ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2557
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
4 พฤษภาคม 2557
 
All Blogs
 
ทอย (35)

ทอยคิดที่จะตอบโต้กลับไป แต่ดูเหมือนว่าร่างกายที่สูญเสียพลังของมือสังหารไปหมดแล้วนั้น จะไม่อาจขยับได้อย่างที่ต้องการ ดังนั้นเขาจึงต้องเปลี่ยนเป็นทิ้งตัวลงพื้นเพื่อกลิ้งหลบคมดาบซึ่งทำได้ง่ายกว่าแทน 'น่าจะมีสองคน' เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เพราะมือสังหารนั้นจะทำงานเพียงลำพังเสมอ ในขณะที่เขาคิดจะยันตัวเปลี่ยนทิศเพื่อกลิ้งหลบไปอีกทาง คมดาบสีดำอีกด้ามก็กำลังฟันลงมาจากจุดอับสายตาของเขาแล้ว

การเคลื่อนไหวที่ดูธรรมดาของเขาไม่ได้สร้างความแตกตื่นให้กับผู้ลอบจู่โจมทั้งสองได้มากเท่ากับการลงมือของคุณนายวิกเซ่น เพราะทั้งคู่ต่างแทบไม่มีโอกาสได้เห็นมันเลย คมดาบที่สองนั้นยังไม่ทันเข้าสู่ระยะที่จะทำอันตรายใดๆ กับทอยได้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ทันได้เปลี่ยนทิศทางก็ตาม การโจมตีของนางทั้งรวดเร็ว ทรงประสิทธิภาพ โดยใช้เพียงแค่ประสาทสัมผัสกับกล้ามเนื้อสร้างเป็นการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วต่อเนื่องขึ้นมา

ทอยไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขาคาดว่าหนึ่งในนั้นน่าจะถูกนางฟันด้วยสันมือเข้าที่ด้านหน้าของลำคอตรงบริเวณลูกกระเดือก ดวงตาของเป้าหมายนั้นเหลือกขึ้นสิ้นสติล้มหงายหลังไปในทันที ส่วนอีกคนเขาไม่ทันได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ได้ยินเพียงเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นครั้งหนึ่ง แต่ร่างที่นอนอยู่บนพื้นนั้นยังคงมีสองมือกุมอยู่ที่บริเวณส่วนล่างของลำตัวแม้ในขณะที่สิ้นสติไปแล้วก็ตาม

“ฉันคิดว่าคุณน่าจะทำได้ดีกว่านี้” นางถามด้วยคิ้วที่เลิกขึ้นสูงพร้อมกับยื่นมือมาให้เขา

“ผมไม่ใช่มือสังหารอีกแล้ว” เขาจับมือนางพร้อมกับฉุดดึงตัวเองให้ลุกขึ้น

“คุณเลิกเป็นมือสังหาร” เขาพยักหน้ารับ คิ้วของนางจึงยิ่งเลิกสูงขึ้นกว่าเดิม “ทำแบบนั้นได้ด้วยหรือ ฉันพึ่งรู้”

“...ผมเองก็พึ่งรู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมไม่มีความสามารถของมือสังหารหลงเหลืออีกแล้ว” นางมองดูเขาด้วยสายตาแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก

“จะทำอย่างไรกับสองคนนี้ดี” นางถาม เมื่อลากร่างของชายทั้งสองคนให้มานอนไว้คู่กันได้อย่างง่ายดาย เครื่องแต่งกายของพวกเขาเป็นส่วนผสมระหว่างผ้าทอแบบเก่ากับหนังสัตว์ คล้ายกับที่เห็นในภาพถ่าย หรือภาพวาดของผู้คนในยุคก่อนตามพิพิธภัณฑ์ หรือในหนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนา นักเดินทางจากยุคแห่งการร่อนเร่ ยุคแห่งการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ไปสู่ดินแดนห่างไกลที่ยังไม่เคยมีผู้ใดจับจอง

นางยังได้กลิ่นของเขม่าควันจากกองไฟ กลิ่นอาหาร เหงื่อไคลที่สะสม ดิน พืช แมลง เกสรดอกไม้จากดินแดนแถบนี้ที่บางส่วนนางก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ในขณะที่บางส่วนนั้นกลับไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน คนพวกนี้อาจเป็นนักเดินทาง แต่ก็อย่างที่ทอยบอก นางยังได้กลิ่นของโลหะกับเลือด สิ่งที่นางพอจะนึกได้ใกล้เคียงที่สุดอาจเป็นคำว่า กองโจร นั่นเอง

“เราจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของโลกความฝันนี้ เป้าหมายของเราคือการตามหาตัวคุณครอสให้พบแล้วพาตัวกลับไปโดยเร็วที่สุดเท่านั้น” สโนวพูดพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นช้าๆ “ฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว” เธอบอก แต่ท่าทางดูเหมือนจะยังไม่มากอย่างที่เธออยากจะให้เป็น

“วูฟ เธอได้กลิ่นของคุณครอสบ้างไหม” สโนวถามพร้อมกับเดินเข้ามารวมกลุ่มกับทั้งหมด

“...เอ่อ...ไม่ ฉันไม่ได้กลิ่นของใครเป็นการเฉพาะเจาะจง ที่จริงคือ ฉันไม่อาจแยกแยะกลิ่นของคุณครอสออกมาจากในไม้ขีดไฟพวกนั้น ฉันบอกไปแล้วว่าฉันแค่พยายามตามกลิ่นที่ไม่รู้จักมา กลิ่นที่อาจไม่เคยมีอยู่ในมหานคร เผื่อว่ามันจะนำทางให้ไปพบคุณครอสได้ในที่สุด”

“โอ เยี่ยม” เธอยกมือขึ้นกุมขมับพร้อมกับแสดงความผิดหวังออกมาอย่างไม่ปิดบัง “ฉันนึกว่าเธอจะทำได้ดีกว่านี้เสียอีก”

“ฉันทำได้ไม่ดีเหมือนกับเธอสินะ คุณสโนวไวท์ผู้งามเลิศในปฐพี” แล้วทั้งสองก็จ้องตากันนิ่ง ทอยเดาไม่ถูกว่าทั้งสองคนนี้เคยมีความหลังร่วมกันในรูปแบบไหน แต่ก็คงไม่มีใครคิดที่จะลงมือทำร้ายอีกฝ่ายอย่างจริงจัง หรืออย่างน้อยเขาก็คิดว่าคุณนายวิกเซ่นคงคิดเช่นนั้น 'เพราะจากที่เห็น สโนวไม่มีทางสู้เธอได้เลย'

“...ฉันได้กลิ่นบางอย่างมาจากทางนั้น” นางบอกพร้อมกับชี้มือไปทางทิศที่เคยได้กลิ่นอันเก่าแก่ของมหานครโชยมา และในนั้นยังมีกลิ่นจางๆ บางอย่างปะปนอยู่ “อาจเป็นกลิ่นเดียวกับที่ติดอยู่บนไม้ขีดไฟ และฉันค่อนข้างแน่ใจว่าน่าจะเป็นกลิ่นของคน ของใครคนหนึ่ง...”

“ที่ไม่ใช่คุณครอส” สโนวมองไปตามทิศนั้น

“ไม่ใช่คุณครอส และก็ไม่น่าจะเป็นของสาวน้อยหมวกแดงคนนั้นด้วย”

“ถ้าอย่างนั้น เราก็จะตามกลิ่นนี้ไป” สโนวทำการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว “ให้พบเจอเจ้าของกลิ่นนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ส่วนสองคนก็ทิ้งไว้แถวนี้ แต่เอาดาบของพวกเขาไปด้วยเพื่อความปลอดภัย เราจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอะไรที่ไม่จำเป็นทั้งสิ้น” เธอย้ำอีกครั้ง พร้อมกับยืนรอเพื่อให้คุณนายวิกเซ่นทำหน้าที่นำทางไป ซึ่งนางก็ทำท่ายักไหล่พร้อมกับเดินนำออกไปตามต้องการ ทอยยึดดาบทั้งสองเล่มไปตามที่เธอบอก พวกมันไม่ใช่ดาบที่ดี ทั้งน้ำหนัก สมดุล และความคม ตามความคิดของเขาแล้วพวกมันน่าจะเหมาะกับการเอาไปใช้ถางทางมากกว่าที่จะนำมาใช้เป็นอาวุธ

'เราจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอะไรโดยไม่จำเป็นอย่างนั้นหรือ' เขาคิด มันเป็นความคิดที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ในทุกการกระทำไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด ก็จะส่งผลกระทบถึงตัวผู้ที่กระทำ และสิ่งอื่นๆ ด้วยเสมอ เหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างต่างอยู่ในท้องน้ำกว้างใหญ่ผืนเดียวกัน ไม่ว่าการรบกวนที่เกิดขึ้นนั้นจะเล็กน้อยสักเพียงใด ก็จะส่งวงคลื่นให้แผ่กระจายออกไปรอบตัว กระทบกับทุกสิ่งด้วยเสมอ เพียงแต่มากน้อยแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของการกระทำ ความใกล้ไกลระหว่างตำแหน่งของสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงถึงกันเท่านั้น

'ดูท่าฉันคงจะต้องเลิกคิดถึงข้อความในหนังสือของโศกาคิดเสียที' เพราะเขามั่นใจว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความคิดของตัวเอง

เขาเริ่มสงสัยว่าบางทีการอ่านหนังสืออาจเป็นมากกว่าที่คนทั่วไปเข้าใจ เมื่อความคิดของบุคคลหนึ่ง ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นตัวอักษรเพื่อบรรจุลงบนหน้ากระดาษในหนังสือ ที่จริงแล้วมันก็คือส่วนหนึ่งจากความคิด ตัวตนของเขานั่นเอง และเมื่อถูกเปิดออก มันก็จะรีบกระโจนออกมาเพื่อมุดเข้าไปวุ่นวายภายในหัวของผู้ที่อ่านมัน ความคิดที่ทรงพลังย่อมสามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อผู้อ่านได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นในทางบวก หรือลบก็ตาม

เขาหยุดความคิดฟุ้งซ่านของตนไว้เพียงแค่นี้ ก่อนรีบเดินก้าวยาวๆ เพื่อติดตามหญิงสาวทั้งสองให้ทัน ซึ่งดูเหมือนไม่มีใครคิดที่จะรอเขาเลย

คุณนายวิกเซ่นนำทั้งหมดให้เดินหลบเข้าไปในแนวไม้เพื่อพลางจากสายตาของใครก็ตามที่อาจมองมา และเพียงแค่นั้นสภาพรอบกายก็คล้ายจะเปลี่ยนแปลงไปในทันใด มันไม่เหมือนกับสวนภายในเมือง หรือแนวไม้ที่ทอดยาวไปตามริมถนน มันไม่ใช่เพียงแค่การมีต้นไม้มาอยู่รวมกัน เราไม่อาจปลูกต้นไม้ให้กลายเป็นป่า เพราะป่าเป็นรูปแบบชีวิตที่ต่างออกไป มันเต็มไปด้วยพลังงานจากสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ มากมายที่พึ่งพิงอิงอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างซับซ้อนภายใน

การเคลื่อนไหวของนางนั้นค่อยๆ กลมกลืนไปกับสภาพรอบกายอย่างเป็นธรรมชาติ ในขณะที่สโนวเองก็ดูไม่ขัดเขินสักเท่าไรนักกับการเดินทางแบบนี้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเจอกัน เขาเคยคิดว่าหญิงสาวที่มีการงานมั่นคง แต่งกายทันสมัย วางตัวได้อย่างเหมาะสมผู้นี้ต้องเป็นคนเมืองโดยกำเนิด แต่จากเรื่องราวที่ดำเนินมาจนถึงตอนนี้ทำให้เขาต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ดูเหมือนเธอเองก็มีความลับซุกซ่อนไว้ไม่มากก็น้อย

“ตอนเด็กๆ ฉันเคยใช้ชีวิตอยู่ในที่ห่างไกลทุรกันดาร ก่อนที่จะย้ายเข้ามาอยู่ในมหานคร” ดูเหมือนเธอจะมีความรู้สึกไวมากกว่าที่เขาคิดด้วย

“พวกคุณสองคนเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหมครับ” เขาลองถามดู

“ใช่ กาลครั้งหนึ่ง เอ่อ ฉันหมายถึงเมื่อ นานมาแล้ว แต่ฉันขอไม่พูดถึงรายละเอียดดีกว่า” คุณนายวิกเซ่นที่อยู่ข้างหน้ายังคงเดินนำทางต่อไปเหมือนไม่สนใจ แต่เขาคิดว่าได้ยินเสียง 'เชอะ' ดังลอยมาเบาๆ

“คุณเองก็พึ่งย้ายเข้ามาอยู่ในมหานครได้ไม่นานเหมือนกันใช่ไหม ฉันอ่านเจอจากในใบสมัคร”

“ครับ” เขาตอบรับสั้นๆ ชีวิตภายในเมืองเมื่อความตื่นเต้นในตอนแรกจางหาย เมื่อการเรียนรู้กฎระเบียบที่ชาวเมืองต่างรู้กันมาตั้งแต่เกิด จึงไม่มีการเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนไม่สนุกอีกต่อไป สำหรับตัวเขามันก็เหลือเพียงแค่ความโดดเดี่ยวที่แทบไม่ต่างอะไรจากชีวิตของมือสังหารที่ผ่านมาเลย แต่อย่างน้อยเมื่อก่อนเขาก็ยังมีบ้านให้กลับไป ไม่ใช่เพียงห้องว่างเปล่าที่เอาไว้ใช้นอนแบบในตอนนี้

“แล้วทำไมถึงตัดสินใจย้ายเข้ามาในมหานคร อยากเปลี่ยนมาทำงานในร้านของเล่นแบบนี้ล่ะ” เธอถามต่อ และเขาไม่แน่ใจว่าควรจะตอบคำถามนี้อย่างไรดี ความวุ่นวายอย่างต่อเนื่องของเหตุการณ์พวกนี้ทำให้เขาลืมเลือนตนเองเมื่อก่อนหน้าไปชั่วคราว เขาเคยบอกกับตัวเองว่าอยากทำงานที่จะได้พบเจอกับรอยยิ้มอยู่เป็นประจำ อย่างงานในร้านขายของเล่น งานที่แตกต่างไปจากเดิม วิถีชีวิตที่ต่างไปจากเดิม มันเป็นความต้องการของเขา 'แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงหรือ'

“...ผมต้องการความเปลี่ยนแปลง ค้นหาชีวิตที่เหมาะกับตัวผมเอง ไม่ใช่สิ่งที่ได้รับมาแบบนั้น” เขาไม่แน่ใจ

หญิงสาวทั้งสองหันไปมองหน้าราวกับนัดกันไว้

“เธอเองก็น่าจะรู้คำตอบนั้นเหมือนกันไม่ใช่หรือ” นางพูดขึ้นลอยๆ

“เธอเองก็เหมือนกันนั่นแหละ” เธอโต้

“มันก็จริง” นางตอบเรียบๆ “ไม่ว่าใครก็คงต้องเคยสงสัย ตั้งคำถามขึ้นกับชีวิตของตัวเองกันทั้งนั้น คำตอบอาจเป็นสิ่งสำคัญ แต่การค้นหาเองก็จำเป็นไม่แพ้กัน ไม่มีทางที่เราจะเพียงแค่ตั้งคำถามแล้วบรรลุไปถึงคำตอบที่ต้องการได้ในทันที เพราะการต้นหาเองก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งในคำตอบที่จะออกมาด้วย ใช่ไหมเซพ เหมือนกับ...คนพวกนั้น เหมือนกับแอปเปิ้ล เหมือนกับเจ้า...”

“พอเถอะ วูฟ” น้ำเสียงของสโนวนั้นเจือไปด้วยความเศร้า

“โทษที เซพ ฉันจะไม่พูดถึงมันอีก” แล้วทั้งคู่ต่างก็เงียบไป แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเขาจึงรู้สึกถึงความเป็นเพื่อนระหว่างผู้หญิงทั้งสองคนนี้ได้ชัดเจนกว่าที่ผ่านมา

#####

“หัวหน้าต้องไม่ชอบเรื่องนี้แน่” ชายตัวเล็กพูดขึ้น

“เขาก็ไม่เคยชอบอะไรทั้งนั้นแหละ แต่อย่างน้อยเราก็มีข่าว ต้องรีบไปเตือนทุกคนให้ระวังผู้หญิงคนนั้นเอาไว้” ชายคนที่ร่างท้วมกว่าพูดพร้อมกับส่งเสียงครางเบาๆ ท่าทางการเดินของเขาดูแปลกๆ เขาก้าวได้ไม่เต็มก้าว และใบหน้าแสดงความเจ็บปวดในทุกครั้งที่ขยับขา

“ไหวไหมพวก” คนตัวเล็กว่าถาม แต่กลับมีความขบขันปนอยู่ในน้ำเสียงอย่างไม่อาจปิดบัง

“อยากลองดูบ้างไหมล่ะ” คนร่างท้วมขยับขาทำท่าจะเตะ แต่การทำอย่างนั้นกลับยิ่งทำให้เขาต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และทำให้คนตัวเล็กหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะไอ และยกมือขึ้นกุมคอของตนเอง “ข้าเองก็เจ็บตัวไม่น้อยเหมือนกัน มือแม่นั่นแข็งอย่างกับท่อนเหล็ก”

“ว่าแต่พวกมันเป็นใครกัน”

“อาจเป็นคนที่นายอำเภอนั่นหามาช่วยหรือเปล่า”

“ก็ไม่แน่ แต่ก็อาจเป็นแค่คนเดินทางผ่านมาก็เป็นได้” ซึ่งทั้งคู่ก็อยากให้เป็นเช่นนั้น

“...ช่วย...ด้วย...” เสียงที่เยียบเย็นดังมาจนทำให้ทั้งสองคนสะดุ้ง และนึกด่าทอคนพวกนั้นที่ยึดดาบของพวกเขาไปด้วย

“...นั่นใครกัน” คนตัวเล็กส่งเสียงดังถามออกไป พยายามทำท่าทางให้ดูน่ากลัวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งเมื่อรวมกันทั้งสองคนแล้วก็ยังนับว่าทำได้ไม่ดีนัก

“ช่วยหนูด้วยค่ะ” เด็กหญิงวิ่งออกมาจากชายป่าที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เสื้อผ้าของเธอสกปรกมอมแมม และตามเนื้อตัวก็มีร่องรอยคล้ายกับถูกใครทำร้ายมา โดยเฉพาะมือเล็กๆ ทั้งสองของเธอที่คล้ายกับพึ่งตะกุยดินอะไรแบบนั้น

“เกิดอะไรขึ้นหรือแม่หนู” คนตัวเล็กซึ่งวางท่าเป็นผู้นำถามอย่างอ่อนโยนเกินกว่าเหตุ

“แม่ของหนู...แม่ แม่ เหมือนแม่จะเสียสติไปแล้ว แม่ทำร้ายหนู”

ทั้งสองคนหันไปสบตากัน คนร่างท้วมส่ายหน้าเบาๆ เขารู้สึกแปลกๆ กับเรื่องราวทั้งหมดนี้ แต่คนตัวเล็กกลับมีความคิดบางอย่างที่ต่างออกไป

“แล้วพ่อของหนู กับคนอื่นๆ ล่ะ ไม่มีใครช่วยหนูเลยหรือ”

“หนูอยู่กับแม่แค่สองคนเท่านั้น” เธอสะอึกสะอื้น

“ใจเย็นๆ ก่อน เดี๋ยวพวกฉันจะช่วยเอง” คนตัวเล็กพยายามซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ “พาพวกฉันไปที่บ้านของหนู แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย”

“จริงหรือคะ” เธอยิ้มออกมาราวกับมันก็เป็นคำขอที่เธอกำลังรออยู่เช่นกัน ก่อนจะรีบเดินย้อนกลับไปที่ชายป่าตรงที่เดิมพร้อมกับกวักมือเรียก ไม่รู้ว่าชายตัวเล็กนั้นมีแผนคิดจะไปทำอะไรกันแน่ ไม่มีใครเห็นความมืดแปลกๆ จากภายในป่าที่เมื่อครู่ดูเหมือนจะติดตามตัวเธอออกมาด้วย ไม่มีใครนึกว่าบ้านของเธอทำไมถึงอยู่ลึกเข้าไปภายในป่า แม้แต่ชายร่างท้วมที่พยายามทักท้วงก็ดูเหมือนจะยอมติดตามเธอไปอย่างง่ายดายราวกับถูกสะกด

ไม่มีใครได้พบเจอกับสองคนนี้อีกเลย ตลอดกาล

#####

“แถวนี้มันอะไรกัน” สโนวเอ่ยถามพร้อมกับมองไปรอบๆ พวกเขากลับออกมาจากแนวป่าแล้ว ตามพื้นที่ว่างรอบๆ นี้มีร่องรอยของการถากถางแล้วก็ถูกทิ้งร้าง แต่ไม่ใช่เพื่อการเพาะปลูกอะไรแบบนั้น บรรยากาศชวนวังเวงเป็นอย่างยิ่งแม้แต่ในยามกลางวันเช่นนี้

“ฉันคิดว่ามันคงเป็นสุสาน” คุณนายวิกเซ่นพูดเหมือนกำลังบอกว่าวันนี้อากาศดี “เป็นที่ฝังศพของชาวเมือง” และในสายตา ภายใต้จมูกของนางมันดูเหมือนจะยังมีอะไรที่มากกว่านั้นอีกด้วย


Create Date : 04 พฤษภาคม 2557
Last Update : 4 พฤษภาคม 2557 21:00:02 น. 0 comments
Counter : 600 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.