ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2557
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
12 ตุลาคม 2557
 
All Blogs
 
ทอย (58)

“...นั่นใครกัน”

ลินคอนถามออกไปพร้อมกับหันมองไปในความมืดที่ล้อมอยู่รอบกาย โชคดีที่ในที่นี้ยังมีอีกหลายคนอยู่กับเขาด้วย เขาไม่ใช่คนขวัญอ่อน แต่วันนี้มันออกจะมากเกินไปแล้วสำหรับเขา

“...เอ่อ...ท่านไม่รู้จักหรือคะ” วสันต์เอ่ยขึ้นเบาๆ พร้อมกับรู้สึกได้ในทันทีว่าสายตาทุกคู่ในที่นี้ต่างหันมาจับจ้องอยู่ที่ตน “...มันเป็นเสียงของโทรลค่ะท่าน โทรลที่อาศัยอยู่ใต้สะพานลอนดอน บางคนก็ได้ยินเป็นเสียงของผู้เฒ่า เสียงเด็ก หรือบางครั้งก็เป็นคนที่พูดด้วยสำเนียงแปลกๆ เป็นชายบ้าง หญิงบ้าง แต่ดิฉันจะได้ยินเป็นเสียงของหญิงชราใจดีแบบนี้เสมอค่ะ”

“...โทรลแห่งสะพานลอนดอน”

เขาพึมพำออกมาเบาๆ ทุกคนภายในมหานครแห่งนี้ต่างต้องเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับมันมาแล้วทั้งสิ้น ส่วนใหญ่จะเป็นการบอกเล่ากันมาแบบปากต่อปาก ชาวมหานครเกือบทุกคนต่างเชื่อว่าโทรลนั้นมีตัวตนอยู่จริง แต่ก็ไม่ได้เชื่อว่าทุกเรื่องที่ได้ยินมานั้นจะเป็นความจริงไปทั้งหมด ทุกคนต่างก็มีโทรลตามความเชื่อในรูปแบบของตนที่อาจจะคล้ายคลึง หรือแตกต่างกันไปคนละแบบสองแบบ

“แล้ว...” เขาไม่แน่ใจว่าจะเรียกสรรพนามของมันว่าอย่างไรดี “...เธอ แอบอยู่ที่ไหนกัน” เขาตัดสินใจไม่เรียกว่า มัน แต่เรียกเป็น เธอ ตามเสียงของหญิงชราที่ได้ยินแทน

“เธอ...เอ่อ...ไม่มีร่างค่ะท่าน เธอคือเงาของสะพานแห่งนี้” พอได้ยิน ทุกคนต่างก็รีบก้มลงมองที่เท้าของตนเอง กลัวว่าจะได้เห็นเงามืดนั้นกลายเป็นรูปร่างประหลาด หรือไม่ก็อาจจะกำลังเอื้อมเงาของมันขึ้นมาเพื่อจับขาของพวกเขาเอาไว้ก็เป็นได้ ไม่เคยมีใครพูดถึงอาหารของโทรลมาก่อน ซึ่งทำให้ลินคอนนึกสงสัยขึ้นมาในตอนนี้ จะมียกเว้นก็เพียงแค่ท่านหญิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงยืนเฉย

“นั่นเป็นโทรลตามความเข้าใจของเธออย่างนั้นหรือ” ท่านหญิงเอ่ยถามวสันต์ ภายใต้การจับจ้องจากมนุษย์หมาป่าทั้งสอง

“...ใช่ค่ะ” เธอยังนึกไม่ออกว่านางเป็นใคร เคยพบกันมาก่อนหรือไม่ แต่นางมาด้วยกันกับท่านผู้ว่า และจากท่าทางการวางตัวของนางนั้นก็ทำให้คาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นคนที่มีฐานะในวงสังคมชั้นสูง 'บางทีนางอาจเดินทางมาจากเมืองอื่นก็เป็นได้' ซึ่งจะช่วยอธิบายได้ว่าทำไมเธอจึงรู้สึกคุ้น แต่นึกชื่อของนางไม่ออกซึ่งผิดวิสัยของเธอเป็นอย่างยิ่ง

'แต่บางทีฉันอาจจะกลับมา ฉันชอบวิวที่ใต้สะพานแห่งนี้ ฉันอาจย้อนกลับมาที่นี่ แล้วอยู่ไปตลอดกาล'

นางจดจำคำพูดนี้ได้ราวกับว่าอลิส ลูกสาวของเกรเทลคนนั้น ได้ย้อนกลับมาพูดให้นางฟังอีกครั้ง 'แล้วเธอก็กลับมาจริงๆ อย่างนั้นหรือ ย้อนกลับมาอยู่ที่ใต้สะพานแห่งนี้'

“ฉันอยู่ที่นี่มานานมากแล้ว” เสียงโทรลดังขึ้นอีกครั้ง คล้ายกับจะเป็นการจงใจเพื่อตอบคำถามของนาง “ฉันได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ มากมายจากเหล่าผู้คนที่ข้ามไปมาบนสะพาน วันเวลาที่พวกเขาเกิด เติบโต และจากไป ไม่ว่าจะเป็นเวลา เช้า สาย บ่าย ค่ำ รับรู้ถึงวิถีชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการเจริญเติบโตขึ้นของเมืองแห่งนี้ ก่อนที่มันจะกลายมาเป็นมหานครแบบในทุกวันนี้ในที่สุด”

ภาพการเปลี่ยนแปลงของมหานครแห่งนี้คล้ายถูกเล่าผ่านไปภายในห้วงความคิดของแต่ละคนอย่างรวดเร็ว ภายในภาพขนาดใหญ่ที่ค่อยๆ ขยายตัวออกอย่างช้าๆ นั้น ประกอบขึ้นมาจากความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของปัจเจกแต่ละคน การกระทำที่ถูกเล่นซ้ำไปซ้ำมาในแต่ละวันของแต่ละคนซึ่งแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ก่อให้เกิดเป็นผลกระทบอันมหาศาลต่อองค์ชีวิตที่มีขนาดใหญ่กว่าซึ่งเรียกว่าเมืองได้อย่างน่าพิศวง

ท่านหญิงรับฟังอย่างตั้งใจเหมือนกับคนอื่นๆ เงาของสะพานนั้นดูเหมือนจะเข้มข้นขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกว่าน่าหวาดหวั่นแต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคอยเตือนตัวเองให้เตรียมพร้อมเอาไว้เสมอ เพราะนางคือนักเดินหมาก และการประมาทคู่ต่อสู้นั้นคือสิ่งสุดท้ายที่นางคิดจะทำ

“ฉันรักเมืองนี้ ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไรก็ตาม มันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันหวัง ไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันฝัน แต่ฉันก็ยังรักมันไม่เปลี่ยนแปลง และฉันจะไม่ยอมให้มันจบลงแบบนี้”

“...เราทำอะไรไม่ได้ ทุกสิ่งนั้นไปไกลเกินกว่าที่จะควบคุมแล้ว” ลินคอนกล่าวยอมแพ้อีกครั้ง “แม้แต่กำลังของตำรวจเองก็ไม่อาจพึ่งพาได้” เขารู้เรื่องนี้ดียิ่งกว่าใคร มหานครนั้นไม่ได้สงบสุขอยู่ได้เพราะมีตำรวจคอยดูแล แต่เป็นเพราะผู้คน สังคม ต่างหากที่ได้สร้างข้อตกลง ระเบียบวิธีในการดำเนินชีวิตร่วมกันขึ้นมา ตำรวจมีหน้าที่เพียงแค่คอยจัดการกับผู้คนจำนวนน้อยที่ดิ้นหลุดออกมาจากข่ายใยดังกล่าว ทั้งโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดเท่านั้น

เมื่อผู้คนไม่มั่นใจในทุกสิ่ง ข้อตกลงทั้งหมดก็ถูกทำลายลง ง่ายง่ายแบบนั้น

“อย่าพึ่งหมดหวัง เอ็บ” เสียงของโทรลนั้นฟังดูปลอบโยน “เมืองแห่งนี้ยังคงอยู่ มหานครยังคงอยู่ เพียงแค่เธอต้องทำให้ทุกคนระลึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาให้ได้เท่านั้น”

“แล้วผมจะทำแบบนั้นได้อย่างไรกัน” เขานึกหนทางไม่ออก

“ฉันจะช่วยพวกเธอเอง เอ็บ ฉันคือสิ่งที่พวกเธอขาดหายไปในตอนนี้ ฉันคือเสียงที่จะสามารถเข้าถึงชาวมหานคร เตือนให้พวกเขานึกออกว่ามหานครนั้นคืออะไร ฉันคือเสียงที่จะชักนำผู้คนให้กลับมารวมกันเป็นสังคมอีกครั้ง...แต่เพื่อที่จะสามารถทำแบบนั้นได้ ฉันก็ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือของพวกเธอคนหนึ่ง”

ท่านหญิงระวังตัวขึ้นมาทันที

“ฉันต้องการความช่วยเหลือจากวสันต์ เพราะเธอเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถพาฉันออกจากใต้สะพานแห่งนี้ได้”

ทุกคนต่างหันไปมองคนที่ถูกพาดพิงถึงทันที วสันต์เองก็ยังงงอยู่ไม่รู้ว่าโทรลหมายความว่าอย่างไรเช่นกัน ท่านหญิงคิดว่าได้เวลาที่นางจะต้องเคลื่อนไหวแล้ว

'เธอเองก็สงสัยในตัวฉันอย่างนั้นหรือ' เสียงของโทรลดังขึ้นในหัวของนาง เสียงนี้อ่อนวัย และคุ้นเคยยิ่งกว่า นางแน่ใจว่าตนเองได้ยินเพียงผู้เดียวเท่านั้น มนุษย์หมาป่าทั้งสองคล้ายพบเห็นท่าทีผิดปกตินี้ นางจึงยิ้มให้กับพวกเขาเพื่อกลบเกลื่อน

'เธอวางแผนจะทำอะไรกันแน่' นางถาม

'ฉันอยากช่วยพวกเขา ฉันพูดจริงที่ว่าฉันรักเมืองนี้' เสียงนั้นตอบ
นางคิดทบทวนเรื่องต่างๆ ที่นางรู้ซ้ำอีกครั้ง 'เธอเป็น อะไร กันแน่' นางตัดสินใจถามออกไป

น่าแปลกที่ตลอดมานางไม่เคยได้ยินเสียงของโทรลมาก่อน ซึ่งอาจเป็นเพราะนางไม่เคยเดินข้ามสะพาน นางเคยได้ยินเรื่องของโทรล แต่กลับไม่เคยสงสัยอะไรมากไปกว่านั้น นางไม่เคยคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง และนั่นทำให้นางยิ่งแปลกใจ 'หรือเป็นเพราะว่าฉันถูกทำให้ไม่สงสัยในเรื่องนี้'

'เธอเข้าใจถูกแล้ว มันเป็นเรื่องยาก แต่ฉันก็สามารถทำให้ชาวมหานคร ซึ่งเธออาจไม่ยอมรับแต่มันหมายรวมถึงตัวเธอด้วย ไม่นึกสงสัยในตัวฉัน แต่เมื่อเธอรู้ตัวแบบนี้แล้วฉันก็ไม่สามารถทำแบบนั้นกับเธอได้อีก' เสียงนั้นตอบคำถามที่นางไม่ได้คิดจะถามก่อน 'ส่วนที่ว่าฉันเป็นอะไรนั้น ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันคงบอกได้แค่ว่า ฉันคือเมืองแห่งนี้ ฉันคือมหานคร'

'ฉันคือเสียงสะท้อนของชาวเมือง ไม่ว่าความคิดนั้นจะงดงาม หรือดำมืด ไม่ว่าพวกมันจะถูกป่าวประกาศ หรือเก็บงำซุกซ่อนไว้ลึกลับเพียงใด ฉันก็สามารถรับรู้ได้ เพราะฉันคือเงาของเมืองแห่งนี้ที่ถูกซุกไว้ที่ใต้สะพาน'

'แล้วก่อนหน้านั้นเล่า เธอเป็นใครที่ฉันเคยรู้จักมาก่อนหรือเปล่า' นางถามจี้ด้วยความรู้สึกโกรธ นางย่อมต้องโกรธ หากการเดินหมากของนางถูกคู่ต่อสู้บอกว่าสามารถอ่านทางได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ไม่มีอะไรที่จะชวนหงุดหงิดไปมากกว่านี้อีกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มปะติดปะต่อกันเข้าภายในห้วงความคิดของนาง ซึ่งเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว นางก็สามารถที่จะค้นหาความคิดแปลกปลอม และพยายามอย่างเต็มที่ที่จะกีดกันมันออกไปจากหัว

'ฉันขอโทษที่ต้องทำกับเธอแบบนี้ แต่มันจำเป็น' เสียงนั้นตอบ

'เธอยังไม่ได้ตอบคำถามที่ฉันต้องการรู้เลย' นางย้ำ พร้อมกับสำรวจความคิดของตนอย่างละเอียด

'ใช่ ฉันก็คือคนที่เธอคิด แต่ฉันไม่ได้วางแผนอะไรขึ้นทั้งนั้น' นางไม่เชื่อ 'ฉันค่อยๆ ค้นพบความผิดปกติของตัวเองทีละน้อย และมันก็รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อร่างกายของฉันไม่อาจบรรจุพลังงานมหาศาลภายในจิตใจที่ถูกขยายออกของฉันเอาไว้ได้อีก แม้เมื่อร่างกายเปื่อยสลายไป แต่ฉันก็ยังคงอยู่ อยู่ที่ใต้สะพานแห่งนี้เรื่อยมา และเติบโตขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเมืองแห่งนี้'
'แล้วลูกหลานของเธอมีพลังแบบเธอด้วยหรือเปล่า'

'ก็แค่บางคน พวกเขาอาจทำอะไรกับจิตใจของตน หรือผู้อื่นได้บ้าง แต่ไม่เคยมีใครเป็นแบบฉันอีกเลย บางคนที่ไม่สามารถทนต่อเสียงจากจิตใจของผู้อื่นที่ต้องได้ยินโดยไม่อาจควบคุมนี้จนทำให้ต้องหนีไปอยู่ตามลำพังนอกเมืองอันห่างไกล บางครั้ง ในบางช่วงเวลา บางคนก็ถูกเรียกว่าเป็นแม่มด เป็นคนทรง หรืออะไรก็ตามที่พวกชาวเมืองซึ่งไม่เข้าใจจะใช้เรียกพวกเขา'

'อลิสก็เช่นกันใช่ไหม' นางมั่นใจแล้วว่าเสียงนี้ไม่ได้เป็นเสียงของหญิงสาวที่นางสงสัย

'ใช่ อลิสน้อยที่น่าสงสาร เธอเองก็รักเมืองแห่งนี้ไม่น้อยไปกว่าตัวฉันเลย แต่เธอควบคุมพลังนั้นไม่ได้ และมันอาจทำให้เธอต้องเป็นบ้าได้ไม่ยากถ้ายังทนอยู่ภายในเมืองต่อไป แต่เธอก็มีชีวิตบั้นปลายที่ดี'

'วสันต์คนนี้เป็นลูกหลานของเธอ' ความจริงแล้วแทบจะไม่ต้องถามเลย

'ใช่ ถึงแม้เธอจะยังไม่รู้ตัว แต่เธอก็มีพลังนั้นอยู่ด้วยเช่นกัน ความจริงแล้วฉันก็ไม่อยากทำแบบนี้ เพราะมันอาจเป็นการทำให้ชีวิตที่เหลือของเธอไม่ปกติเหมือนเดิมอีก แต่มันจำเป็น ฉันยังคงมีความหวัง และฉันจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะรักษาเมืองแห่งนี้เอาไว้จนกว่าวินาทีสุดท้ายจะมาถึง'

'คงไม่ได้เป็นเพราะว่าหลังจากที่ผ่านวันเวลามาอย่างยาวนาน เธอก็ไม่อยากที่จะหายไปใช่ไหม' นางถาม นางจำเป็นต้องถาม นางกลายเป็นเหมือนตัวหมากให้กับคนอื่น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผล ไม่ว่าจะเพื่อสิ่งใดก็ตาม แต่นางจะต้องเอาคืน เพราะนางคือท่านหญิง

'เธอพอใจแล้วใช่ไหม' เสียงนั้นถามกลับ

'ไม่ ฉันยังไม่พอใจ' นางตอบ 'แต่ครั้งนี้ฉันจะยอมยกให้ ด้วยการตัดสินใจของตัวฉันเอง ไม่ใช่จากความคิดที่ถูกยัดเยียดให้จากเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ชื่อจริงของฉัน เพราะเธอเป็นคนตั้งมันเอง' นางเรียกชื่อที่แท้จริงของโทรลออกไป

'เกรเทล เกรท เพื่อนคนแรกของฉัน'

'ขอบใจ...อลิส เธอคงรู้แล้วว่าฉันตั้งชื่อลูกสาวคนโตของฉันด้วยชื่อเดียวกันกับที่ตั้งให้เธอเพราะเหตุผลใด'

นางไม่ตอบ ที่อลิสอีกคนมาหานางในตอนนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ที่นางพาลินคอนมาที่นี่ก็เช่นกัน และรวมไปถึงการที่วสันต์กลับมาจากความฝันแล้วโผล่ขึ้นในที่นี้ด้วย

“...แล้วฉันต้องทำอะไร” วสันต์เอ่ยถามอย่างลังเล

“เธอต้องเปิดใจพาฉันออกจากใต้สะพาน แล้วตระเวนไปรอบๆ เมือง ทำให้พวกเขาได้ยินเสียงของฉัน เสียงจากมหานครแห่งนี้อีกครั้ง เพื่อนำพาผู้คนทั้งหมดให้กลับมารวมกันดังเดิม”

“จะรวมกันเพื่ออะไรล่ะ” ลินคอนถาม ตามความเข้าใจของเขา ฤดูหนาวครั้งนี้คงจะต้องยาวนานต่อไปจนอาจไม่มีวันสิ้นสุด หรืออย่างน้อยก็คงไม่มีมนุษย์คนใดรอดอยู่ได้นานพอที่จะได้พบกับการสิ้นสุดลงของมัน ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะร่วมมือกันอย่างเต็มที่ก็ตาม

“อย่าพึ่งหมดความหวัง เอ็บ อาจยังมีบางสิ่งที่ทุกคนจะทำได้ในค่ำคืนนี้” โทรลตอบ

#####

“อัลฟา...เราคืออัลฟา เราคือการเริ่มต้น”

มันเป็นเสียงของสาวน้อยหมวกแดง ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นอย่างช้าๆ และทอยคิดว่าเธอไม่ใช่สาวน้อยหมวกแดงคนเดิมก่อนหน้า นางดูเติบโตขึ้นเต็มสาว สมบูรณ์ ทรงพลัง และไม่มีร่องรอยบาดแผล หรือแม้แต่มีดสั้นของปู่ด้ามนั้นหลงเหลืออยู่ให้เห็น นางเปลี่ยนไปจากเดิม และมันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเขา

“นางตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว คงมีใครบางคนจำนางได้” แซนแมนพึมพำ

“มันเป็นความผิดของฉันเอง ฉันควรห้ามนักสำรวจคนนั้นตั้งแต่ที่เริ่มสงสัยว่าอาจจะมีเรื่องราวของนางหลงเหลืออยู่ที่ใดสักแห่ง”

“ฉันเองก็เหมือนกัน ฉันควรจะดูแลลูกให้ดีกว่านี้ ไม่เผลอปล่อยให้เขาเข้าไปในถ้ำแห่งนั้นได้” ทั้งคู่ต่างถอนหายใจ “เราทั้งสองต่างก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเกิดขึ้น ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม” คุณครอสว่า “นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรนัก” แซนแมนบอก

“คุณยังมีมีดแบบนั้นอีกเล่มไหม” โฮมกระซิบถาม “ผมคิดว่าถึงมีก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร สารวัตรล่ะ มีแผนอย่างอื่นอีกไหม” โฮมส่ายหน้าแทนคำตอบ

“...เธอไม่ใช่การเริ่มต้น” สโนวตะโกนออกไป “เธอจะทำลายล้างมนุษยชาติ เธอคือหายนะ เธอคือจุดจบต่างหาก”

“ไม่ เจ้าหญิงจากเทพนิยาย เธอต่างหากที่เข้าใจผิด” เสียงของอัลฟานั้นเป็นดั่งท่วงทำนองของบทเพลงที่เกิดขึ้นจากความเงียบ มันเต็มไปด้วยโอกาส มันคือการเปลี่ยนแปลงอันไม่จบสิ้น “หากไม่มีการเริ่มต้น ทุกสิ่งก็ไม่อาจดำรงค์อยู่ ในทุกการดำรงค์อยู่ มันคือการเริ่มต้นใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะเป็น ฟรอส หรือ ครอส การเริ่มต้นแห่งฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็น แซนแมน จุดเริ่มต้นแห่งความฝัน หรือความเป็นจริง ทุกสิ่งใดใดก็ตาม มันล้วนเป็นตัวฉัน ทั้งหมดนั้นคือการเริ่มต้นทั้งสิ้น แม้แต่เวลาเองก็เช่นกัน เมื่อไม่มีการเริ่มต้น ก็ไม่มีระยะทาง ไม่มีความเร็ว ไม่มีความเร็วแสง ไม่มีมวล ไม่มีพลังงาน ไม่มีแม้แต่ความไม่มี ทุกสิ่งย่อมไม่อาจเกิดขึ้น จึงไม่มีสิ่งใดอยู่ก่อนหน้าเราทั้งสิ้น” ทั้งสามคนต่างงงกับคำพูดเหล่านี้

“เวลาแห่งการเริ่มต้นอีกครั้งมาถึงแล้ว”

“...เพราะอะไร พวกเราทำอะไรผิดถึงต้องถูกทำลายแบบนี้ด้วย ชีวิตของพวกเรามันไร้ความหมายขนาดนั้นเชียวหรือ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ดำเนินอยู่ ล้วนมีความสำคัญกับพวกเราทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าบางครั้งเราอาจหลงลืม เราอาจไม่ได้นึกถึงมันมากเท่าที่ควรก็ตาม เราอาจทำเหมือนว่ามันไร้ค่า แต่เราก็รู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น” สโนวร้องถามออกไปอย่างเดือดดาล ภายในใจของเธอนั้นยังคงมีคำถามอื่นๆ อีกมากมาย แต่ตอนนี้เธอไม่อาจที่จะเรียบเรียงมันออกมาเป็นคำพูดได้

“การเริ่มต้นก็คือการเริ่มต้น” บางทีอัลฟาอาจไม่เข้าใจคำถาม หรือไม่มันก็เป็นคำตอบของนางแบบนั้น

ทอยต้องทำอะไรบางอย่าง แต่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร เขากำลังเข้าตาจน ไม่มีทางให้ถอยได้อีกแล้ว แล้วคำพูดนี้ก็หลุดออกจากปาก และเขาไม่รู้ว่าพวกมันมาจากไหน

“ไม่อยากรู้แล้วหรือว่ามีใครอยู่ข้างหลังผม”


Create Date : 12 ตุลาคม 2557
Last Update : 12 ตุลาคม 2557 15:16:33 น. 0 comments
Counter : 523 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.