เส้นเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ ( รองช้ำ )
 


เส้นเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ ( รองช้ำ )

อาการปวดบริเวณส้นเท้า อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เส้นเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ เส้นประสาทถูกกดทับที่ข้อเท้า กระดูกงอกที่ฝ่าเท้าหรือที่เส้นเอ็นร้อยหวาย กระดูกเท้าบิดผิดรูป โรครูมาตอยด์ โรคเก๊าท์ หรือ กระดูกหัก เป็นต้น

สาเหตุของการเกิดโรคที่แท้จริงยังไม่ทราบ แต่ เชื่อว่าเป็นเพราะความเสื่อมบริเวณที่เส้นเอ็นฝ่าเท้าเกาะกับกระดูก

พบมาก ในผู้หญิงวัยกลางคน ยืนหรือเดินนาน ๆ น้ำหนักตัวมาก ใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม หรือ เท้าแบน เท้าบิด

อาการที่พบได้บ่อย คือ หลังจากนอนหรือนั่งสักพักหนึ่ง เมื่อเริ่มเดินลงน้ำหนักจะรู้สึกปวดส้นเท้ามาก แต่ หลังจากที่เดินไปได้สักพัก อาการปวดก็จะทุเลาลง แต่ถ้าเดินนาน ๆ ก็อาจปวดมากขึ้นอีกได้ มักจะปวดมากในช่วงตื่นนอนตอนเช้า และจะดีขึ้นในช่วงตอนสาย หรือ ตอนบ่าย ถ้ากระดกข้อเท้าขึ้นหรือกดที่ส้นเท้า จะปวดมากขึ้น

ผู้สูงอายุประมาณร้อยละ 30-70 ถ้าถ่ายภาพรังสีของเท้า จะพบว่ามีกระดูกงอกที่ไต้ฝ่าเท้าได้ ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะพบกระดูกงอกจากภาพรังสี แต่ก็อาจจะไม่เกี่ยวกับอาการปวดส้นเท้า จึงไม่จำเป็นต้องถ่ายภาพรังสีทุกคน

โดยส่วนใหญ่ ผู้ป่วยเส้นเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ รักษาให้หายขาดได้ ด้วยวิธีรักษาแบบไม่ผ่าตัด แต่อาจจะต้องใช้เวลารักษานานหลายเดือน อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ถ้ารักษาไปแล้ว 6 - 9 เดือน ก็ยังไม่ดีขึ้น อาจจะต้องรักษาด้วยวิธีผ่าตัด


แนวทางการรักษาด้วยตนเอง

1. ลดกิจกรรมที่ทำให้ปวด หรือ กิจกรรมที่ต้องลงน้ำหนัก เช่น การยืนหรือ เดินนาน ๆ เป็นต้น และควรออกกำลังที่ไม่ต้องมีการลงน้ำหนักที่ฝ่าเท้ามากนัก เช่น ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ๆ เป็นต้น

2. บริหาร เพื่อยืดกล้ามเนื้อน่อง และ เส้นเอ็นฝ่าเท้า

3. หลีกเลี่ยงการเดินด้วยเท้าเปล่า และ ใส่รองเท้าที่เหมาะสม ขนาดพอดีไม่หลวมเกินไป มีพื้นรองเท้าที่นุ่ม และมีแผ่นรองรับอุ้งเท้าให้นูนขึ้น อาจใช้แผ่นนุ่มๆ รองที่ส้นเท้า (หนา ½ นิ้ว) ใส่รองเท้าส้นสูงประมาณ 1 – 1.5 นิ้ว หรือ ใช้แผ่นยางสำหรับรองส้นเท้าโดยเฉพาะ เช่น Heel cups , Tuli cups เป็นต้น

4. ประคบด้วยความร้อนหรือความเย็น หรือ ใช้ยานวด นวดฝ่าเท้า หรือ ใช้ผ้าพันที่ฝ่าเท้าและส้นเท้า

5. ลดน้ำหนัก เพราะถ้าน้ำหนักมาก เส้นเอ็นฝ่าเท้าก็ต้องรับน้ำหนักมาก ทำให้ผลการรักษาไม่ดี และ หายช้า


แนวทางการรักษาโดยแพทย์

1. รับประทานยา เช่น ยาแก้ปวดลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาคลายกล้ามเนื้อ

2. ฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่ บริเวณส้นเท้าจุดที่ปวด แต่ไม่ควรฉีดเกิน 2 ครั้งใน 1 เดือน เพราะอาจทำให้เกิดเส้นเอ็นฝ่าเท้าเปื่อยและขาดได้ ก่อนจะฉีดต้องทำความสะอาดที่ผิวหนังอย่างดี เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

ขณะฉีดยาสเตียรอยด์จะรู้สึกปวดแล้วก็จะชา แต่หลังจากยาชาหมดฤทธิ์ ( ประมาณ 1-2 ชั่วโมง ) ก็อาจเกิดอาการปวดซ้ำอีกครั้ง จึงควรรับประทานยา หรือ ประคบด้วยน้ำอุ่น กันไว้ก่อน

3. ทำกายภาพบำบัด เช่น ใช้ความร้อนลึก (อัลตร้าซาวด์) ดัดยืดเส้นเอ็นฝ่าเท้า ใช้ไม้เท้าช่วยเดิน เป็นต้น

4. ใส่เฝือกชั่วคราวให้ข้อเท้ากระดกขึ้น ในตอนกลางคืน หรือ ถ้าเป็นมาก อาจต้องใส่เฝือกตลอดทั้งวัน

5. การผ่าตัด จะทำก็ต่อเมื่อรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ แล้วไม่ได้ผล คือ อาการปวดไม่ดีขึ้นหลังรับการรักษาอย่างเต็มที่ต่อเนื่องกันอย่างน้อย 6 - 9 เดือน หรือ สาเหตุการปวดเกิดจากเส้นประสาทบริเวณฝ่าเท้าถูกกดทับ

 
 
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (official)
https://www.facebook.com/medicine.cm/posts/3433651963339802

ปวดส้นเท้า สัญญาณเตือน โรครองช้ำ

อาการเจ็บปวดจี๊ดขึ้นมาที่ส้นเท้า ในบางครั้งอาจลามไปที่อุ้งเท้าด้วย โดยเฉพาะจะมีอาการปวดมากที่สุดเมื่อลุกเดินก้าวแรกหลังตื่นนอน หรือหลังจากนั่งพักเป็นเวลานาน นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรครองช้ำ แม้จะดูเหมือนโรคนี้ไม่อันตรายร้ายแรง แต่ก็ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำการรักษา เพราะอาจส่งผลกระทบต่อการทำกิจวัตรประจำวันได้

 รศ.นพ.ธนวัฒน์ วะสีนนท์ อาจารย์ประจำหน่วยเท้าและข้อเท้า ภาควิชาออโทปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ มช. กล่าวว่า

“โรครองช้ำหรือโรคที่เกิดจากการบาดเจ็บของเส้นเอ็นฝ่าเท้า ลักษณะอาการจะปวดรุนแรงที่สุดเมื่อเริ่มมีการลงน้ำหนักที่ส้นเท้าในก้าวแรก เช่น เมื่อลุกเดินก้าวแรกหลังตื่นนอน และดีขึ้นหลังจากเดินสามก้าว หรือกดเจ็บที่ใต้ส้นเท้า ในขณะที่กระดกข้อเท้าขึ้น

นอกจากนี้ อาจมีอาการปวดมากขึ้นได้ในช่วงระหว่างวันหรือหลังจากที่เท้าต้องรับน้ำหนักเป็นเวลานาน เช่น ยืนหรือเดินเป็นเวลานาน และเมื่อมีการเคลื่อนไหวมากขึ้นก็จะยิ่งมีอาการปวดมากขึ้น

 แม้จะดูเหมือนโรคนี้ไม่อันตรายร้ายแรง แต่ก็ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำการรักษา เพราะอาจส่งผลกระทบต่อการทำกิจวัตรประจำวันได้

โรครองช้ำอาจเกิดขึ้นได้ในหลายปัจจัย เช่น
- มีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ทำให้เมื่อเดิน จะทำให้เกิดแรงกดที่ฝ่าเท้ามาก จนอาจทำให้พังพืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบได้
-มีการยืนติดต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้เอ็นฝ่าเท้ารองรับน้ำหนักกดทับมากกว่าปกติ
-สวมรองเท้าที่ไม่เหมาะสมต่อสุขภาพเท้า เช่น รองเท้าส้นสูง รองเท้าที่คับแน่น บีบเท้า หรือรองเท้าที่หลวมเกินไป รองเท้าที่ไม่มีพื้นบุรองส้นเท้า หรือพื้นรองเท้าบางเกินไป  
-มีการใช้งานฝ่าเท้าหรือส้นเท้าที่มากเกินไป เช่น การฝึกวิ่งหักโหม วิ่งระยะไกล
-มีภาวะเท้าผิดรูป เช่น อุ้งเท้าแบน อุ้งเท้าสูงหรือโก่งมากเกินไป

สำหรับจำนวนผู้ป่วยที่เป็นโรครองช้ำ ในระยะเวลา 1 ปี พบมากถึง 1,000,000 คน 85% รักษาหายโดยไม่ต้องผ่าตัด 80% หายแล้วไม่กลับมาเป็นซ้ำอีกหากในระยะเวลา 12 เดือน

 ผู้ที่มีอาการของโรครองช้ำ จำเป็นที่จะต้องอดทนในการรักษาตนเอง งดกิจกรรมที่ต้องมีการกระแทกลงน้ำหนักที่ส้นเท้า เริ่มทำการกายภาพเองที่บ้าน

สำหรับการกายภาพเองที่บ้านมี 3 ท่าด้วยกัน ได้แก่
1.ยืดพังผืดใต้ฝ่าเท้า นวดพังผืดบริเวณฝ่าเท้าครั้งละ 1 นาที ทำทั้งหมด 3 ครั้ง โดยพัก 30 วินาที ก่อนเริ่มครั้งถัดไป
2.การยืดพังผืดกับกล้ามเนื้อน่องโดยใช้ผ้ายาง โดยการ 1.บิดข้อเท้าเข้าด้านใน 2.แล้วใช้ผ้ายืดสำหรับออกกำลังกายดีงบริเวณฝ่าเท้า 3 ครั้ง ครั้งละ 30 วินาที
3.การยันกำแพงยืดกล้ามเนื้อน่องด้านใน โดยการดันกำแพง 1.เหยียดขาข้างที่ปวดไปด้านหลัง 2.บิดข้อเท้าเข้าด้านใน 3.ทำครั้งละ 30 วินาทีทำทั้งหมดสามครั้งโดยพัก 30 วินาที ก่อนเริ่มครั้งถัดไป

นอกจากนี้ยังมีวิธีการรักษาอีกหลายรูปแบบเช่น การปรับรองเท้าให้เหมาะสมกับรูปเท้า การทำกายภาพโดยใช้เครื่องมือทันสมัย การฉีดยาเกร็ดเลือด หากอาการไม่ดีขึ้นภายในเวลา 12 เดือน อาจได้รับการรักษาโดยการผ่าตัด

แม้ว่าโรครองช้ำจะไม่ทำอันตรายถึงชีวิต แต่หากไม่หยุดพักหรือทำการรักษา อาจต้องทนทุกข์ทรมานต่ออาการปวดจนส่งผลต่อคุณภาพชีวิต และอาจทำให้อาการอักเสบเรื้อรังยุ่งยากต่อการรักษา อย่างไรก็ตามหากมีอาการปวดส้นเท้าผิดปกติควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาอย่างเหมาะสมได้ที่ หน่วยเท้าและข้อเท้า ภาควิชาออโทปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ มช.

ติดตามรับชมรายการ สุขภาพดีกับหมอสวนดอก ตอนปวดส้นเท้า สัญญาณเตือน โรครองช้ำ ย้อนหลังได้ที่
https://www.facebook.com/SuandokGoodHealth2018/videos/663948604233808
 



Create Date : 23 กรกฎาคม 2551
Last Update : 4 ตุลาคม 2563 13:37:07 น.
Counter : 150881 Pageviews.

16 comments
วิ่งข้างบ้าน 11,12,14,16 เม.ย.2568/ค่าฝุ่นPM2.5 อุทัยธานี สองแผ่นดิน
(16 เม.ย. 2568 20:49:32 น.)
"เรียนรู้จากความผิดพลาด" อาจารย์สุวิมล
(12 เม.ย. 2568 19:12:07 น.)
เมื่อฉันเป็นมะเร็ง WarinD Ninajang
(5 เม.ย. 2568 13:14:45 น.)
วิ่งข้างบ้าน 19,31 มี.ค.2568/ผลวิ่ง มี.ค./อื่นๆ/ค่าฝุ่นPM2.5 อุทัยธานี สองแผ่นดิน
(1 เม.ย. 2568 22:45:46 น.)
  
รู้สึกดีจังค่ะที่พลัดหลงเข้ามาบล็อคคุณหมอ ........
ดิฉันและแม่มีปัญหาเรื่องหัวเข่า และกระดูกเท้าพอสมควร จะค่อยๆหาเวลาอ่านสาระจากบล็อคของคุณหมอย้อนหลังไปเรื่อยๆนะคะ

ข้อแรกที่ดิฉันต้องทำเลยคือ รีบลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วน เพราะรู้ตัวว่าน้ำหนักตอนนี้เกินจนอันตรายแล้ว

เช้าๆตอนตื่นนอนใหม่ๆ ก้าวแรกที่ลงจากเตียง ดิฉันจะรู้สึกเจ็บที่ฝ่าเท้าแต่พอได้เดินไปสักพักก็จะดีขึ้น น่าจะเข้าข่ายอาการโรคนี้นะคะ

ขออนุญาต add บล็อคคุณหมอไว้เป็น VIP เลยนะคะ จะได้แวะเวียนมาขอความรู้กันได้บ่อยๆโดยไม่หลงบล็อคไปไหน

ขอบคุณค่ะ สำหรับสาระความรู้ที่ได้รับ
โดย: คุณน้ำตาล วันที่: 23 กรกฎาคม 2551 เวลา:16:44:58 น.
  
ได้ความรู้มากครับ ผมมีอาการเจ็บฝ่าเท้ามา 3-4 เดือน หลังตื่นนอนเมื่อลุกเดินจะเจ็บฝ่ามาก หรือตอนเย็นจะเจ็บเวลาเดิน เดินนานๆ หรือนั่งนานๆแล้วเดินก็เจ็บ เช่นกัน ผมหายจากอาการดังกล่าวเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยงดอาหารสัตว์ปีกทุกชนิด เช่น เป็ด ไก่ ครับ
โดย: Insignia_Museum วันที่: 23 กรกฎาคม 2551 เวลา:21:43:10 น.
  
มีอาการแบบนี้เลยค่ะ สังเกตุว่าถ้าใส่รองเท้าพื้นแข็งๆเดินนานๆจะปวดเพิ่มขึ้น ก็เลยใช้ฟองน้ำรองที่ส้นเท้าค่ะ หรือสลับรองเท้าคู่อื่นบ้าง ช่วยได้นะคะ
โดย: ทำไมถึงทำกับฉันได้ วันที่: 24 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:33:37 น.
  

ขอบคุณที่แวะมาแจม นะครับ
โดย: หมอหมู วันที่: 28 กรกฎาคม 2551 เวลา:19:35:01 น.
  
สวัสดีค่ะคุณหมอหมู
มีเพื่อนผู้หวังดีส่งลิงค์บล็อคคุณหมอมาให้อ่านค่ะ
เพราะสองดีเพิ่งมีอาการรองช้ำไปหมาดๆ ซึ่งก็รักษาด้วยตนเองค่ะ โดยการเอารองเท้ายี่ห้อ Crocs ซึ่งเป็นยางนิ่มหนา ปกติใช้ใส่ไปเที่ยวเล่น เอามาใส่เวลาเดินในบ้านซึ่งเป็นพื้นหินแกรนิต ก็ช่วยได้เยอะค่ะ เพราะรองเท้าช่วยให้ไม่เจ็บส้นเท้ามากนัก แต่กว่าจะหายใช้เวลาหลายสัปดาห์เชียว

บล็อคคุณหมอมีประโยชน์มากค่ะ ขอเลียนแบบคุณน้ำตาลด้วยการแอดไว้ที่บล็อคของสองดีนะคะ เพราะเป็นคนมีปัญหากับข้อ/เท้าบ่อยมากเลยค่ะ นอกจากรองช้ำ อีกอาการที่สองดีเคยเป็นเมื่อหลายปีก่อน และเห็นในบล็อคคุณหมอก็มีเขียนถึง คือโรคนี้เลยค่ะ "ปลอกหุ้มเอ็นนิ้วหัวแม่มืออักเสบ (De Quervain's Disease)" ปัจจุบันหายแล้วค่ะ หลังจากฉีดยาเข้าเอ็นไปสองรอบ

ขอบคุณค่ะ
โดย: สองดี วันที่: 15 กันยายน 2551 เวลา:15:39:06 น.
  
ขออภัย ทำไมมันขึ้นภาษาขอมก็ไม่รู้ ถามใหม่...

*************************
คุณหมอหมูคะ
จากข้อมูลที่ ...

4. ใส่เฝือกชั่วคราวให้ข้อเท้ากระดกขึ้น ในตอนกลางคืน หรือ ถ้าเป็นมาก อาจต้องใส่เฝือกตลอดทั้งวัน

ไอ้เฝือกชั่วคราหน้าตามันเป็นอย่างไรคะ หาซื้อได้ที่ไหน

ขอบคุณสำหรับความรู้ที่นำมาเผยแพร่นะคะ

นุช

โดย: gik_lo (gik_lo ) วันที่: 10 ตุลาคม 2551 เวลา:18:39:43 น.
  
ตามมาอ่านจากในกระทู้ค่ะ รู้สึกว่าตัวเองคงเป็นโรคนี้อยู่แน่ๆ เลย ช่วงนี้กำลังลดน้ำหนักค่ะ ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองรึเปล่า...ตั้งแต่ออกกำลังกายได้ยังไม่ถึง 1 สัปดาห์เลย อาการก็ดีขึ้นแล้ว ^^
โดย: ขนมชั้น...เธอห้ามกิน!!! วันที่: 7 ตุลาคม 2552 เวลา:20:52:53 น.
  
ขอบคุณมากมายครับ ทีนี้ก็รู้แล้วว่าตัวเองเป็นอะไร
โดย: คนทุ่งบางเขน วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:14:37:39 น.
  
ขอบคุณค่ะ
ตอนี้กำลังเป็นเลยค่ะ เพราะก่อนหน้านี้ยืนทำงานเยอะแล้วรองเท้ามันแข็ง
ก็ลองบริหารแบบไม่กินยามาเกือบเดือนแล้ว
จากตื่นนอนแล้วเจ็บข้างเดียว ตอนนี้กลายเป็นเจ็บทั้ง 2 ข้างเลย

แต่เดี๋ยวจะลองไปหายากินร่วมด้วยดีกว่าค่ะ
โดย: หนูลีลี วันที่: 7 เมษายน 2555 เวลา:12:22:32 น.
  
ขอบคุณค่ะ สำหรับข้อมูลดีๆ
โดย: pantipngon วันที่: 22 กรกฎาคม 2555 เวลา:9:30:17 น.
  
ตามมาจาก pantip ครับ
อยากเรียนถามคุณหมอว่า
การไปตัดรองเท้า จะช่วยอะไรได้
บ้างไหมครับ
ขอบคุณครับ
โดย: dme วันที่: 22 สิงหาคม 2555 เวลา:12:44:34 น.
  
ช่วยบรรเทาอาการได้บ้างครับ .. เพราะ ตอนใส่ก็จะรู้สึกว่าดีขึ้น แต่พอถอดออก ก็จะมีอาการอีก

ต้องอาศัยหลาย ๆ วิธีประกอบกัน สำคัญที่สุด ก็คือการดูแลตนเองบริหารครับ
โดย: หมอหมู วันที่: 22 สิงหาคม 2555 เวลา:14:30:25 น.
  
หนูเป็นนศพ.ปี 6 ค่ะ
แม่ปรึกษาว่าเป็นรองช้ำทำยังไงดี
หนูได้ยินคำว่า "รองช้ำ" ก็อึ้งไปเลย เรียนมาตั้งนาน
เจอคนไข้ถามโรคเป็นภาษาไทยทีนี่งงเลย
เพิ่มรู้ว่ามันคือกลุ่มโรคนี้

ขอบคุณมากนะคะที่ให้ความรู้ดีๆ ว่าจะปริ๊นท์ให่แม่อ่านล่ะค่ะ ^__^
โดย: Konakaori (konakaori ) วันที่: 19 พฤศจิกายน 2555 เวลา:19:16:02 น.
  

เท้าแบน…ทำไงดี

อ.พญ.กุลภา ศรีสวัสดิ์
ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

เท้kแบน เป็นปัญหาของเท้าที่พบบ่อยปัญหาหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นภาวะปกติหรือผิดปกติ และอาจแสดงหรือไม่แสดงอาการใด ๆ ลักษณะของภาวะเท้าแบน พบในผู้ที่มีอุ้งเท้าเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย โดยอาจเป็นอยู่เดิมหรือเกิดขึ้นใหม่ภายหลังจากที่กระดูกมีการเจริญเติบโต เต็มที่แล้ว

พัฒนาการของอุ้งเท้า

การเจริญเติบโตของโครงสร้างเท้าส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วง 7 – 8 ขวบปีแรก โดยเมื่อเด็กเริ่มตั้งไข่และเดิน เท้าของเด็กจะมีลักษณะ 3F คือ fat, flat และ floppy การ เดินจะไม่มีการถ่ายน้ำหนักจากส้นเท้าไปสู่ปลายเท้าเหมือนในผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นกลไกตามธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มความมั่นคงในการยืนและเดิน โครงสร้างของเท้าและอุ้งเท้าจะมีลักษณะเหมือนผู้ใหญ่เมื่ออายุประมาณ 7 – 8 ปี ส่วนการเดินในลักษณะถ่ายน้ำหนักจากส้นเท้าไปสู่ปลายเท้าจะเริ่มเมื่ออายุ 3 – 4 ปี

ปัญหาเท้าแบนที่พบบ่อยในเด็ก

ส่วนใหญ่เป็นภาวะเท้าแบนชนิดไม่ติดแข็งที่คงอยู่ต่อเนื่องมาตั้งแต่วัยเด็กเล็ก อุ้งเท้าไม่สูงขึ้นแม้กระดูกจะมีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้วก็ตาม มักจะพบทั้งสองข้าง าเหตุส่วนใหญ่เกิดจากพันธุกรรม ผู้ ป่วยมักรู้สึกว่าเท้าหรือขาอ่อนล้าง่าย ร่วมกับปวดบริเวณอุ้งเท้า ส้นเท้าและเท้าด้านนอก โดยอาการเป็นมากขึ้นเมื่อมีการลงน้ำหนัก

ขณะยืนลงน้ำหนักจะพบส้นเท้าบิดออกมากกว่าปกติ ส่วนใหญ่มักจะมีกล้ามเนื้อน่องและเอ็นร้อยหวายตึงร่วมด้วย หากมีส้นเท้าบิดมากๆ เป็นเวลานาน อาจทำให้ข้อเสื่อม และเคลื่อนไหวได้น้อยลง เท้าแบนชนิดนี้ไม่ถือว่าเป็นโรค ดังนั้นหากไม่มีอาการ ไม่จำเป็นต้องทำการรักษาใดๆ เพียงติดตามความเปลี่ยนแปลงเป็นระยะๆ


การรักษา มุ่งเน้นการป้องกันไม่ให้มีการผิดรูปเกิดขึ้น ควบคุมน้ำหนัก ปรับกิจกรรม ใช้อุปกรณ์เสริมในรองเท้า และปรับรองเท้า อาจรับประทานยาหรือทำกายภาพบำบัดร่วมด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรง ส่วนการผ่าตัดจะพิจารณาเมื่อการรักษาดังกล่าวข้างต้นไม่ได้ผล


ปัญหาเท้าแบนที่พบบ่อยในผู้ใหญ่

ส่วนใหญ่เกิดจากการอักเสบหรือสูญเสียหน้าที่ของเอ็นประคองอุ้งเท้า มักเป็นเพียงข้างเดียว พบบ่อยในเพศหญิง อายุ 45 – 65 ปี ซึ่งไม่มีประวัติอุบัติเหตุนำมาก่อน อาการจะเป็นมากขึ้นเมื่อใช้งานหนัก เช่น ยืนนาน ๆ หรือเดินมาก จะรู้สึกปวดบริเวณอุ้งเท้า ส้นเท้าและข้อเท้าด้านใน หากเป็นมากขึ้นอาจยืนเขย่งปลายเท้าไม่ได้ เท้าผิดรูปจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ข้อติดแข็ง

การรักษา
คล้าย กับการรักษาเด็ก โดยกาควบคุมน้ำหนัก การใช้อุปกรณ์เสริมในรองเท้า และการปรับรองเท้า อาจรับประทานยาหรือทำกายภาพบำบัดร่วมด้วย ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรง ส่วนการผ่าตัดจะพิจารณาเมื่อการรักษาดังกล่าวข้างต้นไม่ได้ผล


การใช้อุปกรณ์เสริมและการปรับรองเท้า (Pedorthic Management)

Pedorthics เป็นศาสตร์ของการดูแลรักษาและป้องกันปัญหาต่าง ๆ ของเท้า โดยการออกแบบและผลิตอุปกรณ์เสริมภายในรองเท้า (foot orthoses) รวมทั้งการผลิตหรือปรับรองเท้า (shoe modification) อย่างเหมาะสม โดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการอบรมและสอบระดับมาตรฐานทาง Pedorthics เรียกว่า Certified Pedorthist (C.Ped.)

การใช้อุปกรณ์เสริมภายในรองเท้ามีเป้าหมายเพื่อปรับรูปเท้าให้อยู่ในลักษณะปกติ ที่สุดเท่าที่จะทำได้ และป้องกันไม่ให้อุ้งเท้าแบนจนเอียงล้มมากขึ้น อาจทำได้โดยใช้อุปกรณ์เสริมชนิดสำเร็จรูป หรือใช้อุปกรณ์เสริมชนิดหล่อพิเศษเฉพาะราย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของปัญหาเท้าแบน อย่างไรก็ตามอุปกรณ์เสริมนั้นจะใช้ได้ประโยชน์สูงสุดก็ต่อเมื่อใช้กับ รองเท้าที่เหมาะสมเท่านั้น

รองเท้า ที่เหมาะสำหรับผู้ที่เท้าแบน ควรเป็นรองเท้าชนิดหุ้มส้น เช่น รองเท้าคัทชูส์หรือรองเท้ากีฬา และควรมีความกว้างส่วนหน้าเท้าพอสมควร ควรหลีกเลี่ยงการสวมใส่รองเท้าแตะ หรือรองเท้าชนิดที่มีสายรัดส้นเท้า นอกจากนี้พื้นรองเท้าภายในควรจะมีเนินช่วยประคองบริเวณอุ้งเท้าอีกด้วย

การ วมใส่รองเท้าที่เหมาะสมร่วมกับการใช้อุปกรณ์เสริมภายในรองเท้า จะช่วยให้ผู้ที่เท้าแบนสามารถใช้เท้าทำงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น



โดย: หมอหมู วันที่: 13 เมษายน 2556 เวลา:0:36:46 น.
  
ใช้แผ่นรองส้นจะช่วยให้หายได้ไหม่ค่ะ
โดย: Efilb วันที่: 8 กันยายน 2558 เวลา:13:50:51 น.
  
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (official)
https://www.facebook.com/medicine.cm/posts/3433651963339802

ปวดส้นเท้า สัญญาณเตือน โรครองช้ำ

อาการเจ็บปวดจี๊ดขึ้นมาที่ส้นเท้า ในบางครั้งอาจลามไปที่อุ้งเท้าด้วย โดยเฉพาะจะมีอาการปวดมากที่สุดเมื่อลุกเดินก้าวแรกหลังตื่นนอน หรือหลังจากนั่งพักเป็นเวลานาน นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรครองช้ำ แม้จะดูเหมือนโรคนี้ไม่อันตรายร้ายแรง แต่ก็ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำการรักษา เพราะอาจส่งผลกระทบต่อการทำกิจวัตรประจำวันได้

รศ.นพ.ธนวัฒน์ วะสีนนท์ อาจารย์ประจำหน่วยเท้าและข้อเท้า ภาควิชาออโทปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ มช. กล่าวว่า

“โรครองช้ำหรือโรคที่เกิดจากการบาดเจ็บของเส้นเอ็นฝ่าเท้า ลักษณะอาการจะปวดรุนแรงที่สุดเมื่อเริ่มมีการลงน้ำหนักที่ส้นเท้าในก้าวแรก เช่น เมื่อลุกเดินก้าวแรกหลังตื่นนอน และดีขึ้นหลังจากเดินสามก้าว หรือกดเจ็บที่ใต้ส้นเท้า ในขณะที่กระดกข้อเท้าขึ้น

นอกจากนี้ อาจมีอาการปวดมากขึ้นได้ในช่วงระหว่างวันหรือหลังจากที่เท้าต้องรับน้ำหนักเป็นเวลานาน เช่น ยืนหรือเดินเป็นเวลานาน และเมื่อมีการเคลื่อนไหวมากขึ้นก็จะยิ่งมีอาการปวดมากขึ้น

แม้จะดูเหมือนโรคนี้ไม่อันตรายร้ายแรง แต่ก็ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำการรักษา เพราะอาจส่งผลกระทบต่อการทำกิจวัตรประจำวันได้

โรครองช้ำอาจเกิดขึ้นได้ในหลายปัจจัย เช่น
- มีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ทำให้เมื่อเดิน จะทำให้เกิดแรงกดที่ฝ่าเท้ามาก จนอาจทำให้พังพืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบได้
-มีการยืนติดต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้เอ็นฝ่าเท้ารองรับน้ำหนักกดทับมากกว่าปกติ
-สวมรองเท้าที่ไม่เหมาะสมต่อสุขภาพเท้า เช่น รองเท้าส้นสูง รองเท้าที่คับแน่น บีบเท้า หรือรองเท้าที่หลวมเกินไป รองเท้าที่ไม่มีพื้นบุรองส้นเท้า หรือพื้นรองเท้าบางเกินไป
-มีการใช้งานฝ่าเท้าหรือส้นเท้าที่มากเกินไป เช่น การฝึกวิ่งหักโหม วิ่งระยะไกล
-มีภาวะเท้าผิดรูป เช่น อุ้งเท้าแบน อุ้งเท้าสูงหรือโก่งมากเกินไป

สำหรับจำนวนผู้ป่วยที่เป็นโรครองช้ำ ในระยะเวลา 1 ปี พบมากถึง 1,000,000 คน 85% รักษาหายโดยไม่ต้องผ่าตัด 80% หายแล้วไม่กลับมาเป็นซ้ำอีกหากในระยะเวลา 12 เดือน

ผู้ที่มีอาการของโรครองช้ำ จำเป็นที่จะต้องอดทนในการรักษาตนเอง งดกิจกรรมที่ต้องมีการกระแทกลงน้ำหนักที่ส้นเท้า เริ่มทำการกายภาพเองที่บ้าน

สำหรับการกายภาพเองที่บ้านมี 3 ท่าด้วยกัน ได้แก่
1.ยืดพังผืดใต้ฝ่าเท้า นวดพังผืดบริเวณฝ่าเท้าครั้งละ 1 นาที ทำทั้งหมด 3 ครั้ง โดยพัก 30 วินาที ก่อนเริ่มครั้งถัดไป
2.การยืดพังผืดกับกล้ามเนื้อน่องโดยใช้ผ้ายาง โดยการ 1.บิดข้อเท้าเข้าด้านใน 2.แล้วใช้ผ้ายืดสำหรับออกกำลังกายดีงบริเวณฝ่าเท้า 3 ครั้ง ครั้งละ 30 วินาที
3.การยันกำแพงยืดกล้ามเนื้อน่องด้านใน โดยการดันกำแพง 1.เหยียดขาข้างที่ปวดไปด้านหลัง 2.บิดข้อเท้าเข้าด้านใน 3.ทำครั้งละ 30 วินาทีทำทั้งหมดสามครั้งโดยพัก 30 วินาที ก่อนเริ่มครั้งถัดไป

นอกจากนี้ยังมีวิธีการรักษาอีกหลายรูปแบบเช่น การปรับรองเท้าให้เหมาะสมกับรูปเท้า การทำกายภาพโดยใช้เครื่องมือทันสมัย การฉีดยาเกร็ดเลือด หากอาการไม่ดีขึ้นภายในเวลา 12 เดือน อาจได้รับการรักษาโดยการผ่าตัด

แม้ว่าโรครองช้ำจะไม่ทำอันตรายถึงชีวิต แต่หากไม่หยุดพักหรือทำการรักษา อาจต้องทนทุกข์ทรมานต่ออาการปวดจนส่งผลต่อคุณภาพชีวิต และอาจทำให้อาการอักเสบเรื้อรังยุ่งยากต่อการรักษา อย่างไรก็ตามหากมีอาการปวดส้นเท้าผิดปกติควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาอย่างเหมาะสมได้ที่ หน่วยเท้าและข้อเท้า ภาควิชาออโทปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ มช.

ติดตามรับชมรายการ สุขภาพดีกับหมอสวนดอก ตอนปวดส้นเท้า สัญญาณเตือน โรครองช้ำ ย้อนหลังได้ที่
https://www.facebook.com/SuandokGoodHealth2018/videos/663948604233808

โดย: หมอหมู วันที่: 4 ตุลาคม 2563 เวลา:13:35:09 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Cmu2807.BlogGang.com

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]

บทความทั้งหมด