเร็ว ๆ วิ่งเหยาะ ๆ เป็นต้น

ไม่ควร ออกกำลังกายที่ต้องมีการลงน้ำหนักที่เข่าเพิ่มขึ้น เช่น วิ่งเร็ว ๆ เต้นแอโรบิก ฟุตบอล เทนนิส แบดมินตัน บาสเกตบอล เพราะอาจทำให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นรอบข้อเข่าเกิดการฉีกขาดได้และมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุหกล้มได้

12. ถ้ามีอาการปวด ให้พักการใช้ข้อเข่า และ ประคบด้วยความเย็น/ความร้อน หรือ ใช้ยานวดร่วมด้วยก็ได้


ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมให้หายขาดได้

จุดมุ่งหมายในการรักษาทุกวิธีคือ เพื่อลดอาการปวด ทำให้ข้อเคลื่อนไหวดีขึ้น ป้องกันหรือแก้ไขข้อที่ผิดรูป เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามสมควร

จึงถือว่าแนวทางรักษาข้างต้นเป็นเพียงการรักษาปลายเหตุ เพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น และ ยังมีข้อจำกัดในการรักษาอีกด้วย เช่น การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะสามารถใช้งานได้ใกล้เคียงกับธรรมชาติ และ บรรเทาอาการปวดได้ดี แต่ก็มีอายุใช้งานได้นานแค่ 10 -15 ปี เป็นต้น




 
 









เพิ่มเติม ..

ข้อเข่าเสื่อม

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=29-05-2008&group=5&gblog=15

วิธีบริหารเข่า

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=25-07-2008&group=11&gblog=5

น้ำไขข้อเทียม

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=29-05-2008&group=5&gblog=16

ปวดเข่า....ส่องกล้องข้อเข่า ... kneearthroscopy

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=15-01-2009&group=5&gblog=42

แนวปฏิบัติบริการดูแลรักษา ข้อเข่าเสื่อม พศ. ๒๕๕๓ ของราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์

https://www.mediafire.com/?q6jqyvyci46b51s

คำชี้แจงจากราชวิทยาลัยออร์โธฯ เกี่ยวกับยารักษาข้อเข่าเสื่อม..(ที่กรมบัญชีกลางสั่งห้ามเบิก)

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=08-04-2011&group=7&gblog=132

คำชี้แจงจากราชวิทยาลัยออร์โธฯเกี่ยวกับยารักษาข้อเข่าเสื่อม(ที่กรมบัญชีกลางสั่งห้ามเบิก)..( ต่อ )

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=21-04-2011&group=7&gblog=134

คำชี้แจงจากราชวิทยาลัยออร์โธฯ เกี่ยวกับยารักษาข้อเข่าเสื่อม(ที่กรมบัญชีกลางสั่งห้ามเบิก)..(จบ?)

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=22-07-2011&group=7&gblog=146

 

ข้อเข่าเทียม

https://www.thaijoints.com/ข้อเข่าเทียม

การดูแลตนเองเมื่อใส่ข้อเข่าเทียม(Selfcare after knee replacement)

https://haamor.com/th/การดูแลตนเองเมื่อใส่ข้อเข่าเทียม/

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียมโดย รศ.นพ.ณัฐพล ธรรมโชติ

https://thaiknee.com/home/wp-content/uploads/2013/09/คำแนะนำเรื่องโรคข้อเข่า.pdf

การผ่าตัดแก้ไข"ขาโก่ง"หรือ "ข้อเข่าโก่ง(เสื่อม)" ตอนที่ 1-3

https://www.bangkokhealth.com/index.php/health/health-system/bone/2170--qq--qq--1.html

https://www.bangkokhealth.com/index.php/health/health-system/bone/2171-2.html

https://www.bangkokhealth.com/index.php/health/health-system/bone/2172-qq-qq-3.html

การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม(TotalKnee Replacement) | Bangkok Hospital

https://www.bangkokhospital.com/index.php/th/diseases-treatment/total-knee-replacement

เตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการผ่าตัด...ข้อเข่าเทียม

https://www3.siphhospital.com/th/news/article/share/191

ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทางเลือกที่ต้องเลือกจริงหรือ?

https://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=710

การผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียม

https://www.jointdee.info/knee/การผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อ/

วิธีปฏิบัติตนภายหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม

https://www.samitivejhospitals.com/th/วิธีปฏิบัติตนภายหลังกา/

คนเคยป่วย ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม(12-17 ก.ค. 57)

https://mynametai.wordpress.com/2014/07/21/คนเคยป่วย-ผ่าตัดเปลี่ย/




 

 

ในคนที่ ข้อเข่าปกติ .. การวิ่ง หรือ การออกกำลังกาย ไม่ทำให้เกิด เข่าเสื่อมมากขึ้น  (ยกเวันในกรณีเกิดอุบัติเหตุ)
แต่ในคนที่ มีปัญหาเรื่องเข่า (เส้นเอ็นขาด เข่าเสื่อม) ... การวิ่ง หรือ การออกกำลังกาย "อาจ" ทำให้ เข่าเสื่อม มากขึ้น

..................

วิ่งไม่ได้ทำให้ข้อเสื่อม...ผู้เขียนนพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์

https://health2u.exteen.com/20090924/entry-1

 

วิ่งทำให้ข้อเสื่อมจริงหรือ?....ผู้เขียน นพ.กฤษฎา บานชื่น

https://www.doctor.or.th/article/detail/5585

 

 

WhyRunners Don’t Get Knee Arthritis

https://well.blogs.nytimes.com/2013/09/25/why-runners-dont-get-knee-arthritis/?emc=edit_tnt_20130925&tntemail0=y&_r=4

 

Effectsof running and walking on osteoarthritis and hip replacement risk.

https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/23377837

 

WhyDon't Most Runners Get Knee Osteoarthritis? A Case for Per-Unit-Distance Loads.

https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/24042311


:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
 
 
บทบาทของแพทย์ออร์โธปิดิกส์กับการรักษาข้อเสื่อมระยะต้น
พ.ต.อ.น.พ.ธนา ธุระเจน

 ข้อเสื่อม โรคที่ทำให้เกิดการเสียหายของกระดูกอ่อนในข้อต่าง ๆ นำไปสู่การที่มีอาการปวดข้อและข้อติดงอ ข้อที่พบบ่อย ๆ ที่มีอาการได้แก่ ข้อเข่า ข้อสะโพก กระดูกสันหลัง ในประเทศอเมริกาพบว่า มีคนเป็นถึง 16 ล้านคน ในช่วงอายุต่ำกว่า 45 ปี อุบัติการณ์ที่พบในผู้ชายเท่ากับผู้หญิง แต่ถ้าช่วงอายุมากกว่า 45 ปี อุบัติการณ์ที่พบในผู้ชายจะน้อยกว่าผู้หญิง กระดูกอ่อนทำหน้าที่ที่สำคัญ คือ ทำให้การเคลื่อนไหวได้อย่างถูกต้อง เรียบตามจังหวะของการเคลื่อนไหว และทำหน้าที่เป็นตัวที่กระจายแรงที่กระทำต่อข้อให้ไม่มากจนเกินไปนัก
       สาเหตุของข้อเสื่อมมีได้หลายสาเหตุ ได้แก่ ปัจจัยทางชีวภาพ ปัจจัยทางชีกลศาสตร์ กรรมพันธุ์ การมีน้ำหนักเกินกว่ามาตรฐาน อุบัติเหตุการใช้อย่างไม่เหมาะสม การเปลี่ยนแปลงของกระดูกอ่อนจะเริ่มนิ่มกว่าปกติ มีการแตกเป็นร่อง ทำให้ความสามารถในการยืดหยุ่นและกระจายน้ำหนักเสียไป กระดูกอ่อนมีการแตกมากขึ้น มีการเสียดสีของกระดูก กระดูกจะเสียรูปร่างและมีอาการผิดรูปได้แก่ ขาโก่ง เอ็นยึดข้อต่าง ๆ จะเสียไป เมื่อมีการเสื่อมและแตกเป็นร่องของกระดูก ทำให้น้ำในข้อเข่าลดลง และซึมเข้าไปในกระดูกและเกิดเป็นถุงน้ำในกระดูก ( Cyst )
       สาเหตุทั้งหมดนี้จะทำให้อาการปวดเวลามีการเคลื่อนไหวของข้อนั้น ๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือในระยะแรกอาจจะมีอาการเจ็บ หรือขัด ๆ เล็กน้อยเวลาเดิน ต่อมาจะมีอาการปวด เดินไม่ได้ เดินขึ้นบันไดลำบาก ขาโก่งผิดรูป ขยับเขยื้อนได้น้อยลง โดยธรรมชาติถ้าข้อมีอาการปวดจะพักโดยการลดการเคลื่อนไหว ซึ่งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง การทรงตัวเสียไป การวินิจฉัย ได้แก่การตรวจร่างกาย และภาพถ่ายทางรังสีวิทยา ซึ่งสามารถให้การวินิจฉัยได้โดยไม่ยากนักโปรแกรมการรักษาที่ดีจะต้องลดอาการปวดข้อนั้น ให้ข้อที่ติดมีการเคลื่อนไหวได้ใกล้เคียงของเดิมเพื่อจะทำให้การกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข ได้แก่ การให้ความรู้เกี่ยวกับการดำเนินโรค, การรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่ สเตียรอยด์ ( N-SAIDS) เพื่อลดการอักเสบและอาการปวด แต่ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ๆ ได้แก่ อาการปวดท้องจากกระเพาะอาหารอักเสบ การฉีดยาเข้าข้อในปัจจุบันมียาสองประเภทที่รักษาในปัจจุบัน ได้แก่ ประเภทแรก สเตียรอยด์
       ข้อบ่งชี้คือ การใช้ในระยะการอักเสบเฉียบพลัน ลดอาการปวด ประเภทที่สอง น้ำข้อเข่าเทียม ใส่ไปในข้อ โดยที่ถ้ากระดูกอ่อนไม่มีการสูญเสียจากข้อเข่าเสื่อม ก็จะได้ผลในแง่การลดอาการปวดเพื่อให้มีโอกาสที่สามารถบริหารกล้ามเนื้อให้แข็งแรงได้ โดยเฉลี่ยก็ประมาณสามถึงหกเดือนแต่ถ้ากระดูกเหลือน้อยมากหรือเกิดการเสื่อมทั้งหมด การใส่ยาอาจไม่สามารถรักษาอาการเหล่านี้ได้ แต่อาจจะพิจารณาในกรณีที่รักษาอาการชั่วคราว เพื่อบรรเทาอาการปวดเพื่อรอการผ่าตัด
       การควบคุมน้ำหนัก นอกจากจะทำให้อาการปวดลดลงแล้วยังทำให้รูปร่างดูดี และรู้สึกแข็งแรงขึ้น การทำกายภาพบำบัด การออกกำลังกายที่เหมาะสม โดยการเดินออกกำลังกาย การออกกำลังกายแอโรบิกทำให้อาการปวดลดลง ข้อขยับได้มากขึ้น รวมทั้งกล้ามเนื้อแข็งแรงมากขึ้น ในกรณีที่ไม่สามารถรับประทานยาได้ หรือรับประทานยา ทำกายภาพบำบัดอาการไม่ดีขึ้น ด้วยวิทยาการสมัยใหม่ มีการรักษาทางออร์โธปิดิกส์ดังต่อไปนี้

การรักษาโดยการผ่าตัดผ่านกล้อง
       เป็นการรักษาที่ผ่าตัดผ่านกล้องวีดีโอทัศน์ขนาดเล็ก ประมาณ 4.5 มิลลิเมตร หรือขนาดเท่าปลายดินสอ ใส่เข้าไปในข้อที่เสื่อม ทำให้เห็นพยาธิสภาพของข้อเข่าที่เสื่อมได้อย่างชัดเจน เป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยและวางแผนรักษา เราจะพิจารณาให้การรักษาแบบผ่าตัดผ่านกล้องในกรณีข้อเสื่อมที่มีภาวะร่วมกับเศษกระดูกที่แตกลอยอยู่ในข้อเข่า หมอนรองกระดูกในข้อเข่าที่เสื่อมและมีการฉีกขาด มีพังผืดรัดที่กระดูกอ่อน (plica)การมีลูกสะบ้าที่เอียงกดกระดูกอ่อนทางด้านนอก (lateral compression syndrome) การมีผู้ป่วยที่มีข้อเสื่อมมากที่มีภาวะซึ่งไม่สามารถรักษาด้วยการจัดกระดูก หรือทำข้อเทียมได้ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด
       การรักษาด้วยการส่องกล้องเพื่อการปลูกกระดูกอ่อน arthroscopic debirdement mesenchymal cell stimulation technique โดยการใช้กล้องผ่าตัดตามปกติ เพื่อดูพื้นที่ของการเสื่อมมากน้อยเพียงใด ในกรณีที่ไม่มีการสูญเสียไม่มากนัก การรักษาโดยการใช้เข็มเล็ก ๆ ขนาดประมาณ 2 x 2 มม. ทำให้เป็นรูเล็ก ๆ ห่างกันประมาณ 2 – 4 มม. ในพื้นที่ที่กระดูกเสื่อม เพื่อเป็นการกระตุ้นกระดูกอ่อนให้ขึ้นมาใหม่ โดยปกติ กระดูกอ่อนของเราเป็นลักษณะ hyaline cartilage แต่ส่วนกระดูกที่ขึ้นใหม่ จะมีลักษณะของ fibro cartilage ซึ่งอาจจะไม่แข็งแรงเท่าเดิม แต่อาจจะใช้ได้ การรักษาวิธีนี้ควรพิจารณาในกรณีกระดูกเสื่อมไม่เกิน 2 – 4 ตารางเซติเมตร มีการโก่งงอของเข่าไม่เกิน 5-10 องศา เป็นกระดูกเสื่อมเฉพาะส่วนเท่านั้น ไม่มีการเสื่อมทั่วไปที่เรียกว่า tricompartmental knee
       ในปัจจุบันเพื่อเป็นการเพิ่มความสามารถในการเจริญเติบโตของกระดูกอ่อนชนิด fibro cartilage ที่จะงอกใหม่ โดยมีการทำวิจัยเพื่อใช้น้ำเลี้ยงข้อเข่าเทียม เสริมเข้าไปทันทีหลังจากการรักษาด้วยกล้อง โดยเชื่อว่าสารนี้ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเนื้อเยื่อกระดูกอ่อน จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างโปรติโอไกลแคนอื่น ๆ ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูกอ่อน ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งได้เริ่มใช้แพร่หลายในประเทศทางยุโรป อย่างไรก็ตาม การติดตามผลการรักษาวิจัยทางการแพทย์ จะทำให้ช่วยทราบผลการรักษาที่ได้ผลที่เหมาะสมต่อไป

การตัดกระดูก ในกรณีที่กระดูกเสื่อมเฉพาะด้านใน
(Medial compartment)
        จุดประสงค์คือการจัดกระดูกให้อยู่ในแนวการรับน้ำหนักที่ถูกต้องเพื่อแก้ไขความผิดรูปและการลงน้ำหนักที่ดีขึ้น เข่าที่เสื่อมมากจะมีลักษณะโค้งงอ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นปัญหาของการเดินเท่านั้น ยังทำให้กระดูกอ่อนของเราเสื่อมมากขึ้น การจัดกระดูกให้อยู่ในแนวที่ถูกต้องจึงไม่เป็นเพียงแต่การรักษาเท่านั้น ยังเป็นการป้องกันข้อเข่าไม่ให้เสื่อมต่อไปด้วย อย่างไรก็ตามข้อบ่งชี้ได้แก่ ลักษณะขาโก่งไม่เกิน 15 องศา มีการเสื่อมเฉพาะด้านในของข้อเข่า ไม่มีลักษณะของกระดูกบาง หรือเหยียดไม่สุด อายุส่วนใหญ่น้อยกว่า 55 ปี ( หรืออาจมากว่าก็ได้ ขึ้นกับการวินิจฉัยของแพทย์ ) การลดน้ำหนักจะใช้เวลาประมาณ 3- 6 เดือน เพื่อจะลงน้ำหนักได้เต็มที่โดยไม่ต้องใช้ไม้เท้า ผลการรักษาสามารถลดอาการปวดได้ประมาณร้อยละ 50-80 ขึ้นกับประมาณการเสื่อมมากหรือน้อย น้ำหนักตัว ลักษณะกระดูกที่โก่ง ภาวะกระดูกบางที่ร่วมด้วย
       การจะรักษาอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับอาการของโรคนั้นอยู่ในระยะใด อาการของข้อเสื่อม อายุ น้ำหนักงานที่ทำการกิจวัตรประจำวันการจะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพนั้น ท่านควรจะมีความรู้ความเข้าใจเรื่องโรคข้อเสื่อม ผลแทรกซ้อนของยาที่ใช้ ปริมาณยาที่ใช้ การรักษาชนิดต่าง ๆ การรักษาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง

บทบาทของแพทย์ออร์โธปิดิกส์ กับการรักษาข้อเสื่อมระยะปลาย
       ถ้าเรามีโอกาสถามว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คนอายุยืนอย่างมีความสุข จากการสำรวจพบว่าความต้องการในอันดับต้นได้แก่ สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ช่วยเหลือตัวเองได้ ไปไหนมาไหนได้ ทำอะไรที่อยากทำได้ พื้นฐานของสิ่งเหล่านี้คือ การมีข้อและกล้ามเนื้อที่แข็งแรง สิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคในกรณีที่มีข้อเสื่อมในระยะท้าย ๆ ถ้าการรับประทานยา ฉีดยาหรือทำกายภาพบำบัดไม่ได้ผล เพราะคนที่อายุยืน ถ้าไม่มีการเคลื่อนไหว จะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนตัวลง เพิ่มอุบัติการณ์ของการล้ม อาจทำให้กระดูกหักตามมา และผลต่อเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ด้วยเหตุผลเหล่านี้แพทย์ออร์โธปิดิกส์ ( แพทย์โรคกระดูกและข้อ ) เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางศัลยกรรมกระดูกและข้อเป็นผู้ให้คำแนะนำการรักษาอย่างถูกต้องที่มีประสิทธิภาพการรักษาได้แก่ การรักษาโดยการทำข้อเข่าเทียม การรักษาที่ว่านี้ไม่ใช้การตัดข้ออกจากร่างกายแต่เป็นทดแทน กระดูกอ่อนส่วนที่เสียไปด้วยกระดูกอ่อนเทียม ที่ทำจากวัสดุพิเศษ โดยการทดแทนกระดูกอ่อนที่เสียไปนั้นขึ้นกับว่า มีการเสียกระดูกในส่วนใด ก็จะทดแทนส่วนนั้น เพื่อความเข้าใจ ในการรักษาด้วยวิธีดังกล่าว เราแบ่งการผ่าตัดข้อเทียมในปัจจุบันเป็น

ประเภทแรก การผ่าตัดข้อเทียมเฉพาะส่วน (unicompartment knee arthroplasty) เราพิจารณาใช้ในกรณีที่อายุมากกว่า 55 ปี (หรืออาจจะต่ำกว่านี้ ถ้ามีความเสื่อมของกระดูกที่สามารถรักษาวิธีนี้ได้) มีการเสื่อมเฉพาะด้านในของข้อเท่านั้น medial compartment เอ็นในข้อเข่าปกติไม่มีการขาด ข้อดีคือ วัสดุที่ใช้ราคาถูกลง แผลเล็กลง เดินลงน้ำหนักได้ภายในหนึ่งถึง สองวัน ตามวารสารทางการแพทย์ อายุใช้งานได้ประมาณ 8-10 ปี ข้อห้ามในการผ่าตัดมีการเลื่อมทั่วไปมากกว่า หนึ่งส่วน อาทิเช่นมีการเสื่อมของกระดูกเข่าด้านนอก lateral compartment หรือมีการเสื่อมของกระดูกลูกสะบ้าร่วมด้วย มีการขาดของเอ็นในเข่าร่วมด้วย มีข้อห้ามในการผ่าตัดจากสาเหตุอื่นทางอายุกรรม ปัจจุบันนี้การรักษาด้วยวิธีนี้เป็นที่นิยมในประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากมีแผลเล็ก หายได้เร็ว และถ้าทำตามมาตรฐาน เลือกผู้ป่วยอย่างเหมาะสมก็จะสามารถมีการใช้งานให้เคียงกับการทำข้อเทียมแบบปกติ

ประเภทที่สอง การผ่าตัดข้อเทียมทั้งหมด (total knee arthroplasty) ในกรณีผู้ป่วยที่ข้อเข่าเสื่อมมากและมีความขรุขระของกระดูกข้อเข่าและกระดูกสะบ้ามากนั้น หรือลักษณะที่เรียกว่า tricompartmental knee มีอาการปวดมาก รับประทานยาทำกายภาพบำบัดอาการไม่ดีขึ้น เข่าผิดรูป และมีการเสื่อมในลักษณะดังกล่าว การผ่าตัดเพื่อให้ผู้ป่วยเดินได้เร็วและหายปวดซึ่งใช้งานได้ดี จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อการรักษา โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ขึ้นไปโดยใช้วัสดุที่เข้าไปแทนที่ของกระดูกอ่อนส่วนที่เสียไปทัทางด้านในและด้านนอกของข้อเข่าสำหรับในส่วนของลูกสะบ้านั้นขึ้นกับลักษณะการเสื่อมของลูกสะบ้า ว่ามีความจำเป็นต้อง เปลี่ยนหรือไม่ การรักษาได้ผลมากกกว่าร้อยละ 90 จะทำให้อาการปวดดีขึ้นเดินได้ดีขึ้นร้อยละ 95 - 98 ของผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดมี อายุการใช้งาน ประมาณ 10 ปี

ขั้นตอนการรักษาผู้ป่วยโรคข้อเข่าเทียม
1. ผู้ป่วยที่แพทย์เห็นว่าสมควรจะได้รับการผ่าตัดนั้นจะได้รับคำแนะนำอย่างละเอียดจากแพทย์และส่วนที่สำคัญคือ ได้แลกเปลี่ยนทัศนะคติกับผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดแล้ว เพื่อให้ทราบความรู้สึกของผู้ป่วยว่าได้ผลดีอย่างไรอย่างชัดเจนขึ้น
2. การเตรียมผู้ป่วยและใช้ขนาดของข้อเข่าเสื่อม ที่เหมาะสมพอดี และแนะนำการดูแลรักษาหลังผ่าตัด
3. เราให้ยาระงับความปวดด้วยความร่วมมือของวิสัญญีแพทย์เพื่อควบคุมอาการปวดให้เหมาะสม
4. ในการผ่าตัดใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
5. ในวันที่ 3 หรือ 4 เริ่มเดินลงน้ำหนักได้ด้วยตนเอง สามารถงอเข่าได้เฉลี่ยประมาณ 0-90 องศาและทำกายภาพบำบัดโดยการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน และผู้ป่วยสามารถฟื้นสมรรถภาพของกล้ามเนื้อได้เร็วก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ภายในเจ็ดถึงสิบวัน

       การดูแลตามขั้นตอนอย่างละเอียดและมีมาตรฐาน สำหรับผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษา โดยทราบถึงการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง รวมถึงผลการรักษาอย่างชัดเจน ในกรณีที่ต้องการายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาสอบถามแพทย์
https://www.thaiarthritis.org/article08.php

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
 

อาหารกับโรคกระดูกและข้อที่พบบ่อย
ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์
รศ.ดร.พญ.ภัทรวัณย์ วรธนารัตน์
https://med.mahidol.ac.th/ortho/th/food%20ortho/patient
https://drive.google.com/file/d/0BzVECrTBp1yodUFpQUNkV1RkTzg/view

วิถีชีวิตกับโรคกระดูกและข้อ
รศ.ดร.พญ.ภัทรวัณย์ วรธนารัตน์
ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์
https://resource.thaihealth.or.th/library/collection/14822
 https://www.ebooks.in.th/ebook/31135/วิถีชีวิตกับโรคกระดูกและข้อ

แนะนำหนังสือ ดี และ ฟรี : อาหารกับโรคกระดูกและข้อที่พบบ่อย+วิถีชีวิตกับโรคกระดูกและข้อ
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=27-12-2017&group=5&gblog=55






..........................................................

การเสียชีวิตใน 45 วันหลังเปลี่ยนข้อเข่าจากเข่าเสื่อม

Lancet. 2014;384(9952):1429-1436.

บทความเรื่อง 45-Day Mortality after 467,779 Knee Replacements for Osteoarthritis from The National Joint Registry for England and Wales: An Observational Study รายงานว่า การศึกษาปัจจัยเสี่ยงของการเสียชีวิตในระยะกระชั้นภายหลังเปลี่ยนข้อเข่าอาจช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิตหลังเปลี่ยนข้อเข่า นักวิจัยได้ประเมินแนวโน้มการเสียชีวิตภายใน 45 วันหลังเปลี่ยนข้อเข่าเนื่องจากเข่าเสื่อมในอังกฤษและเวลส์ เพื่อศึกษาผลจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยระหว่างผ่าตัดที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ต่อการเสียชีวิต

นักวิจัยรวบรวมข้อมูลการเปลี่ยนข้อเข่าเนื่องจากเข่าเสื่อมในอังกฤษและเวลส์ระหว่างวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 2003 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2011 จากทะเบียน National Joint Registry for England and Wales โดยเชื่อมโยงข้อมูลกับฐานข้อมูลการเสียชีวิตและฐานข้อมูล Hospital Episode Statistics เพื่อติดตามข้อมูลด้านการเสียชีวิต สังคมประชากร และโรคร่วม การเสียชีวิตภายใน 45 วันประเมินจาก Kaplan-Meier analysis และบทบาทของปัจจัยด้านผู้ป่วยและการรักษาประเมินจาก Cox proportional hazards models

มีการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเพื่อรักษาข้อเสื่อมจำนวน 467,779 ครั้ง ระหว่าง 9 ปี ผู้ป่วย 1,183 คนเสียชีวิตภายใน 45 วันหลังผ่าตัด โดยการเสียชีวิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 0.37% ในปี ค.ศ. 2003 ลงมาที่ 0.20% ในปี ค.ศ. 2011 แม้หลังปรับตามอายุ เพศ และโรคร่วม การเปลี่ยนข้อเทียมเพียงเสี้ยวเดียวสัมพันธ์กับการเสียชีวิตที่ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับการเปลี่ยนทั้งข้อ (HR 0.32, 95% CI 0.19-0.54, p < 0.0005) นอกจากนี้พบว่า โรคร่วมสัมพันธ์กับการเสียชีวิตที่สูงขึ้นทั้งกล้ามเนื้อหัวใจตาย (3.46, 95% CI 2.81-4.14, p < 0.0005), โรคหลอดเลือดสมอง (3.35, 2.7-4.14, p < 0.0005), โรคตับระดับปานกลาง/รุนแรง (7.2, 3.93-13.21, p < 0.0005) และโรคไต (2.18, 1.76-2.69, p < 0.0005) ปัจจัยระหว่างผ่าตัดที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้รวมถึงวิธีการผ่าตัด และการให้ยา thromboprophylaxis ไม่สัมพันธ์กับการเสียชีวิต

การเสียชีวิตหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญระหว่างปี ค.ศ. 2003-2011 ความพยายามเพื่อลดการเสียชีวิตให้น้อยลงควรเน้นไปที่ผู้ป่วยสูงอายุ เพศชาย และมีโรคร่วมจำเพาะ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย หลอดเลือดสมอง ตับ และไต

https://wongkarnpat.com/viewpat.php?id=1340




Create Date : 29 พฤษภาคม 2551
Last Update : 23 สิงหาคม 2565 15:53:47 น.
Counter : 88152 Pageviews.

18 comments
เมื่อฉันเป็นมะเร็ง WarinD Ninajang
(5 เม.ย. 2568 13:14:45 น.)
New challenge : ฉ่ำเลย nonnoiGiwGiw
(2 เม.ย. 2568 18:04:50 น.)
ไอ้เราก็ คนมีบุญ ซะด้วย อิอิ multiple
(30 มี.ค. 2568 15:18:09 น.)
รวบยอด-ปั่นจักรยาน Week 12-14th, 17 MAR - 7 APR 2025 กะริโตะคุง
(7 เม.ย. 2568 17:02:17 น.)
  
กำลังกลัวว่เข่าซ้ายาจะเป็นอยู่พอดี

ขอบคุณมากนะคะ
โดย: หมีสีชมพู วันที่: 29 พฤษภาคม 2551 เวลา:0:26:11 น.
  
กลัวมากเลยอะค่ะ

คือว่าเวลาพับหรืองอเข่าเนี่ยมันจะมีเสียงดังกร๊อบ ๆ

เวลานั่งนาน ๆ เนี่ยมันเจ็บจี๊ด ๆ ที่เข่านะค่ะ มันจะคล้าย ๆ กับโรคข้อเข่าเสื่อมไหมค่ะเนี่ย
โดย: ความเจ็บปวด วันที่: 29 พฤษภาคม 2551 เวลา:1:39:51 น.
  

ขอบคุณที่มาแจม นะครับ ..


สำหรับคุณ ความเจ็บปวด ..
อาการก็คล้าย ๆ เหมือนกันครับ .. ลองไปพบหมอกระดูกและข้อ หน่อย ก็ดีครับ จะได้รู้ว่า ใช่แน่หรือเปล่า .. ถ้าเป็นก็จะได้รักษาแต่เนิ่น ๆ
โดย: หมอหมู วันที่: 2 มิถุนายน 2551 เวลา:21:49:33 น.
  
แวะมาอ่านครับ
direct lenders
โดย: lavenderbreeze999 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2554 เวลา:10:49:30 น.
  


วิ่งไม่ได้ทำให้ข้อเสื่อม
posted on 24 Sep 2009 21:46 by health2u in health

เครดิต...ผู้เขียน นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์

ที่มา //health2u.exteen.com/20090924/entry-1


ปี 2005 คณะนักวิจัย UK วิเคราะห์การศึกษาแบบสุ่ม 13 รายงานพบว่า การเดิน การเสิรมสร้างความแข็งแรง เช่น ยกน้ำหนัก เล่นเวท ฯลฯ ปลอดภัยสำหรับคนไข้ข้อเข่าอักเสบ-เสื่อม แถมยังทำให้อาการปวด และความทุพพลภาพลดลง [ Intelihealth ]

ปี 2006-7 คณะนักวิจัยจากเนเธอร์แลนด์และ UK พบว่า การออกกำลังจากน้อยไปหามาก หรือจากเบาไปหาหนัก และค่อยๆ เพิ่มความแรงขึ้นทีละน้อยปลอดภัย และช่วยรักษาข้อสะโพก-ข้อเข่าอักเสบ-ข้อเสื่อม
....................................................

อาจารย์ รศ.นพ.ฮาร์เวย์ บี. ไซมอน แห่งวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ดและสถาบัน MIT ผู้ได้รับรางวัล 'London Prize' ด้านการสอนจากผลงานที่ฮาร์วาร์ดและ MIT ตีพิมพ์เรื่อง 'Running and your joints' = "การวิ่งและข้อของคุณ (joint = ข้อต่อ)" ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟัง [ Intelihealth ]

การวิ่งมีช่วงเท้าลอยอยู่ในอากาศ ทำให้มีแรงกระแทกตอนเท้ากระแทกพื้นได้มากจนถึง 8G หรือ 8 เท่าของแรงดึงดูดโลก หรือ 8 เท่าของน้ำหนักตัว

...

แรงกระแทกนี้แปรตามความเร็วด้วย คือ ยิ่งวิ่งเร็ว แรงกระแทกยิ่งมาก ทว่า... ไม่ได้หมายความว่า การวิ่งทำให้ข้อเสื่อม

การศึกษาเร็วๆ นี้พบว่า การออกกำลัง โดยเฉพาะการวิ่ง ปลอดภัยสำหรับคนทั่วไป แถมยังช่วยป้องกันข้อเสื่อมด้วย

...

เมื่อก่อนนี้คนเราเชื่อเรื่อง 'wear and tear' หรือ "ใช้มาก-ข้อสึกมาก (เสื่อมมาก)" ทว่า... การศึกษาใหม่ๆ พบว่า การวิ่งและออกกำลังไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้ข้อเสื่อม

สาเหตุของข้อเสื่อมส่วนหนึ่งมาจาก "อะไรที่เราไม่รู้" ซึ่งทางแพทย์เรียกว่า 'idiopathic' อีกส่วนหนึ่งมาจากการมีกล้ามเนื้ออ่อนแอ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหน้าขา

...

(1). 'Framingham Offspring Cohort' = การศึกษาติดตามลูกหลานของชาวฟรามิงแฮม"

ปี 1948 มีการศึกษาในอาสาสมัครชาวฟรามิงแฮม US 5,200 คน ทำให้เรารู้ว่า อะไรเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและสโตรค (stroke = กลุ่มหลอดเลือดสมองแตก-ตีบตัน อัมพฤกษ์ อัมพาต)

...

ปี 1971 คณะนักวิจัยทำการศึกษาในลูกหลานและคู่สมรสของอาสาสมัคร และทำการศึกษาผลของการออกกำลังและข้ออักเสบในปี 1993-1994 อายุเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างที่ไม่มีข้ออักเสบ = 53 ปี ติดตามไปจนถึงปี 2002 & 2005

การศึกษานี้มีการซักประวัติ และตรวจเอกซเรย์เข่าเปรียบเทียบ อ่านฟีล์มโดยผู้เชี่ยวชาญที่ไม่รู้ประวัติแยกกัน 2 ท่าน ทำให้เรารู้ว่า การออกกำลังไม่ได้ทำให้ข้อเสื่อม

...

การศึกษานี้พบว่า การออกกำลังไม่มีผลทำให้ข้อเสื่อม แถมคนที่อ้วนหรือผอมและออกกำลังมีข้ออักเสบ-ข้อเสื่อมมากเท่าๆ กัน

นั่นคือ คนที่ออกกำลังมากที่สุดมีความเสี่ยงข้ออักเสบ-ข้อเสื่อมเท่ากับคนที่ออกกำลังน้อยที่สุด

...

(2). การศึกษาจากออสเตรเลีย

กระดูกอ่อน (cartilage) ของข้อไม่มีเลือดไปเลี้ยง อาศัยการซึมซาบของน้ำไขข้อเข้า-ออก คล้ายการบีบน้ำ-ซับน้ำของฟองน้ำล้างจานเป็นสำคัญ หลักการนี้ทำให้การเคลื่อนไหวข้อมีแนวโน้มจะทำให้ข้อได้รับสารอาหารมากขึ้น

...

คณะนักวิจัยออสเตรเลียทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างที่มีสุขภาพดี และไม่มีประวัติข้อเข่าอักเสบหรือบาดเจ็บ อายุ 40-69 ปี 297 คนในช่วง early 1990s = 1990-1995 ติดตามไปจนถึง 2003-4 เปรียบเทียบภาพสแกนสนามแม่เหล็ก-วิทยุ MRI

ผลการศึกษาพบว่า คนที่ออกกำลังรับแรงหนักที่สุด (เช่น วิ่ง ยกน้ำหนัก ฯลฯ) มีความหนากระดูกอ่อนหัวเข่ามากที่สุด และสุขภาพข้อดีที่สุด

...

(3). ข้อเข่าของนักวิ่งระยะไกล

การศึกษาในปี 2008 เปรียบเทียบนักวิ่งระยะไกล 284 คนกับคนที่ไม่ได้วิ่ง 156 คนไม่พบว่า การออกกำลังทำให้ข้ออักเสบ-ข้อเสื่อมถึงนัยสำคัญ (little evidence; little = น้อยมากๆ; evidence = หลักฐาน)

...

หลังจากติดตามนักวิ่งระยะไกลไป 21 ปีพบว่า นักวิ่งมีความทุพพลภาพ (บาดเจ็บ + เสื่อมสภาพ) ของกล้ามเนื้อ-เอ็น-กระดูก หรือระบบโครงสร้างน้อยกว่าคนที่นั่งๆ นอนๆ แถมนักวิ่งยังมีอัตราตายน้อยกว่า 39%

การศึกษาใหม่เปรียบเทียบนักวิ่งกับนักว่ายน้ำทีมมหาวิทยาลัยพบว่า นักวิ่งไม่ได้มีข้อเสื่อมเพิ่มขึ้น และแชมป์วิ่งไม่ได้มีข้อสะโพกอักเสบ-เสื่อมมากกว่าคนที่ไม่ได้เป็นนักกีฬา

...

ปัจจัยสำคัญอยู่ที่การบาดเจ็บ

เป็นที่ทราบกันดีในสหรัฐฯ ว่า นักอเมริกันฟุตบอลมักจะมีการบาดเจ็บของข้อ (การศึกษาอื่นๆ พบว่า คนกลุ่มนี้เป็นเบาหวานมากกว่าประชากรชัดเจน) คำตอบคือ ข้อที่บาดเจ็บจะไม่เหมือนเดิม (อีกต่อไป) และจะค่อยๆ กลายเป็นข้ออักเสบ-ข้อเสื่อม

...

การศึกษาศิษย์เก่าวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ด 1,321 ท่านพบว่า หมอที่เคยมีข้อสะโพกบาดเจ็บตอนเรียนมีข้อเสื่อมที่อายุ 65 ปีเกือบ 14% สูงกว่าหมอที่ไม่เคยมีข้อสะโพกบาดเจ็บ ซึ่งมีข้อเสื่อม 6%

หมอที่มีข้อเข่าบาดเจ็บตอนอายุน้อยเสี่ยงข้อเข่าอักเสบ-ข้อเสื่อมเพิ่มเป็น 5 เท่าเมื่ออายุมากขึ้น

...

มีความเป็นไปได้ว่า กีฬาที่ทำให้ข้อบาดเจ็บได้ง่ายมีแนวโน้มจะเป็นกีฬาประเภทต่อสู้ ปะทะ เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล ฯลฯ รวมทั้งอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับ-ง่วงแล้วขับ ทำให้ข้อเสื่อมมากกว่าวิ่ง เดิน ว่ายน้ำ

ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ >

โดย: หมอหมู วันที่: 9 กรกฎาคม 2555 เวลา:23:21:48 น.
  




วิ่งทำให้ข้อเสื่อมจริงหรือ?

ข้อมูลสื่อ
ชื่อไฟล์: 92-013
นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 92
เดือน/ปี: ธันวาคม 1986
คอลัมน์: วิ่งทันโลก
นักเขียนหมอชาวบ้าน: นพ.กฤษฎา บานชื่น

ที่มา...//www.doctor.or.th/article/detail/5585


บ่อยครั้งที่ผู้เขียนถูกถามว่า การวิ่งทำให้ข้อเสื่อมจริงหรือไม่

อนุสนธิของคำถามนี้ เนื่องมาจากความเข้าใจที่แพร่หลายในหมู่คนทั่วไป (รวมทั้งนักวิ่งและหมอบางคน) ว่า การวิ่งกระทบกระเทือนต่อข้อ เป็นผลให้มีการสึกหรอหรือการเสื่อมของข้อเร็วกว่าเวลาอันควร
ผู้เขียนจะไม่บอกว่า ความเข้าใจนี้ถูกหรือผิด ขอให้เป็นหน้าที่ของผู้อ่านจะตัดสินเอาเอง

เรามักจะนึกถึงภาพการวิ่งก่อให้เกิดแรงกระแทกต่อข้อต่างๆ จนมีการสึกหรือเสื่อมไปทีละน้อยๆ จริงอยู่ถ้าร่างกายเราเป็นเครื่องจักร เช่นรถยนต์ คงมีสภาพเช่นว่านั้น แต่เนื่องจากเราเป็นสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองได้ การออกกำลังกายเช่นการวิ่ง จึงอาจมีผลต่อข้อในทางตรงข้าม คือแทนที่จะทำให้ข้อเสื่อม ก็กลับแข็งแรงขึ้น ทำไม?

เพราะหลักเบื้องต้นที่ว่า สิ่งใดที่ไม่ได้ใช้ก็จะเสื่อมเหมือนมีดที่คมในฝักแต่ชักไม่ออก (เพราะเป็นสนิม เนื่องจากไม่เคยได้ใช้เลย) หรืออาจเปรียบกับเครื่องยนต์ ถ้ามีการเดินเครื่องอยู่เสมอ ส่วนต่างๆก็จะทำงานเรียบร้อยดี แต่ถ้าจอดทิ้งไว้หลายๆวัน พาลสตาร์ตไม่ติดเอา
ร่างกายมนุษย์ก็เหมือนกัน ข้อที่ไม่ค่อยได้ใช้ เกิดการติดขัดได้ ตัวอย่างที่พบบ่อยคือ ข้อไหล่ซึ่งมักติดในคนแก่ที่ไม่เคยบริหารไหล่หรือใช้งาน การเคลื่อนไหวข้อ ทำให้มีการหล่อลื่น และช่วยให้ข้อเคลื่อนที่ได้สะดวกอย่างไรก็ดี ทุกอย่างคงมีขีดจำกัด การใช้ข้อมากเกินไปอาจเป็นผลร้าย แต่แค่ไหนเล่าจึงจะเรียกว่ามากเกินไป การวิ่งทุกๆวันเป็นการใช้ข้อที่มากเกินไป หรือวิ่งวันเว้นวันจึงจะพอดี เหล่านี้เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบ

คุณหมอริชาร์ด พานุช (Richard Panush) แห่งมหาวิทยาลัยฟลอริดา คงต้องการคำตอบต่อคำถามเช่นว่าเหมือนกัน จึงได้ทำการศึกษาสภาวะข้อ ของนักวิ่งวัยกลางคน 17 นาย 9 คนในจำนวนนี้เป็นนักวิ่งมาราธอน (ซึ่งหมายความว่าวิ่งกันอาทิตย์ละกว่า 100 กิโลเมตร) และมีอยู่คนหนึ่งซึ่งในชีวิตวิ่งมากว่า 78,400 กิโลเมตร โดยเฉลี่ยนักวิ่งกลุ่มนี้วิ่งสัปดาห์ละ 55 กิโลเมตร เป็นเวลา 12 ปี เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมอีก 18 คน ที่ไม่ใช่นักวิ่ง คุณหมอพานุช ไม่พบว่าความแตกต่างกันในด้านการเสื่อมของข้อเท้า ข้อเข่า และข้อสะโพก ในคนทั้ง 2 กลุ่ม

คุณหมอพานุชสรุปว่า การวิ่งมิได้ทำให้ข้อสึกหรือเสื่อมอย่างที่เคยเข้าใจ
ในวารสาร J.A.M.A. (วารสารของสมาคมแพทย์อเมริกัน) เล่มเดียวกัน (7 มีนาคม 2529) แพทย์หญิงแนนซี่ เลน (Nancy Lane) จากมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด ก็ได้ทำการศึกษานักวิ่งของ Fifty-Plus Runners Association (ผู้จะเป็นสมาชิกของสมาคมนี้ได้ต้องอายุเกินกว่า 50 ปี) จำนวน 41 คน แล้วเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมซึ่งวิ่งเพียงหนึ่งในสิบและออกกำลังกายเพียงหนึ่งในสี่ของกลุ่มสมาชิกสมาคม หมอเลนพบว่าไม่เพียงแต่กลุ่มนักวิ่งจะไม่มีสิ่งซึ่งส่อแสดงการเสื่อมของข้อต่างๆ เช่น ข้อเข่า และข้อกระดูกสันหลัง แตกต่างไปจากกลุ่มควบคุม แต่ยังมีเนื้อกระดูกมากกว่ากลุ่มควบคุมถึง 40 เปอร์เซ็นต์

นั่นก็หมายความว่า ในนักวิ่งที่หมอเลนทำการศึกษา มีโอกาสเป็นโรคกระดูกผุ (osteoporosis) ซึ่งเป็นโรคสำคัญของสตรีสูงอายุชาวอเมริกันน้อยกว่า

แล้วอย่างนี้ยังจะบอกว่าวิ่งทำให้กระดูกและข้อเสื่อมอีกหรือ



โดย: หมอหมู วันที่: 9 กรกฎาคม 2555 เวลา:23:22:53 น.
  



ขึ้นลงบันไดกับข้อเข่าเสื่อม


ข้อมูลสื่อ
ชื่อไฟล์: 128-029
นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 128
เดือน/ปี: ธันวาคม 1989
คอลัมน์: วิธีชะลอความแก่
นักเขียนหมอชาวบ้าน: รศ.ประโยชน์ บุญสินสุข




ตอนรับเชิญไปบรรยายในงานปัจฉิมนิเทศครั้งหนึ่ง หลังจากได้แนะนำวิธีการออกกำลังกายเพื่อชะลอความชราแล้ว มีคำถามจากผู้ฟังท่านหนึ่งว่า การขึ้นลงบันไดเป็นการออกกำลังกายที่ดีสำหรับผู้ที่เข้าสูวัย 60 หรือไม่

ตั้งแต่มนุษย์เริ่มรู้จักสร้างบ้าน ไม่ว่าจะเป็นบ้านทรงไทยมุงใบจากที่ยกขึ้นจากพื้น ซึ่งต้องปีน “บันได” ขึ้นไป หรือบ้าน 2 ชั้นตลอด พัฒนาจนเป็นตึกแถวหลายชั้น “บันได” ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นทั้งสิ้น ดังนั้น การขึ้นลงบันไดจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ไม่ว่าอยู่ในชนบทหรือในเมือง

เคยมีสารคดีจีนแนะนำให้ผู้สูงอายุขึ้นลงบันได เพราะถือว่าเป็นการออกกำลังกายชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ต้องออกไปนอกบ้าน โดยเฉพาะวันที่ฝนตก ตามตึกทำงานต่างๆ ถึงแม้จะมีบันไดขึ้นลงทุกชั้น แต่เมื่อมีลิฟต์ ซึ่งแสนจะสะดวกสบายกว่าการขึ้นลงบันได จึงมีผู้ใช้บริการมาก จนบางครั้งต้องยืนคอยเป็นเวลานาน และบ่อยครั้งที่ทำให้ลิฟต์เสียเพราะบรรจุคนเกินอัตรา ดังนั้น ข้างลิฟต์จึงมักมีข้อความติดอยู่ว่า “ขึ้นลงชั้นเดียว กรุณาใช้บันได”

ชาวยุโรปสมัยยุคกลาง คงเลื่อมใสการขึ้นลงบันไดมาก โดยเฉพาะการเดินลงบันได จึงมีภาพวาดสีน้ำมันแสดงการก้าวลงบันไดอย่างต่อเนื่องของเขา คล้ายกับการถ่ายภาพซ้อนหลายๆ ภาพ โดยเริ่มวาดตั้งแต่การก้าวลงจากบันไดชั้นบนสุดจนลงสู่พื้นล่าง

เมื่อการขึ้นลงบันไดเป็นวิธีการออกกำลังชนิดหนึ่ง ช่วยลดภาระของลิฟต์ และยังเป็นท่าทางที่น่าพิศวงจนศิลปินวาดเป็นภาพอมตะขึ้นมา จึงเข้าใจว่าควรส่งเสริมเพื่อให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น แต่ทว่า การออกกำลังกายทุกชนิดย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ถึงแม้ว่าการไม่ออกกำลังกายเลยจะทำให้ข้อต่อเสื่อมได้ แต่การออกกำลังกายที่มากเกินไปก็ทำให้ข้อต่อเสื่อมเร็วขึ้นเช่นเดียวกัน

วัยกลางคนที่มีปัญหาการเสื่อมของข้อต่อ มักจะบ่นว่าข้อเข่าจะเจ็บปวดมากเมื่อขึ้นลงบันได โดยเฉพาะการก้าวลงบันได บางครั้งไม่ถึงกับต้องเป็นการก้าวลงบันได เพียงก้าวลงฟุตปาธเพื่อข้ามถนน ความเจ็บปวดทำให้หัวเข่าอ่อนแรงลงกะทันหัน แทบจะล้มลงไปถ้าขาอีกข้างหนึ่งพยุงไว้ไม่ทัน หรือก้าวขาไม่ออก

ดังนั้น ผู้ที่มีปัญหาของหัวเข่าจึงมักเกิดความลำบากใจปฏิบัติไม่ถูก เพราะในชีวิตประจำวันต้องขึ้นลงบันได และมักมีผู้แนะนำให้ออกกำลังกายโดยขึ้นลงบันไดได้ แต่ยิ่งขึ้นลงมากเท่าไร ข้อเข่ายิ่งอักเสบและเสื่อมเร็วขึ้นเท่านั้น

ในครั้งแรกไม่ใคร่มีใครสนใจปัญหาเรื่องนี้ แต่เมื่อพบว่า นักวิ่งที่ข้อเข่าข้อเท้าบาดเจ็บ มักจะเป็นการวิ่งลงเนินหรือลงเขา นักวิทยาศาสตร์จึงได้วิจัย และพบว่า การที่ข้อเข่าบาดเจ็บได้ง่ายเวลาวิ่งลงเขานั้น เนื่องจากการทำงานของกล้ามเนื้อไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะป้องกันการแกว่งไปมาของข้อเข่า ทำให้กระดูกอ่อนที่บุผิวกระดูกต้นขา และหน้าแข้งเกิดการเสียดสีมาก ทั้งยังมีการฉีกขาดของเส้นเอ็นพังผืดบริเวณข้อเข่าได้ง่าย

การลงบันไดย่อมเกิดผลเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะทำให้ผู้ที่ข้อเข่าเสื่อมอยู่แล้ว ยิ่งเสื่อมขึ้นไปอีก เนื่องจากกระดูกอ่อนจะถูกเสียดสีจนเสื่อมเสียมากขึ้น เกิดกระดูกงอกหรือหินปูนมาแทนที่ ทำให้ผิวกระดูกภายในข้อขรุขระ และยิ่งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงมากขึ้น เนื่องจากข้อเข่าเหยียดออกหรืองอไม่เต็มที่ ในกรณีที่เกิดอาการปวดกะทันหันจนอ่อนแรงลง เกิดจากเยื่อบุผิวภายในข้อหย่อนเกินไป จึงถูกหนีบระหว่างกระดูกในข้อเข่า เกิดปฏิกิริยาตอบสนอง ทำให้หมดแรงลงทันที

จะเห็นได้ว่า การขึ้นลงบันไดโดยเฉพาะการลงบันไดนั้น มิใช่วิธีออกกำลังกายที่ดีสำหรับผู้ที่ข้อเข่าเสื่อมเพราะกำลังของกล้ามเนื้อไม่เพียงพอที่จะประคองข้อเข่าไว้ให้มั่นคงเวลาก้าวลง ถึงแม้ว่าการก้าวขึ้นบันไดมีผลเสียน้อยกว่าการก้าวลง แต่ในกรณีที่ข้อเข่าเสื่อมอยู่แล้วอาจเกิดผลเสียเช่นเดียวกับการก้าวลงบันไดด้วย จากการเสียดสีทำลายกระดูกอ่อนภายในข้อ และที่สำคัญคือ เมื่อเดินขึ้นบันไดแล้ว ย่อมต้องลงบันไดด้วย เมื่อเข้าใจกลไกของการขึ้นลงบันไดแล้ว สิ่งที่ควรปฏิบัติคือ ควรหลีกเลี่ยงการขึ้นลงบันได หรือเดินขึ้นลงบนทางลาดหรือที่ต่ำโดยไม่จำเป็น ในกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรหาผ้าพันยึดรัดข้อเข่าไว้เมื่อต้องเดินขึ้นลงบันได อาจเดินขึ้นทางบันไดแต่ลงชั้นล่างโดยใช้ลิฟต์

แน่นอน วิธีที่ดีที่สุดคือ การออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อบริเวณข้อเข่าให้แข็งแรง กล้ามเนื้อที่สำคัญคือ กล้ามเนื้อเหยียดข้อเข่าที่ด้านหน้าของต้นขา ซึ่งกระดูกสะบ้าฝังตัวอยู่ในเอ็นของกล้ามเนื้อนี้บริเวณหัวเข่า โดยเริ่มจากนั่งหรือนอนเหยียดหัวเข่าให้ตรง พยายามเกร็งกล้ามเนื้อด้านหน้าต้นขาให้กดเข่าลง เห็นกระดูกสะบ้าเคลื่อนที่ขึ้นและลงเมื่อผ่อนกล้ามเนื้อ ทำครั้งละประมาณ 5-10 ครั้งทุก 2 ชั่วโมง อาจบริหารกล้ามเนื้อด้วยวิธีนี้ในท่ายืนได้ วิธีการออกกำลังกายนี้ นอกจากช่วยทำให้ข้อเข่ามั่นคงกระชับขึ้นแล้ว ยังทำให้กระดูกอ่อนที่บุผิวกระดูกภายในข้อเข่าเสื่อมช้าลง เพราะเป็นการช่วยให้อาหาร และออกซิเจนดูดซึมเข้ากระดูกอ่อนได้เร็วขึ้น

การออกกำลังกล้ามเนื้อด้านหน้าต้นขา ยังอาจใช้ถุงทรายถ่วงที่ปลายเท้าเพื่อต้านแรงเหยียดข้อเข่าอีก โดยอาศัยหลักการเล่นกล้ามสร้างให้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ขึ้น แต่ทั้งนี้การเล่นกล้ามนั้นต้องใช้น้ำหนักมากที่สุดที่ขาจะยกได้ กล้ามเนื้อจึงจะโตและแข็งแรงกว่าปกติได้

การนั่งยองๆ เป็นอีกท่าหนึ่งที่ควรหลีกเลี่ยง แต่อาจใช้เป็นท่าทดสอบว่า ข้อเข่าติดขัดในท่างอหรือไม่ กล้ามเนื้อมีกำลังพอที่จะพยุงข้อเข่าหรือไม่ เพราะข้อเข่าที่ติดขัดย่อมนั่งยองๆ ไม่ได้ และกล้ามเนื้อที่อ่อนแอย่อมไม่สามารถลุกยืนตัวตรงจากท่านั่งยองๆ ดังกล่าวได้

ความเชื่อที่ว่า ข้อเข่าเสื่อมเพราะการนั่งพับเพียบนั้น อาจจะไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริง แต่การนั่งพับเพียบเป็นเวลานานๆ ทำให้การซึมผ่านของอาหารไปยังกระดูกอ่อนเป็นไปด้วยความลำบาก ทำให้ข้อเข่าเสื่อมได้เร็ว ทั้งนี้ชาวออสเตรเลียที่ไม่เคยนั่งพับเพียบเลยมีสถิติข้อเข่าเสื่อมมากไม่แพ้ประเทศไทย

ข้อเข่าเสื่อมจึงมีสาเหตุได้ 2 สาเหตุใหญ่ คือ การใช้ข้อเข่ามากเกินไป เช่น น้ำหนักมากไป ขึ้นลงบันไดมากไป วิ่งมากไป และการใช้ข้อเข่าน้อยเกินไป เช่น นั่งเฉยๆ เข้าเฝือกนานเกินไป ดังนั้น การปฏิบัติตนให้ถูกต้องย่อมป้องกันข้อเข่าเสื่อมได้


โดย: หมอหมู วันที่: 9 กรกฎาคม 2555 เวลา:23:28:32 น.
  


//www.fda.moph.go.th/www_fda/data_center/ifm_mod/nw/%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B9%8C__%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87_29_%E0%B8%AA.%E0%B8%84._.pdf


อย. เตือนผู้บริโภค อย่าหลงเชื่อผลิตภัณฑ์ “ลองกานอยด์” จดแจ้งเป็นเครื่องสำอางแต่โฆษณาสรรพคุณในทางยา อวดอ้างรักษาโรคข้อเสื่อม


อย. ห่วงใยผู้บริโภค เตือนอย่าหลงเชื่อผลิตภัณฑ์ครีมนวด “ลองกานอยด์” ที่เผยแพร่อวดสรรพคุณในทางยาตามสื่อ
ต่าง ๆ ว่าสามารถรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม นิ้วล็อก รูมาตอยด์ แก้ปวดตามข้อได้ ตรวจสอบพบผลิตภัณฑ์จดแจ้งเป็นเครื่องสำอางใช้นวดผิวกายเท่านั้น

เผย อย. ได้ตรวจจับยึดของกลางและดำเนินดคีไปแล้ว แต่ยังพบมีการโฆษณาในลักษณะเป็นยาอีก ซึ่งหากดื้อแพ่งยังโฆษณาอวดสรรพคุณอีก นอกจากอาจถูกปรับสูงสุดถึง 1 แสนบาทต่อครั้งแล้ว ยังจะถูกเพิกถอนทะเบียนผลิตภัณฑ์ต่อไป

ย้ำเตือนมายังผู้พิมพ์ผู้โฆษณาสื่อต่าง ๆ ให้ยุติการโฆษณาอวดสรรพคุณของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว

พร้อมแจ้งถึงนักวิจัย /สถาบันวิจัย ขอให้ช่วยตรวจสอบกรณีมีการนำผลิตภัณฑ์ไปขยายผลโฆษณาเกินจริง เพื่อมิให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลที่ไม่ตรงความจริง และเสียเงินทองจำนวนมาก หวังเพียงหายจากโรคข้อเสื่อม


นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ปัจจุบันพบการโฆษณาผลิตภัณฑ์ครีมนวด
ผิวกายภายใต้ชื่อ “ลองกานอยด์” ผ่านทางสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารแผ่นพับ ใบปลิว ใบแทรกในกล่อง ฉลากข้างกล่อง อินเทอร์เน็ต แม้กระทั่งใช้บุคคลในวงการแพทย์ หรือนักวิจัย บรรยายสรรพคุณว่าผลิตภัณฑ์นวดลองกานอยด์ที่เป็นสารสกัด จากเมล็ดลำไย สามารถช่วยรักษาผู้มีอาการข้อเสื่อม โดยเฉพาะข้อเข่าเสื่อม นั้น

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)ขอแจ้งเตือนมายังผู้บริโภค ให้ระมัดระวังอย่าได้หลงเชื่อโฆษณาสรรพคุณเกินจริงของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวตามที่มีการกล่าวอ้าง ในการป้องกันรักษาโรคข้อเสื่อมเด็ดขาด เนื่องจากผลิตภัณฑ์ลองกานอยด์จดทะเบียนเป็นเครื่องสำอางที่ใช้ทาและนวดผิว
กาย

ทั้งนี้ การที่นำมาโฆษณาอวดสรรพคุณในทางยา ถือว่าเป็นการโฆษณาสรรพคุณเกินจริงและฝ่าฝืนพระราชบัญญัติ
เครื่องสำอาง เพราะตามกฎหมายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางมีวัตถุประสงค์เพื่อความสะอาดและเพื่อความสวยงามเท่านั้น
ซึ่งหากเป็นยาต้องมีการขึ้นทะเบียนตำรับยาและขออนุญาตโฆษณาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ เจ้าหน้าที่ อย.ร่วมกับตำรวจ ปคบ. ได้เคยตรวจจับผลิตภัณฑ์ลองกานอยด์ที่อวดสรรพคุณดังกล่าว และยึดของกลาง พร้อมดำเนินคดีแล้ว แต่ก็ยังพบกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายมีการโฆษณาอีก ซึ่ง อย. จะดำเนินคดีปรับอีกโทษฐานโฆษณาขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท และหากพบยังฝ่าฝืนโฆษณาซ้ำซากอีก จะนำเรื่องเข้าคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเพิกถอนทะเบียนผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางดังกล่าวนี้ต่อไป

นพ.พิพัฒน์ เลขาธิการฯ อย. กล่าวต่อไปว่า ขอเตือนมายังผู้พิมพ์/ผู้โฆษณา สื่อต่าง ๆ ให้ยุติการโฆษณาอวดสรรพคุณผลิตภัณฑ์ลองกานอยด์ เพราะหาก อย. ตรวจพบจะถูกดำเนินคดีปรับไม่เกิน 1 แสนบาท และปรับทุกครั้งที่พบกระทำผิด

หากไม่แน่ใจว่าเป็นโฆษณาที่ถูกต้องหรือไม่ โปรดตรวจสอบก่อนตีพิมพ์ได้ที่กลุ่มควบคุมเครื่องสำอาง อย. โทรศัพท์
0 2590 7275 – 77 ในวันเวลาราชการ

นอกจากนี้ อย. ขอแจ้งมาถึงนักวิจัย / นักวิชาการ และสถาบันวิจัยต่าง ๆ ขอให้ช่วยกันตรวจสอบกรณีมีการนำผลิตภัณฑ์ใดก็ตามที่มีการวิจัยแล้วไปขยายผลโฆษณาสรรพคุณเกินจริง หลอกให้ผู้บริโภคหลงเชื่อ ดังเช่นปัญหาที่เกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์ลองกานอยด์ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้ผู้บริโภค

----------------------------------------------- กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค 29 สิงหาคม 2555 ข่าวแจก 122 / ปีงบประมาณ พ.ศ.2555 ----

โดย: หมอหมู วันที่: 31 สิงหาคม 2555 เวลา:0:48:25 น.
  


//www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=41

ไขข้อข้องใจเกี่ยวกับกลูโคซามีน (glucosamine) ในโรคข้อเสื่อม


โรคข้อเสื่อมเป็นโรคที่พบว่ามีการสึกกร่อนของกระดูกอ่อน เนื่องจากมีปริมาณของโปรตีโอไกลแคน (proteoglycans) ลดลง ทำให้ความสามารถในการรองรับการเคลื่อนไหวของกระดูกข้อต่อลดลง เกิดอาการปวดขึ้นเมื่อมีการลงน้ำหนัก หรือมีกิจกรรมบนข้อนั้นๆ จากการเปลี่ยนแปลงของกระดูกอ่อนที่พบในผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมดังกล่าวนี้ จึงทำให้เกิดแนวคิดในการนำเอากลูโคซามีนซึ่งเป็นสารตั้งต้นของการสร้างโปรตีโอไกลแคนที่เป็นองค์ประกอบในกระดูกอ่อนมาใช้เพื่อรักษาหรือชะลอการเสื่อมของข้อในโรคข้อเสื่อม

กลูโคซามีน (glucosamine) เป็นสารประกอบประเภทน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (monosaccharide) ที่ปกติถูกสร้าง และพบในร่างกายของทุกคนอยู่แล้ว กลูโคซามีนจะถูกนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นในการสร้างสารขนาดโมเลกุลใหญ่ เช่น โปรตีโอไกลแคน, ไกลโคโปรตีน (glycoprotein), ไกลโคสามิโนไกลแคน (glycosaminoglycan), กรดไฮยาลูโรนิก (hyaluronic acid) สารเหล่านี้เป็นส่วนประกอบในเนื้อเยื่อเกือบทุกชนิดของร่างกาย โดยจะพบได้มากที่กระดูกอ่อน (cartilage)ซึ่งจะอยู่ที่บริเวณส่วนปลายของกระดูกโดยเฉพาะที่ข้อต่อ กระดูกอ่อนนั้นประกอบด้วยเมทริกซ์ของเส้นใยคอลลาเจนที่มีโปรตีโอไกลแคนอยู่ภายใน โดยโปรตีโอไกลแคนเป็นสารโมเลกุลใหญ่ที่มีความสามารถในการดึงน้ำเข้ามาหาตัวเองได้ดี จึงทำให้กระดูกอ่อนมีความยืดหยุ่น และสามารถรองรับการเคลื่อนไหวของกระดูกข้อต่อได้ ซึ่งจัดเป็นบทบาทสำคัญของกลูโคซามีนในเรื่องการทำงานของข้อ นอกจากนี้กลูโคซามีนยังมีผลยับยั้งการทำงานของสารอักเสบได้หลายชนิด จึงมีผลลดการอักเสบของข้อด้วย

กลูโคซามีนที่มีจำหน่ายแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ตามการขึ้นทะเบียน คือ (1) ยาอันตราย และ (2) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันในขั้นตอนการยื่นขอขึ้นทะเบียน รวมถึงเอกสารที่จำเป็นในการขอขึ้นทะเบียน กล่าวคือ

กลูโคซามีนที่ขึ้นทะเบียนเป็นยาอันตราย มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการรักษาโรคข้อเสื่อม ซึ่งจะต้องมีเอกสารยืนยันถึงการศึกษาทางการแพทย์ที่แสดงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของสารดังกล่าว และการใช้ยาจะอยู่ภายใต้การสั่งใช้จากแพทย์เท่านั้น

ส่วนกลูโคซามีนที่ขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงใช้รับประทาน นอกเหนือจากการรับประทานอาหารหลักตามปกติ และในการขอขึ้นทะเบียนไม่จำเป็นต้องแสดงการศึกษาทางการแพทย์ประกอบ

สำหรับในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุขได้อนุญาตให้มีกลูโคซามีนชนิดที่เป็นยาอันตรายเท่านั้นที่ได้รับการขึ้นทะเบียน และจำหน่ายในประเทศได้

ทั้งยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของกลูโคซามีนมีจำหน่ายในรูปแบบของสารประกอบเกลือหลายชนิด เช่น เกลือซัลเฟต (glucosamine sulfate), เกลือไฮโดรคลอไรด์ (glucosamine hydrochloride), เกลือคลอโรไฮเดรต (glucosamine chlorohydrate หรือ N-acetylglucosamine) ซึ่งทำให้ขนาดโมเลกุลและคุณสมบัติอื่นๆ ของกลูโคซามีนมีความแตกต่างกันไป เช่น ความคงตัวเมื่อทำเป็นผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ในผลิตภัณฑ์ของกลูโคซามีนซัลเฟตยังมีการเติมโซเดียม หรือโปแตสเซียมในสูตรตำรับ เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์มีความคงตัวเพิ่มขึ้น โดยกลูโคซามีนซัลเฟตเป็นกลูโคซามีนที่ขึ้นทะเบียนเป็นยาอันตรายและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ส่วนกลูโคซามีนในรูปแบบอื่นจะขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

ด้านประสิทธิภาพของกลูโคซามีนต่อโรคข้อเสื่อม พบว่าการศึกษาทางการแพทย์ขนาดใหญ่ส่วนมากเป็นการศึกษาโดยใช้กลูโคซามีนซัลเฟต (glucosamine sulfate) ที่ขึ้นทะเบียนเป็นยาอันตราย

ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการให้ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมได้รับกลูโคซามีนซัลเฟตในขนาด 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลานาน 3 ปี ช่วยลดอาการปวด และช่วยลดการแคบของข้อได้เมื่อเปรียบเทียบกับการไม่ใช้ยา (หรือใช้ยาหลอก)

แต่การใช้กลูโคซามีนซัลเฟตในระยะสั้น เช่น 3-6 เดือน พบว่าผลการศึกษามีทั้งสองแบบ คือ ให้ผลดีในการรักษา และไม่เห็นความแตกต่างในการรักษาเมื่อเปรียบเทียบกับการไม่ใช้ยา

นอกจากนี้การศึกษาในผู้ป่วยข้อสะโพกเสื่อมก็ไม่แสดงประโยชน์เหนือกว่าการไม่ใช้ยาเช่นกัน

สำหรับกลูโคซามีนในรูปแบบอื่นนั้น พบว่ามีการศึกษาทางการแพทย์บ้าง แต่เป็นเพียงการศึกษาขนาดเล็ก จำนวนผู้ป่วยที่ใช้ศึกษาน้อย เช่น การใช้กลูโคซามีนไฮโดรคลอไรด์ ซึ่งขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม พบว่ากลูโคซามีนไฮโดรคลอไรด์ให้ประสิทธิภาพในการระงับปวดในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมได้ไม่แตกต่างจากกลูโคซามีนซัลเฟต

จากข้อมูลการศึกษาทางการแพทย์ของกลูโคซามีนดังกล่าวข้างต้น แสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพของกลูโคซามีนในโรคข้อเสื่อมนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น รูปแบบเกลือของกลูโคซามีน ตำแหน่งข้อที่เกิดการเสื่อม ขนาดยาที่ใช้ ระยะเวลาในการใช้ ซึ่งผู้บริโภค/ผู้ป่วยที่มีความประสงค์จะรับประทานกลูโคซามีน โดยเฉพาะในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สามารถหาซื้อได้เองจากร้านขายยาทั่วไป ควรศึกษาข้อมูลของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้เข้าใจ หรือปรึกษาแพทย์/เภสัชกรเพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงประโยชน์ที่จะได้รับให้มากยิ่งขึ้น เพราะนอกจากประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้กลูโคซามีนแล้ว กลูโคซามีนในทุกรูปแบบยังมีข้อควรระวังและทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้ด้วย ดังนี้

- อาการไม่พึงประสงค์ที่พบได้บ่อยจากการรับประทานกลูโคซามีน คือ คลื่นไส้ ท้องเสีย แสบท้อง ปวดท้อง ท้องอืด นอกจากนี้ยังอาจพบอาการง่วงซึม ผื่นแพ้ผิวหนัง แพ้แสง ปากคอบวม (angioedema) หรือกระตุ้นให้เกิดการจับหืดได้

- ควรระมัดระวังการแพ้ในผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้อาหารทะเล โดยเฉพาะกุ้ง ปู เพราะกลูโคซามีนที่มีจำหน่ายสังเคราะห์มาจากเปลือกของสัตว์ดังกล่าว

- ควรระมัดระวังการใช้ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยเฉพาะถ้าไม่สามารถคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ตามเป้าหมายการรักษา เพราะมีรายงานในสัตว์ทดลองว่ากลูโคซามีนทำให้การหลั่งอินซูลินลดลงได้ ถึงแม้ว่าจะยังไม่พบรายงานดังกล่าวในคนก็ตาม


บทความโดย: อาจารย์ ธนรัตน์ สรวลเสน่ห์

ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล



โดย: หมอหมู วันที่: 29 กันยายน 2555 เวลา:0:22:39 น.
  




คำชี้แจง จาก ราชวิทยาลัยออร์โธฯ เกี่ยวกับยารักษาข้อเข่าเสื่อม ..(ที่กรมบัญชีกลางสั่งห้ามเบิก)
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=08-04-2011&group=7&gblog=132

คำชี้แจง จาก ราชวิทยาลัยออร์โธฯ เกี่ยวกับยารักษาข้อเข่าเสื่อม (ที่กรมบัญชีกลางสั่งห้ามเบิก)..( ต่อ )
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=21-04-2011&group=7&gblog=134

คำชี้แจง จาก ราชวิทยาลัยออร์โธฯ เกี่ยวกับยารักษาข้อเข่าเสื่อม (ที่กรมบัญชีกลางสั่งห้ามเบิก)..(จบ?)
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=22-07-2011&group=7&gblog=146



แนวปฏิบัติ บริการ ดูแลรักษา ข้อเข่าเสื่อม พศ. ๒๕๕๓ ของราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์
//www.mediafire.com/?q6jqyvyci46b51s

คลังคุมเข้มเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล ขรก. ... กรมบัญชีกลาง ยังไม่ให้เบิกยารักษาข้อเข่าเสื่อม ???
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=15-06-2011&group=7&gblog=139

คลังไฟเขียวเบิกจ่ายยารักษาโรคข้อเข่าเสื่อมเหมือนเดิม ... ( ไม่รู้จะมีคดีพลิก อีกหรือเปล่า ??? )
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=25-06-2011&group=7&gblog=141

คลัง ส่งหนังสือด่วนถึง รพ.อนุมัติเบิกจ่ายยาข้อเสื่อมได้แบบมีเงื่อนไข
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=01-07-2011&group=7&gblog=142


L12737354 ด่วนที่สุด โรงพยาบาลรัฐและผู้ใช้บริการโปรดทราบ [สุขภาพกาย] SET50.com (10 - 3 ต.ค. 55 14:00)
//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L12737354/L12737354.html

โดย: หมอหมู วันที่: 10 ตุลาคม 2555 เวลา:16:28:15 น.
  
Learn'n'Run
https://www.facebook.com/LearnandRun/photos/a.285068351673539.1073741828.272454926268215/286829228164118/?type=1

“อย่าวิ่งมาก… เดี๋ยวเข่าเสื่อม!!!” จริงหรือ???

ผมเชื่อว่าเพื่อนๆพี่ๆที่วิ่งกันอยู่แล้ว ก็คงจะเคยได้ยินคนอื่นๆ(ที่ยังไม่ได้เริ่มวิ่ง) พูดถึงเรื่องนี้กันมาบ้างใช่มั๊ยครับ
แล้วหลายท่านที่ไม่กล้าเริ่มวิ่งออกกำลัง ก็เนื่องจากกลัวว่าเข่าจะเสื่อมนี่แหละครับ

ผมเคยลองหาข้อมูลตามที่ต่างๆดูก่อนหน้านี้ ก็พบว่ามีหลายๆที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้บ้างแล้วเหมือนกันครับ โดยอ้างอิงถึงงานวิจัย 2-3 งานหลักๆ คือ

งานวิจัยของ Eliza Chakravarty จากมหาวิทยาลัย Standford ที่ศึกษานักวิ่ง 45 คน เทียบกับกลุ่มที่ไม่วิ่ง 53 คน เป็นเวลา 18 ปี พบว่ากลุ่มนักวิ่งมีอัตราการเกิดข้อเข่าเสื่อมน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่วิ่ง (20% เทียบกับ 32%) พิมพ์ไม่ผิดครับ!!! กลุ่มนักวิ่งเกิดน้อยกว่าด้วยซ้ำ...

ส่วนอีกงานเป็นของ David Felson ซึ่งศึกษาข้อมูลในผู้เข้าร่วมวิจัย 1,279 คน พบว่าไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างการวิ่ง กับอัตราการเกิดข้อเข่าเสื่อมเช่นกัน... จริงๆมีงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเยอะมากเลยครับ ใส่หมดคงไม่ไหว...
2 งานที่เอามาให้ดูนี้คุณภาพค่อนข้างดีครับ

แต่เมื่อปี 2013 ที่ผ่านมา มีงานวิจัยอีกงานเพิ่งตีพิมพ์ครับ งานนี้ทำให้ทุกฉบับที่ผ่านมาดูเล็กไปเลย(ผมคิดว่าน่าจะยังไม่มีคนเขียนถึงนะครับ)...

Paul Williams ได้ตีพิมพ์งานวิจัยที่ทำในนักวิ่ง 74,752 คน เทียบกับคนที่ออกกำลังกายด้วยการเดิน 14,625 คน... พบว่าในคนที่วิ่งมากกว่าประมาณ 2 กม.ต่อวัน จะมีอัตราการเกิดข้อเข่าเสื่อม รวมถึงโอกาสที่จะต้องเปลี่ยนสะโพก ”ลดลง!!!”... อีกทั้งจำนวนผู้ที่มีปัญหาจากกลุ่มนักวิ่ง ก็ยังน้อยกว่ากลุ่มเดินอีกด้วยครับ... โดยผู้วิจัยพบว่าสาเหตุที่สัมพันธ์กับการเกิดข้อเข่าเสื่อม ก็คือการที่มีน้ำหนักตัวมาก แต่นักวิ่งส่วนใหญ่นั้น สัดส่วนน้ำหนักตัวจะน้อยกว่า จึงไม่ค่อยพบปัญหานี้ครับ... ส่วนนักวิ่งที่ออกกำลังกายอย่างอื่นร่วมด้วย พบว่ามีอัตราการเกิดข้อเข่าเสื่อมสูงขึ้นครับ (ไม่ได้บอกไว้ว่าออกกำลังแบบไหนครับ)

ผมคิดว่าปัจจุบันนี้ เราน่าจะสามารถสรุปเรื่องนี้ได้แล้วนะครับว่า “การวิ่งไม่ได้ทำให้ข้อเข่าเสื่อม” แถมยังช่วยป้องกันได้ด้วยซ้ำ

เมื่อมีงานวิจัยใหญ่ขนาดนี้มาอ้างอิงแล้ว ต่อไปเวลามีคนบอกว่า “วิ่งมากๆเดี๋ยวข้อเข่าเสื่อมนะ”... เพื่อนๆพี่ๆก็ print งานวิจัยอันนี้ (Link ข้างล่างอันแรกนะครับ โหลดได้ฟรีด้วย!!!) แล้วก็ยื่นให้เพื่อนของท่านเอาไปอ่านอย่างนิ่มนวลได้เลยครับ เราจะได้มีเพื่อนวิ่งเพิ่มขึ้นๆ

Run Hard and Be Nice to People
Learn’n’Run

(ปล. ขออนุญาตอธิบายเพิ่มเติมเล็กน้อยครับ เนื่องจากมีเพื่อนๆพี่ๆถามเข้ามาว่า "แล้วอย่างงี้มันเกี่ยวกับเรื่องน้ำหนักตัวมากกว่ารึเปล่า?... จากที่อธิบายไปด้านบนแล้ว ว่าผู้วิจัยพบว่าสาเหตุที่สัมพันธ์กับการเกิดข้อเข่าเสื่อม คือการที่มีน้ำหนักตัวมาก แต่นักวิ่งส่วนใหญ่น้ำหนักตัวน้อย... อันนี้เป็นข้อจำกัดของการทำวิจัยครับ เนื่องจากจะต้องใช้เวลาในการเก็บข้อมูลเป็นระยะเวลานานมาก และรูปแบบของการออกกำลังก็แตกต่างกัน ทำให้การที่จะควบคุมเรื่องน้ำหนักตลอดงานวิจัยให้เท่ากันนั้น เป็นไปได้ยากมากครับ)

“Effects of Running and Walking on Osteoarthritis and Hip Replacement Risk”
//www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/?term=Effects+of+Running+and+Walking+on+Osteoarthritis+and+Hip+Replacement+Risk

“Long distance running and knee osteoarthritis. A prospective study”
//www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/18550323

“Effect of recreational physical activities on the development of knee osteoarthritis in older adults of different weights- the Framingham Study”
//www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed?term=effect+of+recreational+physical+activities+on+the+development+of+knee+osteoarthritis+in+older+adults+of+different+weights+the+framingham+study&cmd=correctspelling

โดย: หมอหมู วันที่: 22 กรกฎาคม 2557 เวลา:14:42:42 น.
  
สมาคม ESCEO ชี้คริสตัลไลน์ กลูโคซามีน ซัลเฟต ที่ได้รับการจดสิทธิบัตร (pCGS) แตกต่างจากกลูโคซามีนชนิดอื่นๆ และควรเป็นยาพื้นฐานในการรักษาโรคข้อเสื่อม

ลีแยร์ฌ, เบลเยียม--2 ธ.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์

คณะทำงานเฉพาะกิจของสมาคม European Society for Clinical and Economic Aspects of Osteoporosis and Osteoarthritis (ESCEO) และแพทย์ผู้เชียวชาญจากทั่วโลก ได้มีมติร่วมกันในการใช้แนวทางการรักษาอย่างเป็นลำดับขั้นตอนของ ESCEO ในทางปฏิบัติและหาข้อสรุปร่วมกันในข้อมูลทั้งหมดของกลูโคซามีน เพื่อชี้ชัดถึงความแตกต่างระหว่างคริสตัลไลน์ กลูโคซามีน ซัลเฟต ที่ได้รับการจดสิทธิบัตร (pCGS) ซึ่งผ่านการรับรองทางคลินิก กับกลูโคซามีนชนิดอื่นๆที่ไม่ได้ผลในทางคลินิก



(โลโก้: //photos.prnewswire.com/prnh/20151124/290592LOGO )

(Place and date)-แม้ว่าจะมีแนวทางปฏิบัติสำหรับการรักษาโรคข้อเสื่อมที่คำนึงด้านหลักฐ านทางการศึกษาจากองค์กรต่างๆทั้งในยุโรป อเมริกา และทั่วโลกแต่ก็ยังไม่สามารถสร้างมาตรฐานการรักษาร่วมกันได้

แต่เดิมการรักษาโรคข้อเสื่อมนิยมใช้ยาระงับปวดและยาต้านการอักเสบ โดยมีพาราเซตามอลเป็นยาพื้นฐานที่ใช้บรรเทาอาการปวด แต่ก็เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้ยา ซึ่งรวมถึงผลข้างเคียงต่อทางเดินอาหารและตับ

นอกจากนี้แนวทางการรักษาเกือบทั้งหมดไม่ได้ระบุชัดเจนถึงความแตกต่างระหว่าง กลูโคซามีนที่ได้รับการพิสูจน์ทางคลินิก (จากเกณฑ์ที่มีหลักฐานการศึกษารองรับและ Cochrane Review) กับกลูโคซามีนที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ทางคลินิก ยกเว้นแนวทางการรักษาอย่างเป็นลำดับขั้นตอนของ ESCEO ซึ่งระบุถึงความแตกต่างไว้อย่างชัดเจน จึงก่อให้เกิดความไม่สอดคล้องในแนวทางการรักษาโรคข้อเสือม อีกทั้งทำให้เกิดความสับสนในการปฏิบัติด้วย

แนวทางการรักษาอย่างเป็นขั้นตอนของ ESCEO นำเสนอทางเลือกใหม่ ด้วยการใช้ยารักษาโรคข้อเข่าเสื่อมที่ออกฤทธิ์ช้า (SYSADOAs) ซึ่งมีคริสตัลไลน์ กลูโคซามีน ซัลเฟต ที่ได้รับการจดสิทธิบัตร(pCGS) เป็นยาพื้นฐาน และเสริมด้วยยาพาราเซตามอลเพื่อระงับปวดตามความจำเป็น ศาสตราจารย์ ฌอง-อีฟ รีจินส์เตอร์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานของ ESCEO กล่าวว่า "แนวทางของ ESCEO แนะนำให้ใช้ยา SYSADOAs โดยเฉพาะคริสตัลไลน์ กลูโคซามีน ซัลเฟตที่ได้รับการจดสิทธิบัตร (pCGS) และคอนดรอยติน ซัลเฟต ที่จดทะเบียนเป็นยา ให้เป็นยาพื้นฐานในการรักษาโรคข้อเสื่อม ปัจจุบันเห็นได้ชัดว่ายาต่างๆไม่ได้มีประสิทธิภาพเหมือนกันทั้งหมด และความแตกต่างระหว่างแนวทางการรักษาทั้งหลายสะท้อนให้เห็นถึงความจริงที่ว่ า แนวทางเหล่านี้ไม่ได้พิจารณาการรักษาจากยาตัวเดียวกัน"

"สาระสำคัญประการแรกที่ได้จากการประชุมคือ แนวทางการรักษาทั้งหมดล้วนเห็นตรงกันว่ากลูโคซามีน ไฮโดรคลอไรด์ไม่ได้ผลในการรักษา ตัวยาดังกล่าวไม่เคยได้รับการพิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพในการทดลองทางคลินิก และไม่เคยมีการวิจัยใดๆที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการรักษาของกลูโคซามี น ไฮโดรคลอไรด์แต่อย่างใด"

ศาสตราจารย์ รีจินส์เตอร์ กล่าวเสริมว่า "ในส่วนของกลูโคซามีน ซัลเฟตที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน พบว่ายังมีความแตกต่างในแต่ละสูตรตำรับ โดยสูตรตำรับยาส่วนใหญ่มักไม่คงตัวและไม่ควรนำไปใช้เพราะถือว่าเป็นยาปลอม ซึ่งอ้างว่าเป็นสูตรตำรับที่มีความ"คงตัว" แต่เป็นเพียงการผสมกลูโคซามีน ไฮโดรคลอไรด์ และโซเดียม ซัลเฟต เข้าด้วยกันเท่านั้นซึ่งไม่มีความคงตัวแต่อย่างใด เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพ โมเลกุลจะต้องถูกทำให้คงตัวในรูปของคริสตัลไลน์ กลูโคซามีน ซัลเฟต ที่ได้รับการจดสิทธิบัตร(pCGS) โมเลกุลที่ถูกทำให้คงตัวเท่านั้นที่สามารถทำให้มีระดับความเข้มข้นของยาเพีย งพอที่จะส่งผลในการรักษาทั้งในกระแสเลือดและน้ำเลี้ยงข้อ และมีข้อมูลการทดลองที่แสดงถึงประสิทธิภาพอย่างชัดเจน ในมุมมองของการดำเนินไปตามธรรมชาติของโรคข้อเสื่อม การใช้สั่งใช้ยากลูโคซามีนที่ไม่มีความคงตัว จากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามหลักจรรยาบรรณ เพราะเป็นที่ทราบดีว่าในท้ายที่สุดผู้ป่วยจะไม่ได้รับประโยชน์อันใดจากผลการ รักษานั้นเลย"

สรุป

การประชุมครั้งนี้ก่อให้เกิดความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการเห็นพ้องร่วมกันถึง ความแตกต่างของแนวทางในการรักษา โดยคณะทำงานเฉพาะกิจต่างเห็นพ้องร่วมกันในความแตกต่างระหว่างคริสตัลไลน์ กลูโคซามีน ซัลเฟต ที่ได้รับการจดสิทธิบัตร (pCGS) ซึ่งได้รับการพิสูจน์ทางคลินิกและจดทะเบียนเป็นยา กับกลูโคซามีนประเภทอื่นๆ

หลักฐานทางคลินิกของคริสตัลไลน์ กลูโคซามีน ซัลเฟต ที่ได้รับการจดสิทธิบัตร

- มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าในแง่ของการลดอาการปวดและการทำงานของเข่า

- ช่วยชะลอการดำเนินไปของโรค

ด้วยเหตุนี้ คริสตัลไลน์ กลูโคซามีน ซัลเฟต ที่ได้รับการจดสิทธิบัตร (pCGS) จึงเหนือกว่ากลูโคซามีนประเภทอื่นๆที่วางจำหน่ายในตลาด โดยเป็นกลูโคซามีนเพียงชนิดเดียวที่มีความคงตัวและมีความน่าเชื่อถือทางการร ักษา โดยส่งผลให้มีระดับความเข้มข้นของกลุโคซามีนที่ให้ผลในการรักษาทั้งในกระแสเ ลือดและและในข้อ ดังนั้นเมื่อจะสั่งยาพื้นฐานในการรักษาโรคข้อเสื่อม แพทย์ควรพิจารณาคริสตัลไลน์ กลูโคซามีน ซัลเฟต ที่ได้รับการจดสิทธิบัตร (pCGS) ซึ่งถือได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

แหล่งข่าว: ESCEO
โดย: หมอหมู วันที่: 18 ธันวาคม 2558 เวลา:14:06:37 น.
  
ผ่าตัดหัวเข่าผ่านกล้องเพื่อรักษาข้อเสื่อม
21 พฤษภาคม 2560
//visitdrsant.blogspot.com/2017/05/blog-post_21.html

อายุ 53 ปี ไม่เคยประสบอุบัติเหตุที่หัวเข่า แต่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม หมอทำ MRI แล้วพบว่ามี meniscal tear ตอนนี้ทั้งฉีดสะเตียรอยด์แล้ว และฉีดจาระบีแล้ว กินกลูโคซามีนแล้ว กินยาอาร์คอกเซียแทบไม่เคยขาด อาการก็ยังมีอยู่ หมอออร์โธปิดิกที่รพ.... แนะนำให้ทำผ่าตัดผ่านกล้องเพื่อล้างทำความสะอาดรักษาข้อเข่าเสื่อมและซ่อมแผ่นกระดูกอ่อนรองหน้าข้อ ซึ่งท่านบอกว่าเป็นสะเต็พที่ควรเลือกทำก่อนที่จะไปผ่าตัดใส่ข้อเข่าเทียม เพราะอายุยังน้อย อยากถามคุณหมอสันต์ว่ามีหลักฐานวิจัยใดๆว่าการผ่าตัดผ่านกล้องในกรณีนี้ดีหรือไม่ดีอย่างไร

........................................

ตอบครับ

1. ถามว่าเป็นข้อเข่าเสื่อมที่มีแผ่นรองข้อเข่าฉีกขาด (meniscus tear) จะไปผ่าตัดผ่านกล้อง (arthroscopic surgery) ผลวิจัยปัจจุบันว่าจะดีไหม ถ้าจะให้ตอบตามผลวิจัยที่นับถึงปัจจุบัน ก็ต้องตอบว่า ไม่ดีครับ

คำตอบของผมตอบตามผลวิจัยในเรื่องนี้ที่ค่อยๆมีออกมาเรื่อยๆนับตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งมีผู้วิจัยแบบเมตาอานาไลซีสไว้ [1-3] แต่หลักฐานระดับสูงที่ตอบได้อย่างเด็ดขาดว่าการผ่าตัดผ่านกล้องได้ผลไม่ดีไปกว่าการออกกำลังกายโดยไม่ผ่าตัดคือการวิจัยแบบสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบซึ่งทำที่นอร์เวย์และตีพิมพ์ในวารสาร BMJ เมื่อปีกลาย [4] ในงานวิจัยนี้เขาเอาผู้ป่วยอายุ 35-59 ปีที่ได้รับการวินิจฉัยจาก MRI ว่ามีการฉีกขาดของแผ่นรองข้อเข่า (medial meniscal tear) จากการเสื่อมสภาพของข้อมา 140 คน มาสุ่มตัวอย่างแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้ผ่าตัดผ่านกล้อง อีกกลุ่มหนึ่งให้ออกกำลังกายอย่างเดียว แล้วตามดู 2 ปีด้วยทั้งคะแนนวัดผลข้อเข่า (KOOS4) ทั้งด้านการใช้งาน และด้านคุณภาพชีวิต พบว่าทั้งสองกลุ่มได้คะแนนดีพอๆกัน และพบว่ากลุ่มออกกำลังกายมีกล้ามเนื้อขาแข็งแรงมากกว่ากลุ่มที่ทำผ่าตัดผ่านกล้องเสียอีก

คำแนะนำว่าไม่ควรรีบทำผ่าตัดหัวเข่าผ่านกล้องนี้ หมอผู้เชี่ยวชาญเองก็แบ่งเป็นสองพวก มีกลุ่มผู้เชี่ยวชาญโรคข้อเข่าเสื่อมบางกลุ่มได้ออกคำแนะนำเวชปฏิบัติ (Clinical Practice Guidelines) ในเรื่องนี้โดยตีพิมพ์ไว้ในวารสาร BMJ ฉบับเดือนพค. 2017 [5] ซึ่งมีสาระสำคัญโต้งๆว่า

"เราแนะนำอย่างแรงว่าอย่าใช้วิธีผ่าตัดผ่านกล้องรักษาคนไข้ข้อเข่าเสื่อมเกือบทุกคน (รวมทั้งที่มีแผ่นรองข้อเข่าฉีกขาด) เพราะการทบทวนหลักฐานถึงปัจจุบันนี้พบว่ามันไม่ได้ผล"

เพื่อประกอบความเข้าใจในเรื่องนี้ ผมขอแจงเพิ่มเติมนิดหนึ่ง คือคนไข้ข้อเข่าเสื่อมนี้แยกได้เป็นสองกลุ่มนะ

กลุ่มแรก คือกลุ่มที่เป็นโรคข้อเสื่อม (osteoarthritis) เหน่งๆจ๋าๆ โดยไม่มีการเสียหายของแผ่นรองข้อเข้า (meniscus) ซึ่งในกลุ่มนี้ศัลยแพทย์กระดูกส่วนใหญ่ได้เลิกใช้การผ่าตัตผ่านกล้องล้างทำความสะอาดไปนานแล้ว เพราะมันไม่ได้ผล สถาบันเพื่อความเป็นเลิศทางสุขภาพแห่งชาติของอังกฤษ (NICE) ได้ออกคำแนะนำว่าไม่ควรทำการผ่าตัดผ่านกล้องมานานแล้วตั้งแต่ปี 2007 [6] แม้แต่วิทยาลัยศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกอเมริกัน (AAOS) ก็ยังแนะนำเมื่อเร็วๆนี้ว่าไม่ควรทำผ่าตัดผ่านกล้องในคนไข้ข้อเข่าเสื่อมที่โรคเป็นมากแล้ว

กลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่เป็นข้อเสื่อมแบบมีการฉีกขาดของแผ่นรองข้อเข่า (medial meniscal tear) อยู่ด้วย กลุ่มนี้วงการศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกทั่วโลกถือว่าเป็นกรณีที่ควรรักษาด้วยการผ่าตัดส่องกล้องเข้าไปซ่อมแผ่นรองข้อเข่า จนกระทั่งมีการทะยอยตีพิมพ์งานวิจัยออกมาว่าทำแล้วมันไม่ได้ผลจนมีบางกลุ่มบางองค์กรออกคำแนะนำว่าไม่ควรทำดังที่ผมเล่าแล้วข้างต้น ซึ่งเป็นคำแนะนำที่ขัดแย้งกับคำแนะนำที่เชื่อถือกันมาแต่เดิม

พูดง่ายๆว่า ณ ขณะนี้ความเห็นของหมอทั่วโลกแตกเป็นสองฝ่าย คุณในฐานะคนไข้ก็ต้องใช้ดุลพินิจเอาเองว่าจะเลือกเชื่อหมอฝ่ายไหน ระหว่างฝ่ายที่บอกว่าทำเถอะเพราะมันได้ผลดี กับฝ่ายที่บอกว่าอย่าทำเลยเพราะมันไม่ได้ผล ชีวิตการเป็นคนไข้ในยุคการแพทย์แบบอิงหลักฐานก็เป็นอย่างนี้แหละครับ เพราะที่เรียกว่าหลักฐานทางการแพทย์นั้นมันไม่ใช่สัจจธรรม มันเป็นเพียงสถิติ พอมีการตีพิมพ์สถิติใหม่ออกมาพวกหัวใหม่ก็เฮโลทิ้งวิธีนี้ไปหาวิธีโน้นแต่พวกหัวเก่าก็ยังนิ่งอยู่กับวิธีเดิมไปอีกสิบปียี่สิบปี ถ้าคนไข้ไปหาหมอพวกโน้นทีพวกนี้ทีก็จะได้คำแนะนำสองแบบ แล้วก็เป็นงงทำตัวไม่ถูก

เนื่องจากหมอสันต์เป็นหมอประจำครอบครัว ไม่ใช่ศัลยแพทย์กระดูก จึงขอแนะนำคุณจากมุมมองการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมว่าควรแก้ปัญหาไปทีละขั้นทีละตอน โดยอย่าเพิ่งรีบทำผ่าตัดตอนนี้เลย แต่ให้ไปขยันออกกำลังกายฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบๆข้อเข่าสักหลายๆเดือนหรือหลายๆปีก่อนจนได้ชื่อว่าได้ออกกำลังกายเต็มที่แล้วก่อน ถ้ามันทุเลาลงและใช้ชีวิตปกติได้ก็จบแค่นั้น แต่ถ้ามันยังมีอาการสาหัส เดี๋ยวป๊อกๆ เดี๋ยวกึกๆ จนชีวิตเดินหน้าลำบาก ผมว่าถึงจุดนั้นไหนๆก็ไหนๆคือหมดทางไปแล้ว การลองผ่าตัดผ่านกล้องก็เป็นทางเลือกที่ควรทำนะครับ โดยที่เมื่อตัดสินใจทำแล้วก็ต้องทำใจด้วย..ว่ามันจะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ต้องโอลูกเดียว

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

1. Khan M, Evaniew N, Bedi A, Ayeni OR, Bhandari M. Arthroscopic surgery for degenerative tears of the meniscus: a systematic review and meta-analysis. CMAJ2014;186:1057-64. doi:10.1503/cmaj.140433 pmid:25157057.
2. Thorlund JB, Juhl CB, Roos EM, Lohmander LS. Arthroscopic surgery for degenerative knee: systematic review and meta-analysis of benefits and harms. BMJ2015;350:h2747. doi:10.1136/bmj.h2747 pmid:26080045.
3. Brignardello-Peterson R, Guyatt GH, Schandelmaier S, et al. Knee arthroscopy versus conservative management in patients with degenerative knee disease: a systematic review. BMJ Open 2017;7:e016114. doi:doi:10.1136/bmjopen-2017-161114
4. Kise NJ, Risberg MA, Stensrud S, Ranstam J, Engebretsen L, Roos EM. Exercise therapy versus arthroscopic partial meniscectomy for degenerative meniscal tear in middle aged patients: randomised controlled trial with two year follow-up. BMJ 2016;354:i3740
5. Siemieniuk RAC, Harris IA, Agoritsas T, et al. Arthroscopic surgery for degenerative knee arthritis and meniscal tears: a clinical practice guideline. BMJ 2017;257:j1982. doi:10.1136/bmj.j1982
6. National Institute for Health and Clinical Excellence. Arthroscopic knee washout, with or without debridement, for the treatment of osteoarthritis (Interventional procedures guidance IPG230). 2007. //www.nice.org.uk/guidance/ipg230.
โดย: หมอหมู วันที่: 22 พฤษภาคม 2560 เวลา:13:14:21 น.
  
วิ่งเยอะๆ แล้วเข่าพังจริงไหม?
by ภัทรศยา เชาว์รัศมีกุลPosted on May 28, 2017
https://www.greenery.org/articles/running-fact/

เรื่องนี้ตอบได้เลยตั้งแต่บรรทัดนี้ว่าไม่จริง เพราะคนส่วนใหญ่เข้าใจผิด คิดว่าวิ่งแล้วจะทำให้เข่าพังตอนแก่ ทั้งที่จริง มันยังมีปัจจัยอื่นอีกล้านแปดที่ส่งผลต่อข้อเข่าของคนเรา และการทำกิจกรรมใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเล่นกีฬาที่ดูไม่มีพิษมีภัยอย่างกอล์ฟ เรื่อยไปจนถึงกีฬาที่มีการปะทะสูงอย่างรักบี้หรือฟุตบอล ก็ล้วนมีความเสี่ยงแทบทั้งสิ้นหากว่าคุณไม่ระวัง

ที่ผ่านมาการวิ่งมักถูกมองเป็นผู้ร้ายทำลายเข่า ในขณะที่การว่ายหรือปั่นจักรยานดูจะมีภาษีดีกว่าตรงที่แรงกระแทก หรือแรงกระทำต่อข้อเข่าน้อยกว่า เรื่องนี้เราไม่เถียงเพราะขณะวิ่งน้ำหนักตัวที่จะกระทำต่อร่างกายจะมากกว่าปกติถึง 8-10 เท่า นั่นหมายความว่าหากคุณหนัก 60 กิโลกรัม แรงกระแทกจะสูงถึง 480-600 กิโลกรัม ฟังดูน่ากลัว แต่กลไกในร่างกายคนเรามีระบบที่เซตไว้สำหรับการซ่อมแซมและเสริมสร้างส่วนที่ชำรุด เพียงแต่คุณต้องให้เวลา เช่น กำหนดวันพักหรือไม่หักโหม เพื่อให้ร่างกายเยียวยาตนเอง และเสริมสร้างความแข็งแรงอย่างค่อยเป็นค่อยไป

นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาที่ออกมาหักล้างความคิดที่ว่าวิ่งมากๆ แล้วเข่าพัง เมื่อผลการศึกษาของชาวออสเตรียที่ตีพิมพ์ลง Skeletal Radiology ระบุว่าหลังพวกเขาได้ MRI นักวิ่งจำนวน 7 คน ก่อนและหลังการวิ่งมาราธอนปี 1997 (ห่างกัน 10 ปี) พบว่าข้อเข่าของนักวิ่งจำนวน 6 คนไม่มีความเสียหายใหม่เกิดขึ้น ในขณะที่นักวิ่งอีกคนที่ซึ่งเลิกวิ่งไปก่อนหน้ามีปัญหาภายในข้อเข่าหลายจุด ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาและคำแนะนำของคุณหมอหลายท่านที่ระบุว่าการวิ่งไม่ได้ทำให้เข่าเสื่อมเร็วขึ้น หากแต่ป้องกันเข่าไม่ให้เสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร หลังพบว่าแรงกดในข้อเข่าที่กระทำอย่างต่อเนื่อง และเป็นจังหวะช่วยส่งน้ำหล่อเลี้ยงภายในข้อ ซึ่งเป็นสารอาหารจำเป็นและอ๊อกซิเจนที่ใช้ในการสร้างและซ่อมแซมส่วนต่างๆ

ถึงไม่วิ่งก็เข่าพังได้
รวมถึงผลการศึกษาระยาวของ Standford University หลังเฝ้าติดตามกลุ่มนักวิ่งจำนวน 45 คนและกลุ่มที่ไม่วิ่งจำนวน 53 คน ตั้งแต่ปี 1984 จนได้ข้อสรุปที่ตีพิมพ์ลง American Journal of Preventive Medicine ปี 2008 ว่าหลังผ่านไป 18 ปี มีนักวิ่งเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ที่ข้อเข่าเสื่อม ในขณะที่ปัญหาเดียวกันนี้เกิดกับกลุ่มคนไม่วิ่ง 32 เปอร์เซ็นต์ เรื่องนี้บอกเราได้ว่าต่อให้คุณไม่ได้วิ่งก็มีแนวโน้มที่ข้อเข่าจะพัง แต่การวิ่งสามารถทำให้ข้อเข่าของคุณแข็งแรงขึ้นได้ ตราบใดที่คุณไม่ทำร้ายตัวเองด้วยวิธีที่เราจะพูดถึงต่อจากนี้

ปัจจัยที่ทำให้เข่าพัง
คุณต้องอย่าลืมว่าร่างกายคนเราเหมือนรถยนต์ ใช้ไปนานๆ ย่อมเสื่อมลงตามกาลเวลา อายุจึงเป็นปัจจัยสำคัญ ยิ่งคุณอายุมากขึ้น ระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานต่ำลง ส่งผลให้รอบเอวขยายแม้คุณจะออกกำลังกายและกินเท่าเดิม ด้วยน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น ข้อเข่าก็ต้องรับน้ำหนักสูงขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหมอถึงไม่แนะนำให้คนอ้วนออกกำลังกายด้วยการวิ่งหรือกระโดด แต่ควรเดินเร็วให้ไขมันอยู่ในระดับปลอดภัยก่อน

อีกหนึ่งปัจจัยคือสุขภาพเข่าก่อนวิ่งของคุณเป็นอย่างไร มีส่วนไหนที่เคยฉีกขาดหรือไม่ กระดูกอ่อนผิวข้อซึ่งทำหน้าที่รับแรงกระแทกระหว่างกระดูกต้นขาและกระดูกแข้งยังใช้การได้ดีอยู่ไหม กล้ามเนื้อต้นขาหน้าและต้นขาหลังสมดุลกันหรือเปล่า และพร้อมที่จะเผชิญศึกหนักอย่างการวิ่งมาราธอนแล้วหรือยัง (ข้อผิดพลาดของนักวิ่งหน้าใหม่คือใจร้อน) รูปเท้าของคุณเหมาะกับการวิ่งแบบไหน ควรใส่รองเท้าประเภทใดจึงจะเหมาะสม แล้วเทคนิคการวิ่งของคุณละ เข้าขั้นใช้ได้หรือยัง ได้วอร์มกล้ามเนื้อหรือยืดเส้นหลังวิ่งทุกครั้งไหม เหล่านี้เป็นเรื่องที่คุณควรหาคำตอบและลงมือปฏิบัติ เพราะอย่างน้อยสิ่งที่เรากล่าวแนะนำไปข้างต้นยังเป็นสิ่งที่คุณพอควบคุมได้ เพราะมีผลการศึกษาหลายชิ้นยืนยันว่าโรคข้อเสื่อมถ่ายทอดทางพันธุกรรม ความเสี่ยงจึงมีมากขึ้นในหากคนในครอบครัวของคุณมีภาวะข้อเสื่อม

วิ่งอย่างเป็นสุขทำได้ไม่ยาก
ถ้าคุณเป็นนักวิ่งมือใหม่ ควรฝึกวิ่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป ช่วงอาจเริ่มวิ่ง 15-20 นาที แล้วค่อยเพิ่มระยะเวลา
ในหนึ่งสัปดาห์แทนที่จะวิ่งหนักทุกวัน ให้แบ่งเป็นวันวิ่งเบาๆ ถึงปานกลาง ควรมีวันพักให้ทำกิจกรรมอื่น และอย่าลืมเสริมสร้างกล้ามเนื้อขาและสะโพก รวมถึงแกนกลางลำตัวด้วยเวทเทรนนิ่ง ลงทุนกับรองเท้าวิ่งดีๆ ก่อนเปลี่ยนคู่ใหม่เมื่อใช้งานครบ 500 กิโลเมตร และที่สำคัญเราอยากให้คุณวิ่งและฟังเสียงร่างกายไปด้วยพร้อมๆ กัน หากวิ่งแล้วเจ็บหรือปวด แนะนำว่าคุณควรพัก 2 สัปดาห์เพื่อรอดูว่าอาการ หากแค่กล้ามเนื้อระบมก็ไม่ควรนานเกิน 3 วัน หากเกินกว่านั้นควรปรึกษาแพทย์

โดย: หมอหมู วันที่: 30 พฤษภาคม 2560 เวลา:20:30:03 น.
  
อายุรศาสตร์ ง่ายนิดเดียว
https://www.facebook.com/medicine4layman/photos/a.1454742078175154.1073741829.1452805065035522/1935598710089486/?type=3&theater

อ่านมาเล่าให้ฟัง ยารักษาเข่าเสื่อมสามตัว glucosamine, chondroitin และ hyarulonic acid ติดค้างมานานแล้ว ตกลงข้อมูลว่าไง

🍖🍖 รู้จักยาสามตัวนี้คร่าวๆก่อน🍖🍖
glucosamine กับ chondroitin เป็นยากินหวังผลไปเพิ่มประสิทธิภาพและการสร้างกระดูกอ่อน เนื่องจากโรคข้อเสื่อมนั้นอวัยวะสำคัญที่ถูกทำลายคือกระดูกอ่อน สารทั้งสองตัวนี้สกัดมาจากสัตว์ glucosamine มาจากเปลือกแข็งสัตว์ทะเล ส่วน chondroitin มาจากกระดูกอ่อนของสัตว์ แต่ไม่ต้องกังวลได้ผ่านกรรมวิธีมาจนรับรองว่าใช้ได้แล้ว
สำหรับ hyaluronic acid จะเหมือนสารกันชนและหล่อลื่นในข้อ ในกลุ่มข้อเสื่อมสารนี้จะลดลง เป็นยาฉีดเข้าข้อ ยาตัวนี้มีความหลากหลายมากและผลการรักษาก็ขึ้นกับชนิดของยา เช่น มวลโมเลกุลมากหรือน้อย เกลือที่มาผสมกับ hyaluronic acid ที่ส่งผลต่อการแตกตัว ความคงรูป ก็ทำให้ผลการรักษาต่างกัน

🍟🍟เราใช้ยาทั้งสามตัวนี้เพื่ออะไร🍟🍟
แน่ละก็เพื่อทดแทนความเสื่อม เพื่อหวังผลสองประการคือนิยมใช้วัดผลคือ การลดปวด และสมรรถภาพข้อที่ดีขึ้นคือความสามารถในการเคลื่อนที่ ส่วน hyaluronic acid จะหวังผลลดปริมาณการผ่าตัดรักษาข้อเสื่อมโดยเฉพาะข้อเข่าด้วย
เมื่อมันทำหน้าที่เป็นยา ก็ต้องมีการศึกษาที่ละเอียดบอกถึงประโยชน์ ผลเสีย ข้อบ่งใช้ ข้อควรระวังที่ชัดเจน มีการศึกษามากมายทั้งสังเกตเอา ทดลองทดสอบ รวบรวมการศึกษา ที่ผมรวบรวมและทบทวนมานี้เป็นระดับการรวบรวมการศึกษาและแนวทางการรักษา โดยไปค้นเสริมการศึกษาย่อยๆที่น่าสนใจ

🍳🍳มีคำแนะนำที่เป็นแนวทางจากสมาคมแพทย์ต่างๆหรือไม่🍳🍳
ข้อดีสำหรับยายุคนี้คือหากมีการศึกษาก็จะบอกได้ว่าหลักฐานเป็นอย่างไร แข็งแรงแน่นหนาหรืออ่อนยวบ เพื่อมาประกอบคำแนะนำ หลายๆแนวทางที่ผมค้นมาเป็น backbone ยึดหลักในการอ่านและค้นต่อคือ คำแนะนำของ american colleges of rheumatology, american associations of orthopedics surgery, NICE UK guidelines ปรากฏว่าแนวทางออกมาคล้ายๆกัน รวมทั้งการรวบรวมการศึกษาแบบ systematic review อีกสามสี่อันที่จะบันทึกไว้ตอนท้าย ข้อมูลไปในทางเดียวกันทั้งสิ้น (ความน่าเชื่อถือสูง ทั้งตรงกันและแม่นยำ)

🌮🌮 glucosamine และ chondroitin ผลเป็นอย่างไร🌮🌮
หลักฐานทั้งหมดมาจากหลักฐานชั้นดีทั้งสิ้นว่า ไม่แนะนำ การใช้ยาทั้งสองในการรักษาผู้ป่วยข้อเสื่อมที่มีอาการ เพราะจากการทบทวนทั้งหมดพบว่าประสิทธิภาพในการลดปวด และประสิทธิภาพการใช้งานของข้อ สำหรับglucosamine ไม่ได้ต่างจากยาหลอกและการรักษามาตรฐานตามปกติ (ทั้ง glucosamine sulphate และ glucosamine hydrochloride)
ส่วน chondroitin มีหลักฐานเช่นกันว่าสำหรับอาการปวดนั้น ลดได้มากกว่ายาหลอกก็จริงแต่ว่าไม่มีนัยสำคัญทั้งทางคลินิกและทางสถิติ ส่วนประสิทธิภาพข้อนั้น ไม่ได้ดีกว่ายาหลอกเลย

แนวทางทั้งหมดจึงไม่แนะนำการใช้ยาทั้งสองชนิดนี้ แม้โทษจะไม่มีชัดเจน แต่ประโยชน์ก็ไม่ชัดเจนเช่นกันมีแนวโน้มไปทางไม่ต่างจากยาหลอกด้วย หากเทียบกับการรักษาอื่นๆมาตรฐานเช่นการลดน้ำหนัก การทำกายภาพ หรือยาแก้ปวดพาราเซตามอล การรักษามาตรฐานให้ผลการรักษาที่ดี ราคาไม่แพง ทรงประสิทธิภาพกว่า

🍜🍜แล้วยาฉีดเข้าข้อ hyaluronic acid จะดีกว่าไหม🍜🍜
หลักฐานทั้งหมดก็มาจากข้อมูลที่ดีเชื่อถือได้ดีเช่นกันว่า ไม่แนะนำ การใช้ยาฉีดเข้าข้อเพื่อรักษาอาการปวดและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานข้อ แต่...ตรงนี้เสียงจะแตกเล็กน้อย ไม่เป็นเสียงเดียวกัน เพราะจากการศึกษาแม้ภาพรวมจะดูประโยชน์ไม่มาก คือลดปวดได้จริงและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานข้อได้เพิ่มขึ้น หากไปเทียบกับการรักษามาตรฐานหรือยาหลอก แต่ว่าประโยชน์ที่ได้รับนั้น มันน้อยเกินกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ (Minimal Clinically Important Improvement) ที่จะบอกว่าส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตโดยรวม โดย hyaluronic ชนิดโมเลกุลหนักจะให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า

🍦🍦แล้วมีที่ใช้บ้างไหม🍦🍦
สมาคมโรครูมาตอยด์ หรือ หลายๆวารสารที่มีความน่าเชื่อถือสูง รวมทั้งมีการศึกษาตีพิมพ์ในจดหมายเหตุการแพทย์ของไทยด้วยว่า มันก็ยังพอมีที่ใช้ เพราะการศึกษากลุ่มย่อยบางกลุ่มก็สามารถลดปวดได้ดี และชะลอการผ่าตัดได้ (เช่นผู้ที่มีโรคร่วมมากๆ มีข้อห้ามการใช้ยาต้านการอักเสบ) ลดการใช้ยาตัวอื่นที่มีผลข้างเคียงสูงได้ อันนี้คือ hyaluronic นะ ส่วนยากินนั้นค่อนข้างชัดและตรงกันว่าไม่เกิดประโยชน์
คำแนะนำของสมาคมโรครูมาติซั่มของอเมริกา แนะนำใช้ได้หากให้การรักษาทางกายภาพแล้วและให้ยาแก้ปวดลดการอักเสบเต็มขนาดแล้ว อาจจะ..ใช้คำว่าอาจจะ..ใช้ยาฉีดก่อนที่จะไปสู่ขั้นตอนการรักษาต่อไปคือการผ่าตัด

---&& อันนี้ส่วนตัวนะ ผมคิดว่าอาจจะเป็นการรักษาเพื่อชะลอการผ่าตัดเท่านั้น (เพราะน่าจะถึงขั้นต้องผ่าแล้วล่ะ) ผลระยะยาวและประสิทธิภาพโดยรวมไม่น่าจะชนะการผ่าตัดได้ แต่ว่าบางคนก็โรคร่วมมาก หรือรอคิวผ่าตัดในการปรับร่างกาย ยาตัวนี้ก็อาจมีที่ใช้ โดยคำนึงถึงราคาด้วยนะ&&--

🍞🍞ผลเสียล่ะ🍞🍞

การฉีดยาอาจเกิดการติดเชื้อหากใช้ไม่ระวัง หรืออาจมีการเจ็บและอักเสบหลังฉีดยาได้ pseudoseptic reaction ได้ และราคาที่ไม่ถูกเอาเสียเลย ต้องฉีดต่อเนื่องกันหลายครั้งหลายเข็มในหนึ่งการรักษา
ส่วนข้อสะโพกยังไม่มีการศึกษาที่ยืนยันได้ชัดเจนทั้งประโยชน์และโทษเหมือนข้อเข่านะครับ

สรุป...ปรับชีวิต...กายภาพ...ยาแก้ปวดผลข้างเคียงต่ำ...ยาต้านการอักเสบ..."อาจ"เลือกใช้ยาฉีดเข้าข้อ...ผ่าตัดรักษา น่าจะเป็นการดูแลรักษาโรคข้อเสื่อมที่ดี โดยเฉพาะข้อเข่า

อ้อ...อย่าไอมากนัก เพราะ ไอมากจะเจ็บเข่า

ที่มา
-AHRQ april 2009
-GAIT trial
-Clin Orthop Relat Res (2014);472:2028-34
-AAOS recommendation 2009
-ACR positional statement 2014
-Correspondence in NEJM 2015;372:2569-70 ...เถียงกันสนุกดี
-NICE guidelines 2014
-OARSI recommendation in osteoartritis & cartilage 2014;22:363-88
-J Med Assoc Thai 2007 Sep;90(9)
-Medscape review 2013, June 19

ข้อเข่าเสื่อม https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=29-05-2008&group=5&gblog=15
ข้อเข่าเสื่อม น้ำไขข้อเทียม https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=29-05-2008&group=5&gblog=16

๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ ขยายเวลาให้ข้าราชการ เบิกค่ายากลูโคซามีน ได้ ( คดีพลิกอีกแล้วครับท่าน ) https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=26-12-2012&group=7&gblog=171
ขรก.เบิกกลูโคซามีนได้แล้ว หลังศาลปกครองมีคำสั่งเพิกถอนเกณฑ์ ก.คลัง https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=22-05-2015&group=7&gblog=187
คลังสั่งถอน “กลูโคซามีนซัลเฟต” จากระบบเบิกค่ายา ขรก. ..ห้ามเบิกตั้งแต่ ๑ พย. ๕๕ https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=10-10-2012&group=7&gblog=161
คำชี้แจง จาก ราชวิทยาลัยออร์โธฯ เกี่ยวกับยารักษาข้อเข่าเสื่อม (ที่กรมบัญชีกลางสั่งห้ามเบิก) ttp://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=08-04-2011&group=7&gblog=132
คำชี้แจง จาก ราชวิทยาลัยออร์โธฯ เกี่ยวกับยารักษาข้อเข่าเสื่อม (ที่กรมบัญชีกลางสั่งห้ามเบิก)..( ต่อ ) https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=21-04-2011&group=7&gblog=134
คำชี้แจง จาก ราชวิทยาลัยออร์โธฯ เกี่ยวกับยารักษาข้อเข่าเสื่อม (ที่กรมบัญชีกลางสั่งห้ามเบิก)..(จบ?) https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=22-07-2011&group=7&gblog=146


โดย: หมอหมู วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา:15:48:28 น.
  
ฉีดเกล็ดเลือดแก้ปวดเข่า (Platelet Rich Plasma Therapy)
December 18, 2014 by Sant Chaiyodsilp

ผมพาคุณแม่อายุ 74 ปีไปรักษาเข่าอักเสบเรื้อรังที่รพ. …. กับคุณหมอกระดูกชื่อคุณหมอ … ครั้งสุดท้ายนี้คุณหมอเจาะเอาเลือดออกไปปั่นแล้วฉีดกลับเข้าไปในเข่า คุณหมอบอกว่าเป็นวิธีรักษาแบบใหม่เรียกว่า PRP เป็นการเอาเกล็ดเลือดของเราเองเข้าไปรักษาการอักเสบเฉพาะที่ของเราเอง ซึ่งงานวิจัยทางการแพทย์ยืนยันว่าได้ผลดี เสียค่ารักษา 8,000 บาท หลังฉีดแล้วสามสัปดาห์อาการก็ยังไม่ดีขึ้น คุณหมอได้นัดหมายฉีดเพิ่มเติมอีก ผมอยากถามคุณหมอสันต์ว่า PRP นี้เป็นวิธีรักษาที่โอเค.ไหม ได้ผลดีจริงหรือเปล่า มีอันตรายไหม ควรจะทำการรักษาต่อไปไหม ถ้าไม่โอเค.ทำไมทางโรงพยาบาลไม่ควบคุมหมอ ทำไมจึงยอมให้หมอทำอย่างนี้อยู่ได้
……………………………………….

ตอบครับ

ก่อนอื่นผมขอเล่าแบ้คกราวด์ให้ท่านผู้อ่านทั่วไปทราบสักหน่อยก่อนนะ ว่า PRP ย่อมาจาก platelet rich plasma แปลว่าน้ำเลือดส่วนที่มีปริมาณเกล็ดเลือดอยู่มาก วงการแพทย์รู้มานานแล้วว่าเกล็ดเลือด (platelet) นี้ปกติมันผลิตโมเลกุลที่เรียกรวมๆกันว่า growth factors (GF) ได้หลายตัว และรู้มานานแล้วว่าโมเลกุล GF เหล่านี้มันมีบทบาทในการแก้ปัญหาการอักเสบในร่างกาย จึงได้มีหมอจำนวนหนึ่ง “ลอง” เอาเลือดของคนไข้ออกมาปั่นแยกให้เลือดเป็นชั้นๆตามความหนักของเซลชนิดต่างๆในเลือดเอง แล้วเอาน้ำเลือดชั้นที่มีเกล็ดเลือดแยะๆที่เรียกว่า PRP นี้ออกมาใส่กระบอกฉีดยาแล้วฉีดกลับเข้าไปให้คนไข้ แต่ไม่ได้ฉีดกลับเข้าไปทางหลอดเลือดดำนะ ฉีดเข้าไปตรงกล้ามเนื้อหรือเอ็นที่คิดว่ามีการอักเสบนั่นเลย มักจะเน้นที่เอ็นหรือกล้ามเนื้อรอบๆข้อ แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวข้อนะครับ โดยตั้งสมมุติฐานว่าเมื่อเทเกล็ดเลือดปริมาณมากๆอัดเข้าไปในที่เดียวมันน่าจะปล่อย GF ออกมามากพอที่จะเร่งรัดการเยียวยาการอักเสบบริเวณนั้นให้เร็วขึ้นได้ วิธีการรักษาแบบนี้เรียกว่า platelet rich therapy (PRT)

ถามว่า PRT นี้เป็นวิธีรักษาการอักเสบรอบข้อที่ได้ผลไหม ตอบว่ามีงานวิจัยขนาดเล็กๆกะป๊อดกะแป๊ดจำนวนหลายสิบรายการซึ่งให้ผลเปะปะไปคนละทิศคนละทางสรุปอะไรไม่ได้ แต่เมื่อเดือนเมษาที่ผ่านมานี้ หอสมุดโค้กเรนได้ทำการวิจัยแบบเมตาอานาไลซีส หมายความว่าเลือกเอางานวิจัยเล็กๆเหล่านั้นเฉพาะที่ออกแบบการวิจัยไว้ดี เอาข้อมูลทุกงานวิจัยมารวมกันแล้ววิเคราะห์ดูว่าผลในภาพรวมจะเป็นอย่างไร ปรากฏว่าคัดได้ 19 งานวิจัย มีคนไข้รวม 1,088 คน ตำแหน่งที่ฉีดก็เป็นที่เข่าบ้าง ที่ไหล่บ้าง ที่ศอกบ้าง ที่เอ็นร้อยหวายบ้าง แล้วประเมินโดยเอาอาการปวด (pain) การใช้งาน (function) และผลข้างเคียงของการฉีด (adverse reaction) เป็นตัวชี้วัดในการประเมิน พบว่าข้อมูลที่ได้ยังไม่หนักแน่นพอที่จะสนับสนุนให้ใช้วิธี PRT เป็นวิธีมาตรฐานในการรักษาการบาดเจ็บหรือการอักเสบของกล้ามเนื้อและเอ็นครับ พูดแบบบ้านๆก็คือ วิธีนี้ยังไม่ได้ผลชัดเจน

ในประเด็นอันตรายของการรักษาแบบ PRT นี้นั้น ข้อสรุปจากการวิจัยของโค้กเรนนี้สรุปว่าก็ไม่มีอันตรายอะไรใหญ่โต นอกจากภาวะแทรกซ้อนเล็กๆน้อยๆเช่นฉีดเข้าไปผิดที่ไปโดนเส้นประสาทเข้าจังๆแล้วก็ปวดไปหลายเดือนเป็นต้น

ถามว่าทำไมโรงพยาบาลอนุญาตให้แพทย์ทำการรักษาที่ไม่ใช่การรักษามาตรฐานอยู่ได้ ตอบว่าคำว่าการรักษามาตรฐานนี้มันไม่เหมือนพระราชบัญญัติหรือกฎหมายที่มีตัวหนังสือครอบคลุมชัดเจนครบถ้วนไปทุกเรื่องทุกประเด็นนะครับ เพราะวิธีรักษาใหม่ๆในทางการแพทย์ถูกคิดค้นขึ้นมาตลอดเวลา คิดได้ก็เอามาลองใช้กับคนไข้ในรูปแบบของการจัยทางคลินิก การวิจัยของใหม่ๆในระยะแรกมักเป็นแบบต่างคนต่างทำแยกย้ายกันทำหลายประเทศหลายโรงพยาบาล ก็จะมีข้อมูลผลวิจัยทยอยออกมา บางงานวิจัยก็จะรายงานว่าได้ผล บางงานก็จะรายงานว่าไม่ได้ผล คือหักล้างกันเองทำให้สรุปภาพรวมไม่ได้ คำแนะนำการรักษาอย่างเป็นทางการ (guidelines) ก็ยังไม่มี ณ จุดนี้มันยังไม่มีใครบอกได้ว่านี่ถือเป็นการรักษามาตรฐานหรือยัง เรียกว่ามีช่องว่างอยู่ และในช่องว่างนี้เอง หมอที่ชอบลองวิธีรักษาใหม่ๆก็จะไปหยิบเอาเฉพาะงานวิจัยที่รายงานว่าได้ผลมาแบ๊คอัพการลองรักษาคนไข้ของตัวเอง หมอทำอะไรใหม่ๆเล็กๆน้อยๆกันแบบนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน โรงพยาบาลมักจะไม่ได้เข้าไปยุ่ง ถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ในการรักษาคนไข้ของแพทย์

ข้อดีของระบบการทำงานแบบให้เอกสิทธิ์แพทย์นี้ก็คือ (1) ทำให้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าไปได้เร็ว และ (2) ดึงให้คนที่มี creativity สูงอยู่ในอาชีพแพทย์ได้นาน

แต่ข้อเสียก็คือ (1) ถ้าเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยง คนไข้ที่ถูกจับรักษาแบบใหม่โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็จะเสียหาย และ (2) ระบบเช่นนี้เปิดช่องให้คนไม่ดีที่แฝงตัวอยู่ในอาชีพแพทย์เอาการรักษาใหม่ๆที่ยังไม่รู้ว่าดีจริงหรือไม่มาใช้กับผู้ป่วยโดยมุ่งหวังเก็บเงินให้ได้มากขึ้นเป็นสำคัญ

วิธีแก้ปัญหานี้ที่ดีที่สุดไม่ใช่ให้โรงพยาบาลคุมหมอแจมากขึ้น ขืนทำอย่างนั้นต่อไปคนที่มี creativity สูงก็จะหนีจากอาชีพแพทย์หมด แต่ทางออกที่ดีที่สุดคือทั้งคนไข้และทั้งโรงพยาบาลต้องสนับสนุนให้แพทย์ทำการวิจัยทางคลินิกได้ง่ายขึ้น ย้ำว่าผมพูดถึงสองส่วนนะครับ “คนไข้” กับ “โรงพยาบาล”

เอาด้านคนไข้ก่อน คนไข้ฝรั่งเวลาอ่านเจอเรื่องการรักษาอะไรใหม่ๆหากเขาอยากได้รับการรักษาแบบนั้นบ้างเขาจะไปสมัครเข้าร่วมงานวิจัยทางคลินิก เพราะเขาถือว่ามีแต่ได้กับได้ ด้านหนึ่งอาจจะได้ประโยชน์จากยาหรือการรักษาใหม่ๆ อีกด้านหนึ่งได้ร่วมสร้างองค์ความรู้ไว้ให้โลกด้วย แต่คนไข้ไทยหากหมอชวนเซ็นชื่อสมัครเข้าร่วมงานวิจัยจะถอยทันที เพราะคนไข้ไทยมีหลักคิดว่าเรื่องอะไรตัวเองจะยอมเป็นหนูตะเภา เอาไว้ให้คนอื่นเป็นหนูตะเภาไปก่อนแล้วตัวเองมารอรับประโยชน์เมื่อผลวิจัยมีข้อสรุปเบ็ดเสร็จแล้วไม่ดีกว่าหรือ แต่ความเป็นจริงคือว่าเมื่อคนไข้ไม่ยอมเข้าร่วมงานวิจัยในรูปแบบมาตรฐานซึ่งมีระบบให้ข้อมูลและระบบคุ้มกันความเสี่ยงคนไข้อย่างดี คนไข้คนเดิมนั้นแหละกลับต้องมาถูกลองวิธีรักษาแบบใหม่ๆชนิดหมอค่อยๆแอบทำแบบนิ่มๆเนียนๆ ประเด็นของผมคือวิธีทดลองแบบหลังนี้ไม่มีหลักประกันเรื่องความเสี่ยงใดๆในระหว่างการทดลองให้คนไข้เลยนะครับ แล้วถ้าคุณเป็นคนไข้ คุณควรจะเลือกแบบไหน

ทางด้านโรงพยาบาลบ้าง โรงพยาบาลในเมืองไทยนี้เหมือนกันหมดอยู่อย่างหนึ่งคือผู้บริหารโรงพยาบาลไม่เคยสนใจสนับสนุนงานวิจัยเลย ผมหมายความว่า 0% ไม่เว้นแม่แต่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยซึ่งมี “การวิจัย” เป็นมิชชั่นหลักขององค์กร การไม่สนใจงานวิจัยของโรงพยาบาลสะท้อนให้เห็นได้จากจำนวนและคุณภาพของงานวิจัยทางคลินิกที่โรงพยาบาลแห่งนั้นตีพิมพ์ในแต่ละปี ผู้บริหารมักจะอ้างว่าแพทย์ไม่สนใจทำวิจัย การพูดอย่างนั้นเป็นไปได้อย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่าง คือ (1) คนพูดไม่รู้หลักวิชาบริหาร จึงไม่รู้ว่าองค์กรจะผลิตอะไรได้สำเร็จมันขึ้นอยู่ที่การวางเป้าหมายและจัดสรรทรัพยากรของผู้บริหาร ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับนิสัยของคนในองค์กร เพราะพฤติกรรมของคนในองค์กรนั้นเปลี่ยนได้ด้วยวิธีจัดสรรทรัพยากรขององค์กร หรือ (2) คนพูดไม่เชื่อในคุณค่าของการวิจัยทางคลินิก

เอ๊ะ แล้วเรามาอยู่ที่ตรงนี้ได้ไงเนี่ย หมายความว่าทำไมผมมา ส. ใส่เกือก นั่งแนะแหนผู้บริหารโรงพยาบาลทั่วประเทศอยู่ได้ ทั้งๆที่เราคุยกันเรื่องฉีดพลาสม่ารักษาปวดเข่าแท้ๆ หยุดละ จบดีกว่า ก่อนที่จะถูกเมียสั่งห้ามเขียนบล็อก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม
1. Moraes VY. “Platelet-rich therapies for musculoskeletal soft tissue injuries”. Cochrane Database Syst Rev.2014; 29 (4): CD010071.doi:10.1002/14651858.CD010071.pub3.

https://drsant.com/2014/12/platelet-rich-plasma-therapy.html
โดย: หมอหมู วันที่: 20 มกราคม 2564 เวลา:16:17:17 น.
  
การรักษา เข่าเสื่อม .. สิ่งสำคัญที่สุด คือ การดูแลตนเองบริหาร ยาเป็นเพียงตัวช่วย เท่านั้น

ข้อเข่าเสื่อม
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=29-05-2008&group=5&gblog=15

บ้านสำหรับผู้สูงอายุ
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=21-03-2008&group=5&gblog=11

ผู้สูงอายุ ท่าทางที่เหมาะสม
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=21-03-2008&group=5&gblog=10

โดย: หมอหมู วันที่: 20 พฤศจิกายน 2564 เวลา:16:28:05 น.
  
PRP ถือว่า เป็น ทางเลือก ... แต่เหมือนจะกลายเป็น ทางการตลาด ไปแล้ว ?
ศึกษาหาความรู้ ถ้ารู้แล้ว จะเลือก ก็ไม่ผิด ..

น้ำไขข้อเทียม (แถม ฉีดยาเข้าข้อเข่า , การฉีดเกล็ดเลือด PRP)
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=29-05-2008&group=5&gblog=16

ผลการรักษาผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมโดยการฉีดพลาสม่าที่อุดมด้วยเกล็ดเลือด ในจังหวัดนครศรีธรรมราช
ผู้แต่ง ปรานปวีณ์ โรจน์เจริญงาม กลุ่มงานศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช
มหาราชนครศรีธรรมราชเวชสาร ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (2022): มกราคม 2565 - มิถุนายน 2565
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/253962

“ปั่นเลือดแล้วนำมาฉีดเข้าข้อเข่า” อีกหนึ่งทางเลือกก่อนการรักษาข้อเข่าเสื่อม
นพ.ณัฐพงศ์ หงษ์คู ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ วชิรพยาบาล
https://sites.google.com/nmu.ac.th/ortho-vjr?fbclid=IwAR0DXQljH248U5QlI7v1t8_pWQW_XxqeeE_8I-ER1edZTCOhFnUN1_nQhDg

การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมด้วยการ “ฉีดยาเข้าข้อเข่า”
โรงพยาบาลเฉพาะทางกระดูกและข้อ ข้อดีมีสุข
https://kdmshospital.com/article/knee-injection/


โดย: หมอหมู วันที่: 11 มีนาคม 2566 เวลา:17:03:01 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Cmu2807.BlogGang.com

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]

บทความทั้งหมด