ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
232425262728 
 
15 กุมภาพันธ์ 2557
 
All Blogs
 
ทอย (27)

'อยากให้เวลาหยุดเดินอยู่ในเสี้ยววินาทีนี้'

มันเป็นความต้องการที่ผุดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวจากส่วนลึกภายในใจของลินคอน ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับใคร ในเวลาใดก็ได้ เมื่อกล่องของขวัญแห่งชีวิตได้ถูกเปิดออกในชั่วพริบตา ในชั่วเสี้ยววินาที เพื่อรับการชื่นชม กล่องแห่งชีวิตที่มักถูกพบเห็นว่าหุ้มห่อเอาไว้ด้วยกระดาษสีทึบทึมหม่นมัวตลอดเวลา

ลินคอนลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน เดินไปที่หน้าต่าง เงยหน้ามองออกไป และพยายามบังคับสีหน้าของตนให้เรียบเฉยเอาไว้ แต่มันก็ทำได้ยากเย็นเหลือเกิน แม้จะได้เห็นเพียงเศษเสี้ยวของใบหน้า กับแววตาคู่นั้น ถึงแม้กระจกหน้าต่าง และความแตกต่างของแสงสว่างภายในห้อง กับความมืดมิดภายนอกจะลดทอนความสามารถในการมองเห็นของเขาลงไปมากก็ตาม

เขาไม่ได้มองเห็น นาง ด้วยดวงตาเท่านั้น แต่นางยังคงประทับแน่นอยู่ภายในความทรงจำ อยู่ในห้วงดวงใจของเขา

“สวัสดี...เอ็บ...ไม่เจอกันนานเลยนะ” คำทักทายนั้นดังราวกับเป็นเสียงทอดถอนใจซึ่งกระซิบอยู่ที่ข้างหู โดยเฉพาะคำเรียกหาว่า เอ็บ ที่แสนคุ้นเคยของนาง ดูเหมือนผนังกำแพง หรือแม้แต่กระจกก็ไม่อาจกั้นขวางเสียงของนางเอาไว้ได้

ที่นอกหน้าต่างบานใหญ่ของห้องทำงานห้าเหลี่ยม เงาร่างอ้อนแอ้น(ร่างบาง)ในชุดราตรีสีดำซึ่งโบกปลิวด้วยสายลมเหน็บหนาวแห่งยามค่ำคืน ยืนอ้อยอิ่งราวกับกำลังชื่นชมสวนดอกไม้อันงดงาม ไม่ใช่ลอยอยู่กลางอากาศที่ระดับความสูงเกือบจะเท่ากับยอดของตึกที่สูงที่สุดในมหานครแห่งนี้

ภาพ ที่เป็นราวกับความฝันในค่ำคืนแห่งฤดูร้อน 'เธอกำลังยิ้มอยู่ใช่ไหมนะ' เขามั่นใจ มันต้องเป็นรอยยิ้มเดียวกับที่นางเคยมีให้เขาเสมอมา

“สวัสดีครับ...ท่านหญิง” เสียงตอบรับนั้นคล้ายกับไม่ได้ดังออกมาจากปากของเขา 'แต่มันเป็นเสียงของฉัน'

ท่านหญิง เขามีอีกชื่อหนึ่งที่เคยใช้เรียกหานางอย่างสนิทสนมในอดีต แต่ก็ไม่เคยมั่นใจว่ามันจะเป็นนามอันแท้จริงของนางหรือไม่ ตลอดช่วงระยะเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา นางเองก็อาจมีชื่อเรียกขานอื่นๆ อีกมาก 'มันจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่' แต่เขาก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมจึงจงใจไม่เรียกหานางด้วยชื่ออันคุ้นเคยนั้น

“นี่ ใจคอคุณจะไม่เชิญ...เพื่อนเก่า ให้เข้าไปคุยกันข้างในก่อนหรือ”

เขาไม่แน่ใจว่าได้ยินอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในคำว่า เพื่อนเก่า นั้นหรือไม่ นางจงใจใช้มันอย่างมีความหมายอะไรหรือเปล่า “โอ ต้องขออภัยด้วย ท่านหญิง มารยาทของผมหายไปอยู่ที่ใดกัน แต่ ผมเข้าใจว่าถึงแม้จะไม่ได้ออกปากเชิญ ท่านหญิงเองก็สามารถเข้าออกสถานที่แห่งใดก็ได้ตามใจปารถนาอยู่แล้ว”

“ใจร้ายจริงนะเอ็บ ฉันจำไม่ได้ว่าคุณเป็นคนแบบนี้”

น้ำเสียงนั้นตัดพ้อจนทำให้เขาเกิดรู้สึกละอายใจขึ้นมา แต่เขาคิดว่าตัวเองรู้ดีมากกว่านั้น มันเป็นความจริงที่นางไม่อาจเข้าออกสถานที่แห่งใดหากผู้เป็นเจ้าของไม่เอ่ยปากยินยอมเสียก่อน แต่มันก็เป็นความจริงเช่นกันที่ทุกถิ่นอาศัยของทุกผู้คนในทุกวันนี้ต่างเคยตกเป็นของผู้ที่อยู่มาก่อน ซึ่งล้วนแล้วแต่เคยเอ่ยปากต้อนรับนางด้วยความยินดีมาแล้วทั้งสิ้น บางทีอาจนับย้อนไปจนถึงเมื่อครั้งที่เคยมีจอมราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียวที่เอ่ยอ้างเป็นเจ้าของผืนแผ่นดินทั้งหมดนี้

หากเป็นเช่นนั้นจริง จอมราชันย์ผู้นั้นย่อมไม่อาจไม่เอ่ยปากต้อนรับนางให้เข้าสู่ดินแดนอันไพศาลของเขา

“...เชิญครับ ท่านหญิง” เขาทำท่าผายมือเชื้อเชิญอย่างสุภาพ และในชั่วพริบตา ซึ่งเขามั่นใจว่าตนเองไม่ได้กระพริบตา นางก็เข้ามายืนอยู่ในใจกลางห้องทำงานห้าเหลี่ยมของเขาแล้ว ราวกับว่านางได้ยืนอยู่ในตำแหน่งนั้นมาโดยตลอด ไม่เคยได้เคลื่อนกายไปไหน

ไม่มีร่างที่สลายกลายเป็นหมอกควันลอยแทรกผ่านบานหน้าต่างเข้ามาก่อนรวมตัวเข้าด้วยกันอีกครั้ง หรือบางที มันอาจเกิดขึ้นรวดเร็วมากจนเขาไม่อาจพบเห็น

ใบหน้าอันไร้กาลเวลา แววตา กับรอยยิ้มที่แสนคุ้นเคยนั้นช่างอบอุ่นนุ่มนวล และดวงใจของเขาก็เริ่มเต้นรำ เขารู้สึกได้ถึงช่วงเวลาที่ผ่านเลย ย้อนกลับคืนสู่วัยหนุ่มอันร้อนแรงอีกครั้ง แล้วหัวใจของเขาก็ต้องปวดร้าว เมื่อต้องยอมรับกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น วันเวลาที่ผ่านพ้นไปโดยไม่มีนางยืนอยู่เคียงข้างอย่างที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝัน

“ฉันเสียใจด้วยเอ็บ ฉันเสียใจจริงจริง” นางพึมพำออกมา ราวกับว่าสามารถจะอ่านความคิดของเขาได้

'ฉันอ่านความคิดของใครไม่ได้หรอกเอ็บ' ครั้งหนึ่งนางเคยบอกกับเขา 'แต่ใครก็สามารถทำอย่างที่ฉันทำได้ ถ้าหากว่าได้ศึกษาผู้คนอย่างใกล้ชิด อย่างใส่ใจ และ...มีเวลายาวนานเพียงพอ ใครคนนั้นก็จะเข้าใจในรูปแบบความคิดของผู้คน ไม่ ฉันไม่ได้หมายความถึงการอ่านความคิดที่กำลังอยู่ในหัวอะไรแบบนั้น แต่ฉันหมายถึงการ เข้าใจ ว่าผู้อื่นนั้น รู้สึก อย่างไร ได้จากท่าทาง จากคำพูด จากสิ่งที่แสดง และสิ่งที่ไม่ได้แสดงออกมา บางทีอาจเข้าใจมากกว่าตัวของคนผู้นั้นเองด้วยซ้ำไป'

ในเวลานั้นเขายังไม่เข้าใจ และจนถึงตอนนี้ เมื่อเขาได้ใช้เวลากับผู้คน ได้คิดถึงสิ่งที่นางเคยกล่าวไว้ เขาก็ยังคงรู้สึกไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นไปได้ แต่ไม่มากเท่ากับเมื่อตอนวัยหนุ่มแล้ว

เขาเดินย้อนกลับไปที่ด้านหลังของโต๊ะทำงาน และพึ่งรู้ตัวว่าเขาทำเช่นนั้นทำไมเมื่อมาหยุดยืนอยู่ที่เก้าอี้ประจำตำแหน่งของตนแล้ว เขาต้องการการปกป้อง ต้องการให้มีอะไรสักอย่างกั้นขวางระหว่างตัวเขากับนางเอาไว้ ถึงแม้จะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อันใด ถึงแม้จะรู้ว่าสิ่งเดียวที่จะสามารถปิดกั้นนาง ปกป้องตัวเขาเอาไว้ได้ก็คือจิตใจอันเด็ดเดี่ยวเท่านั้น แต่เมื่อเขาก้าวเดินมาแล้วก็ไม่อาจถอยหลังกลับไปได้อีก

“เชิญนั่งครับท่านหญิง” เขาผายมือไปที่เก้าอี้ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะ และรอคอย

“ขอบคุณมากท่านผู้ว่า ที่กรุณา แต่ฉันขอยืนอยู่เช่นนี้ดีกว่า และขอให้คุณนั่งลงตามสบายเถิด”

เขาได้ยินที่นางเรียกว่า ท่านผู้ว่า และเขาก็นั่งลงเพียงลำพัง ก่อนจะประสานมือทั้งสองวางลงบนโต๊ะ

“ไม่ทราบว่าท่านหญิงมีธุระอะไรกับผู้ว่าการมหานครคนนี้หรือครับ”

นางพยายามฝืนยิ้ม “ขอโทษด้วยนะเอ็บ แต่ฉันคิดว่าเราคงมีเวลาไม่มาก และ...”

“โอ ผมไม่คิดเช่นนั้น ท่านหญิง” เขาขัดขึ้นอย่างไม่อาจห้ามตัวเอง “ตัวผมคงมีเวลาไม่มากจริง แต่สำหรับท่านหญิงแล้ว คงต้องบอกว่ายังมีเวลาอีกมากมาย มากเท่าที่ท่านหญิงต้องการ” เขารู้สึกเสียใจทันทีที่พูดออกไป แต่มันก็สายเกินไปแล้ว มันมักจะเกิดขึ้นเสมอเมื่อเราไม่ระมัดระวังคำพูดของตน

“เอ็บ...คุณกลายเป็นคนแบบนี้ไปแล้วจริงหรือ” นางรำพึงรำพันตัดพ้อ

มันทำให้เขาหวนนึกถึงค่ำคืนหนึ่งอันแสนหวาน เมื่อเขาแสดงความอิจฉาถึงห้วงเวลาอันไม่สิ้นสุดของพวกนาง และนางได้ให้คำตอบกับเขาว่า 'เอ็บที่รัก หากฉันจะบอกกับเธอว่า การจากไปของผู้เป็นที่รักซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่จบสิ้นนั้น จะบั่นทอนหัวใจ และทุบทำลายมันอย่างร้ายกาจได้มากกว่าการจากกันเพียงหนเดียว เธอจะเชื่อฉันหรือไม่' และเขาจำได้ว่าตนเองได้แต่นิ่งเงียบ ไม่แน่ใจว่าจะตอบออกไปอย่างไร

'แล้วถ้าเป็นตอนนี้ล่ะ ฉันจะตอบคำถามนั้นว่าอย่างไร' ไม่น่าเชื่อว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาจะไม่เคยคิดถึงคำถามนี้อย่างจริงจังอีกเลยจวบจนกระทั่งบัดนี้ บางทีการแกล้งลืมคำถามที่ไม่อยากตอบ อาจเป็นวิธีการที่จิตใต้สำนึกของเขาใช้ในการป้องกันตนเองก็เป็นได้

“ผมไม่ได้ตั้งใจ ผม...ขอโทษ” และเขาเห็นนางแอบอมยิ้ม พร้อมกับหวนนึกถึงความสามารถในการเข้าใจผู้อื่นของนาง 'เธอต้องรู้อยู่แล้วว่าฉันเสียใจตั้งแต่พูดมันออกไป แต่เธอก็แกล้งทำเป็นไม่รู้' มันทำให้เขารู้สึกโกรธขึ้นมา ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่ามันเป็นความผิดของเขาเองมากว่าของนาง ทั้งสองต่างพากันเงียบไปครู่หนึ่ง

“...เราเหลือเวลาอีกไม่มาก” นางเริ่มพูดต่อจากที่ทิ้งค้างไว้ “แต่คุณทำได้ดีแล้วเอ็บ คุณจัดการทุกอย่างได้ดีกว่าที่ฉันคาดไว้มาก” และเขารู้ว่ายังมีอะไรมากกว่านั้น “แต่เรายังวางใจอะไรไม่ได้ เพราะเรายังไม่รู้ว่า เธอ จะลงมือทำอะไรอีก”

“แล้ว เธอ ที่ว่า ผมหมายถึงหนูน้อยหมวกแดงคนนั้น เธอเป็นใคร...หรืออะไรกันแน่ ยังมีอีก เป้าหมายที่แท้จริงของการกระทำทั้งหมดนี้ของเธอคืออะไรกัน” ซึ่งคำถามข้อหลังนี้เขาคิดว่ามันมีความสำคัญมากที่สุด

“ศัตรูของเราเป็นใคร ฉันเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ที่แน่แน่ เธอต้องเป็นบางสิ่งที่เก่าแก่ และมีพลังมากอย่างคาดไม่ถึง ส่วนเป้าหมายของเธอนั้นก็คงเป็นการทำลายล้างมนุษยชาติอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนเหตุผลนั้นฉันเองก็เคยคิดขึ้นมาได้หลายข้อ” นางยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เขารู้สึกหนาวเหน็บ และเตือนให้ระลึกขึ้นได้อีกครั้งว่านางนั้นเป็นใคร “แต่ฉันคงไม่อาจให้คำตอบที่ถูกต้องแทนเธอได้”

“แล้ว...ท่านหญิง คิดจะดำเนินการอย่างไรต่อไปครับ” เขาถามอย่างคาดหวัง

“ไม่ ฉันจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น” นางตอบทันที

'ที่ฉันทำก็มากเกินไปแล้ว' นางคิดถึงเรื่องที่ตนเองเข้าไปปะปนกับผู้คนในงานเลี้ยงเพื่อพยายามติดต่อกับทนายความคนนั้น อีกทั้งเรื่องที่เสี่ยงเข้าไปขัดขวางสาวน้อยหมวกแดงถึงในความฝันของมือสังหารหนุ่มด้วย แน่นอนที่พวกเขาทั้งสองจะต้องรู้สึกคุ้นเคย เหมือนกับว่านางเป็นใครบางคนที่เคยรู้จักแต่นึกไม่ออก เพราะมันเป็นธรรมชาติของพวกนาง มันจะเป็นเช่นนั้นเสมอ ผู้คนจะเปิดใจยอมรับกับคนที่สร้างความรู้สึกคุ้นเคยผ่อนคลายได้ง่ายกว่าคนแปลกหน้าที่ไม่เป็นมิตร

“สงครามสิ้นสุดไปนานแล้ว พวกฉันพ่ายแพ้ และไม่มีตัวตนอยู่อีกต่อไป” นางยกมือห้าม รู้ว่าเขาจะพูดถึงเรื่องนี้ในมุมมองที่ต่างออกไปอย่างไร 'พวกเราจะไม่ชนะสงคราม ถ้าหากพวกของท่านหญิงไม่เลือกที่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปเอง' ซึ่งก็เป็นความจริง แต่นางรู้ดียิ่งกว่านั้น ผีดูดเลือดนั้นไม่มีทางยึดครองสิ่งใด หรือกลายเป็นผู้ปกครองขึ้นมาได้ เพราะมนุษย์ไม่ใช่ปศุสัตว์ และไม่มีทางเป็นได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการอันซับซ้อนเพียงใดก็ตาม

หนทางที่ดีที่สุด ก็คือการทำให้พวกพ้องของนางกลับคืนสู่ความมืด ไม่มีตัวตนอยู่อีกต่อไป 'แต่ความเชื่อนั้นจะต้องไม่หายไปไหน' นั่นเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับพวกนาง ดังนั้นนางจึงรับหน้าที่ที่ต้องทำให้แน่ใจว่า เรื่องเล่า ตำนาน ความหวาดกลัวต่อผีดูดเลือดจะยังคงดำเนินอยู่ต่อไปอีกตราบนานเท่านาน แต่ก็ต้องไม่มากเกินไปจนกระทั่งมีใครบางคนลุกขึ้นมาจุดคบไฟ เหลาไม้แหลม แล้วเริ่มออกไล่ล่าพวกนางอีกครั้ง

“ขอโทษนะครับ แต่ผมคงต้องขอแก้ว่า...ท่านหญิงได้ลงมือทำอะไรบางอย่างไปแล้ว และอาจกำลังรอคอยผลของมันอยู่” เขามองจ้องด้วยแววตาที่นางไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น เป็นครั้งแรกที่นางได้รับรู้อย่างเต็มตาว่าใบหน้าของเขาในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งชีวิต ซึ่งแตกต่างไปจากเด็กหนุ่มคนที่นางเคยรู้จัก 'และฉันเอาแต่คิดตลอดมาว่าเขายังคงเป็นหนุ่มน้อยน่ารักคนเดิมคนนั้น' นางยิ้มให้กับตนเอง 'บางครั้งฉันก็ลืมไปว่าการที่มีช่วงเวลาจำกัดนั้นมันสามารถสร้างความหมายให้กับทุกสิ่งได้มากมายเพียงใด'

“...คุณทั้งพูดถูกและก็ผิดด้วย เอ็บ” นางยอมรับในที่สุด “ใช่ ฉันได้พยายามทำอะไรบางอย่าง แต่คงต้องบอกให้คุณผิดหวังไว้ก่อนว่า ครั้งนี้ฉันทำอะไรได้ไม่มากนัก ฉันไม่รู้สึกถึงเธอคนนั้นจนกระทั่งเมื่อซานต้าครอสได้ถูกจับตัวไป และนั่นก็สายเกินไปแล้ว”

“ไม่หรอกท่านหญิง มันไม่เป็นแบบนั้น” เขาลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินออกมาข้างหน้า หยุดยืนอยู่ตรงหน้า ห่างจากตัวนางอย่างเหมาะสม “เราอาจรู้สึกว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นมันช่างเล็กน้อย และไร้ความสำคัญ แต่มันไม่เป็นแบบนั้น เราได้ทำบางสิ่งที่ดูเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา และทั้งหมดนั่นก็กลายมาเป็นตัวเราในที่สุด มันสำคัญเสมอ”

เป็นอีกครั้งที่คำพูดของเขาทำให้นางต้องแปลกใจ และด้วยความแปลกใจนั้นนางได้ก้าวออกไป หยุดยืนอยู่ห่างจากตัวเขาเพียงเล็กน้อย นางไม่ได้ตั้งใจ 'โอ ไม่ ฉันตั้งใจ ฉัน ตั้งใจ นี่ฉันเป็นอะไรไป'

ทั้งสองจ้องตากันนิ่ง ใบหน้าเคลื่อนเข้าหากันช้าๆ ซึ่งหากให้เอดิสันเป็นคนมาช่วยอธิบายถึงปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เขาอาจบอกว่ามันเป็นเหมือนกับดาวสองดวงที่เคลื่อนเข้ามาใกล้กันจนเกินไป ใกล้จนเกิดเป็นแรงดึงดูดซึ่งกันและกันผ่านทางสนามแรงโน้มถ่วงที่โค้งงอของกาลอวกาศ หรืออะไรที่ยากจะเข้าใจในทำนองเดียวกันนี้ ซึ่งก็อาจถูกต้องในแง่หนึ่ง

นางได้ยินเสียงเสียดสีของบางสิ่ง พร้อมกับกลิ่นฉุนขึ้นจมูก แล้วทันใดนั้น นางก็ไม่ได้ยืนอยู่ในห้องทำงานห้าเหลี่ยม ไม่ได้ยืนอยู่ในช่วงเวลาเดิมที่นางเคยอยู่ นางย้อนกลับมาอยู่ภายนอกหน้าต่าง ในช่วงเวลาที่ลินคอนเคยมองออกมาพร้อมกับเกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้น

“อยากให้เวลาหยุดเดินอยู่ในเสี้ยววินาทีนี้” สาวน้อยในชุดเสื้อคลุมสีแดงสดซึ่งล่องลอยอยู่กลางอากาศเช่นเดียวกับนางพูดออกมาด้วยเสียงที่นางจดจำได้ว่าเป็นเสียงของลินคอนในวัยหนุ่มอย่างไม่ผิดเพี้ยน

“ตามตัวเจอจนได้ แม่ผีดูดเลือดจอมจุ้น” เธอใช้คำพูดราวกับว่านางเป็นเพียงเด็กหญิงเล็กๆ คนหนึ่ง แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกโกรธ เพราะตอนนี้นางคิดออกแล้วว่าเธอน่าจะเป็นใคร ซึ่งมันไม่น่าเป็นไปได้ และหมายถึงทุกความพยายาม ทุกความหวังที่ตั้งไว้คงต้องล้มเหลวไม่เป็นท่าเมื่อมาอยู่ต่อหน้าเธอผู้นี้

“ถ้าเธอคิดหนี ก็จะต้องเป็นเขา” สาวน้อยหมวกแดงชี้มือไปยังลินคอนที่ยังยืนงงอยู่ภายในห้อง

“ได้ ให้เป็นฉัน แล้วต้องปล่อยเขาไป” นางตอบอย่างเด็ดเดี่ยว ไม่รู้ว่าตนเองคิดถูกหรือไม่ สาวน้อยหมวกแดงอมยิ้ม

“ช่างน่ารักเหลือเกิน ได้ เธอคงนึกออกแล้วว่าฉันเป็นใคร ดี” ไม้ขีดไฟที่จุดไว้แล้วนั้นถูกยื่นเข้ามาใกล้ นางยังไม่เข้าใจว่าทำไมเธอจึงต้องใช้ของแบบนี้ด้วย 'อาจบางที พลังของเธอยังคง...' และนั่นอาจหมายถึงความหวัง และทำให้นางยิ่งต้องระวังให้มากไว้เมื่อนึกถึงมัน

'ทำไมความหวังถึงต้องถูกกักเอาไว้ในกล่องใบเดียวกันกับความชั่วร้ายทั้งมวล'

“แล้วถ้าฉันหนีออกไปได้ล่ะ” นางเชิดหน้า พร้อมกับกล่าวท้าทาย ซึ่งบางทีอาจเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่จะได้ทำแบบนี้ นางเคยจินตนาการถึงวาระสุดท้ายตลอดมา แต่มันไม่เคยเหมือนแบบนี้ บางทีนี่อาจไม่เหมือนกับจุดจบโดยทั่วไปก็เป็นได้

“ถ้าเธอทำได้นะ” สาวน้อยหมวกแดงยิ้มเยาะ “เธออาจคิดว่าตัวเองคุ้นเคยกับความฝัน เธออาจเคยเข้าออกมัน เหมือนกับพวกขนปุยเป็นพรมเช็ดเท้าพวกนั้น แต่มันไม่เหมือนกัน ความแตกต่างที่สำคัญก็คือ เธอจะไม่มีวันรู้ตัวเมื่อมันเป็นความฝันของเธอเอง”

ร่างของนางค่อยๆ จางหายไปอย่างรวดเร็ว

“ไม่มีใครหนีออกจากความฝันที่ตนเองสร้างขึ้นได้ จนกว่าจะตื่นขึ้น” สาวน้อยหมวกแดงส่งเสียงหัวเราะแล้วหายตัวไปในที่สุด

ลินคอนเปิดหน้าต่างห้องทำงานห้าเหลี่ยมออกพร้อมกับมองไปรอบๆ แต่ไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ เขาพยายามบอกตัวเองว่าการหายตัวไปอย่างลึกลับของท่านหญิงนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ลึกๆ ลงไปแล้วเขาก็ไม่เชื่อเช่นนั้น ในสายลมเย็นของยามค่ำคืน เขาคิดว่าได้กลิ่นจางๆ ของฟอสฟอรัสปนมาด้วย และพยายามบอกตัวเองว่าเขาคิดไปเอง แต่มันก็ไม่ได้ผลเช่นกัน


Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2557
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2557 17:06:10 น. 0 comments
Counter : 624 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.