Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2551
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
12 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 

รอยอาญา ๔๒ (ธัญรัตน์)




“คุณทำอะไรของคุณ แล้วคุณมานอนในนี้ทำไม”
เธอถามเมื่อประตูห้องตัวเองค่อย ๆ ถูกเปิดออก แล้วก็พบว่าเขาปูที่นอนที่เธอเพิ่งจะจัดหาให้อยู่ข้าง ๆ เตียงนอนเธอ
“อ้าว....ก็คุณบอกว่าให้ผมปูนอนที่ไหนก็ได้ ผมก็ปูอยู่ใต้เตียงคุณไง”เขาตอบหน้าตาเฉย
“คุณก็รู้ว่าฉันไม่ได้หมายความถึงห้องนี้ คุณออกไปได้แล้วฉันจะนอน ดึกมากแล้วฉันเหนื่อยและง่วง”
เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่ดุ แต่ก็เบากว่าปกติ เพราะไม่อยากให้ลูกตื่นขึ้นมากลางดึก

“โธ่...เพลง ขอผมนอนในห้องนี้เถอะนะ ผมสัญญาว่าผมจะไม่รบกวนคุณเลยแม้แต่น้อย นะผมขอร้อง”
เขาทำเสียงอ้อนวอนเธออีกครั้ง
“คุณจะมานอนใต้เตียงฉันได้ยังไง ฉันถือ ออกไปนอนที่เดิมของคุณได้แล้ว”
“คุณถือแต่ผมไม่ถือนี่ ผมนอนที่ไหนก็ได้ ขอให้ที่นั่นมีคุณอยู่ใกล้ ๆ แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว นะ ๆ ผมสัญญาว่าผมจะไม่รบกวนคุณเลยแม้แต่น้อย นะเพลง วันนี้ผมเหนื่อยมาก ๆ เลย ปล้ำกับลูกมาทั้งวันแล้ว นะเพลงนะ ผมของร้องล่ะ”
น้ำเสียงที่อ่อย ๆ แววตาที่เศร้า ๆ ทำให้อีกฝ่ายนั้นอดใจอ่อนแทบจะไม่ได้

“ตามใจ แต่ถ้าคุณกวนฉันกับลูกเมื่อไหร่ ฉันจะพาลูกหนีออกไปนอนข้างนอกแทน”
เธอบอกและก็ค่อย ๆ ขึ้นไปนอนบนเตียงข้าง ๆ ลูก เพราะวันนี้ตัวเองก็เหนื่อยไม่น้อยบวกกับเวลาใกล้จะเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว จึงยอมอ่อนข้อให้เขาไปก่อน
“เพลง...คุณหลับหรือยัง คุยกันก่อนได้มั้ย ผมนอนไม่หลับเลย”เสียงของผู้ที่นอนอยู่ด้านล่างดังขึ้นมา
“ไหนคุณบอกว่าคุณง่วงและเหนื่อยไง”เธอตอบเขาออกมา

“แต่ผมไม่อยากจะหลับตอนนี้นี่ ผมอยากจะจดจำความรู้สึกที่ผมได้มาอยู่ใกล้ ๆ คุณกับลูกเอาไว้นาน ๆ นี่ คุณรู้หรือเปล่าว่าผมรอวันนี้มานานแค่ไหนแล้ว คุณคงไม่รู้หรอกว่ามันทรมานแค่ไหนที่เวลาอยากจะอยู่ใกล้ ๆ คุณกับลูกแล้วมันทำไม่ได้ เวลาตื่นเช้ามาผมก็อยากจะเห็นคุณกับลูกนอนอยู่ในห้องด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกัน ผมว่าเราคงจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่นไม่น้อยเลยนะ คุณว่ามั้ย เพลง ๆ ๆ คุณหลับหรือยัง เพลง ๆ”
เขาหยุดพูดแล้วก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมาชะเง้อดูคนที่เขาคุยด้วยไม่ยอมหยุด แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นหลับสนิทไปแล้ว เขายิ้มให้เธอด้วยแววตาที่อ่อนโยนเป็นที่สุด เขาค่อย ๆ ดึงผ้าห่มที่ห่มไว้แค่เอวของเธอ ให้ห่มไปให้ที่ไหล่ และลูกน้อยที่นอนอยู่ข้าง ๆ ผู้เป็นแม่ด้วย จมูงโด่งเป็นสันค่อย ๆ ยื่นไปสูดดมแก้มขาวเนียนของเธอด้วยความรัก

“ผมรักคุณ”

เขาพูดเบา ๆ ข้าง ๆ หูของคนที่หลับสนิทแล้ว ไม่นานตัวเองก็เอื้อมมือไปปิดไฟที่หัวเตียงแล้วก็กลับลงไปนอนที่นอนและหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย แต่อีกฝ่ายนั้นหาได้หลับอย่างที่เขาคิดไม่ ระพีพรรณยิ้มบาง ๆ ออกมาด้วยความสุขใจจากการกระทำของเขาเมื่อสักครู่ แล้วเธอก็หลับไปในที่สุด


เสียงตะหลิวกับกะทะดังกระทบกันช่วยปลุกให้คุณแม่ยังสาวต้องตื่นขึ้นมาในเวลาใกล้จะเจ็ดโมงเช้าแล้ว เธอไม่วายที่จะหันไปดูคนที่นอนอยู่ใต้เตียงเมื่อคืนนี้ แต่ก็มีแต่ที่นอนที่ปูทิ้งเอาไว้ โดยที่เธอไม่รู้ว่าเจ้าตัวหายไปไหน แต่ถ้าจะให้เดาเธอก็คงคิดว่าเขาน่าจะทำอะไรอยู่ในครัวนั่นเอง ไม่ทันที่เธอจะลุกไปจากเตียง ลูกชายที่นอนอยู่ก็ลืมตาขึ้นเสียก่อน

“น้องพิงตื่นแล้วเหรอลูก ทำไมลูกชายแม่นอนยาวเลยล่ะครับดูสิข้าวปลาไม่ยอมกินเลย หิวหรือเปล่าครับ ไหนให้แม่หอมแก้มทีซิครับ ฮื่ม...ชื่นใจแม่จริง ๆ เลย อะไรลูก หิวเหรอครับ”
เธอพูดกับลูกชายด้วยความรัก และไม่ลืมที่จะให้นมลูกเมื่อมือน้อย ๆ ตบแปะ ๆ ไปที่หน้าอกของแม่เพื่อเป็นสัญญาณว่าหิวมากแค่ไหน ส่วนเสียงที่ดังจากในครัวนั้นเงียบไปแล้ว แสดงว่าเขาคงจะทำกับข้าวเสร็จแล้ว
“เพลงกับข้าวเสร็จแล้ว พาลูกไปอาบน้ำแล้วกินข้าวได้แล้วล่ะ”
เสียงของเขาดังมาก่อนที่ตัวจะเดินมาถึงประตูด้วยซ้ำ

“อุ๊ย....ผมขอโทษ ไม่รู้ว่าลูกกินนมอยู่ งั้นเสร็จแล้วคุณค่อยออกไปข้างนอกนะ ผมจะไปตั้งโต๊ะรอก่อน”
เขาบอกเมื่อเข้ามาในห้องก็เห็นลูกชายกำลังครอบครองหน้าอกแม่อยู่
“นั่นคุณจะทำอะไรคะ”
ระพีพรรณที่เสร็จจากให้นมลูกแล้วเดินออกมาจากห้อง ก็พบว่าเขากำลังหิ้วตะกร้าผ้าที่ใช้แล้วเดินออกไปทางหลังบ้าน
“ผมก็จะซักผ้าให้คุณกับลูกไง ผ้าเต็มตะกร้าหมดแล้ว ผ้าผมก็หมดกระเป๋าแล้วด้วย”เขาบอกหน้าตาเฉย
“ไม่ต้องค่ะ ฉันจะทำเอง ไม่ต้องลำบากคุณขนาดนั้นก็ได้”เธอบอก

“ไม่ลำบากหรอกแค่เอาลงเครื่องเอง คุณอาบน้ำให้ลูกเถอะจะได้กินข้าวพร้อมกัน ผมผัดผักบุ้งไฟแดงไว้ด้วยนะ วันนี้เราจะกินข้าวต้มขาวกัน มียำไข่เค็มด้วย ของตาพิงมีข้าวผัดกุ้งด้วยล่ะ ผมทำเสร็จหมดแล้ว”เขาสาธยาย
“แล้วคุณซักเป็นเหรอผ้าน่ะ เห็นวัน ๆ เอาแต่ใส่”เธออดเหน็บเขาไม่ได้

“เพลง....งานทุกอย่างผมเคยทำมาทั้งนั้นล่ะ เมื่อก่อนผมก็ทำงานพวกนี้เองทั้งนั้น แถมบางครั้งก็ต้องทำให้คุณแม่กับยายดาด้วย แต่ที่ไม่ได้ทำก็เพราะมีคนทำให้แล้ว ไม่รู้จะทำไปทำไม ”เขาบอกและยิ้มให้เธอ
“ตามใจ อยากจะซักก็เชิญ แล้วจะมาบ่นว่าเหนื่อยทีหลังไม่ได้นะฉันบอกคุณแล้ว”
เธอบอกแล้วก็เดินหนีเขาไปเอาดื้อ ๆ เพราะเบื่อที่จะห้ามเขาแล้ว
“ผมไม่เหนื่อยหรอก ทำให้ลูกกับเมียแค่นี้ สบายอยู่แล้ว”
เขายังคงบอกเธอออกไปทั้ง ๆ ที่เธอนั้นเดินแทบจะถึงหน้าห้องน้ำอยู่แล้ว


อาหารเช้าเสร็จไปนานแล้ว ผู้เป็นพ่อกำลังตากผ้าอยู่หลังบ้าน ส่วนแม่และลูกนั้นไปเดินเล่นในสวน ไม่นานเขาก็ตามเธอกับลูกเข้าไปในสวน เพราะเห็นทั้งคู่หายไปนานแล้ว

“อยู่นี่เองผมหาแทบแย่”เขาร้องทักเมื่อเดินหาเธอกับลูกแทบจะพลิกสวน
“ใครใช้ไม่ทราบ”เธอบ่นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“น้องพิงให้พ่ออุ้มมาลูกมา แม่คงจะเมื่อยแขนแย่แล้ว”
เขารีบตรงไปรับลูกจากเธอ แต่ก็ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธโดยการหันหนีเขา แต่ลูกชายช่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย เพราะเด็กน้อยอ้าแขนรับอ้อมกอดผู้เป็นพ่อด้วยความดีใจ จนระพีพรรณต้องยอมให้เขาอุ้มลูก
“ผมว่าจะชวนคุณไปกินข้าวนอกบ้านตอนเที่ยงนี้ คุณไปกับผมนะ จะได้พาลูกออกไปข้างนอกด้วย”
เขาบอกเธอด้วยใบหน้าที่เปี่ยมสุข

“ฉันไม่ว่างค่ะ”เธอตอบแค่นั้น
“เพลง...อย่าทำอย่างนี้กับผมเลยนะ แค่ไปกินข้าวเอง ผมรับรองว่าผมจะพาคุณกลับบ้านทันทีเลย จะไม่พาไปไถลที่ไหนเด็ดขาด ผมสัญญา”เขาทำน้ำเสียงอ้อนวอนเธอ
“ข้าวบ้านฉันก็มี ไม่จำเป็นต้องออกไปกินที่ไหนให้มันสิ้นเปลืองเปล่า ๆ ถ้าคุณอยากจะไปก็เชิญค่ะ ฉันไม่ได้รั้งคุณไว้นี่”
เธอตอบเขาไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ

“ผมก็แค่ชวนคุณดู ถ้าคุณไม่อยากจะไปผมไม่ไปก็ได้ ผมก็แค่อยากจะอยู่ใกล้ ๆ คุณกับลูกก็แค่นั้น อีกอย่างคุณก็อยู่แต่ในบ้านมาหลายวันแล้ว ผมกลัวคุณจะเบื่อ ถ้าเรื่องที่ผมชวนคุณทำให้คุณไม่พอใจผมก็ขอโทษ ผมจะไม่ทำอีก”
เขาบอกเธอด้วยน้ำเสียงที่ดูจะน้อยเนื้อต่ำใจเป็นที่สุด จนคนฟังรู้สึกผิดไม่น้อยที่ใช้คำพูดไม่ดีกับเขา แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากเดินนำหน้าเขาออกจากสวนเท่านั้น

“เพลงคุณจะไปไหน”เขาถามพร้อม ๆ กับเดินตามเธอไปติด ๆ
“แล้วคุณจะให้ฉันไปกินข้าวกับคุณชุดนี้เหรอ”
กับคำตอบของเธอ ทำให้เขายิ้มออกมาด้วยความดีใจเป็นที่สุด ที่การอ้อนวอนตัวเองเป็นผล
“จริงเหรอ งั้นผมอาบน้ำให้ลูกนะ”
เขาบอกด้วยความดีใจและรีบอุ้มลูกเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว จนระพีพรรณที่ไม่แน่ใจในความใจอ่อนของตัวเองถึงกับยิ้มออกมาด้วยความขำ


รถสปอร์ตคันหรูค่อย ๆ แล่นเข้ามาจอดไว้ที่ลานจอดรถ สีหน้าของผู้ที่นั่งมาด้วยนั้นบอกว่าไม่ใคร่ที่จะสุขใจนักที่เขาพาเธอมาที่นี่ ลูกที่หลับตั้งแต่ขึ้นมาบนรถหลังจากอาหารมื้อเที่ยงในโรงแรมหรูจบลงแล้ว คิด ๆ ไปแล้วระพีพรรณก็โกรธตัวเองเป็นที่สุด ที่ยอมมากินข้าวนอกบ้านกับเขา และยังยอมให้เขามาเอาของที่คอนโดตามคำขอของเขาอีก

“คุณถือการ์ดนะ ผมจะอุ้มลูกให้”เขาบอกเมื่อเดินมาเปิดประตูให้เธอ
“ฉันจะรอในรถก็ได้ คุณไปเอาของเถอะ คุณบอกว่าไม่นานไม่ใช่เหรอ”เธอบอกเขา
“แต่กว่าผมจะหาได้ก็นานเหมือนกันนะเพลง ผมว่าให้ผมอุ้มลูกไปให้เถอะ จะได้ให้นอนอยู่ข้างบนสักพัก พอลูกตื่นแล้วเราค่อยกลับ และอีกอย่างผมมีอะไรจะให้คุณดูด้วย ผมสัญญาว่าจะใช้เวลาไม่นานหรอกนะ เชื่อผมสักครั้งเถอะ”
เขาให้เหตุผลที่เธอเองก็หาทางปฏิเสธไม่ออก จึงยอมให้เขาอุ้มลูกที่เธอเองก็รู้สึกเมื่อยแขนเต็มที แล้วเธอก็เดินตามเขาไปในที่สุด การ์ดถูกรูดเพื่อเปิดประตูห้องหรูของเขา แต่ระพีพรรณแทบไม่อยากจะเข้าไปในนั้นเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากไม่ห่วงลูกที่หลับอยู่ เธอก็คงจะเรียกแท็กซี่กลับบ้านไปแล้ว

“ผมจะเอาลูกไปนอนที่เตียงนะ”
เขาบอกเธอแล้วเดินหายเข้าไปในห้อง โดยที่ระพีพรรณไม่คิดแม้แต่จะตามเขาเข้าไปในห้องนั้นเลย เพราะรู้สึกเจ็บลึก ๆ ในหัวใจขึ้นมาไม่น้อย ด้วยห้อง ๆ นั้นครั้งหนึ่งเธอเคยต้องนั่งร้องไห้เสียใจกับการกระทำของเขามาแล้ว น้ำตาแห่งความอ่อนแอพาลจะไหลออกมาจนเธอต้องรีบหักห้ามมันเอาไว้ เมื่อเขาเดินออกมาจากห้องและตรงมาหาเธอที่ยังคงยืนอยู่ที่กลางห้องอย่างนั้น

“เพลงผมอยากให้คุณดูอะไรหน่อยอยู่ในห้องนั้น”
เขาบอกและชี้ไปที่ห้องนอนอีกห้อง นี่ถ้าหากเธอไม่ได้รับรู้เรื่องราวจากโสภาเมื่อวานนี้ เธอเองก็คงจะอยากรู้ไม่น้อยว่าสิ่งที่เขาอยากจะให้เธอดูนั้นมันคืออะไร แต่บังเอิญว่าเธอพอจะเดาออกว่าเขาจะให้เธอดูอะไร ประตูห้องค่อย ๆ ถูกเปิดออกเมื่อเขาจูงมือเธอเดินมาถึงห้อง

แล้วภาพวาดต่าง ๆ ที่เธอสุดแสนจะเสียดายแต่ก็ต้องตัดใจขายไปจนหมดนั้นก็ปรากฏแก่สายตาเธออีกครั้ง หญิงสาวค่อย ๆ เดินไปลูบคลำภาพต่าง ๆ ที่วางเรียงรายอยู่เต็มห้องด้วยความรัก และดีใจเป็นที่สุดที่ได้เห็นภาพพวกนี้อีกครั้ง คำบอกเล่าของโสภาเป็นจริงทั้งหมด เขาเก็บภาพเธอเอาไว้จริง ๆ

“ผมรู้ว่าคุณรักภาพพวกนี้มาก ผมก็เลยเก็บเอาไว้ในห้องนี้ และคิดว่าสักวันคงจะได้ให้คุณดู”
เขาบอกเธอด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา แต่เธอก็ได้ยินทุกคำพูดของเขาเป็นอย่างดี
“คุณทำอย่างนี้ทำไมคะ”เธอถามออกไปในที่สุด

“ผมไม่รู้ว่าผมจะช่วยคุณยังไงโดยที่ไม่ให้คุณและให้ใคร ๆ รู้ และอีกอย่างผมเองก็มีความสุขเหลือเกินที่ได้อยู่ใกล้ ๆ ภาพที่คุณเป็นคนวาด ถึงผมจะไม่ประสาเรื่องงานศิลป์ แต่ผมก็พอจะเดาได้ ว่าภาพแต่ละภาพกว่าคุณจะวาดเสร็จ คุณก็คงจะใช้เวลากับมันไม่น้อย”เขาบอกเธอและยิ้มให้กับเธอ
“แล้วนั่นอะไรคะ”เธอถามเมื่อเหลือบไปเห็นกองอัลบั้มอยู่ที่โต๊ะ

“รูปพวกนี้เหรอ มันเป็นรูปของคุณกับลูก คุณอยากดูหรือเปล่า แต่ผมว่าเอาไปดูข้างนอกดีกว่านะ เพราะมีอีกเยอะแยะเลยผมกองไว้ข้างนอกด้วย”

เขาบอกเธอ และเดินไปหอบเอาอัลบั้มรูปทั้งหมด แล้วเดินนำเธอมานอกห้องและตรงไปยังโซฟาที่ห้องรับแขกแทน ระพีพรรณค่อย ๆ เปิดดูอัลบั้มที่เขาวางไว้ให้บนโต๊ะกลาง แล้วเธอก็เหมือนจะไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายอย่างเขาจะทำเรื่องพวกนี้เป็นด้วย

เพราะรูปของเธอในอิริยาบทต่าง ๆ ตั้งแต่ยังคงอุ้มท้องอยู่ถูกเขาเก็บเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบในอัลบั้มที่เขียนเลขที่กำกับเอาไว้เกือบสิบอัลบั้ม โดยเรียงลำดับตามเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเธอ แล้วน้ำตาของเธอก็ไหลรินออกมาเมื่อเปิดไปพบรูปลูกชายวัยแรกเกิดที่กำลังหลับอยู่ในรถเข็นที่โรงพยาบาล และมีข้อความที่เขาเขียนด้วยลายมือตัวเองเอาไว้ข้าง ๆ รูปนั้น

“วันนี้เป็นวันแรกที่พ่อมีโอกาสได้เห็นหน้าลูกชายพ่อ ซึ่งพ่อเองก็ยังไม่รู้เลยว่าลูกพ่อจะมีชื่อว่าอะไร เพราะว่าแม่ของลูกกำลังไม่สบาย นอนเจ็บอยู่ไอซียูจนป่านนี้แล้วก็ยังไม่ฟื้น ไม่รู้ว่าอาการจะเป็นยังไงบ้าง พ่อก็ได้แต่หวังว่าแม่ของลูกจะปลอดภัยหลังจากที่พ่อได้เอาเลือดชั่ว ๆ ในตัวพ่อไปให้แม่ของลูกแล้ว ถึงแม้ว่าเลือดพ่อจะชั่ว แต่พ่อก็เชื่อว่าเลือดดี ๆ ในตัวแม่ของลูก คงจะเจือจางให้เลือดชั่วของพ่อกลายเป็นเลือดดีในที่สุด”

แล้วถัดมาอีกหน้าหนึ่งของอัลบั้ม ก็มีรูปของเธอที่หลับสนิทอยู่บนเตียงคนไข้ โดยมีสายระโยงระเยงอยู่เต็มไปหมด และกับข้อความที่เขาเขียนเอาไว้ข้าง ๆ รูปเธอนั้น ช่างเรียกน้ำตาเธอให้ไหลออกมาได้ไม่ขาดสายเลย เพราะมันช่างกินใจเธอเหลือเกิน

“เพลง...ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงและจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกหรือไม่ ถ้าหากต้องรับรู้ว่าจะต้องสูญเสียคุณไปจากการให้กำเนิดลูกของเรา ผมคงจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองได้เลยตลอดชีวิตนี้ แต่ผมก็มั่นใจว่าความดีที่คุณได้เคยทำมานั้น จะช่วยให้คุณหายเป็นปกติในเร็ววัน คุณจะได้ลุกขึ้นมาดูลูกของเรา ดูว่าแกน่ารักมากแค่ไหน........

.....ได้โปรดตื่นขึ้นมาเถอะนะ ถึงตัวผมจะอยู่ใกล้คุณไม่ได้ แต่ผมก็จะส่งใจไปอยู่ใกล้ ๆ คุณกับลูกตลอดเวลา.....
.....ผมขอร้อง ได้โปรดตื่นขึ้นมา มาทำหน้าที่แม่ให้กับลูกเราด้วย.....
.....ผมรักคุณ....เพลง....”

มือหนานุ่มของเขาค่อย ๆ เอื้อมไปกุมมือเธอเอาไว้ เมื่อเห็นน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มขาวเนียนของเธอ เขารู้ดีว่าเธอรู้สึกยังไง เพราะมันก็ไม่ต่างจากความรู้สึกของเขาเลยแม้แต่น้อย

“ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี วันนั้นผมนอนแทบไม่ได้ กว่าจะรอให้เจ้าสิทธิ์กับเมียมันกลับบ้านก็รู้สึกว่ามันนานมาก ๆ เพราะผมอยากจะเข้าไปดูว่าอาการคุณเป็นยังไงบ้าง ผมเดินวกไปวนมาระหว่างห้องลูกกับห้องคุณไม่รู้กี่สิบรอบ แล้วก็ไม่รู้จะทำยังไงดี ได้แต่ถ่ายรูปลูกกับรูปคุณเอาไว้ จะได้เก็บเอาไว้ดูต่างหน้าเวลาที่ผมคิดถึงคุณ”

เขาบอกเธอถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในวันนั้น มันยิ่งเรียกน้ำตาจากเธอให้ไหลออกมาอีกครั้ง เพราะไม่คาดคิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอเฝ้าเสียใจที่คิดว่าเขาทอดทิ้งเธออย่างไม่มีเยื้อใย แต่เขากลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม

“คุณทำแบบนี้ทำไมคะ”เธอถามทั้งน้ำตา
“ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะเพลง ว่าผมทำไปทำไม แต่ที่รู้ ๆ ก็คือ ถ้าผมไม่ได้ทำอะไรให้คุณบ้าง ผมคงจะต้องเป็นบ้าตายไปนานแล้ว คุณรู้มั้ยว่ารูปพวกนี้เรียกน้ำตาจากผมได้แทบทุกครั้งที่ผมเปิดออกมาดู และมันก็เจ็บปวดที่สุดเวลาที่ผมต้องไปเฝ้าดูคุณกับลูก และกับหลาย ๆ คนมีความสุขกันอย่างเปิดเผยที่บ้านสวน แต่ผมกลับต้องแอบมานั่งทนทุกข์อยู่คนเดียว คิด ๆ แล้วก็สมน้ำหน้าตัวเองที่สุด ที่อยากจะให้เขาเจ็บปวดแต่ตัวเองกลับเจ็บยิ่งกว่า”
เขาบอกเธอออกไป แต่ก็ได้แต่ความเงียบจากเธอ พร้อม ๆ กับน้ำตาที่ไหลรินออกมาให้เขาได้เห็น

“เพลงคุณอย่าร้องไห้เลยนะ คุณรู้มั้ยว่าผมแทบจะทนเห็นน้ำตาของคุณไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ขอผมได้เป็นคนทำให้คุณยิ้มบ้างได้มั้ย คุณจะว่าอะไรมั้ย ถ้าผมจะขอเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคุณ ผมยินดีที่จะทำทุกอย่างที่คุณต้องการ ขอเพียงให้โอกาสผมได้ไถ่โทษที่ทำไว้กับคุณและลูกเท่านั้น ไม่ว่าคุณจะให้ผมทำอะไรหรือจะขออะไรผมก็ให้คุณได้ทุกอย่าง”
เขาบอกและเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มสองข้างของเธอ แต่เธอก็เดินเลี่ยงหนีเขาไปที่ระเบียง เพราะไม่แน่ใจในสิ่งที่เขาพูดออกมา

“เพลง...ผมไม่รู้ว่าผมจะต้องทำยังไงถึงจะให้คุณยอมยกโทษให้ผม ช่วยบอกผมหน่อยได้มั้ยว่าผมจะต้องทำยังไงถึงจะได้คุณกับลูกกลับมา คุณช่วยบอกผมได้มั้ย”
เขาเดินตามเธอไปติด ๆ แล้วก็รั้งเอาร่างบอบบางของเธอมากอดแนบอกเอาไว้ โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้คิดแม้แต่จะขัดขืนเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ตรงกันข้ามเธอกลับค่อย ๆ เอามือกอดร่างเขากลับ เพราะอิทธิพลและแรงที่คิดถึงเขานั้นมีไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่น้ำตานั้นยังคงไหลอาบแก้มอยู่เช่นนั้น

“ผมรักคุณ แต่งงานกับผมนะเพลง ให้ผมได้ทำหน้าที่สามีที่ดีให้กับคุณ และเป็นพ่อที่ดีให้กับลูกของเรานะ”
เขาบอกหลังจากที่ละวงแขนออกจากร่างเธอ พร้อม ๆ กับเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มให้เธอ แต่ระพีพรรณก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพราะรู้สึกสับสนกับคำพูดของเขาไม่น้อย ด้วยไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำพูดพวกนี้จากปากเขาวันนี้และเวลานี้

ไม่นานเขาก็ค่อย ๆ ก้มลงไปสูดดมความหอมจากพวงแก้มของเธอด้วยความคิดถึงเป็นที่สุด แล้วเรียวปากของเธอก็ถูกเขาครอบครองเอาไว้ด้วยความนุ่นนวลและเนิ่นนาน มือสองข้างเผลอยกขึ้นไปกอดเขาไว้ตั้งแต่ที่เขาโอบกอดร่างเธอแล้ว และนั่นก็เป็นสัญญาณให้เขารับรู้ว่าจูบของเขาได้รับการยินยอมจากเธอแล้ว เขาค่อย ๆ ละจากเรียวปากนุ่มลงมาที่คอระหง

มืออีกข้างของเขาค่อย ๆ ยกขึ้นมาสัมผัสความอ่อนนุ่มของอกอวบอิ่มถึงแม้จะอยู่นอกร่มผ้าแต่เขาก็รับรู้ถึงความเต่งตึงได้ไม่ยากเลย เรียวปากเธอถูกเขาปิดไว้อีกครั้งด้วยความอ่อนโยนเป็นที่สุด เขาเองก็ไม่รู้ว่านานเท่าไหนแล้วที่เขาไม่เคยได้รับสัมผัสนี้จากร่างเธอ แต่มันก็คุ้มค่ากับการรอคอยไม่น้อยเลย เพราะเขารู้สึกสุขใจเป็นที่สุด ที่เธอยินยอมให้เขาได้ทำอะไรตามใจปราถนาในเวลานี้

“ปล่อยค่ะฉันจะไปดูลูก”
แต่แล้วเธอก็ต้องใช้มือดันเขาออกทันที เมื่อได้ยินเสียงลูกน้อยร้องงอแงดังมาจากห้องนอน ทำให้ผู้เป็นพ่อรู้สึดขัดใจเป็นที่สุดที่ลูกชายกำลังเรียกร้องความสนใจแม่ไปจากพ่อ แต่เขาก็ยอมปล่อยเธอแต่โดยดี และเดินตามเธอเข้าไปดูลูกในห้องนอน ไปยังไม่ถึงก็มีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้า เขาจึงปลีกตัวออกมาระเบียงที่เดิม
“ฉันอยากจะกลับบ้านแล้วค่ะ”เธอบอกเมื่อเขาเดินเข้ามาในห้องหลังจากที่คุยโทรศัพท์อยู่เป็นนานสองนาน

“ผมก็ต้องไปดูงานที่ไซด์งานเหมือนกัน พอดีมีปัญหานิดหน่อย งั้นผมจะไปส่งคุณที่บ้านก่อนนะ เพราะกว่างานที่ไซด์จะเสร็จคงอีกนาน ผมกลัวคุณกับลูกจะตากแดดหน่ะ เดียวจะไม่สบายแล้วเย็น ๆ ผมจะกลับ”
เขาบอกเธอด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล จนเธอนั้นยอมทำตามที่เขาบอกแต่โดยดี


“พี่เด่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วตัวไปไหนเห็นแต่รถจอดอยู่”
เขาพึมพำออกมาเมื่อนำรถเข้ามาจอดที่สนามบ้านสวน แล้วเห็นรถพี่ชายจอดทิ้งไว้ แต่ไม่มีเจ้าตัวอยู่แถว ๆ นั้น
“สงสัยจะไปเดินดูผลไม้ในสวนมั้งคะ พี่เด่นชอบไปบ่อย ๆ”เธอบอกเขา
“งั้นเย็น ๆ ผมจะกลับนะ แล้วจะซื้อข้าวเย็นมาด้วยเลยคุณจะได้ไม่ต้องทำ หรือคุณจะชวนพี่เด่นกินข้าวเย็นกับเราด้วยก็ได้”
เขาบอกเธออีกครั้งเมื่อเดินมาส่งเธอกับลูกในบ้าน

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณทำงานของคุณไปเถอะ ฉันทำอะไรกินเองได้”เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
“อย่าเลยผมไม่อยากให้คุณเหนื่อย คุณทำอะไรให้ผมกับลูกมามากพอแล้ว เสร็จงานแล้วผมจะรีบกลับนะ”
เขาบอกก่อนจะรีบขับรถออกไป ทิ้งให้เธอมองตามรถของเขาที่ขับออกไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายในเวลานี้ แต่ในที่สุดรอยยิ้มบาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้าเธอ เมื่อคิดถึงรสสัมผัสที่เขามอบให้เมื่อสักครู่

“พี่เด่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ เพลงเข้าบ้านมาก็เห็นแต่รถจอดอยู่ค่ะ”
เธอทักทายเด่นณรงค์ที่เดินออกมาจากสวนอย่างเงียบ ๆ
“พี่มาได้สักพักแล้วครับ ไม่เห็นใครอยู่บ้านก็เลยเดินเข้าไปเล่นในสวน กะว่าถ้าออกมาไม่พบใครก็จะกลับ แล้วดำอยู่ไหนครับไม่เห็นรถ”
เขาถามเพราะรู้ดีว่าน้องชายนั้นมายึดบ้านหลังนี้เป็นที่นอนหลายคืนแล้ว แต่กับคำถามของเขาก็ทำให้ระพีพรรณทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว
“เห็นบอกว่างานที่ไซด์มีปัญหาค่ะ ก็เลยต้องไปดูก่อน แล้วเย็น ๆ จะกลับค่ะ”เธอตอบเขาออกไป

“เหรอ....จริงสิครับพอดีพี่ซื้อของมาฝากคุณเพลงกับหลานอยู่ในรถแหนะ เดี๋ยวพี่จะไปเอามาให้”
เขาบอกพร้อม ๆ กับเดินไปเปิดประตูรถฝั่งคนนั่งด้านหน้า และหิ้วถุงสี่ห้าใบออกมาจากรถ และเดินตรงมาหาเธอ โดยที่ไม่ทันได้สังเกตกับของบางอย่างที่เขาเพิ่งจะเก็บมันไว้ในรถตกลงไปที่สนามหญ้า
“ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ ความจริงพี่เด่นไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ แค่มาเยี่ยมเพลงเท่านี้เพลงก็ดีใจแล้วค่ะ แล้วพี่เด่นจะอยู่กินข้าวเย็นกับเราหรือเปล่าคะ”เธอบอกและช่วยเขาหิ้วถุงบางส่วน พร้อม ๆ กับเดินนำเขาเข้าบ้านไป

“ไม่ดีกว่าครับ พอดีพี่นัดคุณแม่เอาไว้แล้ว”
เขาบอกออกไปอย่างนั้น เพราะรู้ดีว่าน้องชายอาจจะต้องไม่ค่อยสบายใจนักที่เขามาอยู่กับเธอที่นี่นาน ๆ
“เหรอคะ เสียดายจังเลยค่ะ แต่เอาไว้วันหน้าก็ได้นะคะ บ้านเพลงยินดีต้อนรับพี่เด่นเสมอค่ะ”

เธอรับคำแค่นั้น เพราะไม่รู้ว่าจะคะยั้นคะยอเขายังไง ด้วยเหตุผลที่เขาให้มานั่นเอง เด่นณรงค์อยู่คุยกับเธอสักพักก็ลากลับเมื่อเห็นว่ามานานแล้ว เธอเดินมาส่งเขาตามมารยาทของเจ้าของบ้านที่ดี หลังจากที่ลูกชายหลับไป แล้วเธอก็ยืนรอจนรถของเขาแล่นออกไปจากบริเวณบ้าน

ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าบ้าน หญิงสาวก็เหลือบไปเห็นสมุดเล่มหนาสีดำที่ตกกางเอาไว้อยู่ที่สนาม ด้วยความสงสัยหญิงสาวจึงหยิบขึ้นมาดูและอ่านดูหน้าที่สมุดกางอยู่ก่อนแล้ว เพื่อจะได้รู้ว่าเป็นของ ๆ ใคร

แล้วเธอก็ต้องแปลกใจไม่น้อยที่จู่ ๆ ก็มีชื่อของเธออยู่ในสมุดเล่มนั้น หญิงสาวเดินเข้าไปในบ้านแล้วก็ยอมเสียมารยาทเปิดอ่านเรื่องราวในสมุดทันทีเพราะอยากจะรู้ว่าชื่อตัวเองไปเกี่ยวอะไรกับสมุดเล่มนี้ เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงที่เธอใช้ไปกับเรื่องราวในสมุดบันทึก น้ำตาแห่งความสงสารและเสียใจก็ไหลออกมา เมื่อเธอได้อ่านบทส่งท้ายของบันทึก เพราะเนื้อหาของมันนั้นสร้างความรันทดใจให้เธอเป็นที่สุด ด้วยจิตนาการได้ว่าคนเขียนนั้นจะเจ็บปวดสักแค่ไหน

“ชีวิตทั้งชีวิตของเรานับตั้งแต่เกิดมาและจำความได้ เราก็รู้สึกเหมือนกับว่า เราเกิดมาในชาตินี้ เพื่อเป็นผู้ให้ ๆ ผู้คนรอบข้างโดยที่เราไม่เคยคาดคิดเลยว่า การให้ของเรานั้น มันจะสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสให้เรามากน้อยแค่ไหน

หนึ่งของการให้นั้นก็คือ ให้ชีวิตและร่างกาย
ชีวิตแทบจะทั้งทั้งชีวิตของเรา ๆได้มอบให้กับแม่ และน้อง ๆ ที่เรารักและห่วงใยเป็นที่สุด อนาคต กับความใฝ่ฝันของเรา ได้อุทิศให้ทุกคนตั้งแต่วันที่เราตัดสินใจไปรับโทษ เพื่อแลกกับความมั่นคง และมั่งคั่งให้กับแม่และน้องกลับคืนมาแล้ว

แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวังเอาไว้เลย เราเสียใจที่สุด ที่สิ่งต่าง ๆ ที่เราตัดสินใจทำลงไป มันไม่ประสบผลสำเร็จ ตามที่เราหวังเอาไว้ นับว่าเราได้ให้ชีวิตและร่างกายของเราไปในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด แต่เราก็แก้ไขอะไรไม่ได้อีกต่อไปแล้ว มันดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว สายเกินกว่าที่เราจะเรียกมันกลับคืนมาได้แล้ว

อีกหนึ่งของการให้นั้นก็คือ หัวใจและความรัก ที่เราได้มอบให้ไว้กับสาวน้อยคนหนึ่ง ที่เมื่อวัยเด็กเธอนั้นช่างน่ารัก น่าเอ็นดูเหลือเกิน ผมยาวสลวยที่ถูกถักเปียเอาไว้ทั้งสองข้าง กับชุดนักเรียนที่ขาวสะอาด ทำให้สาวน้อยผู้ที่อยู่ในชุดนั้นดูน่าทะนุถนอมยิ่งนัก

เราไม่รู้ว่าหัวใจเราได้มอบให้เด็กน้อยคนนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้สึกตัวอีกทีว่าเรา หลงรักเด็กหน้าใสคนนั้นเข้าให้แล้ว ก็ตอนที่เราได้สูญสิ้นอิสระภาพและสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างให้กับพ่อของเธอไปแล้ว ความเสียใจของเราในวันนั้น มันมีมาก ๆ เกินกว่าที่จะไปบอกเล่าให้ใครรับรู้และเข้าใจได้ แม้กระทั่งกับน้องชายที่เรารัก

แต่ในความสูญเสียของเรานั้น เราก็ได้จากเธอกลับมาไม่น้อย ไม่น่าเชื่อว่ารูปเล็ก ๆ เพียงใบเดียวที่เรามีติดตัวไปเสมอ จะเป็นเครื่องช่วยทำให้เรามีชีวิตที่ยืนยาวมาได้จนทุกวันนี้ และทุก ๆ ครั้งที่เราได้มองรูปเธอ ใบหน้าที่ดูจะสดใจอยู่ตลอดเวลาของเธอ ทำให้เรามีความหวัง มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับสิ่งร้าย ๆ ที่โหมกระหน่ำเข้ามาชีวิตได้อย่างน่าอัศจรรย์นัก จนทำให้เรามีแรงใจที่จะมีชีวิตอยู่ได้มาจนถึงวันที่เราได้รับอิสระภาพ

เหมือนกับฟ้าดินยังพอจะเข้าข้างเราอยู่บ้าง ที่จู่ ๆ เราก็ได้พบว่าสาวน้อยผู้น่ารัก ที่จองจำหัวใจเราไม่ให้มองหญิงไหน เธออยู่ใกล้เราแค่เอื้อมถึง เราบอกไม่ได้ว่าเราดีใจแค่ไหนที่เราจะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ ๆ เธอ และจะได้มีโอกาสเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจของเราตลอดเวลาที่ผ่านมาให้เธอได้รับรู้ ถึงแม้ว่าเราจะไม่แน่ใจนัก ว่าเธอจะรู้สึกเหมือนเราหรือไม่

แต่ก็ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะทำร้ายเราอีกแล้ว ที่ปล่อยให้เจ้าของหัวใจของเราต้องตกไปเป็นของใครคนหนึ่ง ซึ่งเขาเป็นคนที่เรารัก และห่วงใยเป็นที่สุด และแน่นอนที่สุดเราจะไม่มีวันที่จะไปแย่งชิงเธอกลับมาจากเขาได้ ไม่มีวัน ไม่มีวันเลย

คุณเพลงที่รักของพี่ พี่บอกไม่ได้ว่าพี่เจ็บปวดแค่ไหน ที่ต้องทนทุกข์ทรมานใช้ชีวิตเป็นสิบ ๆ ปีอยู่ในสถานที่ ๆ ไร้ซึ่งอิสระภาพ แต่แล้วพี่ก็ต้องมาพบกับความทุกข์ทรมาน มันทรมานยิ่งกว่าการที่พี่ได้อยู่ในนั้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า เมื่อได้พบว่าพี่จะต้องสูญเสียคนที่พี่ได้มอบหัวใจไว้ ไปให้กับน้องที่พี่รัก
มันเจ็บปวดและทรมานเหลือเกิน พี่ไม่รู้ว่าชีวิตพี่นับแต่นี้ต่อไป พี่จะเอากำลังใจที่ไหนมาต่อสู้กับสิ่งต่าง ๆ ได้อีกแล้ว พี่ไม่รู้ว่าหัวใจทั้งสี่ห้องของพี่ ที่มีคุณเพลงจับจองเอาไว้หมดแล้ว เมื่อไหร่มันจะยอมเปิดออกและรับใครเข้ามาแทนที่ได้บ้าง

มันอาจจะนานนับวัน นับเดือน นับปี นับสิบ ๆ ปี หรือจะเป็นตลอดชีวิตของพี่ พี่เองก็ไม่อาจจะรู้และกำหนดมันได้ แต่ไม่ว่ามันจะนานแค่ไหน พี่ก็ดีใจ ดีใจเหลือเกินที่พี่ได้เป็นผู้ให้ ให้คนที่พี่รักได้มีความสุข ให้น้องที่พี่รักได้สมหวัง และสำหรับความรักของพี่ที่มอบให้กับคุณเพลงไปแล้ว พี่ขอสัญญากับตัวเองว่า พี่จะเก็บมันเอาไว้ในใจของพี่เพียงลำพังแต่ผู้เดียวและมันก็จะคงอยู่กับพี่ตลอดไป ลาก่อนคุณเพลงของพี่”


“ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้อยู่ในใต้หล้าสุธาธาร ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา
แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา
แม้เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา เชยผกาโกสุมปทุมทอง
แม้เป็นถ้ำอำไพใคร่เป็นหงส์ จะร่อนลงสิงสู่เป็นคู่สอง
ขอติดตามทรามสงวนนวลละออง เป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป”


“โธ่...พี่เด่น....พี่เด่นของเพลง.....เพลงขอโทษค่ะ เพลงขอโทษ เพลงเสียใจ เสียใจที่เพลงกลับมาเป็นคนที่ทำร้ายพี่เด่นเอง ยกโทษให้เพลงด้วยนะคะ....พี่เด่น ยกโทษให้เพลงด้วยค่ะ”

หญิงสาวร่ำไห้ออกมาด้วยความสงสารเจ้าของสมุดบันทึกเหลือเกิน เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าความสงสารที่เธอเคยได้มอบให้เขาเมื่อวัยเด็กนั้น จะย้อนกลับมาสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสให้เขา เนื้อหาในบันทึกของเขาทำให้เธอจินตนาการณ์ภาพความเจ็บปวดที่เขาได้รับมาได้ไม่ยากเลย เพราะเธอเองก็เพิ่งจะพบกับความรู้สึกนั้นมาแล้ว เมื่อถูกน้องชายเขามอบให้

แล้วเธอจะทำยังไงดี เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเด่นณรงค์คือผู้ที่สูญเสียมากที่สุดจากการกระทำในอดีต และเขาก็ไม่เคยได้รับการชดใช้จากผู้ใดเลย แล้วมิหนำซ้ำเธอยังจะกลับมาเป็นผู้ที่สร้างความเจ็บปวดให้เขาอีกครั้ง และก็คงจะเป็นความเจ็บปวดที่เขาคงจะต้องกล้ำกลืนเอาไว้เป็นที่สุดตราบเท่าที่เขายังรักเธออยู่

ระพีพรรณขังตัวเองอยู่ในห้องนอนและร้องไห้สงสารเด่นณรงค์ด้วยความเจ็บปวดเป็นที่สุด เธอรู้สึกโกรธตัวเองที่โง่เกินกว่าที่จะดูออกว่าเขารู้สึกยังไงกับเธอเมื่อวัยเด็ก เธอน่าจะรู้และน่าจะเข้าใจความหมายหลาย ๆ อย่างที่เด่นณรงค์เคยสื่อออกมา และเธอก็น่าจะสานต่อความสัมพันที่มีต่อเขา เมื่อย้ายไปเรียนเมืองนอก แต่เธอก็ไม่ได้ทำ

เธอทอดทิ้งเขา เธอน่าจะไตร่ถามพ่อให้ได้ความจริง ว่าทำไมจู่ ๆ เด่นณรงค์หายไปไหน เธอไม่น่าจะปล่อยให้เรื่องราวของเขา หายไปจากชีวิตเธอเลย ถ้าไม่อย่างนั้น เรื่องทั้งหมดมันก็คงจะไม่เกิดขึ้นแบบนี้ ถ้าพ่อไม่ทำร้ายเขาก่อน น้องเขาก็คงจะไม่ตามมาทำร้ายเธอแบบนี้ และเธอก็คงจะได้คบกับเขา และอาจจะรักเขาได้

“เพลง...เธอจะทำยังไง เธอใจร้ายที่สุด ได้ยินมั้ยว่าเธอใจร้ายกับเขาที่สุด เธอทำร้ายเขา ได้ยินมั้ยว่าเธอทำร้ายเขา”
เธอร่ำไห้และฟุบตัวลงนอนกับที่นอนอยู่นานแสนนาน ด้วยไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี

“ยายเพลงพ่อกลับมาแล้วลูก”เสียงกำพลที่เพิ่งจะลงจากรถของระพีพงศ์ร้องเรียกลูกสาวที่เขาทิ้งไว้หลายวัน
เธอค่อย ๆ เช็ดน้ำตาที่ยังคงไหลอาบแก้มออก เมื่อเหมือนได้ยินเสียงพ่อร้องเรียก และก็รู้สึกแปลกใจที่ทำไมจู่ ๆ พ่อก็กลับมา ไม่ยอมโทรมาบอกเธอก่อน แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น
“คุณพ่อ”เธอร้องเรียกพ่อทันทีที่เปิดประตูห้องออกมา
“เป็นยังไงบ้างลูกพ่อ ตาพิงหลานตา มาหาตาหน่อยสิลูก โอย....คิดถึงหลานจังเลย”
กำพลอ้าแขนรับหลานชายจากวงแขนเธอ

“โอย....เหนื่อยน่าดูเลยกว่าจะถึง ผมไปอาบน้ำก่อนนะพ่อ”
ระพีพงศ์ที่หอบกระเป๋าของพ่อและของฝากหลายอย่างบ่นยิก ๆ เมื่อเดินเข้ามาในบ้านได้แล้วก็วางของเอาไว้ก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นบนด้วยความเหนื่อยอ่อน เพราะขับรถมาไกล แล้วก็ยังต้องผ่าการจราจรเข้าไปรับพ่อที่พักอยู่ที่บ้านเก่าอีก

แรกทีเดียวเขาไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงไปพักที่นั่น แต่ก็ได้ความกระจ่างเมื่อพ่อให้ฟังว่าได้วางแผนกับพิสิทธิ์เอาไว้ เพื่อต้องการให้ดนุพรและระพีพรรณได้มีโอกาสปรับความเข้าใจกัน เขาไม่ใคร่จะเห็นด้วยนักกับความคิดนี้ แต่ก็ขัดพ่อไม่ได้ และอีกอย่างเขาก็พอจะเดาได้ว่า น้องเองก็คงจะรัก “นายดำ” นั่นไม่น้อย เขาจึงยอมยกให้ไปก่อน แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ดนุพรทำให้น้องเขาเจ็บอีก เขาบอกกับตัวเองว่าเขาจะไปเอาคืนอีกร้อยเท่า







 

Create Date : 12 พฤศจิกายน 2551
0 comments
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2551 10:46:11 น.
Counter : 688 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.