|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
สโนไวท์กับคน (ไม่) แคระทั้งเจ็ด : ใต้หล้า
หลังสายลมไหวได้พัดผ่านไปพร้อมความไม่เข้าใจในวันนั้น ฉันยังคงใช้ชีวิตผ่านคืนวันเรื่อยไปตามประสา คนนั้นผ่านไป คนนี้ผ่านมา สุดแต่พรหมลิขิตจะนำพาขีดเส้นชะตามาพบกัน
เนิ่นนานในกาลเวลา แต่ทว่าไม่เชื่องช้าในความรู้สึก ในรอยจำของวานวัน... ใครคนหนึ่งถูกชักนำให้ก้าวเข้ามาผูกพันใจ...ได้รู้จัก
เจ้าของร่างผอมสูง ผิวเข้ม ผมยาวประบ่าถูกสอยไล่ระดับล้อมกรอบใบหน้าคมตามความนิยมสมัยใหม่ นั่นคือภาพในความทรงจำซึ่งถูกบันทึกไว้เรื่อยมาจนวันนี้... วันที่ไม่มีเขาให้ได้เห็น เสียงทุ้มหนักแน่นดังมาคล้ายจะข่มขวัญน้องใหม่แห่งรั้วมหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติ เรียกความรู้สึกไม่ชอบใจให้ผุดพรายในความคิด แอบประณามในใจว่า
นี่ล่ะหรือ... ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักศึกษา บุคคลชั้นปัญญาชน เหตุใดจึงพูดจากรรโชกข่มขู่กันได้ถึงเพียงนี้
เสียงนินทาในห้วงคำนึงยังอึงอลไม่จางหาย เสียงตะคอกถามก็รุกไล่ในความจริง
ชื่ออะไร พูดดัง ๆ ไม่ได้ยิน นั่นคือประโยคไถ่ถามทำความรู้จักของคนตรงหน้า ซึ่งฉันบอกกับตัวเองในตอนนั้นว่าวาจาของเขากำลังคุกคามแสดงความไม่เป็นมิตร และฉันมีสิทธิ์ไม่ตอบคำถาม
ผมถามว่าคุณชื่ออะไร เป็นใบ้หรือ ทำไมไม่ตอบ ? ประโยคคำถามดังขึ้นอีกครั้งอย่างไม่พอใจนัก และฉันเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน
ขณะที่เขาไม่พอใจที่ไม่ได้รับคำตอบ ฉันเองก็ไม่พอใจกับน้ำเสียงที่เขาใช้ในการตั้งคำถาม เมื่อต้องการให้ใครสักคนตอบในสิ่งที่คุณอยากรู้ คุณก็ควรจะพูดจาดี ๆ ไม่ใช่ขึ้นเสียงกราดเกรี้ยว ฉุนเฉียวใส่ และคงเป็นเพราะความไม่ชอบใจส่งผลให้น้ำใส ๆ นั้นรินไหลจากสองตา
ใบหน้าเข้มขรึมนั้นเผือดสีลงทันตาที่ได้เห็น เขาคงตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว ด้วยไม่คาดคิดว่าฉันจะร้องไห้ แต่ด้วยหัวโขนของคำว่า หน้าที่ ที่ตนมีอยู่ ณ ช่วงเวลานั้น ทำให้ไม่สามารถโอนอ่อนตามได้ดังใจ จึงหันไปโวยวายกันใครอีกคนเพื่อเป็นการกลบเกลื่อน
ใครก็ได้มาดูน้องเขาหน่อยสิ ไม่ไหวเลยแค่ถามชื่อก็บ่อน้ำตาแตกซะแล้ว
ประโยคที่ได้ยินทำเอาอยากจะหันไปเผชิญหน้า กราดวาจาเข้าใส่แทนกระสุน ก็... ในเมื่ออยากทำความรู้จัก แล้วทำไมไม่พูดจาดี ๆ เหมือนที่ปกติชนเขาทำกัน หรือว่าการศึกษาที่ผ่าน ๆ มาไม่ทำให้ตระหนักเลยว่า มารยาทสังคม ที่ดีนั้นเป็นเช่นไร
แต่... ริมฝีปากกลับหนักเกินกว่าจะเผยอขึ้นเพื่อสวนถ้อยวาจานั้นออกไป ทำได้เพียงตวัดสายตามองอย่างต้องการสื่อความนัยว่ารู้สึกเช่นไรในสิ่งที่เขาทำ
น้องข้าวอย่าโกรธพี่เต้ยเลยนะ เสียงเล็ก ๆ คล้ายเด็กน้อยของคนทำหน้าที่ พี่ปลอบ ซึ่งเป็นคนนำฉันออกมาจากห้องรับน้องดังขึ้นเพียงกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน พี่เขาทำตามหน้าที่น่ะ... ไม่เป็นไรนะ ทำใจให้สบาย แล้วเดี๋ยวค่อยเข้าไปแนะนำตัวกับเขาใหม่
ฉันไม่ตอบรับ และไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ในใจมันร่ำร้องว่า ไม่มีทาง
เหตุการณ์ในวันนั้นจบลงอย่างไร ฉันเองไม่ได้ใส่ใจจะจดจำ หากสิ่งหนึ่งซึ่งจำได้เจนใจ คือ.... ผู้ชายคนนั้น.... คนที่เคยตะคอกฉันด้วยน้ำเสียงดุดันเสียยกใหญ่ ผู้ชายที่ชื่อ นายใต้หล้า ทิพย์จันทร์ หัวหน้าว้ากประจำรุ่นนั่นเอง
กำลังรออยู่เลยว่าเมื่อไหร่จะโทร. มา นั่นคือประโยคแรกที่ได้ยิน ทันทีที่เจ้าของหมายเลขโทรศัพท์กดปุ่มตอบรับสัญญาณการเรียกเข้า
นั่นทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่า... หากย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว มีใครสักคนมาบอกว่าผู้ชายหน้าคม ผิวเข้ม ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเฮดว้าก หรือ หัวหน้าว้ากเกอร์ จะพูดจานุ่มนวลชวนฟัง ชนิดที่ทำให้ฉันอดยิ้มอย่างปลื้มใจที่มีใครสักคนคอยเป็นห่วงเป็นใย ใส่ใจทุกเรื่องราวความเป็นไปแล้วล่ะก็ ฉันคงต้องส่ายหน้าแรง ๆ เป็นการปฏิเสธอย่างแน่นอน แต่... ณ วันนี้ สิ่งที่ไม่เคยคาดคิด กลับกลายเป็นความจริง แถมผู้ชายคนนั้นยังเป็นคนแรกที่ฉันคิดถึงยามเจอปัญหา เป็นคนแรกที่ฉันต้องการขอคำปรึกษา โดยไม่ใส่ใจเลยว่าคนที่มีฐานะและได้ชื่อว่า พี่รหัส ของฉันจะรู้สึกเช่นไรกับการที่ฉันมองข้าม แล้วหันไปให้ความสำคัญกับเพื่อนสนิทของเขา ซึ่งครั้งหนึ่ง... ฉันเคยหมายใจไว้ว่า... ไม่มีวันจะเจรจากันได้ด้วยถ้อยคำดี ๆ
พี่เต้ยรู้ได้ยังไงคะว่าข้าวจะโทร. หา ฉันย้อนด้วยน้ำเสียงแง่งอนนิด ๆ แล้วก็ได้รับเสียงหัวเราะนุ่ม ๆ น่าฟังนำมาก่อนคำตอบ
ก็วันนี้ต้นข้าวไปก่อเรื่องอะไรมาล่ะ ถามแบบนี้แสดงว่าคงมีคนแล่นไปฟ้องกันเรียบร้อยแล้วว่าฉันก่อวีรกรรมอะไร กับใครเอาไว้ และคนที่ฉันมีเรื่องด้วยก็ไม่ใช่ที่ไหน ก็คือ... น้องรหัสของเขานั่นเอง
ปูมชน
ปูมบอกพี่เต้ยหรือคะ ? ฉันถามออกไปทั้ง ๆ ที่มีคำตอบที่แน่นอนให้กับตัวเองอยู่แล้ว
เปล่าหรอก พี่ยังไม่ได้คุยกับปูมเลย รอต้นข้าวเล่าให้ฟังอยู่นี่แหละว่าเรื่องอะไรกัน
ก็... ยังไม่ได้คุยกัน แต่กลับรู้ดีว่าฉันก่อวีรกรรมไว้กับใครจนต้องเป็นฝ่ายโทร. หา เท่านี้ก็เพียงพอที่จะบอกได้แล้วว่าสิ่งที่พูดมามี พิรุธ แต่... ถือเสียว่ายกประโยชน์ให้แล้วกัน เพราะ... ณ ขณะนี้ฉันไม่รู้จะเริ่มต้นบอกเล่าจากจุดไหน ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดมันมีจุดเริ่มต้นอย่างไรถึงได้ลงเอยลงเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่ฉันคิดว่าอยากเล่า อยากบอกให้เขาฟังทุกเรื่องราว แต่สุดท้าย ฉันก็จนด้วยถ้อยคำเสียดื้อ ๆ อย่างนั้น
หลังจากอ้ำอึ้งอยู่นาน สิ่งที่ต้องการเล่า เรื่องที่ต้องการสื่อก็ยังไม่สามารถเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดให้คนที่รอฟังได้รับรู้สักที
หากเป็นคนอื่น หากไม่ใช่เขาคนนี้... คนที่ดีแสนดีจนไม่มีถ้อยคำใดให้เปรียบเทียบ คงได้เอ็ดตะโรกันบ้าง มีอย่างหรือ... เป็นฝ่ายโทร. มาหา แต่กลับไม่ยอมพูดยอมจาเสียเฉย ๆ จนคนที่รอฟังต้องเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนว่า
ต้นข้าว... ไม่มีใครหรอกนะที่ไม่เคยเจ็บเพราะเพื่อน แล้วเพื่อนดี ๆ คนหนึ่งน่ะไม่ได้หาได้ง่าย ๆ นะ ถ้าไม่หนักหนาอะไร อภัยให้กันได้ก็อภัยให้กันเถอะ พี่ไม่อยากให้ข้าวเสียเพื่อนดี ๆ คนหนึ่งไปเพราะคำว่า ทิฐิ
แล้วพี่เต้ยรู้ได้ไงคะว่า... ถ้าข้าวพูดกับเขา แล้วเขาจะพูดกับข้าวน่ะ
พี่ว่าต้นข้าวน่าจะรู้ดีนะว่า... ปูมเป็นคนยังไง เพราะคนที่สนิทกับปูมมากที่สุดก็คือต้นข้าว
ใครบอกพี่เต้ยคะว่าข้าวสนิทกับเขาน่ะ ฉันอดไม่ได้ที่จะเกเรนิด ๆ ตามประสาคนเอาแต่ใจตนเป็นที่ตั้ง ถ้าข้าวพูดด้วย แล้วเขาเฉย ข้าวจะทำไงล่ะคะ ?
พี่รับรองเลยว่าปูมไม่ทำอย่างนั้นแน่ ๆ พี่รู้จักน้องพี่ดี
ถ้าพี่เต้ยว่างั้น ข้าวจะลองดูก็ได้ค่ะ ครับ เขาตอบรับเพียงสั้น ๆ ก่อนจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน
วันเวลายังคงหมุนไปไม่หยุดนิ่ง หลายสิ่งเปลี่ยนไปตามกาลที่เปลี่ยนแปลง หากสิ่งหนึ่งยังคงเดิมจากวันนั้นจนวันนี้ นั่นคือ... ความผูกพันที่มีระหว่างฉันกับเขา... ใต้หล้า ผู้ชายที่อบอุ่น จริงใจ เป็นที่พึ่งพิงใจที่แสนดี แม้บางทีฉันจะเกเรไปบ้าง ดื้อแพ่งไปนิด หัวรั้นไปหน่อย เอาแต่ใจเล็กน้อยถึงปานกลาง ช่างก่อเรื่องสร้างปัญหาให้หนักใจ เขาก็ไม่เคยหนีหายไปไหน ยังคงหยิบยื่นความห่วงใย คอยรับฟังความเป็นไปเสมอมา
ฉันไม่เคยคิดจะขัดใจเขาจริง ๆ จัง ๆ สักครั้ง อะไรที่ไม่ดี อะไรที่เขาไม่อยากให้ทำ ฉันจะละวางแล้วถอยห่างทันที แต่... สิ่งเดียวที่ฉันทำให้เขาไม่ได้สักที คือ... การกลับไปเป็นเพื่อนที่ดีกับปูมชน
ใช่ว่าฉันไม่ใยดีในไมตรีของคนเคยเป็นเพื่อน ใช่ว่าลืมเลือนคำว่ามิตรภาพ แต่... ความรู้สึกบางอย่างมันหยั่งรากลึกเกินถอน ความรู้สึกผิดที่เป็นฝ่ายเอาแต่ใจ เป็นฝ่ายเลือกไปโดยไม่ฟังเหตุผลใด ๆ ทั้งนั้น แล้วจะให้ฉันทำใจกลับไปมองหน้ากัน ทำเหมือนเรื่องราวในวันนั้นไม่เคยมี หัวใจไม่รักดีก็ตะโกนสั่งทันทีว่า... ไม่อยากทำ
นานวันที่ล่วงผ่าน ระยะห่างระหว่างกันยิ่งห่างเหินจนเกินใกล้ สุดท้าย... ก็ทำได้แค่...มอง...อยู่ไกล ๆ เท่านั้นเอง
ฉันรู้... รู้ว่า...พี่เต้ยยังคงหวัง... หวังว่าสักวัน... ฉันกับปูมชนจะกลับมาคืนดีกัน ฉันเองก็อยากทำความหวังของเขาให้เป็นจริง ความหวังเดียวและความหวังสุดท้ายของพี่ชายที่แสนดี
ขอเวลาให้ข้าวอีกนิดนะคะ... พี่เต้ย
สวัสดีค่ะ ฉันกรอกเสียงงัวเงียใส่โทรศัพท์ทันทีที่กดรับสาย อดแปลกใจไม่ได้เมื่อชื่อบนหน้าจอนั้นเป็นเขา ดึกป่านนี้แล้วพี่เต้ยยังไม่นอนอีกหรือ ? พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้าไม่ใช่หรือ ?
ต้นข้าว ขานเรียกแล้วเงียบหาย แต่... ฉันก็ยังถือสายรอฟัง แม้ความง่วงงุนจะครอบงำจนเกินจะพูดจากันรู้เรื่อง หลับแล้วเหรอ... งั้นฝันดีนะครับ พี่ไม่กวนแล้ว
ค่ะ ฉันกดวางสาย แล้วเข้าสู่นิทรารมณ์อีกครั้ง ไม่รับรู้เลยว่า... นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เขาจะโทร. หา...ครั้งสุดท้ายที่ฉันไม่มีโอกาสได้โทร. กลับ.. เพราะเขาไม่มีวันตอบรับฉันอีกแล้ว ไม่มีวัน...
เคยได้ยินไหมว่า... ความสุขมักอยู่กับเราเพียงไม่นาน ? เป็นเพียงภาพลวงตา มายาที่ลวงหลอกให้หลงดีใจ ก่อนผลักดัน ความทุกข์ ให้ย่างกรายมาทำร้ายหัวใจอย่างโหดร้ายและทารุณ
ข่าวร้าย มักเดินทางมาถึงรวดเร็วเสมอ รวดเร็ว... รุนแรงปานสายฟ้าฟาด รุกฆาตเฉียบขาดขาดไร้ความปรานี ฉุดกระชากความรู้สึกดี ๆ ให้หลุดลอย
พี่เต้ยตายแล้วนะ... ต้นข้าว ! ! !
ประโยคบอกเล่าซึ่งฉันรับรู้ความหมายที่ซ่อนไว้ในรูปประโยคด้วยความรู้สึกเจ็บ... เจ็บจนชา เจ็บจนล้าไปทั้งหัวใจ ยิ่งภาพที่ตามมาหลังข่าวร้ายนั้น ฉันจำมันได้เพียงเลือนราง... เลือนรางจากการรับรู้ แต่ชัดเจนอยู่ในความทรงจำเสมอ... ความทรงจำซึ่งคอยตอกย้ำทุกลมหายใจ... ว่า... ไม่มีอีกแล้วคนเข้าใจ.... ไม่มีแล้วคนห่วงใย... ไม่มี
จะให้ฉันทำใจยอมรับได้อย่างไรกัน เมื่อก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่ชั่วโมง ฉันยังได้ยิน... ได้ฟังน้ำเสียงทุ้มของคนที่ได้ชื่อว่าไร้ลมหายใจไปแล้ว ฉันจะยอมรับได้อย่างไรกันกับความเป็นจริง... รับไม่ได้... แต่... มันคือสิ่งที่ต้องยอมรับ ยอมรับ...ไปพร้อม ๆ กับความรู้สึกเกลียด... เกลียดทุกสิ่งในวันนี้ที่โหดร้าย เกลียดในชะตาที่ทำให้รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม เกลียดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นและจบไปพร้อมลมหายใจของใครอีกคน เกลียดน้ำตาที่รินล้นเพื่อตอกย้ำให้รู้ว่าฉันสูญเสียใครที่สำคัญ
โหดร้ายเหลือเกินพรหมลิขิต... ใยจึงขีดเส้นชีวิตให้พลัดพราก ใยจึงลากเส้นชะตาให้ต้องจากไกล ใยจึงเขียนให้ฉันยังหายใจโดยปราศจากใครอีกคน
Create Date : 07 ธันวาคม 2553 |
|
10 comments |
Last Update : 7 ธันวาคม 2553 16:26:55 น. |
Counter : 2793 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: คนผ่านทาง IP: 182.53.94.57 5 ธันวาคม 2554 19:44:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: พลอย IP: 171.98.236.229 2 มีนาคม 2557 12:58:48 น. |
|
|
|
|
|
|
|
หากอ่านแล้วไม่ถูกใจหวานเย็นต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่... ถ้าอ่านแล้วชอบ หวานเย็นขอยกความดีทั้งหมดให้พี่เต้ย พี่ชายที่แสนดีของหวานเย็นนะคะ
สุดท้าย... อยากบอกพี่เต้ยว่า... หลับให้สบายนะคะ สักวันหนึ่งเราคงได้พบกันอีก หวังว่าวันนั้นพี่เต้ยจะยังจำน้องสาวคนดีได้นะคะ รักพี่เต้ยเสมอ