|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ทอย (53)
ผู้ว่าลินคอนรีบตะกายกลับออกมาจากประตูซึ่งตอนนี้มีความสูงลดลงไปเกือบครึ่งหนึ่งเพราะถูกหิมะ และก้อนน้ำแข็งท่วมทะลักเข้ามาจากภายนอก เขารีบมองสำรวจพื้นที่โดยรอบซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวสกปรกขมุกขมัว มีเศษวัสดุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจาก หลังคา กระจก ป้าย และสิ่งอื่นๆ ที่หักพังลงมาจากการถูกกระแทก แต่พวกมันก็ไม่ได้เลวร้ายมากเท่ากับที่เขาได้จินตนาการเอาไว้
'ความสูง มันเป็นเพราะระดับความสูง และอัตราเร่งอะไรพวกนั้น'
เขาเคยเห็นมาแล้วว่าลูกเห็บก้อนเล็กๆ นั้นสามารถทำความเสียหายได้มากมายเพียงใด แต่นั่นคงเป็นเพราะว่าพวกมันตกลงมาจากความสูงในระดับเดียวกันกับก้อนเมฆ จากความเร่งที่เกิดขึ้นเพราะพายุ ซึ่งแตกต่างจากหิมะน้ำแข็งพวกนี้ที่เพียงตกลงมาจากความสูงที่อยู่เหนือยอดตึกนคราภิวัฒน์ขึ้นไปไม่มากนัก บางที โทมัส อัลวา เอดิสัน หรือเอ็ดเพื่อนเก่าของเขา อาจมีคำอธิบายที่ประกอบไปด้วยตัวเลข สมการต่างๆ ที่มีรายละเอียดมากกว่านี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกมันก็ยังนับเป็นความเสียหายอยู่ดี
เขากวาดตามองต่อไป พร้อมกับที่สมองของเขาค่อยๆ แปรผลจากภาพที่ไม่คุ้นเคยเหล่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากพบเห็น นอกจากเศษซากสิ่งต่างๆ แล้ว ภายใต้กองหิมะน้ำแข็งพวกนี้ยังมีบางส่วนของร่างกายมนุษย์ยื่นโผล่ออกมา ผู้คนที่หลบหนีไม่ทันท่วงที หย่อมของสีชมพู และสีแดงที่แต้มอยู่ตามที่ต่างๆ อันเกิดจากโลหิตที่ซึมขึ้นมา หรือหยดลงบนพื้นผิวสีขาวขุ่น แล้วหูของเขาก็กลับมาทำงานอีกครั้ง เสียงที่อยู่รอบตัวพลันดังขึ้นพร้อมกัน มันไม่ใช่เสียงดนตรีแห่งงานเฉลิมฉลองอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเสียงร้องไห้ เสียงตะโกนขอความช่วยเหลือ สลับกับเสียงกรีดร้องอันเกิดจากความเศร้า และความหวาดกลัวที่ดังระงมไปทั่ว
'ต้องรีบควบคุมสถานการณ์'
เขาคือผู้ว่าของมหานครแห่งนี้ เขาคือผู้นำ เขาคือทุกสิ่ง เขารีบวิ่งตรงไปยังจุดที่เครื่องขยายเสียงบนเวทีชั่วคราวเคยตั้งอยู่ เขาลื่นล้มลงไปหลายครั้ง เขาไม่หวั่นไหวไปกับสภาพพังเสียหายของพวกมันที่เห็น เขาพยายามจนกระทั่งแน่ใจว่าไม่อาจใช้งานมันได้อีก เขาพยายามออกคำสั่งต่างๆ กับเหล่าชาวเมืองที่แตกตื่นสับสนให้กลับมาสู่ระเบียบ พยายามที่จะเรียกสติของชาวเมืองให้กลับคืนมา ให้ร่วมแรงร่วมใจช่วยกันคลี่คลายสถานการณ์ตรงหน้า
แต่เขาได้รับการตอบสนองเป็นเสียงกรีดร้อง หรือไม่ก็แววตาที่มีแต่ความหวาดกลัว ภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิด อากาศหนาวเย็น และเกร็ดหิมะที่โปรยปรายลงมาไม่ยอมหยุด
งานเฉลิมฉลองคืนแห่งของขวัญในปีนี้ต้องสิ้นสุดลง ไม่มีเสียงดนตรี ไม่มีการเต้นรำ ไม่มีความคาดหวังถึงอนาคต เวลาเที่ยงคืนย่างใกล้เข้ามาอย่างที่ไม่เคยเป็น บางทีมันอาจเป็นเที่ยงคืนครั้งสุดท้ายของมหานคร ของมนุษยชาติ เที่ยงคืนอันมืดมิดแห่งฤดูหนาวที่จะไม่ยอมจากไปอีกเลย
โลกกำลังจะหวนคืนสู่ยุคน้ำแข็งแห่งความนิ่งสงบอีกครั้ง
#####
ท่านหญิงนั่งเหม่อมองสายน้ำที่ไหลผ่านใต้สะพานลอนดอนเก่าซึ่งพึ่งสร้างเสร็จได้ไม่นาน หลังจากที่ต้องใช้เวลา แรงงาน และเงินทุนจำนวนมหาศาล รวมกับการแก้ไขปัญหาอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นเป็นความช่วยเหลือของนางอย่างลับๆ มันเป็นสะพานแห่งแรกที่ได้เชื่อมทั้งสองฟากฝั่งให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน จุดเริ่มต้นที่จะทำให้หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้เติบโตขึ้นจนกลายเป็นเมืองขนาดใหญ่อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด
มหานคร อันเต็มไปด้วยความหลากหลาย ทั้งจากผู้คน เชื้อชาติ ประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ ที่ผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างแปลกประหลาด รวมไปถึงคนเก่าแก่เหล่านั้นที่ล้วนต่างก็ถูกดึงดูดให้มาอยู่รวมกันด้วย
นางไม่เคยแน่ใจว่า ระหว่าง คนเก่าแก่ กับ ความเชื่อของมนุษย์ นั้น สิ่งใดกันที่เกิดขึ้นก่อน ใช่มี คนเก่าแก่ที่สุด ซึ่งสร้างมนุษย์ขึ้นมาจริงหรือไม่ ถ้าอย่างนั้นแล้วคนเก่าแก่ผู้นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครที่เป็นคนสร้างเขาหรือเธอขึ้นมา หรือว่าเป็นความเชื่อของพวกมนุษย์ต่างหากที่ได้ให้กำเนิดคนเก่าแก่ขึ้นในลำดับแรก ถ้าอย่างนั้นแล้วพลังอำนาจต่างๆ ของคนเก่าแก่จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ใช่เป็นเพราะพวกมนุษย์มีพลังลึกลับซ่อนเร้นอยู่ภายในหรือไม่ พลังงานที่แม้แต่พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่ามีอยู่ ไม่รู้แม้แต่วิธีที่จะนำมันออกมาใช้งานได้อย่างถูกต้อง
'คิดไปก็เสียเวลาเปล่า'
นางได้ใช้วันเวลาที่ผ่านไป ทั้งในฐานะของผีดูดเลือดตัวน้อย มารดา และตัวของท่านหญิงเอง เพื่อค้นหาคำตอบของคำถามที่นางกำลังเผชิญอยู่ นางควรที่จะพยายามแก้ไขสิ่งต่างๆ หรือปล่อยให้มันเกิดขึ้นอย่างที่เคย นางควรกลับออกจากโลกความฝันนี้ กลับคืนสู่โลกความเป็นจริง กลับสู่โลกในปัจจุบัน ซึ่งตอนนี้นางยิ่งรู้สึกไม่แน่ใจแล้วว่ามันคือช่วงเวลาใดกันแน่
นางได้รับคำตอบนั้นมาเพียงบางส่วน การแก้ไขอดีตทำได้ยาก พวกมันเป็นเหมือนกับสายน้ำที่กำลังไหลอยู่ตรงหน้าในเวลานี้ สายน้ำที่เป็นสีทองระยิบระยับเพราะสะท้อนลำแสงสุดท้ายก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้า สายน้ำนี้ก็เปรียบได้กับการไหลไปของประวัติศาสตร์กาลเวลาทั้งหมด และการพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงพวกมัน ก็คงไม่ต่างจากการที่นางพยายามจะใช้มือทั้งสองไปวักน้ำเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นนั่นเอง
แน่นอนที่มันต้องมีความเปลี่ยนแปลง แต่สุดท้ายสายน้ำทั้งหมดก็ยังคงไหลไปอยู่ดี
'ที่จริงฉันก็ควรตัดใจจากไปได้ตั้งนานแล้ว' แต่สุดท้าย นางก็ยังคงอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่ กลายเป็นผู้ที่หลงงมงายอยู่ในโลกความฝันซึ่งดูไม่เป็นตัวของนางเลยสักนิด หรืออาจจะยังมีกับดักของสาวน้อยหมวกแดงที่ยังเหลืออยู่ เป็นบ่วงที่คอยดึงนางเอาไว้ เป็นบางสิ่งที่นางยังคงไม่รู้ตัว
...สวัสดีจ้ะ
เสียงทักทายใสๆ นั้นดังขึ้นใกล้ๆ และทำให้นางต้องตกใจที่มีใครสามารถเข้ามาโดยที่นางไม่รู้ตัวแบบนี้ แต่นางก็พยายามที่จะเก็บอาการทั้งหมดนั้นเอาไว้ภายใต้รอยยิ้ม และตอบคำทักทายนั้นกลับไป
น้ามานั่งทำอะไรอยู่คนเดียวตรงนี้จ้ะ เด็กสาวในชุดเสื้อกางเกงซึ่งเหมาะกับการทำงานหนักภายในไร่นายิ้มให้ ก่อนขยับเดินเข้ามาใกล้ ซึ่งนางก็ทำมือบอกให้เธอนั่งลงที่ด้านข้าง เด็กสาวนั้นมีกล้ามเนื้อที่เกิดจากการใช้แรงทำงาน ร่างกายไม่ได้บอบบางอ้อนแอ้นเหมือนกับหญิงสาวของมหานคร แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรเมื่อเทียบกับเรี่ยวแรงมหาศาลของผีดูดเลือดที่นางมีอยู่
ฉันไม่คุ้นหน้าน้าเลย เธอเอ่ยถามในขณะที่เหม่อมองออกไปที่สายน้ำตรงหน้า
ที่จริงแล้วฉันอาศัยอยู่ทางฟากโน้น นางชี้ไปยังฝั่งตรงข้าม ฉันย้ายมาจากหมู่บ้านอื่น วันเวลาที่ผู้คนในหมู่บ้านทั้งหมดต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว และสถานที่แห่งนี้ก็กลายสภาพมาเป็นเมืองเล็กๆ ซึ่งเธอคนนั้นก็พยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจ
ถึงตอนนี้ นางนึกออกแล้วว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นใคร เธอไม่ใช่คนที่มีความสำคัญอะไร ไม่ใช่หนึ่งในตัวหมากที่นางจำเป็นต้องคอยจับตาเอาไว้ แต่เธอก็เป็นลูกสาวของเด็กผู้หญิงคนนั้น คนที่เคยมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดตำนานของ จอห์น เวย์ ขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะไม่เคยถูกเอ่ยอ้างชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ที่ใดเลยก็ตาม
เธอเป็นลูกสาวคนโตของเกรท สองพี่น้องฮันเซลกับเกรเทลนั้นเติบโตขึ้น ถึงแม้ทั้งสองจะเคยรักกันมากเพียงใด สุดท้ายต่างคนต่างก็แยกย้ายไปมีครอบครัวของตนเอง ต่างมีทายาท แล้วทั้งคู่ก็แก่ชราลง และต้องตายจากกันไปในที่สุด ซึ่งแตกต่างจากนางมากเหลือเกิน ที่ผ่านมาไม่รู้ว่ามีมนุษย์จำนวนมากเท่าใดที่ออกเสาะแสวงหาความเป็นอมตะ แทนที่จะใส่ใจในมหัศจรรย์แห่งการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาไม่เคยรู้เลยว่ากาลเวลาอันไม่สิ้นสุดนั้นจะส่งผลอย่างไรกับจิตใจของพวกเขาได้บ้าง
แล้วเธอล่ะ มาทำอะไรในที่แบบนี้กัน นางเป็นฝ่ายถามบ้าง
เด็กสาวนั่งเงียบ ทอดสายตามองออกไปเบื้องหน้า แสงระยิบระยับในสายน้ำนั้นจางหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือทิ้งไว้เพียงความมืดดำ และเงาจากตัวสะพานลอนดอนเก่า หรือยังคงใหม่อยู่ในตอนนี้ที่ทอดลงมา เงานั้นยาวขึ้น และยาวขึ้น กลืนกินทุกสิ่งเข้าไปภายในตัวของมันอย่างรวดเร็ว
'เกิดอะไรขึ้น'
นางพลันรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างภายในจิตใจ สัญชาตญาณอันแรงกล้าที่นางให้ความเชื่อถือมาโดยตลอดนั้นกำลังทำหน้าที่ของมัน และแสดงการเตือนออกมาอย่างสุดกำลัง 'มีบางสิ่งที่สำคัญกำลังเกิดขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับเด็กสาวผู้นี้ และการตอบสนองของฉันอาจตัดสินว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปข้างหน้า'
มันดูเหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้เลยว่า แค่เพียงการพบกันโดยบังเอิญระหว่างหญิงสองคน ในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับหายไปจากขอบฟ้า ณ ริมสายน้ำใต้สะพานลอนดอน จะทำให้เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น แต่นางรู้ดียิ่งกว่านั้น นางรู้ว่ามันอาจจะเป็นไปได้ และแค่เพียง อาจจะ มันก็มากเกินพอแล้วสำหรับสายน้ำแห่งประวัติศาสตร์กาลเวลาอันยากหยั่งถึงนี้
'บางที มันอาจช่วยอธิบายได้ว่า ทำไมฉันถึงยังไม่ยอมตื่นจากโลกความฝันนี้เสียทีก็เป็นได้'
#####
แอนตี้ ไจแอน แจ็ค ไม่รู้แล้วว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน ร่างกายของเขาคล้ายกับกำลังล่องลอยไปในหมู่เมฆอย่างไร้ความกังวล เขาเลิกสงสัยแล้วว่าเหตุใด คุณครอส ซึ่งเป็นเจ้าของร้านของเล่นจึงให้ความสนใจ และเป็นผู้สนับสนุนแต่เพียงผู้เดียวให้กับการขุดค้นเมฆาปราสาทซึ่งเป็นเหมือนกับเรื่องราวในเทพนิยายครั้งนี้ โดยแลกกับการที่คุณครอสจะต้องเป็นคนแรกที่ได้เห็นรายงานของการสำรวจในครั้งนี้
ภายในหัวของเขาอัดแน่นไปด้วยนามเพียงหนึ่งเดียว ชื่อของเทพีโบราณที่ถูกสลักอยู่บนกำแพงที่ถูกลืม เขาไม่ได้ยินเสียงจากความพยายามของทศ ผู้ช่วยของเขาที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เด็กหนุ่มกำลังยืนอยู่ต่อหน้าภาพสลักโบราณนั้น เขาพยายามใช้ก้อนหินที่หาได้จากบริเวณใกล้เคียงขูดลงไปบนภาพสลักเพื่อที่จะลบเลือนบางสิ่ง สิ่งที่เขาคิดว่ามีความสำคัญ
พายุหิมะรุนแรงข้างนอกนั้นไม่ใช่เรื่องปกติ เขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้านของเขา ภายใต้สภาพอากาศเช่นนี้พวกเขาจะไม่อาจออกล่าสิ่งใด อาหารที่เก็บสะสมไว้จะหมดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเสบียงหมดลง และยังคงเหลือคนที่มีชีวิต นั่นจะเป็นช่วงเวลาที่เรื่องราวชั่วร้ายซึ่งถูกเล่าขานสืบต่อกันมาเริ่มต้นขึ้น
เรื่องราวของยักษ์ที่ออกมาไล่จับผู้คนกินเป็นอาหารในฤดูหนาวที่ยากแค้นยาวนานกว่าปกติ เพียงแต่เขารู้ดียิ่งกว่านั้น ยักษ์ที่ว่ามาจากที่ใด และมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ความอดอยากหิวโหยนั้นโหดร้ายได้อย่างคาดไม่ถึง มนุษย์ที่อดอยากหิวโหยก็เช่นกัน
ก้อนหินในมือของเขาค่อยๆ แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในขณะที่กำแพงภาพสลักนั้นกลับเกิดความเสียหายขึ้นเพียงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าคงไม่มีหินชนิดใดในบริเวณนี้ที่มีความแข็งมากกว่าหินที่ใช้สร้างกำแพงนี้ขึ้นมาอีกแล้ว เขาอยากที่จะเดินย้อนกลับไปเพื่อค้นหาเครื่องมือซึ่งทำด้วยเหล็กจากข้าวของของแจ็ค แต่สิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับแจ็คซึ่งถูกเขาจับมัดเอาไว้ในถุงนอนก็ทำให้เขาไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้อีก
ทศพยายามลองอีกหลายครั้งกับหินก้อนอื่นๆ ยกมันขึ้น ทุบมัน ทุ่มมันเข้ากับกำแพง แต่ก็ไม่เกิดผล
นามเหล่านั้นค่อยๆ ไต่จากส่วนลึกภายในสมองออกไปที่ริมฝีปากของแจ็ค พวกมันล้วนแล้วแต่ยั่วยวน ทำให้เขายิ้มออกมาอย่างมีความสุข ความรู้สึกทั่วทั้งร่างของเขาถูกกระตุ้น แล้วในที่สุดริมฝีปากของเขาก็เริ่มที่จะขยับ มันเหมือนกับพยายามที่จะเปล่งเสียงคำว่า 'อา' หรือ 'ออ' ออกมาให้ได้
#####
พอได้แล้ว
โฮมใช้มือปิดปากเด็กชายเอาไว้แน่น หลังจากที่วสันต์พยายามที่จะปลอบโยนให้เขาสงบลง และเลิกร้องเรียกหาพ่อของเขาอย่างไม่เป็นผล เขาย่อตัวลง จ้องตากับเด็กชายที่ชื้นเต็มไปด้วยน้ำตา
เลิกร้องได้แล้ว พ่อของเธอยังไม่ตาย เราต้องรีบหาทางตามไปช่วยเขา แต่ถ้าเราไปไม่ทัน ถึงตอนนั้นเขาอาจจะ... เขาค่อยๆ คลายมือออก ถึงแม้เด็กชายยังคงสะอึกสะอื้นอยู่ แต่ก็ไม่ได้โวยวายเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้
พ่อของเธอมีแผนบางอย่าง เขาเป็นตำรวจมานาน เขาคิดว่าตนเองรู้จักกับวายร้ายทั้งหลายดี คนพวกนั้นอาจไม่ฉลาดนัก แต่เขายังรู้จักกับวายร้ายอีกแบบหนึ่ง วายร้ายชนิดที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นวายร้าย คนพวกนี้จะฉลาด มีแผนการ และไม่ทำอะไรผิดพลาดง่ายๆ ซึ่งเขาจัดแซนแมนที่พึ่งเคยพบเจอกันเป็นครั้งแรกให้เข้าไปอยู่ในกลุ่มนี้ได้ในทันที
เขาไม่ได้โผล่มาที่นี่เพื่อจะทำอะไรผิดพลาดอย่างที่เขาบอกแน่
โฮมยังไม่ใจร้ายพอที่จะบอกความเห็นทั้งหมดที่เขามีกับแซนแมนให้เด็กชายฟัง โดยเฉพาะเมื่อยังคงมีวสันต์คอยปลอบโยนอยู่ใกล้ๆ และส่งยิ้มให้เขาเพราะเข้าใจว่าเขากำลังพยายามช่วยเหลือเด็กคนนี้อย่างเต็มที่ แต่เขาไม่มีทางที่จะคิดอะไรดีดีกับแซนแมนผู้นั้นได้อย่างเด็ดขาด
พ่อของเธอมีแผน และเราก็จะทำตามแผนของเขา
'ซึ่งถ้าเกิดมันไม่ได้ผลขึ้นมา มันก็จะเป็นแผนของ เขา ไม่ใช่เป็นแผนของฉัน' แต่ถ้ามันได้ผล อย่างน้อยเขาก็เป็นคนที่เฉลยมันให้ทุกคนได้รับรู้ 'ซึ่งก็ไม่แย่นัก'
สาวน้อยหมวกแดงต้องพาตัวแซนแมนไปยังสถานที่ที่มีแต่เธอเท่านั้นจะสามารถไปถึงได้ และมันก็น่าจะเป็นสถานที่เดียวกันกับที่เธอกักขังตัวคุณครอสเอาไว้ด้วย สโนวรับฟังอย่างตั้งใจ ดังนั้นหากพวกเราตามไปได้สำเร็จ ก็จะเป็นการปิดคดีทั้งหมดลงได้ในคราวเดียวกันเลยทีเดียว
สารวัตรโฮมค่อยๆ บอกเล่าถึงเบาะแสที่เขาใช้ในการคลี่คลายเงื่อนปมที่แซนแมนจงใจทิ้งไว้ให้อย่างตั้งใจ
Create Date : 07 กันยายน 2557 |
|
0 comments |
Last Update : 7 กันยายน 2557 16:54:13 น. |
Counter : 562 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|