ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
2 มีนาคม 2557
 
All Blogs
 
ทอย (29)

โฮมกลับมานั่งอยู่ภายในรถคันเล็กของตนเองอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่ได้นั่งอยู่หลังพวงมาลัย และไม่อาจรวบรวมสมาธิเพื่อคิดถึงเรื่องต่างๆ ได้เหมือนอย่างเคย เขาไม่กล้าจะเหลือบไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ทั้งๆ ที่อยากจะนั่งชมใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นมากเพียงใดก็ตาม

วสันต์ นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับ และกำลังทำสิ่งที่เธอเคยทำเสมอมา นั่นคือการขับรถให้กับเขา แต่มันไม่เหมือนเดิม และคงไม่มีทางเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เขาไม่แน่ใจว่าตนเองรู้สึกอย่างไร ดีใจหรือเสียใจกันแน่ รู้แต่ว่าความรู้สึกที่มีต่อตัวเธอนั้น คงไม่มีทางย้อนกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้อีกแล้ว

“เอ่อ” ทั้งคู่เอ่ยขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“...เชิญสารวัตรพูดก่อนค่ะ” เธอบอก สายตายังคงมองตรงไปข้างหน้า ใบหน้านิ่งเฉยไม่อาจอ่านความรู้สึกใดๆ ได้

“เอ่อ วสันต์ คุณพูดก่อนดีกว่า” คำว่า วสันต์ กลายเป็นคำที่ลิ้นของเขาออกเสียงได้อย่างยากเย็น ไม่คุ้นเคย และให้ความรู้สึกปั่นป่วนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“...ค่ะ...ต้องขอบคุณสารวัตรอีกครั้งนะคะ ที่มาช่วยฉันไว้...” ภายใต้ความมืด ความเงียบ ความคับแคบภายในรถ กับท้องถนนที่ว่างเปล่าข้างนอก คำพูดนั้นของเธอคล้ายกับสามารถลอยค้างอยู่กลางอากาศ

โฮมหน้าแดง เมื่อเขานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่พึ่งสิ้นสุดลงภายในห้องพักของวสันต์เมื่อครู่นี้อีกครั้ง

เขาเอื้อมมือที่สั่นอย่างไม่อาจควบคุมของตนออกไปคลำหาปุ่มเพื่อเปิดไฟฟ้าแสงสว่างภายในห้องอย่างยากเย็น 'เธอเสร็จมันไปแล้ว' เขาได้แต่ร่ำร้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ภายในใจ จนในที่สุดนิ้วมือของเขาก็ค้นเจอสิ่งที่ต้องการพร้อมกับเปิดมัน แสงสว่างพลันบังเกิดขึ้น พร้อมกับบนเตียงที่เคยว่างเปล่านั้นก็ปรากฎร่างของใครคนหนึ่งขึ้นมา 'ไม่ มันไม่ได้ปรากฎขึ้น' แต่ราวกับว่าเธอนอนอยู่ตรงนั้นมาตลอดไม่เคยขยับเขยื้อนเคลื่อนกายไปไหน

วสันต์ลืมตาตื่นพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง ร่างของเธอไม่ได้ถูกยืดยาวออกเหมือนเส้นบะหมี่อย่างที่ความรู้สึก หรือความทรงจำภายในกายบอกกับเธอ และก่อนที่สิ่งต่างๆ ภายในห้วงของความเป็นจริงแห่งนี้ จะทักทายกับประสาทสัมผัสต่างๆ ที่เธอใช้ในการติดต่อ และทำความคุ้นเคยกับพวกมันจะทำงานได้เต็มที่

ใครคนหนึ่งก็โผเข้ามากอดเธอเอาไว้แน่น

โฮมหน้าแดงยิ่งขึ้น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น

เธอขยับเคลื่อนไหวได้รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ และเขาย้ำกับตัวเองว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพราะเขาไม่ทันระวังตัวว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น เธอคว้าพร้อมกับบิดข้อมือของเขาไปในทิศทางตรงข้ามอย่างแรง เมื่อเขาส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับผ่อนแรงที่โอบกอดเธอไว้ ข้อศอก หัวไหล่ของเขาก็ถูกบิดในลำดับถัดมา เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งเขาก็ลงไปนอนคว่ำหน้าอยู่ที่ข้างเตียง โดยที่มีเธอนั่งทับอยู่บนหลัง แขนซ้ายถูกบิดรั้งจนตึง เจ็บปวดราวกับถูกนาบด้วยโลหะร้อนๆ ซึ่งทำให้เขามองเห็นทุกอย่างเป็นสีแดงไปชั่วครู่ และคิดว่ากระดูกแขนข้างนั้นคงจะหลุดออกจากหัวไหล่เสียแล้ว

“...และต้องขอโทษด้วยที่ฉันลงมือรุนแรงเกินไป แต่ตอนนั้นจู่ๆ สารวัตรก็...”

“เอาล่ะ เราอย่าพูดเรื่องนี้กันอีกดีกว่า” เพราะเพียงแค่นี้เขาก็รู้สึกขายหน้ามากพอแล้ว เขาเคยได้ยินมาว่าเธอมีทักษะในการต่อสู้ด้วยมือเปล่าอยู่ในระดับสูง ถึงกับเคยได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนในการแข่งขันภายใน และเกือบจะได้รับรางวัลชนะเลิศ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลย

หลังจากนั้นเหตุการณ์ทั้งหมดก็คลี่คลายลง เมื่อเธอรู้ว่าเขาเป็นใคร เธอก็รีบปล่อยแขนที่ยึดเอาไว้ พร้อมกับลุกขึ้นจากหลังของเขา ซึ่งต้องใช้เวลาอีกครู่หนึ่งกว่าที่เขาจะสามารถลุกขึ้นยืนได้เองอย่างทุลักทุกเลอีกครั้ง เขายังคงต้องใช้มือขวานวดคลึงไหล่ซ้ายเพื่อให้ความเจ็บปวดนั้นบรรเทาเบาบางลง และโชคดีที่ไหล่ข้างนั้นไม่ได้หลุดอย่างที่เขากลัว

“เอ่อ รบกวนสารวัตรช่วยหันหลังกลับไปก่อนได้ไหมคะ” เธอพูดเบาๆ
เขางงงันกับคำพูดของเธอ ก่อนที่สายตาจะนำพาความเข้าใจให้มาถึงอย่างรวดเร็ว เธอยืนอยู่โดยใช้มือทั้งสองปิดบังบางส่วนของร่างกายเอาไว้ และนั่นเป็นเพราะสิ่งที่เธอสวมใส่อยู่นั้นเป็นเพียงชุดนอนบางเบา และได้เกิดความเสียหายขึ้นกับพวกมันในระหว่างที่ทั้งสองกำลังชุลมุนกันเมื่อครู่

“ผมขอโทษ” แต่สายตาของเขายังคงจ้องค้างอยู่อย่างนั้นอีกครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรีบหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว “เอ่อ ผม ผมออกไปรอข้างนอกก่อนดีกว่า” แต่ขาของเขาไม่ยอมขยับ

“ไม่ต้องหรอกค่ะ สารวัตร แค่หันไปแบบนี้ก็พอแล้ว” เสียงของเธอนั้นฟังดูราบเรียบก่อนที่จะเงียบไป แต่เสียงที่เกิดขึ้นในความเงียบที่ติดตามมานั้นคล้ายกับถูกขยายให้เห็นรายละเอียดมากขึ้นภายในจินตนาการของเขา เสียงของการก้าวเดิน ประตูตู้เสื้อผ้าถูกเปิด เสียงเสื้อผ้าที่เสียดสีกับร่างกาย และเสียงที่ดังที่สุดในเสียงทั้งหมดนี้ก็คือ เสียงของลมหายใจ กับหัวใจที่เต้นระรัวในอกของเขานั่นเอง

“ว่าแต่ คุณคิดว่าจะเชื่อคำพูดของ แซนแมน คนนั้นได้มากน้อยแค่ไหนกัน” เขาหาเรื่องคุย และพยายามที่จะปัดภาพความทรงจำเหล่านั้นทิ้งไป

เธอได้เล่าเรื่องที่พบเจอในความฝันให้เขาฟัง และเขาก็ได้บอกเล่าเรื่องราวการเผชิญหน้ากับเด็กสาวขายไม้ขีดไฟ รวมถึงความสามารถอันแปลกประหลาดของเธอ การพูดคุยระหว่างตัวเขา ลินคอน กับยักษ์น้ำแข็งฟรอสภายในห้องลับ กับข้อสันนิษฐานที่ว่าเด็กสาวปริศนาคนนั้นน่าจะเป็นผู้ที่ลักพาตัวคุณครอสไปเพื่อทำให้โลกต้องเผชิญหน้ากับยุคน้ำแข็งอีกครั้งด้วยเหตุผลที่ยังไม่มีใครรู้นอกจากตัวเธอเอง การหลบหนีไปของสโนว กับทอย และแผนของท่านผู้ว่า

โฮมมองเห็นความเชื่อมโยงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ระหว่างผู้ต้องสงสัยทั้งสองนี้ที่ต่างมีความสามารถในการนำพาบุคคลที่ต้องการไปสู่โลกแห่งความฝัน หรือความเป็นจริงตามความเข้าใจของพวกเขา ได้เหมือนกัน ถึงแม้จะมีความแตกต่างในวิธีที่ใช้อยู่บ้างก็ตาม

'บางทีทั้งสองอาจสมรู้ร่วมคิด เป็นพวกเดียวกันก็เป็นได้' นั่นเป็นความสงสัยที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ของเขา

“...เราน่าจะเชื่อใจเขาได้ค่ะสารวัตร ความกังวลเรื่องการหายตัวไปของลูกชายของเขานั้นเป็นเรื่องจริง” เขารู้ว่าตำรวจที่ดีนั้นสามารถบอกความแตกต่างระหว่างเรื่องจริงกับการแสดงได้โดยอาจไม่ต้องมีหลักฐาน โดยอาศัยเพียงการสังเกต และประสบการณ์ที่ผ่านมา แต่มันก็ไม่อาจเชื่อถือได้ทั้งหมด ก็คงคล้ายกับการใช้เครื่องจับเท็จเพื่อยืนยันคำพูดของผู้ต้องสงสัย มันฟังดูเหมือนเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือสำหรับคนทั่วไป แต่ตำรวจที่ใช้นั้นต่างรู้ดีว่ามันอ่อนไหว และอ่านผลผิดพลาดได้ง่ายดายเพียงใด จนหลายคนคิดว่ามันเป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้ในการข่มขู่ สำหรับผู้ต้องหาที่ไม่รู้จักมันอย่างแท้จริงเท่านั้น

“ฉันไม่คิดว่าเขาจะมีความสนใจใน โลกแห่งความฝัน ของเรามากพอ ที่จะลงมือทำลายมันด้วย” นอกจากนี้เธอเองยังมีความคิดอย่างอื่นอีก “ถ้าเขาพูดความจริง ถ้าเขาคิดว่าตนเองเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถนำพาผู้คนให้ข้ามเข้าไปสู่โลกแห่งความฝันได้ เขาก็คงไม่รู้จักกับเด็กสาวหมวกแดง หรือไม้ขีดไฟวิเศษพวกนั้น”

แล้วเธอก็เกิดความคิดแปลกประหลาดอย่างหนึ่งขึ้นมา

“...ไม่แน่ว่า บางที...โลกแห่งความฝันเองก็อาจจะมีอยู่มากมายก็เป็นได้ ลองนึกดูสิคะสารวัตร ทุกคนต่างก็เคยฝัน และความฝันก็แตกต่างกันไป คงมีไม่กี่ครั้งที่เราจะฝันซ้ำในเรื่องเดิม และบางทีพวกมันก็อาจจะไม่เหมือนกันเสียทีเดียวก็เป็นได้ ดังนั้นถ้าความฝันแต่ละอัน คือโลกที่แตกต่างกันไป มันก็คงจะ เอ่อ...”

“เป็นจักรวาลจำนวนมากมายไม่สิ้นสุด เหมือนกับจักรวาลคู่ขนานอะไรแบบนั้นน่ะหรือ ที่เมื่อมีการตัดสินใจ เมื่อมีทางเลือกสำคัญเกิดขึ้น เมื่ออนาคตข้างหน้าขึ้นอยู่กับการเลือกที่จะเลี้ยวไปทางซ้าย หรือทางขวา จักรวาลที่เกิดจากทางเลือกต่างๆ นั้นก็จะถูกสร้างขึ้นมา มากมายเท่ากับจำนวนทางเลือก สำหรับทุกความเป็นไปได้ที่จะต้องเกิดขึ้น พร้อมกับขยายตัวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อะไรแบบนั้น”

เธออดที่จะหันมามองดูเขาไม่ได้ เธอไม่เคยคิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้ออกจากปากของเขา

“...เอ่อ ผมเคยชอบอ่านนิยายวิทยาศาสตร์ในสมัยเด็กๆ ก่อนที่จะหันมาอ่านนิยายสอบสวน แล้วเลิกอ่านพวกมันไปในที่สุด”

“ทำไมล่ะคะ” เธอถามด้วยความสงสัย

“ก็เพราะตอนนี้ ผมคิดว่าพวกมันเป็นนิยายจนเกินไป ไม่รู้สินะ อาจมีใครบอกว่าชีวิตจริงก็เหมือนกับนิยาย หรือเป็นยิ่งกว่านิยาย แต่ผมว่ามันต่างไปคนละแบบ และผมไม่รู้สึกอยากอ่านพวกมันอีกแล้ว” เขาตัดสินใจวกกลับเข้าเรื่องเดิม “เอาเป็นว่า ตอนนี้เราน่าจะตัด คุณคิง แซนแมน คนนี้ ออกจากข่ายของผู้ต้องสงสัยไปก่อน”

“ค่ะ ฉันเห็นด้วย” แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่รบกวนจิตใจเธอเป็นอย่างมาก ซึ่งเธอไม่ได้เล่าออกไป เธอแน่ใจว่าได้นั่งลงในงานเลี้ยงน้ำชา และพูดคุยกับแซนแมนเพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่เมื่อตอนที่เธอลืมตาตื่นขึ้น เวลากลับผ่านไปนานกว่านั้นมาก เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกกังวล แต่ก็ไม่อาจหาเหตุผลให้กับตนเองได้ว่าเพราะเหตุใด บางทีอาจเป็นเพราะแม้แต่เวลาซึ่งน่าจะมีความคงที่เสมอ กลับแตกต่างกันเมื่ออยู่ในความฝัน 'หรือความเป็นจริงจากมุมมองของแซนแมนคนนั้น'

เธอพูดต่อ “แต่มันก็แปลกนะคะ คนเก่าแก่พวกนี้เคยอยู่กับเรามาเนิ่นนานโดยไม่สร้างปัญหาใดใด” แล้วเธอก็นึกถึงกรณีของคุณนายวิกเซ่นขึ้นมาได้ “เอ่อ หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่ปัญหายุ่งยากมากมายอะไรนัก ส่วนคุณแซนแมนคนนี้ ฉันคิดว่าก็คงเป็นคนเก่าแก่เหมือนกัน...อาจเป็นแบบที่ต่างไปบ้าง” เธอไม่มั่นใจนัก “พวกเขาต่างก็เป็นเหมือน...คนแก่แก่ที่บางครั้งก็อาจจะลุกขึ้นมาทำอะไรแปลกๆ บ้าง แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้ใครเดือดร้อน แล้วจู่ๆ สาวน้อยคนนี้ที่ดูเหมือนว่าก็น่าจะเป็นคนเก่าแก่เช่นกันกลับต้องการที่จะทำลายล้างมนุษยชาติ” และไม่ว่ามันจะฟังดูไม่น่าเชื่อสักเพียงใด แต่เมื่อเธอนึกถึงหิมะน้ำแข็งที่จะไม่มีวันละลาย ความเย็นเยือกแข็งตลอดกาล หรืออย่างน้อยก็ยาวนานจนเกินกว่าที่มนุษยชาติจะสามารถดำรงค์เผ่าพันธุ์สืบต่อให้ผ่านพ้นไปได้ มันก็ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

“มันดูไม่สมเหตุสมผลเอาเลย”

'ผมไม่คิดอย่างนั้น' แต่เขาไม่ได้ตอบออกไป สำหรับเขาแล้วเรื่องราวทุกอย่างนั้นไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ไม่เหมือนกับในนิยายที่ผู้แต่งจำเป็นต้องยึดโยงสิ่งต่างๆ เข้าหากันด้วยโครงสร้างบางอย่าง ไม่ว่ามันจะดูซับซ้อนในสายตาของผู้อ่านสักเพียงใดก็ตาม เพื่อทำให้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในนั้นฟังดูน่าเชื่อถือ แต่ในความเป็นจริง ในอาชญากรรมที่เขาเคยพบเจอมานั้น มันไม่ต้องการโครงสร้างใดใด พวกมันเพียงแค่เกิดขึ้นเท่านั้น แล้วตำรวจอย่างเขาจึงมีหน้าที่ที่จะต้องหาหลักฐานเพื่อนำมาใส่ลงไปให้พอดีในภายหลัง บางคนอาจจะคิดว่าทั้งสองสิ่งนี้เหมือนกัน แต่สำหรับเขาแล้วพวกมันทั้งสองมีความแตกต่าง และทำให้เขาเลิกอ่านนิยายไปในที่สุด

“...และผมคงต้องขอย้ำกับคุณอีกครั้งนะว่า ภารกิจที่สำคัญที่สุดของเราในตอนนี้คือการตามหาตัวคุณครอสให้พบ พร้อมทั้งพาตัวกลับมาโดยเร็วที่สุด ดังนั้นเรื่องเด็กหายของคุณนี้คงต้องพักรอไว้ก่อน อย่างที่เราเคยคุยกันไปแล้ว”

“ค่ะ ฉันเข้าใจดี” เธอเน้นคำพูดนี้มากจนเขารู้สึกได้

“เอ่อ ยกเว้นแต่ว่าเราอาจไปพบเจอตัวเขาเข้าโดยบังเอิญในระหว่างภารกิจนี้ ถ้าเป็นแบบนั้นเราก็อาจจะพอทำอะไรได้บ้าง” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงต้องพูดทั้งหมดนี้

“ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ พร้อมกับเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่ ที่เรากำลังมุ่งหน้าไปนี้ คือที่อยู่ของ ผู้นำทาง ที่ท่านผู้ว่าเป็นคนแนะนำมาใช่ไหมคะ”

“ใช่แล้ว” เขาตอบ “แน่ใจหรือคะ” เธอถามคำถามเดียวกับที่ตัวเขาเองก็เคย และกำลังสงสัยอยู่เช่นเดียวกัน “ท่านผู้ว่าแน่ใจ” เขาตอบเลี่ยงๆ

รถคันเล็กของโฮมวิ่งเข้ามาจอดหน้าตึกแถวเก่าๆ แถบหนึ่ง พวกมันอาจเคยเป็นสิ่งก่อสร้างที่งดงามมาก่อน แต่ตอนนี้มีสภาพเก่าทรุดโทรม สีดั้งเดิมนั้นหลุดลอกไปจนเกือบหมด เผยให้เห็นผนังปูนแบบเก่าที่เนื้อของมันค่อนข้างร่วนเป็นผงไม่แข็งแรงเหมือนกับในปัจจุบัน

ทั้งสองเดินไปด้วยกัน และเธอมองหาเลขที่บ้านที่ต้องการได้ไม่ยาก 'ตึกเลขที่ หก หก หก มันช่างเหมาะกับเรื่องแปลกๆ พวกนี้เหลือเกิน' เธออ่านชื่อของผู้ที่ต้องการตัวซึ่งเขียนด้วยลายมือสวยงามของท่านผู้ว่าในกระดาษแผ่นนั้นอีกครั้ง

พี เอ กู๊ดแมน

“คุ้นไหม” เขาถาม “ค่ะ คนที่เขียนหนังสือนิยายเกี่ยวกับกลุ่มของเด็กๆ ที่ติดอยู่ภายในโลกที่หนึ่งในพวกเขาเป็นคนสร้างขึ้นเอง จินตนาการที่เหมือนจริงอย่างที่สุด และสุดท้ายทั้งหมดก็ต้องร่วมมือกันเพื่อกำจัดผู้สร้าง กฎของโลกใบนั้นที่เขาก็เป็นคนสร้างขึ้นเช่นกัน เพื่อหลบหนีออกมา ใช่ ฉันถึงได้รู้สึกคุ้นกับชื่อของเขา” เธอดีใจที่เขาเลิกทำตัวแปลกๆ ได้เสียที เขาเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่ตอนที่โผเข้ามากอดเธอบนเตียง และยังคงทำตัวพิลึกตลอดเวลาที่นั่งอยู่ด้วยกันภายในรถจนกระทั่งถึงก่อนหน้านี้ 'บางทีอาจเป็นเพราะเขาตกใจที่เห็นฉันอยู่ในชุดนอนแบบนั้นก็เป็นได้' และเธอชอบเขาที่เป็นแบบเดิมนี้มากกว่า

“แปลกใจเหมือนกันที่คุณก็เคยอ่านหนังสือของเขาด้วย ผมอ่านตอนที่ยังเป็นเด็ก ดูเหมือนมันจะเป็นผลงานเพียงเรื่องเดียวของเขา หรืออย่างน้อยก็เป็นเรื่องเดียวที่ผมรู้จัก เขายังอ้างอีกว่านามปากกา ซี ที่เขาใช้นั้นมีที่มาจากอักษรตัวสุดท้ายในภาษาโบราณภาษาหนึ่ง ซึ่งไม่มีหลักฐานอื่นยืนยันได้นอกจากคำพูดของตัวเขาเองเท่านั้น”

“แล้วนักเขียนนิยายจะช่วยอะไรเราได้คะ” เธอถาม “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จากที่ผ่านมา ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรที่แปลกเกินไปได้อีกแล้ว เราคงต้องค้นหาคำตอบด้วยกัน” คำว่า 'ด้วยกัน' นี้ ให้ความรู้สึกดีกับเขากว่าที่เคยเป็นมา ทั้งคู่เดินตรงไปที่ประตูหน้าพร้อมกับมองหาที่เคาะประตู หรือกระดิ่งไปด้วย แต่ก่อนที่ทั้งสองจะเข้าไปใกล้หน้าประตู ไฟฟ้าแสงสว่างชั้นล่างจากภายในตึกก็ติดสว่างขึ้น พวกมันเล็ดลอดออกมาให้เห็นจากช่องกระจก หลังผ้าม่านที่ปิดไว้ไม่สนิท

มือของโฮมขยับมาอยู่ที่ด้ามปืนของเขาอย่างรวดเร็ว ทั้งสองหันมองหน้ากัน ไม่มีใครส่งเสียง แต่ทั้งคู่ต่างมีท่าทางระมัดระวังตัวมากขึ้น เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นเพียงแค่เหตุบังเอิญเท่านั้น ด้วยวิธีการบางอย่าง ผู้ที่อยู่ภายในตึกคงสามารถรับรู้ถึงการมาเยือนของพวกเขาได้


Create Date : 02 มีนาคม 2557
Last Update : 2 มีนาคม 2557 16:41:30 น. 0 comments
Counter : 537 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.