ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2556
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
20 กรกฏาคม 2556
 
All Blogs
 
ทอย (3)

“งานใหม่ของหลานเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

“...ผมกำลังหาอยู่ครับ”

ทอยต้องเตือนตัวเองให้ละสายตาจากมีดสำหรับตัดพิซซ่าที่อยู่ในมือของปู่แจ็ค เพราะถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงมีดทื่อๆ ก็ตาม แต่เมื่ออยู่ในมือของชายชราคนนี้ ร่างกายของเขาก็รู้ดีว่ามันสามารถทำอะไรที่น่ากลัวได้บ้าง

ชื่อฉายาของแจ็คจอมเสียบ ไม่ได้มาจากจำนวนการใช้มีดที่มากมายกับลูกค้า ตรงกันข้าม ที่ทุกคนต่างพากันเรียกปู่อย่างนั้นเป็นเพราะว่าไม่เคยมีลูกค้าคนใดที่ปู่จำเป็นต้องใช้มีดเกินกว่าหนึ่งครั้งมาก่อน หรือบางทีก็อาจไม่ต้องใช้เลยด้วยซ้ำไป

มีดของแจ็คจอมเสียบนั้นไม่เคยต้องมีครั้งที่สอง

มีดทื่อๆ ตัดผ่านพิซซ่าแป้งบางกรอบซึ่งอบมาได้อย่างพอดี โรยหน้าด้วยซอสเข้มข้น เป๊ปเปอร์โรนี เห็ด และชีสจำนวนมากแบบที่เขาชอบ พิซซ่าทั้งถาดถูกตัดแบ่งออกเป็นหกชิ้นเท่าๆ กันอย่างง่ายดาย มุมแหลมที่ชนกันอยู่นั้นเรียบสนิทราวกับถูกตัดด้วยมีดคมกริบเลยทีเดียว

ปู่ตักขึ้นมาชิ้นหนึ่ง วางลงในจานของเขา ชีสที่ยังละลายเยิ้มอยู่นั้นกลับไม่ยืด เป็นเพราะพวกมันถูกตัดขาดออกจากกันอย่างแท้จริงจนไม่สามารถไหลข้ามรอยตัดออกไปได้

“หนังสือรับรองการทำงานที่ปู่ให้ไว้ช่วยได้บ้างไหม”

“ก็...คง...ได้บ้าง ครับ” เขาก้มหน้ามองจาน ตอบไม่ค่อยเต็มเสียง

ถึงแม้เขาจะเคยเตรียมใจเอาไว้แล้วว่า เมื่อลาออกจากธุรกิจของครอบครัว เมื่อก้าวออกจากบ้าน เขาจะต้องได้พบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ มันเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เหมือนกับเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก และอยากไปโรงเรียนร่วมกับคนอื่นๆ แทนที่จะต้องเรียนหนังสืออยู่ภายในบ้านกับพี่ชาย

'ลูกอยากไปโรงเรียนจริงหรือ' แม่ถามเขาอย่างจริงจัง

'ฮะ' เขาตอบออกไปอย่างร่าเริง

'คุณจะว่าอย่างไร' แม่หันไปถามพ่อ ซึ่งกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่เงียบๆ พ่อหันมาจ้องตาเขา และเขาจ้องตอบกลับไป ไม่รู่ว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น ไม่เคยมีใครกล้าจ้องตากับพ่อแบบนั้น นอกจากปู่แจ็ค กับย่าที่หายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อนานมาแล้ว

'ลองดูก็ได้'

พ่อว่าอย่างนั้น และการตัดสินใจของพ่อก็ถือเป็นที่สิ้นสุด ถ้าแม่ไม่ได้คิดเห็นต่างออกไป

คืนนั้นเขาตื่นเต้นจนแทบจะนอนไม่หลับ ดีใจที่จะได้ไปโรงเรียน ได้ออกไปนอกบ้าน พบเจอกับเพื่อนใหม่ ได้พบครู ได้เรียนเหมือนอย่างที่เด็กทั่วไปเรียน ไม่ใช่เรียนสิ่งที่สอนกันอยู่ภายในบ้านหลังนี้ เขาก้าวผ่านประตูโรงเรียนเข้าไปพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง และสายตาที่เป็นห่วงเป็นใยจากแม่ เขาไม่ได้สนใจสีหน้าแปลกๆ ที่ทั้งเด็ก ผู้ปกครอง และครู ต่างพากันมองมายังตัวเขาเลยสักนิด

ยังไม่ทันถึงช่วงเวลาพักเที่ยงของวันนั้น แม่ก็ต้องมารับเขากลับบ้าน

มีเด็กหลายคน เพื่อนใหม่ในห้องของเขาต้องถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ทั้งโรงเรียนต่างวุ่นวายโกลาหล ทั้งที่เขาพยายามบอกแล้วว่าเด็กพวกนั้นจะไม่เป็นอะไร แค่ให้นอนนิ่งๆ พักสักครู่ก็พอแล้ว เขาถูกสอนมาจากที่บ้าน ให้รู้ถึงจุดอันตรายต่างๆ ท่วงท่า ทิศทาง แรงที่ต้องใช้ในการจู่โจมเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความเจ็บปวด หยุดการเคลื่อนไหว หรือที่มากไปกว่านั้น

เขารู้ตัวว่าได้ทำอะไรลงไปบ้าง เป็นเด็กพวกนั้นต่างหากที่ไม่รู้ว่าตัวเองได้พูดอะไรออกมา และพยายามที่จะทำอะไรกับเขาด้วยความกลัว และความโกรธ ทั้งที่เขาพยายามจะอธิบายอย่างเต็มที่แล้ว

เมื่อแม่มาถึง เหล่าครู และผู้ปกครองที่กำลังโมโหต่างรีบรุมล้อมเข้ามา พร้อมกับเสียงโวยวายจนฟังไม่ได้ศัพท์ แต่พอพวกเขามองเห็นสีหน้าของแม่ในเวลานั้น ความเงียบที่น่าอึดอัดก็เข้ามาแทนที่ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีกสักคำ ก่อนที่ทั้งหมดจะค่อยๆ พากันหลบหายออกไปจากบริเวณนั้น

'พวกเขาล้อเลียนผม' เขาพยายามฝืนยิ้ม

'พวกเขาพยายามรุมผม แต่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร' รอยยิ้มนั้นเริ่มบิดเบี้ยว

'ผมรู้ แม่เตือนแล้วว่าห้ามทำร้ายใครเด็ดขาด' หยาดน้ำตาอุ่นๆ ไหลผ่านลงมาตามแก้ม แวะเลี้ยวไปที่มุมปาก ก่อนหยดลงบนพื้น รสของมันเค็มจนขื่น ขมเข้าไปถึงภายในหัวใจ

'ผมยั้งมือแล้ว ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผม ผม...'

มือของแม่นั้นฟาดลงมาที่ก้นของเขา เขาไม่ได้หลบ แม่เองก็กำลังหลั่งน้ำตาด้วยเช่นกัน

'ถึงอย่างไรลูกก็เป็นฝ่ายผิด ที่ไปทำร้ายพวกเขาแบบนั้น แม่เตือนแล้วว่าการใช้กำลังเพื่อแก้ไขปัญหาเป็นสิ่งผิด แม่บอกลูกแล้วว่าให้อดทน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ชอบเราอย่างไรก็ตาม'

'ผม พวกเรา พวกเรา...พวกเราไม่ได้เป็นฆาตกรเลือดเย็นอย่างที่พวกนั้นบอกใช่ไหมฮะ' เขาถามพร้อมเสียงสะอื้น

แม่ยกมือขึ้นลูบหัวเขาเบาๆ ก่อนดึงตัวเข้ามากอดเอาไว้ เขาไม่มีวันลืมเลือนคำพูดสุดท้าย และน้ำเสียงของแม่ในวันนั้นอย่างเด็ดขาด แม่พูดขึ้นในตอนที่จูงมือพาเขาเดินก้าวพ้นออกจากประตูโรงเรียนที่เขาจะไม่มีวันย้อนกลับไปอย่างเด็ดขาด

'ลูกจงจำเอาไว้ให้ดี พวกเราเป็นนักฆ่ารับจ้าง มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่จะเป็นฆาตกรเลือดเย็นได้'

“สมัยนี้ใครจะทำอะไรสักอย่างก็ต้องมีเอกสาร มีหลักฐาน หนังสืบรับรองต่างต่างนานา” เสียงของปู่แจ็คดึงเขาให้กลับมาสู่ปัจจุบัน “จะรับงานจากใครที ก็ต้องมีหนังสือสัญญายืดยาว เขียนรายละเอียดมากมายน่าเบื่อ”

แล้วคำนั้นก็หลุดออกมาจากปากของปู่

“ไม่เหมือนกับเมื่อสมัยก่อน” นั่นเป็นเวลาที่ปู่จะเริ่มเล่าถึงเรื่องในอดีตอย่างยืดยาว แต่เนื่องจากคู่สนทนาในวันนี้มีเพียงตัวเขา และเขารู้ดีว่าจะทำให้มันจบลงอย่างรวดเร็วได้ก็ด้วยการนั่งฟังไปเงียบๆ โดยไม่โต้ตอบอะไรเท่านั้น

“ช่าย ทุกวันนี้อะไรก็เอกสาร เอกสาร ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน” คุณยายเจ้าของร้านที่พอดีเดินผ่านมารีบเข้าร่วมในการสนทนา บางทีปู่อาจรู้อยู่แล้วว่าเธออยู่ตรงนี้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้หันไปมองเลยก็ตาม

“ถูกเผงเลยครับคุณผู้หญิง สมัยก่อนเราแค่จ้องตากัน แล้วก็จับมือ แค่นั้นก็ถือเป็นคำมั่นสัญญาที่น่าเชื่อถือมากกว่าตัวอักษรในเอกสารที่ดิ้นไปดิ้นมาพาให้เถียงกันไม่จบพวกนี้แล้ว”

“ลองดูบ้านลูกกวาดนี่สิ” เธอผายมือทั้งสองออกกว้าง หมายความถึงร้านอาหารแห่งนี้ “มีแต่ขนมในซองทั้งนั้น แล้วมันจะเป็นบ้านลูกกวาดได้อย่างไรกัน” เธอถอนใจยาว

“ทำแบบนี้เราออกใบรับรองร้านอาหารให้ไม่ได้หรอกครับคุณ” เธอทำเสียงทุ้มต่ำล้อเลียนเสียงผู้ชาย “เชอะ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเฮงซวย”

“ขนมพวกนี้จะเน่าเสียเมื่อไรก็ไม่รู้” เธอว่าต่อไป “ไม่มีวันหมดอายุ ไม่มีเอกสารรับรอง ไม่สะอาดถูกหลักอนามัย ผมให้คุณแปะมันเอาไว้บนผนังร้านแบบนี้ไม่ได้หรอกครับ”

“ครั้งหนึ่ง ผมเคยมีโอกาสได้เห็นบ้านลูกกวาดในป่าด้วยตาของตัวเองด้วยครับ” ปู่แทรกอย่างสุภาพ “แบบที่มีลูกกวาดติดอยู่ด้านนอกตัวบ้านด้วย”

คุณยายทำตาวาว “มันมีรั้วด้วยใช่ไหม” น้ำเสียงตื่นเต้น

“แน่นอนครับคุณผู้หญิง มันเป็นลูกกวาดไม้เท้าสีขาวแดงบิดเป็นเกลียวตั้งเรียงรายเป็นแนวสวยงาม”

เธอพยักหน้าหงึกหงัก สองตาเป็นประกายมองเข้าไปในความทรงจำที่งดงามของตน

“คุณยายของฉันเคยเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งท่านก็เคยมีบ้านลูกกวาดแบบนั้น ปลูกอยู่ในป่าห่างจากหมู่บ้านไปไม่ไกลนัก ถึงแม้ว่าจะไม่บ่อย แต่ก็มีเด็กๆ สองพี่น้องหลงทางกันมาเป็นประจำ” เสียงของเธอนุ่มนวลชวนฝัน

“ใช่ ทั้งอาหารดีดี ทั้งขนมมากมาย เด็กๆ ต่างตัวอ้วนพี น่ารัก และแน่นอนที่ในบ้านลูกกวาดทุกหลังจะต้องมีเตาอบขนาดใหญ่พิเศษ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าเตาอบขนาดใหญ่พิเศษอีกแล้ว” น้ำเสียงของเธอค่อยๆ เปลี่ยนไป “มันอบได้ทุกอย่าง และฉันหมายถึงทุกอย่าง อิ อิ อิ” พร้อมกับจบลงด้วยเสียงหัวเราะชั่วร้ายบาดหู

เขามองดูรอยยิ้มชวนขนลุกของคุณยาย สลับกับท่าทางสุภาพของปู่

“แล้วหมู่บ้านก็กลายเป็นเมือง จากเมืองกลายเป็นมหานคร แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป” ชายหญิงชราทั้งคู่ต่างถอนหายใจแทบจะพร้อมกัน

“เวลาหนอเวลา” ปู่พึมพำ

“ใช่ อะไรอะไรก็เปลี่ยนไป ขนมถุงก็ยังดี เตาอบพิซซ่าก็ไม่ได้เลวร้ายจนเกินไป” เธอยิ้มอย่างอ่อนโยน “เสียดายแค่ไม่มีใครพาเด็กๆ เข้ามาในร้านนี้อีกแล้ว”

“เอ่อ คุณผู้หญิงครับ” ปู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูหวานเกินเหตุ และเขาอยากจะยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเอง 'เอาอีกแล้ว'

“ไม่ทราบว่าคุณพอจะมีเวลาว่างออกไปหาที่นั่งคุยกันเงียบๆ หรือทานอาหารกับผมจะได้ไหมครับ” ปู่ยิ้ม และเธอก็ยิ้มตอบ

“ไม่ค่ะ” นั่นเป็นคำสั้นๆ ที่ชัดเจน แต่รอยยิ้มของปู่ก็ไม่ได้หดหายไปไหน แถมยังขยับกว้างออกอีกนิดด้วยซ้ำ

คุณยายเดินจากไปแล้ว

“ปู่ทำแบบนั้นทำไม” เขาขยับเข้าไปใกล้พร้อมกับกระซิบ

“ช่วยไม่ได้ ก็ปู่เป็นแบบนี้เอง” ปู่กระซิบตอบ

“ปู่ไม่รู้สึกว่าตัวเองหน้าแตกเลยหรือ”

ปู่ยิ้มกว้าง “ตรงกันข้ามเลย หลานยังไม่รู้จักผู้หญิงดีพอ”

พิซซ่าถูกกินจนเหลือชิ้นสุดท้าย

“ร้านซีเอฟ ร้านขายของเล่นเก่าแก่นั่นหรือ”

เขาพยักหน้าหลังจากเล่าให้ปู่ฟังถึงเรื่องการสัมภาษณ์งานที่ผ่านมา รวมถึงเรื่องที่เขานั่งใจลอยดูโทรทัศน์ได้เหมือนคนทั่วไปด้วย แต่ไม่ได้เล่าในส่วนที่เขาเผลอเดินกลับออกมาโดยที่คุณสโนวซึ่งนั่งทำงานอยู่ตรงนั้นไม่รู้ตัวเลยสักนิด

“ตอนนี้ใกล้สิ้นปีแล้ว เทศกาลของขวัญก็อีกแค่ไม่กี่วัน พวกเขาน่าจะต้องการคนขายของเพิ่ม”

“ปู่ไม่ค่อยอยากให้หลานเข้าไปเกี่ยวข้องกับ คนเก่าแก่ พวกนั้นเลย” ปู่พูดอย่างจริงจัง

คนเก่าแก่ ที่ปู่ว่าก็หมายถึงคนอย่างคุณครอส คนที่เป็นทั้งตำนาน และมีตัวตนอยู่จริงในเวลาเดียวกัน เมื่อถึงคืนวันเทศกาลของขวัญทุกคนต่างรู้ว่าเขาจะกลายเป็น ซานต้า ออกไปแจกของขวัญให้กับเด็กๆ อันเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความสุขที่จะมาถึงอีกครั้ง

มันเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างรู้ดี เพียงแต่ไม่มีใครพูดออกมา เพราะเป็นธรรมเนียมอันเก่าแก่ในแบบของมันเอง

“คุณครอสก็ไม่ได้ดูต่างจากปู่...” เขาพูดแล้วก็รู้ตัวว่าพูดผิด “ผมหมายถึง...ทั้งสองคนต่างดูไม่ค่อยแก่เหมือนๆ กัน” เขานึกออกได้แค่นั้น

“เอาเถอะ ฟังจากที่เล่ามา ปู่คิดว่าเขาคงไม่รับหลานเข้าทำงานหรอก”

“ปู่ก็” เขาร้องขึ้นอย่างขัดใจ ปู่ตักพิซซ่าชิ้นสุดท้ายวางลงในจานให้เขาพร้อมรอยยิ้ม

“ตอนที่ปู่ยอมให้หลานลาออก ทุกคนตกใจกันมากเลยรู้ไหม”

“...ผมทราบครับ”

“ถึงพ่อกับแม่ของหลานจะคัดค้านอย่างไร แต่ปู่ก็เป็นผู้บริหารสูงสุดของกิจการในครอบครัวนี้” ปู่ยิ้ม “ปู่รู้ว่าหลานมีความคิดไม่เหมือนใครมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ปู่ก็ยังคงมีความหวังอยู่ว่า สักวัน หลานจะเป็นคนเดินกลับมาเอง”

เขาก้มหน้ากินพิซซ่าไม่ตอบอะไร ปู่ล้วงนาฬิกาพกออกมาเปิดดูเวลา มันเหมือนกับของเขาทุกอย่างยกเว้นแต่ว่าเป็นโลหะสีทอง ทุกคนในครอบครัวต่างมีนาฬิกาพกแบบนี้อยู่คนละเรือน ที่ด้านหลังของพวกมันต่างสลักตัวอักษรเล็กๆ เอาไว้

'ความตายตรงเวลาเสมอ'

“ได้เวลาที่ปู่ต้องไปแล้ว อ้อ ยังมีอีกเรื่อง” ปู่ค่อยๆ ล้วงเอาเอกสารชุดหนึ่งออกมาจากด้านในของเสื้อตัวนอก ท่าทางเหมือนกับว่ามันเป็นงูพิษ หรือสิ่งของอันตรายสักอย่าง

“เอกสาร เอกสาร เชอะ” ปู่พึมพำเบาๆ พร้อมกับวางมันลงบนโต๊ะ

“ในฐานะที่ปู่เป็นผู้บริหารสูงสุด และต้องรับผิดชอบกับการจากไปของสมาชิก ปู่จึงต้องเปิดรับสมัครสมาชิกใหม่อย่างที่เราไม่เคยทำมาก่อน เอ่อ มันเป็นความคิดจากแม่ของหลานนั่นแหละ”

เขาหยิบใบสมัครนักฆ่ารับจ้างขึ้นมาเปิดดู

“เก็บเอาไว้ชุดหนึ่ง เผื่อหลานได้เจอใครที่เหมาะสม”

เขาเงยหน้ามองปู่อย่างไม่เชื่อหู จะให้คนอย่างเขาแนะนำคนอื่นให้มาทำอาชีพที่เขาเดินหันหลังจากมาได้อย่างไรกัน

“ปู่รู้ แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งในความรับผิดชอบของหลานอยู่เหมือนกัน แม่ของหลานบอกมาอย่างนั้น” สุดท้ายเขาจึงต้องเก็บเอกสารเอาไว้ ก่อนโบกมือล่ำลากับปู่ที่หน้าร้านบ้านลูกกวาด

ปู่ขยิบตาให้เขาก่อนหันหลังเดินจากไป แน่นอนที่เขาแอบเห็นคุณยายลอบมองดูปู่ออกมาจากภายในร้านอย่างสนใจ ดูเหมือนว่าครั้งนี้ปู่ของเขาจะเป็นฝ่ายคิดถูก


Create Date : 20 กรกฎาคม 2556
Last Update : 20 กรกฎาคม 2556 22:04:59 น. 0 comments
Counter : 721 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.