ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
10 พฤศจิกายน 2556
 
All Blogs
 
ทอย (18)

แอนตี้ ไจแอน แจ็ค นอนลืมตามองออกไปบนท้องฟ้ามืดมิดทางด้านนอก ถุงนอนใบเก่าทำให้ร่างกายของเขารู้สึกอบอุ่นสบาย แต่มันก็ไม่อาจช่วยบรรเทาความอึดอัดภายในใจที่ทับถมเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ความจริงแล้วเขาก็ไม่อาจมองเห็นอะไรข้างนอกนั้นได้มากนัก แต่ภาพของหิมะที่กำลังตกก็ชัดเจนอยู่ภายในจินตนาการของเขา และพวกมันนั้นเองที่ทำให้เขารู้สึกกังวล มันไม่ได้มีลมพายุรุนแรงน่ากลัวอะไรแบบนั้น มันเป็นเพียงแค่หิมะที่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าอย่างอ้อยอิ่ง ที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลยแม้แต่น้อย ราวกับความชื้นในอากาศทั้งหมดกำลังถูกพลังบางอย่างแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ราวกับโลกทั้งใบกำลังจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นห้องแช่แข็งขนาดยักษ์

นอร์ส ชุมชนโบราณแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรทางซีกโลกเหนือได้เคยขับขานบทกวี บอกเล่าตำนานเรื่องราวเกี่ยวกับยักษ์น้ำแข็งที่เคยยึดครองโลกใบนี้เอาไว้ด้วยหิมะ และความเหน็บหนาว จนกระทั่งเหล่าทวยเทพพร้อมด้วยดาบ และค้อนได้รวมพลังกันขับไล่จนพวกมันต้องถอยร่นกลับไปอยู่ที่ขั้วโลก ก่อนจะสร้างโลกใหม่ที่ไม่ได้มีเพียงสีขาวหม่นอันนิ่งสงบ แต่ยังประกอบไปด้วยสีเขียวขจีที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาขึ้น

มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นที่ด้านข้างห่างออกไปไม่ไกล เขาเหลือบตามองไปเห็นทศกำลังนำไม้ฟืนที่ช่วยกันรวบรวมมากองไว้ใส่เพิ่มลงในกองไฟ

“เธอยังไม่หลับอีกหรือ” เขาถามออกไปทั้งๆ ที่ตัวเองก็ได้แต่นอนคิดอะไรไปเรื่อย ยังไม่ได้หลับเลยเหมือนกัน

“ยังครับ...ผม เป็นห่วงคนอื่นๆ ที่หมู่บ้าน”

เขายังจำที่เด็กหนุ่มพูดถึงก่อนหน้านี้ว่าหิมะพวกนี้เป็น 'สิ่งผิดธรรมชาติ' ได้ และถ้าจะว่าไป ตัวเขาเองก็เริ่มเอนเอียงไปกับความเชื่อนี้บ้างแล้วเหมือนกัน

“...ผมขอถามอะไรคุณหน่อยได้ไหม” เขาเหลือบมองไปอีกครั้ง เด็กหนุ่มกำลังนั่งก้มหน้า ใช้ฟืนยาวๆ ท่อนหนึ่งเขี่ยท่อนไม้ที่ค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นถ่านสีแดงในกองไฟ พร้อมกับมีสะเก็ดไฟแตกกระจายขึ้นมา ด้านหน้าของเด็กหนุ่มถูกอาบไล้ไปด้วยแสงสว่าง ในขณะที่ด้านหลังนั้นเกิดเป็นเงาทอดยาวขึ้นไปเต้นรำอยู่บนกำแพงหินที่อยู่ด้านหลัง

เขาเห็นเงาของเด็กหนุ่มเป็นเหมือนกับยักษ์น้ำแข็งสีดำตนหนึ่ง

“...ได้สิ ถึงยังไงคืนนี้ก็คงน่าเบื่อ และยาวนานอยู่แล้ว” เขาตอบ 'บางทีอาจรวมไปถึงพรุ่งนี้ และวันต่อๆ ไปด้วย' ถ้าหิมะยังคงตก และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเช่นนี้ พรุ่งนี้เช้าเขาอาจต้องตัดใจยุติการสำรวจ พร้อมกับรีบลงจากภูเขาบีนแห่งนี้ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสอีก

“ทำไมคุณแจ็คถึงมาทำเรื่องพวกนี้ครับ” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเขา

มันเป็นคำถามที่เขาเคยถูกถามมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งเขามักตอบไปในทำนองที่ว่า 'การค้นลึกลงไปในความลับของอดีตที่ยังไม่มีใครเคยรู้นั้น สร้างความตื่นเต้น และดึงดูดใจให้กับเขามากที่สุด' หรืออะไรทำนองนั้น ซึ่งมันก็เป็นความจริง แต่นั่นเป็นคำตอบที่เขาพึ่งคิดขึ้นมาได้หลังจากที่ใช้เวลาในชีวิตช่วงใหญ่ให้หมดไปกับการสำรวจโบราณสถานตามที่ต่างๆ ทั่วโลก

ตัวเขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่ามันเป็นอย่างไรในตอนที่พึ่งเริ่มต้นงานนี้ จะฟังดูน่าผิดหวังเกินไปหรือไม่ถ้าเขาจะตอบออกไปว่า 'ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน'

เขาตัดสินใจตอบไปด้วยคำตอบมาตรฐานทั่วไปของเขา ซึ่งทำให้เด็กหนุ่มเงียบไปอีกครู่หนึ่ง

“...ผมเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่” เด็กหนุ่มพึมพำเบาๆ แต่เขาก็ได้ยิน ซึ่งจริงๆ แล้วตัวเด็กหนุ่มเองก็คงต้องการจะให้เขาได้ยินอยู่แล้ว

เด็กหนุ่มผู้นี้คงกำลังสับสน และต้องการคำแนะนำบางอย่างสำหรับที่จะดำเนินชีวิตต่อไปข้างหน้า แต่น่าเสียดายที่เขาไม่รู้ว่าต้องตอบคำถามแบบนี้อย่างไร เขาก็แค่ทำงานที่อยู่ตรงหน้า หลงไหลพวกมัน ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างลงไป และไม่อาจถอนตัวขึ้นได้อีกเลย เขาไม่รู้ว่ามันเริ่มขึ้นอย่างไร เขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นเส้นทางที่ถูกหรือไม่ ที่เขาทำก็แค่เดินหน้าต่อไปเท่านั้น

เขาเหม่อมองไปรอบๆ ในขณะที่กำลังพยายามคิดหาคำตอบที่ฟังดูดีแต่อาจไม่ได้ช่วยอะไรได้มากไปกว่าการที่เด็กหนุ่มต้องทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะสามารถทำได้นั่นเอง แต่ยักษ์ที่เกิดจากเงาของเด็กหนุ่มนั้นก็ดึงดูดสายตาของเขาให้ย้อนกลับไปหามันทุกครั้ง เขาเห็นเหมือนว่ามันกำลังส่ายตัวเต้นระบำไปพร้อมกับท่วงทำนองของเพลงที่เกิดจากเปลวเพลิง

มันทำให้เขานึกถึงตำนานอีกเรื่อง ของชุมชนโบราณอีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลลงไปทางใต้ มันถูกเรียกในสมัยนั้นว่า ฮินดุ โลกตามความเชื่อของพวกเขาเริ่มต้นขึ้นด้วยการร่ายรำของเทพเจ้าในท่ามกลางความว่างเปล่า ก่อกำเนิดเป็นสิ่งต่างๆ จนกลายเป็นจักรวาลแห่งนี้ขึ้นมา

ในทุกชุมชนโบราณ ในทุกความเชื่อ มักมีสิ่งเหนือธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ เทพเจ้า ยักษ์ หรือสิ่งอื่นๆ ตามแต่สภาพแวดล้อม ถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกเขา และจินตนาการอันนับเป็นสิ่งพิเศษเฉพาะของมนุษย์จะช่วยกันสรรสร้างขึ้นมา และยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ เพียงแต่ถูกเปลี่ยนแปลงไปจนเรานึกไม่ถึงว่ามันคือสิ่งเดียวกัน

สายตาของเขาพลันพบเห็นบางสิ่งในยักษ์สีดำตนนั้น มันดูเหมือนร่องรอยบางอย่างบนพื้นผิวของก้อนหินที่อาจไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

“เอ่อ...บางทีถ้าเธอลองหาอะไรใหม่ๆ ทำดู เธออาจจะค้นพบคำตอบขึ้นมาก็ได้” เขาตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจพร้อมกับมองไล่ตามรอยเส้นลึกลับซึ่งนำลึกเข้าไปสู่ด้านใน เขาเคยคิดว่าสถานที่แห่งนี้เป็นเพียงซากอาคารเล็กๆ ที่อาจตั้งอยู่ใกล้ๆ กับตัวเมฆาปราสาท อาจเป็นด่านรักษาการณ์ หรืออะไรแบบนั้น เขาเคยคิดว่าทางเข้าสู่ตัวปราสาทที่แท้จริงนั้นน่าจะอยู่สูงขึ้นไปในภูเขาเบื้องบน

'แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น ถ้าซากสิ่งก่อสร้างนี้คือส่วนหนึ่งของเมฆาปราสาทที่กำลังค้นหาอยู่ล่ะ' เขาค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นช้าๆ สายตายังคงจ้องมองเข้าไปสู่ความมืดด้านใน

“ผมก็เคยคิดที่จะลองเข้าไปในเมืองดูสักครั้งเหมือนกัน...” เด็กหนุ่มพึมพำ พร้อมกับพบเห็นท่าทีที่ผิดปกติของเขา “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ตอนที่ฉันให้เธอเข้าไปสำรวจดูด้านใน เธอบอกว่ามันไม่มีอะไรทั้งนั้น” เขาลุกขึ้นพร้อมกับไม่ลืมที่จะคว้าหมวกใบเก่งมาสวม ลังเลเล็กน้อยแต่ก็หยิบแส้หนังซึ่งเป็นอาวุธคู่กาย หรืออย่างน้อยเขาก็คิดว่าอย่างนั้นมาคาดไว้ที่ข้างเอว พร้อมกับหยิบไฟฉายที่วางเอาไว้ข้างๆ ที่นอนไปด้วย

“...ครับ” มันมีความลังเลอยู่ในนั้น จนเขาต้องหันกลับมามองเด็กหนุ่มอีกครั้ง “เธอแน่ใจ” เขาเริ่มเดินเข้าไปด้านในโดยไม่รอคำตอบของเด็กหนุ่ม แสงจากไฟฉายขยับย้ายไปมาตามรอยเส้นต่างๆ ที่ค่อยๆ ทวีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

'เขาต้องพบอะไรบางอย่าง แต่ไม่ยอมบอกฉัน' เขาคิดอย่างหัวเสีย 'เขาคงเชื่อว่ามันเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ เป็นสิ่งชั่วร้าย และไม่อยาก ไม่กล้าที่จะพูดถึงมัน'

“เดี๋ยวครับคุณแจ็ค มันไม่มีอะไรจริงๆ ข้างในนั้นเป็นทางตัน...” เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นพร้อมกับหยิบไฟฉายอีกอันที่เขามอบให้ไว้ ลายเส้นเหล่านั้นซับซ้อนมากยิ่งขึ้น พวกมันไม่ใช่ตัวอักษรโบราณ แต่น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของภาพขนาดใหญ่บางอย่าง ซึ่งนับเป็นภาษาที่เก่าแก่ยิ่งกว่า ภาษาก่อนที่จะมีตัวอักษรเกิดขึ้น ภาพที่แสดงถึงสิ่งที่พวกเขาเห็น หรือคิดว่าพวกเขาเห็น วิธีการที่จะถ่ายทอดความคิด จินตนาการของพวกเขาไปสู่ผู้อื่น

'เนื้อ ปลา พืชผัก หนังสัตว์' นั่นเป็นบางสิ่งที่เขาพอจะบอกได้ ลายเส้นที่ต่อเนื่องกันพวกนี้ประกอบขึ้นมาจากภาพเล็กๆ ของสิ่งเหล่านี้เป็นจำนวนมาก พวกมันเป็นเหมือนกับรัศมีที่กระจายออกมาจากบางสิ่ง และในที่สุดเขาก็ได้พบเห็น

'เทพีแห่งไฟ' นั่นเป็นความคิดแรกของเขา

“...นอกจากภาพสลักนี้แล้ว มันก็ไม่มีทางไปต่อ มันเป็นแค่ทางตันเท่านั้น” เด็กหนุ่มที่รีบตามมายังพยายามแก้ตัว เขาไม่อยากจะต่อว่าอะไรอีกในตอนนี้ เพราะไม่อาจละสายตาจากภาพที่อยู่ตรงหน้าได้

'พระนางอาจจะเป็นจอมเทพี เป็นเทพเจ้าสูงสุดของชุมชนที่เป็นผู้ก่อสร้างเมฆาปราสาทขึ้นมาก็เป็นได้' ยังคงไม่มีใครรู้เกี่ยวกับชุมชนโบราณแหล่งนี้มากนัก พวกเขายิ่งใหญ่อยู่ในยุคสมัยหนึ่ง แล้วก็สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับหายขึ้นไปบนหมู่เมฆตามชื่อเมฆาปราสาทของพวกเขา

องค์เทพีที่ประทับยืนอยู่ตรงกลางภาพสลักบนแผ่นหินนี้มีรัศมีที่มองดูคล้ายกับผ้าคลุมลอยอยู่เหนือศีรษะ และร่างของนาง แขนซ้ายยกชูขึ้น มืออยู่ที่ระดับเดียวกับทรวงอกพร้อมกับมีเปลวไฟเล็กๆ ลุกติดอยู่ที่ปลายนิ้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เขาคิดว่านางต้องเป็นตัวแทนของไฟนั่นเอง

'แต่ทำไมรัศมีของนางถึงต้องกลายเป็นสิ่งต่างๆ พวกนั้น' เขายังไม่อาจเข้าใจถึงความเชื่อมโยง 'ต้องหาข้อมูลให้มากกว่านี้ ก่อนที่จะบอกอะไรได้' แล้วความคิดของเขาก็พลันสว่างวาบ

เขาหันกลับมาหาเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว

“ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ ผม...ขอโทษด้วยครับ” เด็กหนุ่มพร่ำพูดไม่ยอมหยุด เขาขยับเข้ามาหาพร้อมกับวางมือข้างที่ว่างอยู่ลงบนไหล่อย่างแรงจนเด็กหนุ่มต้องเงียบเสียง แล้วทั้งสองก็จ้องตากัน

“เธอรู้จักเทพีองค์นี้ใช่ไหม” ถ้าเด็กหนุ่มจะหวาดกลัวภาพนี้ ภาพที่ไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิดในความคิดเห็นของเขา มันก็ต้องเป็นเพราะเด็กหนุ่มรู้จักกับสิ่งที่อยู่ในภาพ รู้ว่ามันเป็นตัวแทนของความน่ากลัวได้อย่างไร 'บางทีอาจเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่า เป็นนิทานที่กล่าวถึงนางซึ่งตกทอดสืบต่อกันมาในชุมชนแถบนี้ก็เป็นได้' เขาคาดเดา

“นางไม่ใช่เทพี” เด็กหนุ่มส่ายหน้า ก่อนลังเล “...นางเคยเป็นเทพี เคยเป็นเทพ” เสียงของเขาเบาลง “แต่นางไม่ใช่อีกแล้ว และพวกเราไม่พูดถึงนาง”

“นางมีชื่อหรือเปล่า” ซึ่งบางทีเขาอาจจะเคยได้ยินมาก่อนก็เป็นได้ เขายังคงไม่แน่ใจว่าภาพสลักนี้กับสิ่งที่เด็กหนุ่มรู้จักจะเป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่ ความเชื่อต่างๆ นั้นถูกเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ตามผู้คน สังคม และความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการ เทพองค์หนึ่งอาจสูญหาย ถูกลืม ถูกเปลี่ยนหน้าที่ หรืออาจถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นเทพอีกองค์ เป็นตัวแทนของสิ่งใหม่ที่มีอิทธิพลกับวิถีชีวิตของพวกเขามากกว่าสิ่งเก่าที่เคยมีมา

แม้แต่ในโลกยุคใหม่ ในยุคสมัยของเขาเวลานี้ก็ยังคงมี คนเก่าแก่ หลงเหลืออยู่

“พวกเราจะไม่เอ่ยชื่อนั้น นั่นเป็นเหมือนกับคำอัญเชิญสำหรับนาง” เด็กหนุ่มขยับเคลื่อนไหวมือซ้ายอย่างรวดเร็วเพื่อทำเป็นเครื่องหมายอะไรบางอย่าง และเขารู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างประหลาด

เขาคิดอย่างรวดเร็ว “...ถ้าอย่างนั้นเธอช่วยเล่าเรื่องอย่างที่เธอเคยได้ยินมาให้ฉันฟังจะได้ไหม”

“...อาจจะได้ ผมจะเล่านิทานให้คุณฟัง”

“เยี่ยมเลย ฉันชอบฟังนิทานอยู่แล้ว” เขารู้ว่าในนิทานนั้นมักมีบางสิ่งซ่อนอยู่ คนส่วนใหญ่ต่างเข้าใจไปเองว่านิทานโบราณนั้นถูกแต่งขึ้นเพื่อพวกเด็กๆ ซึ่งมันก็ถูกต้องในบางแง่มุม แต่จริงๆ แล้วผู้ที่แต่งนิทานเหล่านี้ต่างเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่ยากลำบากทั้งสิ้น เมื่อใดที่ผู้ใหญ่ได้ตั้งใจฟังนิทานเหล่านี้ให้ดี พวกเขาอาจจะรู้สึกแปลกใจที่ได้พบเจอกับแนวคิดบางสิ่ง ความมืดดำบางอย่างที่อาจทำให้พวกเขาไม่อยากเล่ามันให้ลูกๆ ของตนฟังอีกเลยก็เป็นได้

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในคืนอันเหน็บหนาวขาวโพลนไปด้วยหิมะ และน้ำแข็ง เด็กสาวที่สวมใส่เสื้อคลุมสีแดงสดได้ปรากฎกายขึ้นภายในหมู่บ้าน เพื่อเร่ขายสิ่งของบางอย่าง ผู้คนต่างเข้ามารุมล้อมเพื่อรับชมสินค้าของเธอ

“ไม้ขีดไฟที่จะทำให้ทุกคนสมปรารถนา ความต้องการทุกสิ่งจะเป็นจริงได้” เธอร้องบอกอย่างร่าเริง

“ข้าไม่เชื่อคำของเจ้า” ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่แถวหน้าร้อง ฝูงชนพากันสนับสนุน

“ถ้าเช่นนั้นขอให้ท่านจงก้าวออกมา แล้วคอยดูว่าไม้ขีดไฟนี้จะใช้ได้จริงหรือไม่”

ชายผู้นั้นก้าวออกมาอย่างไม่ลังเล พร้อมกับรับไม้ขีดไฟจากมือของเด็กสาว “ท่านเพียงแค่จุดมัน แล้วความปรารถนาทุกสิ่งของท่านก็จะเป็นจริงได้”

เขารับไปพร้อมกับชูกลักไม้ขีดในมือขึ้น หมุนไปรอบๆ มีเสียงเฮดังลั่นจากฝูงชนที่รุมล้อมอยู่ เขายิ้มเยาะเด็กสาว ดึงไม้ขีดก้านหนึ่งออกมา พร้อมกับจุดมันทันที

เปลวไฟเล็กๆ ลุกสว่างขึ้น เขายืนนิ่งปล่อยให้เปลวไฟค่อยๆ ลามลงมาตามก้านไม้ขีด ฝูงชนเงียบเสียงลง ลืมแม้กระทั่งจะหายใจ เปลวไฟนั้นลามมาจนถึงนิ้วมือ ก่อนที่เขาจะสะดุ้งพร้อมกับปล่อยมันทิ้งไป เขากระพริบตาพร้อมกับมองไปรอบๆ “ความฝัน มันต้องเป็นความฝันแต่เหมือนจริงเหลือเกิน” ชายคนนั้นก้มมองกลักไม้ขีดในมือ “มีอีกไหม เธอมีมันอีกไหม ฉันอยากได้ทั้งหมด ทั้งหมดเท่าที่เธอมี”

ฝูงชนต่างตาลุกวาว ยังไม่มีใครแน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ตอนนี้ทุกคนต่างรู้สึกอยากได้ไม้ขีดไฟวิเศษขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย

“มันมีเพียงพอสำหรับทุกคน สำหรับทุกความต้องการ ไม่ต้องแย่งกัน ไม่ต้องแย่งกัน” เด็กสาวร้องตะโกนพร้อมกับเสียงหัวเราะ

หลังจากนั้นทั่วทั้งหมู่บ้านต่างเต็มไปด้วยเสียงจุดไม้ขีดไฟ ซึ่งในตอนแรกมันก็ดังอย่างต่อเนื่อง ดังข้ามวัน ข้ามคืน ก่อนจะค่อยๆ เนิ่นช้า และเงียบหายไปในที่สุด นักเดินทางที่มาพบเหตุในหมู่บ้านแห่งนี้ต้องรีบเดินทางออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความหวาดกลัว ข่าวลือแพร่ออกไปถึงโรคระบาดประหลาดที่ทำให้ผู้คนทั้งหมู่บ้านนอนตายด้วยร้อยยิ้มพร้อมกับก้านไม้ขีดจำนวนมากที่หล่นอยู่เกลื่อนกลาด

ทั้งหมู่บ้านถูกเผา และในเปลวไฟนั้นคนที่อยู่ในเหตุกาณ์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าได้มองเห็นหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งซึ่งทุกคนที่อาศัยอยู่ในนั้นต่างใช้ชีวิตอยู่ด้วยความสุขสบายราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ และภาพนั้นยังคงอยู่จนกระทั่งเปลวเพลิงทั้งหมดมอดดับลง

แจ็คไม่คิดว่ามันเป็นนิทานที่ใครอยากจะเล่าให้ลูกหลานฟัง แต่มันก็มีข้อคิดแฝงอยู่ในนั้น และเขาพอจะมองเห็นความเกี่ยวข้องในนิทานเรื่องนี้กับภาพของเทพีที่อยู่ตรงหน้า 'รวมถึงท่าประหลาดของเด็กหนุ่มเมื่อครู่นี้ด้วย' ท่าที่เขารู้สึกคุ้นเคยนั้น มันคล้ายกับการทิ้งบางสิ่ง ซึ่งเขาคิดว่ามันคือการทิ้งก้านไม้ขีดในมือนั่นเอง

#####

ไม้ขีดในมือของเด็กสาวลึกลับถูกจุด นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจดจำได้ก่อนที่สติจะดับวูบ ร่างล้มหงายไปด้านหลัง พลันมีภาพบางอย่างปรากฎขึ้นภายในเปลวไฟเล็กๆ จากไม้ขีด มันส่ายไหวไปมา และเด็กสาวก็มองดูอย่างสนใจ ในเวลาเดียวกันร่างของทอยที่นอนอยู่บนพื้นก็ค่อยๆ จาง ความเป็นวัตถุของมันค่อยๆ ลดน้อยลง จนราวกับว่ามันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพฝันที่กำลังจะเลือนลับไป


Create Date : 10 พฤศจิกายน 2556
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2556 14:52:57 น. 0 comments
Counter : 608 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.