พิธีลอยอังคาร
วันที่ 19 กรกฏาคม 60 ประมาณ 12.45 น. เป็นวันที่ฉันได้สูญเสียลูกศิษย์ วัย 55 ปี ไปอีกคนหนึ่ง
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า อีกไม่นาน ฉันจะต้องสูญเสียลูกศิษย์คนนี้ไป แต่เวลาที่เขาจากไปจริง ๆ
ฉันก็อดใจหาย เสียใจ ต่อการจากไปของเขาไม่ได้ ฉันเป็นคนขอให้หมอที่รักษาไทรอยด์ของฉัน
ซึ่งเป็นหมอที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาในเรื่อง เคมีบำบัดด้วย เขาอยู่ในความดูแลของหมอ
ที่ฉันแนะนำ เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาก เพราะหมอพยายามให้กำลังใจเขา เรียกว่า มีจิตวิทยา
ในการให้การรักษาคนไข้ได้เป็นอย่างดี แต่ถึงจะมีกำลังใจดีขึ้น สบายใจดีขึ้นกว่า
โรงพยาบาลเดิมอย่างไร โรคของเขา ก็ลุกลามมาจนถึงวันนี้ วันที่เขาต้องจากฉันและแม่เขา
รวมทั้งญาติพี่น้องของเขาทุกคนไป อย่างไม่มีวันกลับมาได้อีก
ชีวิตคนเรา ก็เป็นไปตามกฎแห่งธรรมชาติ มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ และตาย ไปตามกรรมของแต่ละคน
คนเราจึงไม่ควร ยึดมั่น ถือมั่น อาฆาต พยาบาท อิจฉาริษยากันเลย เพราะทุกคนก็ต้องมี
วันนี้ วันที่ต้องกลับคืนสู่สภาพเดิมที่เราได้มา นั่นเอง เพียงแต่ จะ ช้าหรือเร็ว ตามแต่กรรมของแต่ละคน
พี่น้องของเขา ก็เข้มแข็งดี แบ่งหน้าที่การจัดการงานศพ แม่ของเขาขอให้ฉันช่วยเรื่องติดต่อวัด
ซึ่ง ก็คือ วัดธาตุทอง ซึ่งฉันมีลูกศิษย์ที่บวชอยู่ที่นี่หลายสิบพรรษาแล้ว ซึ่งจะสามารถ ให้คำแนะนำ
ในเรื่องของการจัดงานศพได้ดีตามฐานะของเจ้าของงาน ฉันได้จัดการติดต่อกับหลวงศิษย์แจ้
โดยพาญาติของเขาไปที่สำนักงานติดต่อเรื่องการจัดงาน ซึ่งก็มีรายการต่าง ๆ ให้เจ้าของงานเป็นผู้เลือก
งานศพของลูกศิษย์ ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย จัดการสวด 5 คืน วันที่ 6 ฌาปนกิจศพ
วันที่ 7 ก็ทำพิธีเก็บกระดูก และฝากไปที่ พระแจ้ก่อน จนครบ ทำบุญ 15 วัน คือ วันที่ 2 สิงหาคม
มีการทำบุญ 15 วันที่บ้านซึ่งติดกับบ้านของฉัน ฉันจึงได้ช่วยงานเขาเป็นไปอย่างเรียบร้อย
และหลังพิธีทำบุญเลี้ยงเพลแล้ว ก็ไปลอยอังคารกัน ฉันก็ได้ไปร่วมส่งลูกศิษย์คนนี้
กลับคืนสู่ธรรมชาติ อีกด้วย ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่ฉันไม่เคยได้ไป ได้เห็น จึงขอเก็บมาเล่าสู่กันฟัง( อ่าน) ค่ะ
ช่วงเช้า มีพิธีทำบุญ สังฆทาน บังสุกุล ใ้ห้ลูกศิษย์ ที่บ้าน โดยพระแจ้ ลูกศิษย์จะเป็นผู้ให้
คำแนะนำในการทำพิธีกรรมต่าง ๆ พร้อมเครื่องใช้ในการทำพิธี เช่น เชิงเทียน บาตรน้ำมนต์ เป็นต้น
แม่ของลูกศิษย์ที่ถึงแก่กรรม เป็นคนจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธ
พระแจ้ พระลูกศิษย์ ทำพิธี วงสายสิญจน์ก่อนสวดมนต์
บรรดาญาติพี่น้อง หลาน ๆ และคนในบ้าน มาร่วมพิธี
พระสงฆ์สวดมนต์ในวันทำบุญ 15 วัน แก่ผู้วายชนม์
ฉันร่วมงานทำบุญ 15 วันของลูกศิษย์
หลังจากสวดมนต์ที่ห้องนอนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มีการเลี้ยงพระเพลที่ชั้นล่างของบ้าน
พระฉันเพล
หลังจากฉันเพลแล้ว จะต้องขึ้นไปที่ห้องนอน เพื่อทำพิธีบังสุกุลอีกครั้ง
พิธีถวายสังฆทานและบังสุกุล เป็นเสร็จพิธีทำบุญ 15 วัน
หลังจากที่ จั่ง น้องเขยของลูกศิษย์ผู้วายชนม์ ไปส่งพระสงฆ์ที่วัดเรียบร้อยแล้ว
พวกเขาก็ทานข้าวมื้อเที่ยงกัน ส่วนฉันต้องไปทำหน้าที่ในการเป็นตัวแทนกรรมการสมาคม
นักเรียนเก่าฯ มอบทุนให้กับนักเรียนที่ยากจน ที่โรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง ซึ่งนายกสมาคมฯ
คุณ สุเทพ ได้กรุณามารับมาส่งฉันด้วย โดยมารับฉันตั้งแต่ 10.45 น. และมาส่งฉันที่บ้าน เวลา 12.10 น.
ซึ่งฉันคิดว่า คงไม่ทันไปลอยอังคารของลูกศิษย์แน่ เหมือนกับว่า ลูกศิษย์ที่ถึงแก่กรรม อยากให้ฉัน
ไปลอยอังคารของเขาด้วย จึงทำให้ พวกเขายังไม่ได้ออกจากบ้าน ทุกคนดีใจ ที่เห็นฉัน
รีบเรียกฉันกินข้าวก่อนจะไปลอยอังคารด้วยกัน ตอนนี้ทุกคนทานกันอิ่มแล้ว ฉันจึงทานข้าวไป
น่าจะ 2 ทัพพีอย่างรวดเร็ว ไม่อยากให้ทุกคนรอฉัน
รถที่ไปเพื่อลอยอังคารของฮ้ง นั้น มีทั้งหมด 5 คัน คือ คันของพี่นพ มีมิ้ง เป็นคนขับ
ฉันและพี่นพเป็นคนนั่งไปด้วย คันที่สอง เป็นค้นของเล็ก มีน้องเนียร เป็นคนขับไป 2 คน
คันที่ สาม เป็นคันของอ้อย กับ จั่ง สามี คันที่ 4 คันของ หลิว ขับไป มีวิไล คนใช้ที่รักฮ้งมาก
และป้อม เป็น 3 คน คันที่ 5 เป็นค้นของเตี๊ยบ ขับคนเดียว ซึ่งแต่เดิม จะมีนก คนที่จ้าง
มาอยู่คอยช่วยฮ้งตอนป่วยที่ ร.พ. แต่เขามาสายไม่ตรงเวลาเลย เตี๊ยบจึงไม่รอ ทุกคน
ขับรถตามกันไป ที่วัด บางนางเกรง ซึ่งอยู่ที่สมุทรปราการ ประมาณ 13.45 น. เราก็มาถึงวัดนี้
เจ้าของเรือที่เช่ามาต้อนรับ เป็นผู้หญิงน่าจะวัยประมาณ 30 ปี เอารูปฮ้งตั้งไว้ก่อนพร้อมผ้าไตร
เขามีพานให้ตั้งผ้าไตร ด้วย จั่งถามถึงว่า ต้องนิมนต์พระมาในพิธีลอยอังคารไหม เขาอธิบายว่า
ถ้าเป็นอัฐิใหม่ ไม่ต้องก็ได้ เพราะมีการบังสุกุลมาแล้ว แต่ถ้าเป็นอัฐิเก่า ก็ควรจะนิมนต์พระ
มาบังสุกุล ในที่สุด จั่งก็ตัดสินใจไม่นิมนต์พระ ซึ่งที่จริง พระแจ้บอกให้นิมนต์พระมาในพิธีนี้
พี่นพถามฉัน ฉันก็อธิบายตามที่เจ้าของเรือเขาบอก พี่นพ ก็ต้องเอาตามที่ลูกเขยแกบอก
ส่วน นก ซึ่ง ผิดเวลาในการนัด แต่เขาก็จ้างวินมอเตอร์ไซด์ตามมา พวกเราเลยต้องรอนก อีกคน
เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว ตอนนั้นน่าจะบ่ายสองกว่าแล้ว ทุกคนก็เดินลงเรือ โดยต้องผ่านเรือใหญ่
ที่จอดอยู่ไปลงเรือลำที่เล็กกว่า มีเจ้าหน้าที่ของเขาสองคน ช่วยกันถือพานดอกไม้ ธูปเทียน
ที่จะใช้ในการประกอบพิธี ลอยอังคาร ทุกคนลงเรือเล็กพร้อมกันแล้ว ก็เลือกที่นั่ง
เจ้าหน้าที่เรือ แจกเสื้อชูชีพคนละตัว บอกว่าจะใส่ก็ได้ ไม่ใส่ก็ได้ (หมายถึง ถ้าใครกลัว ก็ใส่ นั่นเอง)
นั่งรอ นก นั่งมอเตอร์ไซด์ มา
เจ้าหน้าที่เรือ ช่วยขนของที่จะมาทำพิธีลอยอังคาร
ทุกคนทยอยกันลงเรือ
ชายคนนี้ เป็นผู้จะอธิบายถึงพิธีการลอยอังคาร ครั้งนี้
เครื่องใช้ในการทำพิธีลอยอังคาร ต้องใส่เหรียญทั้งเงินและทองไว้ 7 เหรียญในการทำพิธี
ลงเรือกันเสร็จแล้ว คนที่จะมาทำพิธีลอยอังคาร ก็ต้องทำพิธีเคารพแม่
ย่านางเรือ ขอขมา
ขออนุญาตจากแม่ย่านางเรือ ใช้เรือลำนี้ ประกอบพิธีลอยอังคารของ ฮัง มีการ ตั้ง นโม ให้พวกเราท่อง 3 จบ
แล้วท่องบทสวดให้พวกเรา พูดตาม ใช้เวลาประมาณน่าจะ 10 นาทีได้
จากนั้น เรือก็แล่นออกสู่ท้องน้ำไกลออกจากฝั่งไปเรื่อย ๆ ฉันนั่งมองสายน้ำอันกว้างใหญ่
ที่เราเรียกว่า ปากอ่าวไทยนี้ ใจนั้น คิดโน่น คิดนี่ คิดถึงชีวิตของคนเราที่เกิดมา ในที่สุด
วันหนึ่ง เราก็ต้องจากโลกนี้ไปและฉันก็ต้องถูกเขานำมาโปรยกระดูกลงสู่ท้องทะเล เช่นนี้เหมือนกัน
ต่อให้รวยล้นฟ้า สุดสวย สุดหล่อ ก็จะเหลือเพียงเศษกระดูกที่ถูกเผา นำมาจัดเรียง
เป็นรูปคนเล็ก ๆ จิ๋ว ๆ เฮ้อ ! แล้วก็นำมาโปรยลงสู่ท้องน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาล ที่คนทำพิธี
ใช้คำพูดว่า นำอัฐินี้ คืนสู่ธรรมชาติไป ชีวิตคนเราก็เท่านี้แหละนะ ไม่รู้จะหาเงินหาทอง
รวยล้นฟ้าไปทำไม เพราะในที่สุด เราก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้สักอย่างเลย ใช่ไหม ล่ะ
ท้องน้ำในขณะที่เรือผ่านไป
ถ่ายกับเครื่องทำพิธีในการลอยอังคารเป็นที่ระลึก ก่อนจะลอยอัฐิลงสู่ท้องน้ำอันกว้างใหญ่
เรือแล่นมาน่าจะประมาณ ครึ่งชั่วโมงได้ เป็นช่วงที่ออกจากฝั่งไกลมากพอสมควร เป็นท้องทะเล
ที่กว้างใหญ่ เรือ ก็จอดนิ่งกลางท้องน้ำ และพิธีในการลอยอังคารก็เริ่มขึ้น โดยผู้ทำพิธี
ให้เชิญ พี่นพ ผู้เป็นแม่ของผู้วายชนม์ มานั่งที่เก้าอี้ที่จัดไว้ มีการอธิบายถึงว่า
สมัยก่อน มีการฝัง ต่อมา นาน ๆ เข้า ลูกหลานรุ่นต่อ ๆ มา ก็เลือนไป กลายเป็นไม่มีใคร
ไปกราบไหว้ ถึงจะไม่ได้ฝัง แต่เอากระดูกไปไว้ที่วัด แล้วก็ไปไหว้ที่วัดในเทศกาลที่สำคัญ
เช่น วันสงกรานต์ วันขึ้นปีใหม่สากล เป็นต้น ดังนั้น ในปัจจุบัน จึงหันมาจัดการแบบใหม่
โดยการจัดพิธีลอยอังคาร ซึ่งก็เป็นวิธีที่ถูกต้อง เพราะเป็นการให้ร่างกายนั้น คืนสู่ธรรมชาติ
หลังจากอธิบายแล้ว มีการทำพิธี เปิดโถที่ใส่อัฐิ มีการสวดมนต์นำและให้พวกเราพูดตาม
ซึ่งก็เป็นการขออโหสิกรรมต่อผู้วายชนม์ เสร็จจากการให้พูดตามแล้ว มีการเปิดโถอัฐิ
ให้พวกเรานำกลีบดอกไม้ ใส่โถกระดูกที่เปิดผ้าขาวไว้ สงสารคนเป็นแม่ เห็นกระดูกลูกแล้ว
ก็ร้องไห้ ทุกคนต่างใส่กลีบดอกไม้ที่ทางเจ้าของเรือเตรียมไว้ ด้วยอารมณ์เศร้าหมอง
เพราะต่อไปนี้ ร่างของฮ้ง ซึ่งเป็นกระดูกนี้ ก็จะลอยกระจายไปอยู้ใต้ท้องน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้
แล้วหนอ ชีวิตคนเรา ก็มีเพียงเท่านี้จริง ๆ คนเราจึงพึงต้องคิดถึงมรณานุสติอยู่ตลอดเวลา
เพื่อเมื่อถึงเวลาที่จะต้องพบสิ่งเหล่านี้ จะได้มีจิตสุดท้ายที่ดี และไปสู่ภพภูมิที่ดีต่อไป
เป็นตอนที่พิธีกรได้ให้พวกเราระลึกถึงฮ้ง อธิฐานจิตขออโหวิกรรมต่อกัน
ฟังการอธิบายเรื่องราวความเป็นมาของการลอยอังคาร
อธิบายเสร็จมีการให้นำกลีบดอกไม้ใส่โถอัฐิ แล้วพรมด้วยน้ำอบ เป็นช่วงที่โศกเศร้ากันทุกคน
หลังจากที่ทุกคนได้โรยกลีบดอกไม้และอธิษฐานขออโหกรรมกันแล้ว ก็ปิดฝาโถอัฐิ
หุ้มด้วยผ้าขาวเหมือนเดิม และเพิ่มด้วย พวงมาลัยดาวเรือง พวงใหญ่ไว้ประดับโถกระดูกอย่างสวยงาม
จากนั้น ก็ให้ถือกุหลาบคนละดอก และโยนใส่ท้องน้ำ หลังจาก ปล่อยโถอัฐิให้ลอยไปตามท้องทะเล
มีการโปรยกลีบกุหลาบ กลีบดาวเรือง ลงในท้องน้ำตามโถอัฐิไปตามลำน้ำ แล้วก็คง
ค่อย ๆ จมลงสู่ท้องทะเลไป สู่ธรรมชาติตามที่ผู้ทำพิธีบอกไว้ค่ะ
การลอยอังคาร ก็ได้จบลงอย่างเรียบร้อย สมบูรณ์ จ่ายค่าเรือที่เช่าไปลอยอังคาร 2,000 บาท
ค่าดอกไม้ ที่จัดทำในพิธี อีก 800 บาท พี่นพ ให้คนทำพิธีอีก 300 บาท
ขากลับ พี่นพ พาลูก ๆ ของเขา รวมทั้งฉัน หลิว มิ้ง และ นก ซึ่งเป็นคนนอกไปทาน
อาหารมื้อเย็นที่ร้าน สุกี้กวางเจา แถวบางจาก เพราะทุกคนท้องร้องกันหลังจากงานลอยอังคารเสร็จสิ้น
ฉันเพิ่งมาร่วมพิธีลอยอังคารครั้งนี้ เป็นครั้งแรก ประกอบกับผู้วายชนม์เป็นลูกศิษย์ของฉันด้วย
ฉันจึงนำพิธีลอยอังคารของเขามาเล่า ด้วยความเสียใจต่อการจากไปของเขาและขอให้เขา
ไปสู่สัมปรายภพที่ดี มีความสุขอยู่บนสรวงสวรรค์ เพราะเขาเป็นเด็กดี รักพ่อแม่ พี่น้อง ใจดี
มีเมตตาและชอบทำบุญ ดังนั้น การจากไปของเขา จึงมีผู้อาลัยรักเขาเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่า
จะเป็นญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน ตลอดจนเพื่อนบ้าน นับว่า ได้สูญเสียคนดี ๆ ไป แต่ความดี
ของเขา ก็จะอยู่ในความทรงจำของทุก ๆ คน ฉันเชื่อเช่นนั้น ค่ะ
ถวายสังฆทานแบบเรียบง่ายดีครับ ถังเหลืองไม่ต้องหรอก เต็มวัดไปหมดแล้ว ทำแบบนี้ดีที่สุดครับ (พระท่านก็ว่ามาอย่างนั้น)