ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2557
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
26 ตุลาคม 2557
 
All Blogs
 

ทอย (60)

ลินคอนเคยจินตนาการถึงวาระสุดท้ายของตนเองมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่เคยเลยสักครั้งทึ่คิดว่ามันจะจบลงแบบนี้ ก่อนหน้านี้เพียงไม่นานเขาเคยสิ้นหวังไปครั้งหนึ่งแล้วกับความหนาวเย็น แต่ก็กลับมามีความหวังขึ้นใหม่ได้อีกครั้ง และเขาก็หวังว่าตนเองจะสามารถผ่านพ้นเหตุการณ์คับขันครั้งนี้ไปได้ ความหวังนับเป็นสิ่งดี เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีกำลังที่จะมุ่งต่อไปข้างหน้า แต่ในบางครั้ง การมีความหวังเพียงอย่างเดียวก็อาจไม่เพียงพอ

เขายังไม่อยากยอมแพ้ แต่ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าเขาจะเคยทำสิ่งใดมา ทุกอย่างจะจบลงที่ตรงนี้ ด้วยท่อนเหล็กในมือของชายหนุ่มที่เขาเชื่อว่าช่างเป็นคนที่ไร้ความคิดสิ้นดี แต่ใครกันเล่าจะเป็นผู้ตัดสินเรื่องราวเหล่านี้

เขายังอยากมีโอกาสที่จะได้จดบันทึกเหตุการณ์ลงในสมุดลึกลับเล่มนั้น เพื่อให้มีคนได้รับรู้ เพื่อที่จะได้ตกทอดเรื่องราวของตนสืบต่อไป ไม่ว่ามันจะมีอนาคตแบบใดรออยู่ก็ตาม แล้วเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ที่ผ่านมาตัวเขาเองเพียงสนใจในข้อมูล แต่ไม่เคยใส่ใจเลยว่าผู้ที่บันทึกเรื่องราวเอาไว้ภายในสมุดเล่มนั้นจะเป็นผู้ใด ในทำนองเดียวกัน จะมีใครสนใจว่าเขาเคยเป็นใครบ้างหรือไม่ หรือคนเหล่านั้นก็คงจะเป็นเหมือนกับตัวเขา ที่เพียงแค่สนใจในสิ่งที่ตนจะได้รับ กับเรื่องราวของตัวเองที่อยากจะบันทึกลงไปบ้างเท่านั้น

ในอดีต เขาเข้าร่วมรบในสงคราม ต่อสู้กับผีดูดเลือด พยายามทำทุกอย่างไม่ว่าจะผิดหรือถูก ก็เพื่อให้ทุกคนในมหานครแห่งนี้มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม แล้วชาวเมืองส่วนใหญ่ต่างก็ให้ความร่วมมือกับเขา 'แล้วทำไมในครั้งนี้ถึงไม่มีใครยอมฟังฉัน หรือเป็นเพราะว่าเหตุการณ์นั้นร้ายแรงจนเกินไป' เมื่อก่อนเขาทำสิ่งต่างๆ เพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่สมควรทำ ไม่เคยนึกถึงเรื่องของชื่อเสียง หรือผลประโยชน์ใดใดที่ตนจะได้รับ ซึ่งดูเหมือนจะแตกต่างจากตัวเขาที่ได้กลายมาเป็นผู้ว่าลินคอนแบบในตอนนี้ คนที่คิดว่ายังทำทุกอย่างเพื่อมหานคร เพื่อชาวเมือง หรือที่จริงแล้วทำเพื่อตนเองกันแน่

“ทำร้ายคนสูงอายุแบบนี้มันไม่ดีรู้ไหม”

เสียงลึกลับดังขึ้นจากทางด้านหลังของชายหนุ่มที่กำลังจะหวดท่อนเหล็กใส่ร่างของลินคอนซึ่งนอนตัวงออยู่บนพื้นหิมะ ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาผู้นี้โผล่มาจากที่ใด ราวกับว่าเขาสามารถล่องหนหายตัว หรือไม่ร่างกายของเขาก็อาจจะเกิดจากการรวมตัวเข้าด้วยกันของอากาศ

ชายหนุ่มสะดุ้งพร้อมรีบหันกลับมาเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงลึกลับนี้ ใบหน้าที่ตื่นตกใจในตอนแรกของเขาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเมื่อได้เห็นว่าผู้มาใหม่เป็นเพียงชายชราอีกคน แถมยังรูปร่างเล็ก และมีเพียงมือเปล่าเท่านั้น แต่ชายชราผู้นี้มีรอยยิ้มที่กวนที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอมา ฟันที่หลอไปของชายชราคล้ายกับจะสามารถเยาะเย้ยถากถางทุกคนที่ได้พบเห็น

'ฉันอยากจะเลาะฟันที่เหลือพวกนั้นออกมาเหลือเกิน' นั่นเป็นความคิดแวบแรกของชายหนุ่ม และผู้คนอีกมากที่เคยได้พบเห็นรอยยิ้มนี้มาก่อน

“ในเวลาแบบนี้ พวกเราควรที่จะร่วมมือกัน ไม่ใช่มาแตกแยกกันเองแบบนี้ และฉันไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการใช้กำลังทำร้ายผู้สูงอายุไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม” เขาพูดพร้อมกับก้าวเข้าไปหาลินคอน โดยหันหลังให้กับชายหนุ่ม ทำตัวราวกับไม่เข้าใจในอันตรายที่กำลังเผชิญอยู่แม้แต่น้อย

“แต่ผมไม่คิดแบบนั้น” ชายหนุ่มแกล้งพูดอย่างนอบน้อมพร้อมกับควงแท่งเหล็กในมืออย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเสียงดัง “ในช่วงเวลาวุ่นวายแบบนี้ ผู้ที่เข้มแข็งจะต้องก้าวออกมาจัดการกับปัญหา” ชายหนุ่มยิ้มกว้างพร้อมกับกระชับท่อนเหล็กในมือ “โดยเฉพาะพวกที่ชอบทำตัวเป็นปัญหา”

ชายหนุ่มเหวี่ยงท่อนเหล็กไปที่ศีรษะของชายชราเต็มแรง และหวังว่าจะได้เห็นฟันที่เหลือพวกนั้นหลุดกระเด็นออกมา

“เธอไม่ได้ฟังฉันเลย” ชายชราพูดพร้อมกับที่ร่างเล็กเล็กนั้นลอยขึ้นจากพื้นได้ราวกับไร้น้ำหนัก ไม่ควรมีใครสามารถกระโดดได้สูงขนาดนั้น ชายชราม้วนตัวก่อนที่จะหมุนกลับลงมายืนเหยียบลงบนท่อนเหล็กได้อย่างแม่นยำ และร่างนั้นก็ไม่ได้ไร้น้ำหนักอย่างที่หลายคนสงสัย ชายหนุ่มล้มลงกระแทกพื้นในขณะที่ท่อนเหล็กถูกชายชรายืนเหยียบเอาไว้บนผืนหิมะได้อย่างมั่นคง น่าแปลกที่จนถึงตอนนี้ แม้จะนอนอยู่บนพื้นไปแล้ว ชายหนุ่มกลับไม่คิดที่จะปล่อยแท่งเหล็กในมือไป

“ปล่อยมือได้แล้ว” จนเมื่อชายชราส่งเสียงเตือน ชายหนุ่มก็ยังลังเล แต่สุดท้ายเขาก็ยอมปล่อยมือแต่โดยดี วงล้อมแตกกระจาย สมาชิกบางส่วนวิ่งหนีไปไกลแล้ว บางส่วนยังยืนลังเลแต่ก็ขยับถอยห่างออกมา ไม่มีใครคิดที่จะเข้าไปช่วยชายหนุ่มเลยแม้แต่คนเดียว

“ถ้าไม่คิดจะไปรวมกับคนอื่นๆ ที่ลานหน้าตึกนคราภิวัฒน์ ก็กลับบ้านไป เธอยังไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำของใคร แม้แต่เป็นแค่ผู้นำของตัวเองก็ตาม” ชายชราก้าวลงจากท่อนเหล็ก ก่อนที่จะตรงเข้าไปประคองลินคอนให้ลุกขึ้นนั่ง วงล้อมที่เหลือต่างทยอยจากไป ชายหนุ่มหัวโจกยังยืนลังเลอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันหลังเดินจากไปเช่นกัน ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเขาเลือกจะไปที่ใดกันแน่

“เป็นอย่างไรบ้างท่านผู้ว่า” ชายชราถามด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ใช่รอยยิ้มเมื่อครู่ มันยังคงฟันหลออยู่เช่นเดิม แต่ดูเป็นมิตรมากกว่า

“...ผมนึกว่าจะได้เห็นมีดของแจ็คจอมเสียบด้วยตาตนเองเสียอีก” ความเจ็บปวดบนร่างนั้นยังคงอยู่ แต่ความกดดันในจิตใจได้ผ่อนคลายลงแล้ว ลินคอนไม่แน่ใจว่าเป็นสิ่งใดที่ก่อความทุกข์ให้กับเขาได้มากกว่ากันแน่

“หรือท่านผู้ว่าอยากจะเห็น” ลินคอนจ้องมองรอยยิ้มของแจ็คที่เปลี่ยนไปแวบหนึ่ง รับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวเย็นเยียบที่วิ่งไล่ไปตามไขสันหลังของตน แต่มันก็เพียงแค่นั้น เพราะแจ็คส่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นเมื่อได้เห็นใบหน้าของเขา ก่อนที่จอมเสียบจะเริ่มสำรวจไปตามร่างกาย และสรุปอย่างแปลกใจว่าไม่ได้มีอะไรแตกหักเสียหายร้ายแรง หากไม่ใช่เป็นเพราะชายหนุ่มคนนั้นไม่ได้เรื่องยิ่งกว่าที่เห็น ก็คงเป็นเพราะเขาขยับหลบเลี่ยงป้องกันส่วนสำคัญไว้ได้ ไม่อย่างนั้นก็อาจเป็นเพราะโชคล้วนๆ

“นั่งพักสักครู่ แล้วเราค่อยออกติดตามพวกของคุณที่ล่วงหน้าไปก่อน”

ลินคอนไม่อยากเสียเวลา แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธ เพราะแค่เพียงขยับตัวลุกขึ้นนั่ง เขาก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่างแล้ว เขาเชื่อว่าทั้งสามคนนั้นคงจะปลอดภัยหากไม่โชคร้ายจนเกินไป เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่ใครจะไล่ติดตามทำร้ายพวกเขา แต่การที่มือสังหารอย่างแจ็คจอมเสียบโผล่ออกมาช่วยเหลือเขานั้นออกจะเหนือความคาดหมายไปมาก

“ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ค่อยดีใจที่เราได้พบกัน...ผมรู้ว่าคนส่วนใหญ่นั้นไม่เคยดีใจที่ได้เจอกับผม แต่วันนี้ผมไม่ได้มาเพราะเรื่องงาน คุณเองก็น่าจะรู้อยู่แล้ว”

“ผมรู้...แต่ผมไม่คิดว่าคุณจะยังอยู่ภายในมหานคร...” ที่จริงแล้วลินคอนอยากให้แจ็คไปอยู่ในสถานที่อื่น กำลังเฝ้าติดตามใครอีกคนมากกว่า ใครที่อาจจะช่วยพลิกผันเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้

#####

คุณครอสพุ่งเข้ามาคว้าแขนอีกข้างของสโนวเอาไว้ ในขณะที่แซนแมนเองก็เข้ามาคว้าแขนอีกข้างของโฮมไว้ได้เช่นกัน ทั้งห้าคนได้จับมือต่อกันเป็นหนึ่งในชั่วขณะนั้น แต่อัลฟาไม่ได้ใส่ใจ ไม่ว่าพวกเขาคิดทำอะไร จะไม่มีสิ่งใด ไม่มีเหตุการณ์ไหน ที่จะสามารถหยุดยั้งนางไว้ได้อีกแล้ว

ทอยปล่อยมือจากทุกคน ให้คุณครอสจับมือสโนวเอาไว้ ให้แซนแมนจับมือกับโฮม ทั้งสองคนนับว่าปลอดภัยชั่วคราวแล้วในตอนนี้ เขาได้เคยก้าวถอยหลังมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่มันก็ยังคงเป็นทางตัน แล้วเขาจะทำอย่างไรได้ นอกจากต้องก้าวถอยหลังไปอีกครั้ง การถอยหลังครั้งแรกนั้นได้นำพาเขาเข้าสู่ช่องว่างของเส้นแกนเวลา ทุกอย่างดูเชื่องช้าลง และตัวเขาได้หลุดออกจากความเป็นจริงของทุกสิ่งในชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งเขาได้นำพาบางสิ่งจากในช่องว่างนั้นให้ติดตามมาด้วยตั้งแต่นั้น บางสิ่งที่เขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่าคืออะไร
เขาได้ละทิ้งทุกสิ่งไปเพื่อยื่นคว้ามือของอัลฟาเอาไว้ราวกับเป็นคู่เต้นรำ เขายิ้มให้กับนาง แล้วจึงก้าวถอยหลังเข้าไปในบางสิ่งที่เขาไม่รู้จัก

เสียงกรีดร้องของสโนวคล้ายแว่วดังมาจากที่อันไกลโพ้น ไกลแสนไกล ก่อนที่จะเงียบหายไปอย่างฉับพลันเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น พร้อมกับที่ทุกสิ่ง รวมถึงตัวตนของทอยเองด้วย เขารับรู้ได้ในเสี้ยววินาทีสุดท้ายว่าเขามีความคุ้นเคยกับมันมาก แต่ไม่ใช่ในแบบนี้

สิ่งที่คอยติดตามอยู่ด้านหลังเขาตลอดมา บางทีอาจตั้งแต่ก่อนที่เขาจะก้าวถอยหลังเป็นครั้งแรกเสียด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาคิดว่าตนนึกถึงอยู่เสมอ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่เคยคิดถึงมันจริงเลยสักครั้ง

สิ่งนั้นก็คือ ความตาย นั่นเอง

ทอยได้เห็นภาพบางอย่างเป็นครั้งสุดท้าย ภายในวงล้อมที่มีผู้คนมากมายมาชุมนุมร่วมกัน ชาย หรือ หญิง ผู้หนึ่งได้ยืนอยู่ตรงใจกลางแห่งความหวาดกลัวนั้น ในมือของเขาหรือเธอคืออาวุธร้ายที่ผู้อื่นไม่อาจพกพา หรือนำออกมาใช้ในสถานที่ที่ถูกเลือกแห่งนี้ เป้าหมายแห่งการฆ่าจะถูกนำตัวเข้ามา ไม่ว่าจะอย่างสงบ หรือว่าดิ้นรน ไม่ว่าเจ้าของชีวิตเหล่านั้นจะเป็นสิ่งใดก็ตาม

พวกเขาเหล่านี้คือมือสังหารที่มีมาแต่เก่าก่อน ผู้ที่ทำการฆ่าเพื่อแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ ผู้ที่ทำการฆ่าแทนผู้อื่น ทุกคนภายในวงล้อมนั้นต่างเรียกร้อง ต่างเฝ้ารอให้ทุกสิ่งในพิธีกรรมดำเนินไปอย่างถูกต้อง

ทอยพลันรับรู้ว่าพวกเขาเหล่านี้ไม่ได้เป็นมือสังหารอย่างที่เข้าใจในตอนแรก พวกเขาคือตัวแทนของพลังอันยิ่งใหญ่ต่างๆ ที่ผู้คนคิดขึ้นมา และสิ่งที่พวกเขากำลังกระทำอยู่นั้นถูกเรียกว่าเป็นการ บูชายัญ นั่นเอง

แต่พวกเขาจะไม่ใช่มือสังหารจริงหรือ ทอยยังนึกสงสัย

'...แล้วเราก็ได้พบกัน...อัลฟา...'

นางอยู่เพียงลำพัง ลังเลว่าตนเองนั้นกำลังอยู่ในสิ่งใด เสียงที่ได้ยินนั้นแปลก แต่ก็คุ้นเคยอย่างประหลาด ไม่ควรจะมีสิ่งใดที่นางไม่รู้ เพราะนางคือการเริ่มต้น นางคือผู้ให้กำเนิดทุกสิ่ง แต่ไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่กับเจ้าของเสียงนี้

“เจ้าคือ...ใคร”

'เราก็เป็นเช่นเดียวกับเจ้า เราคือ โอเมกา เราคือการสิ้นสุดของทุกสิ่ง'
อัลฟา กับ โอเมกา นางรู้สึกคุ้นเคยกับนามนี้ นางคือการเริ่มต้น เมื่อทุกสิ่งหายไปจนหมดสิ้นแล้ว นางก็จะเริ่มต้นพวกมันขึ้นใหม่อีกครั้ง และอีกครั้ง จะอีกสักกี่ครั้งก็ตาม จะไม่มีการสิ้นสุดอย่างที่ว่านั้น

'เจ้าไม่เคยนึกสงสัยเลยหรือ ก็ในเมื่อทุกสิ่งต่างสามารถสิ้นสุดลง ตัวเจ้าเองก็ต้องเป็นเช่นเดียวกัน'

“ไม่ เพราะเราคือการเริ่มต้น”

'ใช่ เพราะเราคือการสิ้นสุด เราเป็นความตายของทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดจะสามารถเริ่มต้นใหม่ขึ้นได้ที่นี่อีกแล้ว'

นางมองไปรอบๆ และไม่อาจรับรู้ได้ถึงสิ่งใดทั้งสิ้น แม้แต่สิ่งที่ควรจะเป็นร่าง เป็นตัวตนของนางเองนั้นก็กำลังค่อยๆ จางหายไปในความความเงียบงันอันสัมบูรณ์นี้ นางพยายามที่จะต่อต้าน นางพยายามดิ้นรน แต่ก็เป็นดั่งที่โอเมกาได้บอกไว้ ดูเหมือนว่าพลังของนางจะไม่มีผลใดใดทั้งสิ้น

โลกที่มีมหานครซึ่งลินคอนกับแจ็คกำลังนั่งพักอยู่ ในขณะที่มนุษย์หมาป่าทั้งสองได้นำพาวสันต์ที่มีโทรลอยู่ภายในจิตไปถึงจุดหมายที่ลานหน้าตึกนคราภิวัฒน์ ซึ่งมีชาวเมืองบางส่วนได้มารอคอยกันอยู่ก่อนแล้ว ท้องฟ้าพลันมืดลงอย่างประหลาด และมันไม่ใช่ความมืดของยามค่ำคืนตามปกติ ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้น และรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวที่เอ่อล้นขึ้นมา ความกลัวดั้งเดิมในสิ่งที่พวกเขาเองก็ไม่เข้าใจ ความมืดเช่นนี้ยังเกิดขึ้นกับทั่วทุกโลก ไม่ว่าจะเป็นโลกความฝัน หรือความเป็นจริงที่ตามแต่ใครจะเข้าใจ รวมไปถึงภายในช่องว่างของกาลเวลาที่อัลฟาใช้กักขังคุณครอส และแซนแมนเอาไว้ด้วย

“...แย่แล้ว ฉันไม่นึกว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้” คุณครอสอุทานออกมาเมื่อพบเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น

“เรื่องอะไร เกิดอะไรขึ้น” โฮมถาม และรู้สึกได้ถึงตอนจบที่กำลังคืบใกล้เข้ามา “แล้วสองคนนั่นหายไปไหนกันแล้ว” เขาเห็นเพียงทอยจับมือกับอัลฟาก่อนที่จะหายตัวไปด้วยกันทั้งคู่

“ฉันไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นใน นั้น แต่นี่มันแย่ยิ่งกว่าเดิมเสียอีก” แซนแมนบอก

“จะมีใคร อธิบายอะไรบ้างได้ไหม” โฮมพูดอย่างหงุดหงิด ที่ดูเหมือนคนเก่าแก่ทั้งสองจะเอาแต่พูดคุยกันเองเท่านั้น สโนวหลังจากที่กรีดร้องออกมาเมื่อครู่แล้วตอนนี้ก็เอาแต่เงียบเพียงอย่างเดียว

“...เรายังพอทำอะไรได้อีกไหม” แซนแมนถาม และคุณครอสส่ายหน้าแทนคำตอบ “พวกเราเป็นแค่ส่วนหนึ่งของนาง เราจะไปทำอะไรได้”

“แต่ตอนนี้นางไม่อยู่แล้ว” แซนแมนหันไปจ้องหน้าคุณครอส “ฉันเองก็ไม่ได้เป็นแซนแมน คนอื่นๆ ต่างถูกลืมเลือนหายไป ฟรอสก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน ก็เหลือนายเพียงคนเดียวแล้วครอส นายคนเดียวเท่านั้นที่ยังมีพลังอยู่”

“เอ่อ มีใครอยากจะอธิบายอะไรบ้างไหม” โฮมพยายามเอ่ยถามอีกครั้งอย่างอดทน

“มันไม่มีประโยชน์หรอกแซนแมน” คุณครอสยังคงส่ายหน้า “ทุกคนต่างลืมเลือนฉันไปหมดแล้ว ตอนนี้ฉันก็เป็นเพียงแค่เจ้าของร้านของเล่น เป็นตาแก่ที่คอยแจกของขวัญให้กับเด็กๆ ในค่ำคืนนี้ ความหวังเล็กเล็กน้อยน้อยที่ถูกบรรจุไว้ภายในกล่อง สิ่งที่เพียงแค่ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นกันชั่วครู่ ก่อนที่จะผ่านพ้นไปอีกปี”

“เฮ้ เฮ้ นี่ไม่ใช่เวลามาบ่นเป็นตาแก่...” แซนแมนมองดูหนวดเคราขาวโพลนราวกับหิมะบนใบหน้าของคุณครอส “...ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงจดจำนายได้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ”

“ไม่ มันไม่เพียงพอ มันก็แค่ช่วยทำให้ฉันไม่ถูกลืมเลือนหายไปเหมือนกับคนอื่นๆ เท่านั้นเอง”

“ลองดูหน่อยก็ไม่เสียหายไม่ใช่หรือเพื่อนเก่า” แซนแมนยังไม่ทิ้งความพยายาม “คิดดูสิ ฉันยังมีความหวังอยู่เลย ต้องเป็นเพราะยังมีนายอยู่ตรงนี้อีกคน”

คุณครอสถอนหายใจยาว “เอาล่ะ ฉันจะลองดูก็ได้” คุณครอสหลับตาลงพร้อมกับยืนนิ่ง ก่อนที่จะลืมตาขึ้นช้าๆ พร้อมรอยยิ้มกว้าง ใบหน้าแดงอวบอิ่ม โฮมไม่รู้ว่าคุณครอสคิดจะทำอะไร และไม่ว่าเขาจะคิดถึงสิ่งไร้สาระมากมายเพียงไหนที่คุณครอสอาจจะทำได้ในช่วงเวลาเช่นนี้ แต่เขาก็ยังคงนึกไม่ถึง

“โฮ่ โฮ่ โฮ่” คุณครอสพลันส่งเสียงหัวเราะที่แสนคุ้นเคยนั้นออกมา




 

Create Date : 26 ตุลาคม 2557
2 comments
Last Update : 26 ตุลาคม 2557 12:57:40 น.
Counter : 632 Pageviews.

 

ทอย มาไกลถึงตอน 60 แล้วนะคะ
ตามไม่ทันเลยค่ะ รออ่านเรื่องใหม่นะคะ T T

 

โดย: lovereason 26 ตุลาคม 2557 18:51:09 น.  

 

ก็ไม่คิดว่าจะยาวขนาดนี้เหมือนกันครับ
แถมยังออกทะเลเช่นเดิม(ไกลกว่าเดิม)ด้วย
รออ่านเรื่องสั้น และเรื่องสั้นสั้น หลังจากนี้ก็ได้ครับ
ว่าจะพักนิยายไปก่อนครับ

 

โดย: zoi 2 พฤศจิกายน 2557 11:38:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.