โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ![]() โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นกลุ่มอาการของโรคที่มีการอักเสบของทุกระบบในร่างกาย แต่จะมีการอักเสบเด่นชัดที่ เยื่อบุข้อ และ เยื่อบุเส้นเอ็น ลักษณะสำคัญของโรคนี้ได้แก่ มีการอักเสบของข้อ หลาย ๆ ข้อ พร้อม ๆ กัน เป็นเรื้อรังติดต่อกันนานเป็นเดือน ๆ หรือ ปี ๆ โรคนี้จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 5 เท่า อาการอาจเริ่มปรากฏในช่วงอายุเท่าใดก็ได้ แต่จะพบมากในช่วงอายุ 30-50 ปี ถ้าหากเริ่มเป็นตั้งแต่เด็กก็มักจะมีอาการรุนแรง ในเด็กจะมีอาการและอาการแสดงต่างจากผู้ใหญ่ รู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคนี้ … 1.มีการอักเสบเรื้อรังของข้อหลาย ๆ ข้อ ทั้งสองข้างพร้อม ๆ กัน ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 6 อาทิตย์ 2.ข้ออักเสบ พบบ่อยที่บริเวณ ข้อมือ ข้อโคนนิ้วมือ ข้อกลางนิ้วมือ ข้อเข่า ข้อเท้า ซึ่งจะมีอาการปวด บวม และกดเจ็บตามข้อต่าง ๆ ถ้าเป็นมานานจะมีข้อผิดรูปได้ ซึ่งเกิดจาก การอักเสบของเยื่อบุข้อ การคั่งของเลือดในบริเวณข้อ ขาดการออกกำลังกายและการทำกายภาพบำบัด กินอาหารไม่เพียงพอ หรือ การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อ 3.มีอาการข้อฝืด ข้อแข็ง เคลื่อนไหวลำบาก ในช่วงตื่นนอนตอนเช้า มักต้องใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมงจึงจะเริ่มขยับข้อได้ ดีขึ้น ในช่วงบ่าย ๆ มักจะขยับข้อได้เป็นปกติ 4.พบอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น เบื่ออาหาร กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดเมื่อยหมดทั้งตัว น้ำหนักลด มีไข้ต่ำ ๆ ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ หลอดเลือดอักเสบ ปุ่มรูมาตอยด์ใต้ผิวหนัง และภาวะเลือดจาง 5.ตรวจเลือดพบมีรูมาตอยด์แฟคเตอร์ แต่ผู้ที่เป็นโรคนี้จะตรวจเลือดพบเพียงร้อยละ 50-70 เท่านั้น ดังนั้นถ้าตรวจไม่พบรูมาตอยด์ ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่เป็นโรครูมาตอยด์แต่ผู้ที่มีปริมาณรูมาตอยด์แฟคเตอร์สูงจะมีอาการรุนแรงกว่า 6.เจาะน้ำในข้อไปตรวจ 7.เอ๊กซเรย์ ไม่จำเป็น ยกเว้นในกรณีที่ใช้ประเมินว่าข้อถูกทำลายไปมากน้อยเพียงใด เพราะอาจจะต้องผ่าตัด ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง มีอาการเป็น ๆ หาย ๆ สามารถใช้ข้อต่าง ๆ ได้เกือบเท่ากับคนปกติ จะมีผู้ป่วยส่วนน้อยประมาณร้อยละ 20 เท่านั้นที่มีอาการรุนแรง ทำให้เกิดความพิการ มีข้อบิดเบี้ยวผิดรูปร่างจนใช้งานไม่ได้ และมีผู้ป่วยจำนวนน้อยมาก ที่จะมีอาการอักเสบของอวัยวะอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตา หัวใจ หลอดเลือด ปอด ม้าม เป็นต้น โรคนี้เป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่ก็เป็นโรคที่สามารถควบคุมอาการได้ แต่ต้องใช้เวลานาน ดังนั้น ผู้ป่วยจะต้องมีความอดทนในการรักษาไม่ควรเปลี่ยนแพทย์หรือเปลี่ยนยาเองเพราะจะทำให้การรักษาไม่ต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลเสียอย่างมากต่อตัวผู้ป่วยเองโดยเฉพาะเมื่อเกิดความพิการขึ้นแล้วก็ไม่สามารถรักษาให้กลับมาเหมือนเดิมได้ สำหรับข้อที่มีการอับเสบอยู่แล้ว การรักษาจะเป็นการควบคุมโรคไม่ให้เป็นมากขึ้น ดังนั้นข้อก็อาจจะบวม ผิดรูปอยู่เหมือนเดิม ซึ่งไม่ได้หมายความว่าการรักษาไม่ได้ผล โรครูมาตอยด์มีความรุนแรงแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคน ดังนั้นแพทย์ก็จะให้การรักษาแตกต่างกันไป โดยเฉพาะในระยะแรกแพทย์อาจต้องปรับเปลี่ยนยาไปมา เพื่อหาว่ายาตัวใดเหมาะสมกับผู้ป่วยคนนั้นมากที่สุด ส่วนผลการรักษาจะดีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาที่เป็นโรค ความรุนแรงของโรค การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโดยเฉพาะการทำกายภาพบำบัดของข้อ และ การใช้ข้ออย่างถูกวิธี แนวทางการรักษา 1.การทำกายภาพบำบัดของข้อ เช่น -ประคบด้วยความร้อน หรือแช่ในน้ำอุ่น -ใส่เฝือกชั่วคราวในช่วงที่อักเสบมากหรือตอนกลางคืน เพื่อลดอาการปวดและป้องกันข้อติดผิดรูป -ขยับข้อให้เคลื่อนไหวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันข้อติดแข็ง โดยเฉพาะนิ้วมือและข้อมือ -ออกกำลังให้กล้ามเนื้อแข็งแรง โดยเฉพาะกล้ามเนื้อนิ้วมือ มือ และแขน ซึ่งอาจจะใช้วิธีบีบฟองน้ำ ลูกบอลยาง ลูกเทนนิสหรือเครื่องออกกำลังที่ใช้มือบีบอื่น ๆ รวมถึงการยกน้ำหนัก 1 - 3 กิโลกรัมร่วมด้วยก็ได้ -ใช้ข้ออย่างถูกวิธี พยายามกระจายแรงไปหลายๆข้อ เช่น ใช้มือสองข้างช่วยกันจับสิ่งของแทนการใช้มือข้างเดียว ใช้ข้อใหญ่ออกแรงแทนข้อเล็ก เช่น ใช้แขนเปิดประตูแทนใช้ข้อมือ หรือ ใช้อุ้งมือเปิดฝาขวดแทนใช้นิ้วมือ -ปรับสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้เหมาะสม เช่น ก๊อกน้ำควรเป็นแบบคันโยก ไม่ควรใช้แบบบิด-หมุน ประตูควรเป็นแบบเลื่อนเปิด-ปิดไม่ควรใช้ลูกบิด 2. ยากลุ่มระงับการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ในผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง จะช่วยลดอาการปวดและบวมตามข้อได้ค่อนข้างดี และเมื่อเลือกใช้ยาตัวใดก็ควรรับประทานยาติดต่อกันอย่างน้อย 2 อาทิตย์ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นจึงเปลี่ยนเป็นยาตัวอื่น ผลข้างเคียงที่สำคัญของยาทุกตัวในกลุ่มนี้คือ ปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ แสบท้อง เป็นแผลในกระเพาะอาหาร อาจจะมีบวมบริเวณหน้า แขน ขา ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไตวายเรื้อรัง และ ต้องระวังการใช้ยาในผู้สูงอายุ ยากลุ่มนี้จะมียาใหม่ที่มีผลข้างเคียงเกี่ยวกับการเกิดแผลในทางเดินอาหารน้อย แต่จะมีราคาค่อนข้างแพง จึงควรเลือกใช้ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลในทางเดินอาหารเช่น ผู้สูงอายุ หรือ ผู้ที่เคยมีแผลในทางเดินอาหาร 3. ยากลุ่มสเตียรอยด์ ยากลุ่มนี้มีทั้งชนิดกินและฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือฉีดเข้าข้อ จะใช้เมื่อการอักเสบรุนแรง แต่ไม่ควรใช้ในขนาดสูงหรือใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะผลข้างเคียงมาก เช่น กระดูกพรุน ไตวายเฉียบพลัน ติดเชื้อง่าย เมื่อหยุดยาก็จะกลับมีอาการขึ้นอีก ในช่วงที่มีการอักเสบมาก อาจใช้ในขนาดสูง เมื่ออาการดีขึ้นก็ควรลดยาลง 4. ยากลุ่มยับยั้งข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่ออกฤทธิ์ช้า เป็นยาที่ค่อนข้างอันตราย มีผลข้างเคียงมาก แพทย์จึงจะใช้ในกรณีที่ใช้ยากลุ่มอื่นแล้วไม่ได้ผล หรือในผู้ที่มีอาการอักเสบรุนแรง มีรูมาตอยด์แฟคเตอร์ในเลือดสูง ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ช้า กว่าจะเห็นผลต้องให้ยาติดต่อกันอย่างน้อย 2 เดือนขึ้นไป ยาที่ใช้บ่อย และค่อนข้างปลอดภัยคือ ยาคลอโรควิน ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาโรคมาลาเรีย และสามารถลดการอักเสบในโรครูมาตอยด์ได้ด้วย โดยมักจะใช้ควบคู่ไปกับยาในข้อ 2 มีผลข้างเคียงคือ คลื่นไส้ เวียนศีรษะ ตาพร่า ผื่นคัน ผิวแห้ง ผิวคล้ำ ซึ่งจะลดอาการทางผิวหนังได้โดยหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดโดยตรง แต่ถ้าเกิดผลข้างเคียงมาก เช่น ตาพร่า ก็ต้องหยุดใช้ยา ยาตัวอื่นในกลุ่มนี้ เช่น ยาMTX ยาเกลือทอง ยาที่มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย และ ยังมียาใหม่ ๆ ที่เริ่มนำมาใช้อีกหลายชนิด ซึ่งเป็นยาที่อันตราย มีผลข้างเคียงสูง ถ้าจะใช้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด 5. การผ่าตัด เช่น ผ่าตัดเลาะเยื่อบุข้อที่มีการอักเสบออก ผ่าตัดเย็บซ่อมหรือย้ายเส้นเอ็น ผ่าตัดเชื่อมข้อติดกัน ผ่าตัดกระดูกปรับแนวข้อให้ตรงขึ้น ผ่าตัดใส่ข้อเทียม การผ่าตัดถือว่าเป็นการรักษาปลายเหตุเพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น ............................................................ สมาคมรูมาติสซั่มแห่งประเทศไทย -= Thai Rheumatism Association =- โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์คืออะไร ? ข้ออักเสบเรื้อรังส่วนใหญ่เป็นโรครูมาตอยด์ใช่หรือไม่ ? สาเหตุของโรครูมาตอยด์คืออะไร ? ผู้ใดบ้างที่เป็นโรครูมาตอยด์ได้ ? เมื่อเป็นโรครูมาตอยด์จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ? การวินิจฉัย การตรวจหาสารรูมาตอยด์ในเลือดจะช่วยการวินิจฉัยหรือไม่ ? การรักษา เอกสารแนะนำข้อมูลโรครูมาตอยด์ สำหรับประชาชน https://www.thairheumatology.org/โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์/ คุณหมอคะ น้องสาวเค้าไปตรวจเลือดแล้วพบว่าเป็นรูมาตอยด์ ส่วนตัวเองเป็น arthritis หมอที่นี่บอกค่ะ แต่หมอให้ทานยาอยู่ตัวเดียวชื่อ Condrosulf 800 ก็ไม่เห็นหายเลยค่ะ ยิ่งอากาศหนาวๆ เจ็บนิ้วมือมาก อ้อ จะเป็นแต่ที่นิ้วมือเท่านั้นค่ะ มาอ่านเจอบทความของหมอ ชอบมากค่ะ
![]() ![]() ![]() โดย: Suessapple
![]() -ขอบคุณครับ .. ยานั้นเป็นยากลุ่มทำให้ขอ้เสื่อม อักเสบ ลดลง ไม่ได้ทำให้โรคหายขาดนะครับ ... คงต้องรักษาต่อเนื่อง แล้วก็บริหารด้วยนะครับ .. ขอให้ดีขึ้นเร็ว ๆ ... ![]() โดย: หมอหมู
![]() ขอบคุณ คุณหมอมากค่ะที่กรุณามาตอบหลังไมล์ บล็อกคุณหมอมีประโยชน์มากนะคะ..
โดย: ตัวp_box
![]() //www.thaiclinic.com/rheumatoid.html โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นโรคในกลุ่ม ออโตอิมมูนครับ ข้อจะมีการอักเสบเรื้อรัง ถ้าเป็นอยู่นานและไม่ได้รับการรักษาที่ดี ทำให้เกิดข้อพิการผิดรูปได้ครับ ส่วนใหญ่หรือเรียกได้ว่าเกือบทั้งหมดของโรคนี้ จะเกิดขึ้นกับข้อเล็ก ๆ ของนิ้วมือ และข้อมือครับ และต้องเป็นหลาย ๆ ข้อ เมื่อมีความรุนแรงขึ้น จึงเกิดขึ้นที่ข้อใหญ่ขึ้น ข้อที่อักเสบมักเป็นทั้งสองข้างในข้อตำแหน่งเดียวกัน เช่น ข้อเข่าทั้งซ้ายและขวา ข้อมือทั้งซ้ายและขวาเป็นต้น อาการ อาการส่วนใหญ่มักเป็นอาการปวดข้อนิ้วมือ ข้อมือ และข้ออื่นที่ปวดและมีอาการข้อติดยึด เคลื่อนไหวลำบาก มักเป็นมากในตอนเช้า และใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมง กว่าจะขยับข้อได้ดี และอาการทั้งหมดต้องเป็นตลอดมาติดต่อกันมากกว่า 6 สัปดาห์ครับ ผู้ป่วยบางรายอาจมีตุ่มก้อนรูมาตอยด์ขึ้นตามข้อศอกหรือข้อมือครับ โรคนี้มักมีอาการทางข้อเด่น ส่วนอาการในระบบอื่น พบไม่บ่อย แต่ก็พบได้ เช่น ปอดอักเสบ น้ำในช่องปอด เป็นต้น การวินิจฉัย อาศัยการซักประวัติที่มีอาการข้างต้น ร่วมกับการตรวจข้ออย่างละเอียด และตรวจเลือดพบรูมาตอยด์แฟคเตอร์ ให้ผลบวก ส่วนการถ่ายภาพรังสีของข้อ มักไม่จำเป็นในรายที่อาการและการตรวจร่างกายชัดเจนครับ เนื่องจากโรคนี้ทำให้เกิดข้ออักเสบ และถ้าไม่รักษาจะเกิดการทำลายข้อทำให้ผิดรูป และใช้งานข้อไม่ได้ เกิดความพิการขึ้นครับ จึงจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและต้องได้รับการดูแลโดยแพทย์เสมอครับ ไม่ควรรักษาเอง 1. ยาที่ใช้รักษาหลักได้แก่ ยาต้านการอักเสบที่มิใช่สเตอรอยด์ ครับ ยาดีที่สุดได้แก่ แอสไพริน นั่นเองครับ ในระยะแรกที่ข้ออักเสบมาก มีอาการปวดมาก อาจต้องกินในขนาดสูง (อาจสูงถึงวันละ 10-12 เม็ด) นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจได้รับยา คลอโรควิน เพื่อควบคุมโรคให้เข้าสู่ภาวะสงบได้ดีขึ้น โดยทั่วไปเริ่มกินยาวันละ 1 เม็ด เมื่ออาการดีขึ้นจะลดยาลงเป็นลำดับ ยาชนิดนี้ จะทำให้โรคสามารถควบคุมได้ดี และลดความพิการผิดรูปได้ครับ 2. ผลข้างเคียงของแอสไพริน อาจระคายกระเพาะอาหารได้ แต่สามารถเลี่ยงผลนี้ได้เมื่อกินยานี้ พร้อมอาหาร หรือหลังอาหารทันทีครับ ส่วนคลอโรควิน มีผลข้างเคียงน้อยมาก อาจทำให้ผิวคล้ำได้เล็กน้อย เมื่อใช้ในระยะแรก การกินยาในระยะยาวเป็นปี โดยไม่ลดยาลง อาจทำให้เกิดผลเสียต่อตาได้ครับ 3. ไม่ใช้ยาสเตอรอยด์ ในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เด็ดขาด เพราะนอกจากทำให้ผู้ป่วยได้รับผลข้างเคียงของยามากมาย เช่น หน้ากลม, แผลในกระเพาะอาหาร, ติดเชื้อง่าย, แผลหายยาก, ผิวบาง, เป็นเบาหวาน, กระดูกผุ แล้ว ยังเกิดผลเสียในระยะยาวทำให้ผู้ป่วย"ติดยา" เลิกยาไม่ได้ซึ่งยาดังกล่าวมักพบผสมในยาชุด ยาลูกกลอน ยาหม้อ ยาต้ม ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ยาสเตอรอยด์ ได้รับการศึกษาพิสูจน์แล้วว่า "ไม่ช่วย" ทำให้ผู้ป่วยเกิดความพิการน้อยลงแต่อย่างใดผิดกับ ยาคลอโรควินครับ 4. ต้องคอยบริหารข้อ เพื่อป้องกันการยึดติด และข้อผิดรูป การบริหารควรทำทุกวัน บ่อย ๆ ซึ่งวิธีทำไม่ยากเลย และใช้เวลาน้อย มีแค่ 2 ท่าเองครับ - ท่าแรก ท่าพนมมือ โดยให้ผู้ป่วยพนมมือ ใช้แรงพอควรดันเข้าหากัน จะช่วยทำให้ข้อไม่ยึดในท่างอนิ้ว และช่วยยืดข้อออก ทำให้ทำงานได้ นอกจากนี้การออกแรงพอควร ทำให้ช่วยบริหารข้อไหล่, ศอก และข้อมือด้วย เมื่อพนมมือสักครู่ ให้ยกมือขึ้น บนเหนือศีรษะ และยืดให้สุด แล้วยืดแขนออกมาด้านหน้า - ท่าที่สอง (ถ้ามีข้อเข่า ข้อเท้า อักเสบด้วย) ให้นั่งเก้าอี้ห้อยเท้า ยกขาขึ้นให้เข่าตรง และกระดกหลังเท้าขึ้น ทำท่านี้ค้างไว้ นับ 1-10 (ประมาณ 10 วินาที) แล้ววางลง ทำสลับข้าง ซ้าย-ขวา ทำทั้งสองท่าบ่อย ๆ ทุกวัน (อย่างน้อย วันละ 10-20 ครั้ง) จะสามารถป้องกันความพิการได้ 5. ไปตรวจรักษากับแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ อาจไปตรวจกับแพทย์อายุกรรมทั่วไป หรืออายุรกรรมโรคข้อ ก็ได้ครับ หรือจะไปตรวจรักษาตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เช่น ศิริราช, รามา, จุฬา หรือที่อื่น ๆ ก็ได้ครับ ที่เดินทางสะดวก เพราะต้องรักษาในระยะเวลานาน โดย นพ.มานพ พิทักษ์ภากร อายุรแพทย์ ![]() โดย: หมอหมู
![]() ![]() แพทตามมาอ่านบล็อครอบสองค่ะพี่หมู
เปลี่ยนล็อคอินใหม่จาก ตัวp_box เป็น pt_boxแล้วจ้า ขอบคุณพี่หมอมากค่ะที่ไปไขข้อข้องใจใน fb.. ![]() ![]() ![]() โดย: pt_box
![]() บล็อคดีๆ ต้องโหวตเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆนะคะ โดย: กลมขึ้นทุกวัน
![]() โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=05-01-2008&group=5&gblog=2 โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ กายภาพบำบัด https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=20-01-2008&group=5&gblog=3 โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ข้อแนะนำเกี่ยวกับยา MTX (เมทโทรเทรกเสด หรือ ยาต้านมะเร็ง) https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=21-02-2008&group=5&gblog=4 โรครูมาตอยด์ในเด็ก https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=26-02-2008&group=5&gblog=7 โรคเอสแอลอี หรือ โรคลูปัส https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=08-03-2008&group=5&gblog=9 การตรวจทางห้องปฏิบัติการ (ตรวจแลบ) https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=10-02-2008&group=4&gblog=9 โรคข้ออักเสบ https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=23-12-2007&group=5&gblog=1 เวบสมาคมรูมาติซั่มแห่งประเทศไทย ( หมออายุรกรรมโรคข้อ ) //www.thairheumatology.org/index.php เวบสมาคมรูมาติซั่ม รายชื่อแพทย์รูมาโต ( หมออายุรกรรมโรคข้อ ) //www.thairheumatology.org/list_bkk.php โดย: หมอหมู
![]() |
บทความทั้งหมด
|