|
|
|
- ธรรมไม่มีจิตเป็นสมุฏฐาน เป็นไฉน? การแยก จิต การแยก ธรรม
- ปู่..ย่า..ตา..ยาย...ไม่มีใครเคยเห็น...พระมีเมียได้ ..เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- พระอาจารย์ตั๋นกล่าวชอบแล้ว...สิ่งที่คิดไม่ใช่จิต..แต่เป็นเหตุปัจจัย..ในมหาปัฏฐานในพระอภิธรรม
- don't worry baby..สิ่งที่คิด..ไม่ใช่จิตอยู่แล้ว ..ถ้าแยกตามเหตุปัจจัย
- การพิจารณาเห็น จิตในจิต..
- บทบาทที่สำคัญของพระสงฆ์ในสังคมไทย. พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- การโกหกใส่ร้ายพระกรรมฐานว่าทำคุณไสย์ อย่าสงสัย ว่าพวกมันทำไปเพื่ออะไร
- การรักษาพระธรรมวินัย ด้วยชีวิต....พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- ระวัง...ลัทธิสัตว์นรก มันมาอีกแล้ว ลัทธิ พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- เติมคำในช่องว่าง....พระดีๆไม่มีเมีย ...พระ "......ๆ" มีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- ผลกรรมของการ โกหกใส่ร้าย พระกรรมฐาน ย่อมนำทุกข์ มาให้ไม่สิ้นสุด
- การ ดองกิเลส เลี้ยงตัณหา โดยการห้ามจิตกำหนดรู้ เป็นวิธีของมาร
- การมี สติสัมปชัญญะ เอาเงิน ญาติโยมให้เมีย
- การมี สติสัมปชัญญะ โกหกใส่ร้าย พระกรรมฐาน ว่าทำคุณไสย์
- ปัญหาว่าใครจะบรรลุธรรม.......พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- ความรัก..ครอบครองทุกอย่าง...พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- พระแท้. พระดี. ไม่มีเมีย พระเลว พระชั่ว มีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- พระชั่ว. ใส่ร้าย พระกรรมฐาน. ว่าทำคุณไสย์.
- ผลกรรมที่เกิดจากการ ขัดขวาง ห้ามเผยแผ่ ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ........ อวิชชาสวะ เป็นไฉน ?........
- ระวัง....พระที่ทำตัวเหมือน..สัตว์นรก... มันอยู่กับเมีย
- ปฏิสนธิจิตเป็นวิญญาณขันธ์. ........
- อะไรคือความผ่องใส อะไรเป็นกาก ของพรหมจรรย์นี้ในพระศาสดา
- .................ผลจิต............
- ใครจักรู้แจ้งแผ่นดินนี้ ใครจักรู้แจ้งยมโลกและมนุษยโลกนี้ พร้อมกับเทวโลก
- อรรถกถา.....ทิฐิกถา...
- ........วิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ........
- .........กรรมอันสัมปยุตด้วยญาณ .....
- ......วิญญาณเป็นมาร ......วิญญาณเป็นมารธรรม....
- ๓. ภวเนตติสูตร ว่าด้วยกิเลสที่นำไปสู่ภพ
- .ใคร ? มีหน้าที่ขัดขวาง ไม่ให้ปฏิบัติตาม ตำสอนของพระพุทธเจ้า
- ลัทธิเดียรถี เห็นวิญญาณ ( เวียนว่ายตายเกิด ) เป็นของ ของตน
- สัญโญชนสัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ปฏิจจวาร ปัญหาวาร
- วิญญาณเวียนว่ายตายเกิด เป็น สังโยชน์ ( สักกายทิฐิ
- .......[๓๕๘] ทิฐิวิบัติ ๓ ทิฐิสมบัติ ๓ ฯ........
- มิจฉาทิฐิ. ความเชื่อว่ามนุษย์ไม่มีวันออกจากวัฏฏสงสารได้
- ....สัมมาวายามะ.....การปฏิบัคิธรรมที่ใจ....ทำทีไหนก็ได้...
- ระวัง. เปรตที่เป็นสัตว์นรกมีจริง. พวกเปรตเมียพระ. ชอบหลอกลวงเงินญาติโยม
- ระวัง. เปรตเมียพระ. ออกหากินหลอกลวงเงินญาติโยมในเน็ต เพราะเมียพระร้อนเงิน
- [๓๗] คำว่า สัตว์เหล่านั้น เป็นผู้หลุดพ้นได้ยาก และไม่ยังบุคคลอื่นให้หลุดพ้น
- ว่าด้วยปัญญาที่เรียกว่าธี...
- ว่าด้วยปริญญา ๓ ประการ
- อวิชชาย่อมดับด้วยอาการเท่าไร.. ญาณด้วยสามารถแห่งวิปัสสนา ๗๒ เป็นไฉน ฯ
- ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัยมิได้มี
- วิคตปัจจโย....อวิคตปัจจโย..
- จงจำไว้ พระโง่ โกหกใส่ร้ายพระกรรมฐานว่าทำคุณไสย์ เป็นบาป รู้สึกตัวซักที
- โปรโมชั่น. บาปตลอดชีวิต. โกหก ใส่ร้าย พระกรรมฐานว่าทำคุณไสย์
- สอนลูกหลานว่าพระมีเมียไม่ได้ จะได้ไม่เกิดลัทธิ พระมีเมียได้ เพราะ พ่อแม่พวกมันไม่สั่งสอน
- วันนี้" วันพระ " ..ระวัง. ".วันเมียพระ"จะมาถึงในไม่ช้า..เพราะ พระมีเมียได้..เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- สนิทสฺสนสปฺปฏิฆา ธมฺมา ธรรมที่เห็นได้และกระทบได้
- ทำบุญกับพระดี ได้สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร..ทำบุญกับพระชั่ว แค่สร้างบ้านให้ผัวเมีย
- ความทรงจำที่เจ็บปวด เพราะเจตนากรรม...โกหกใส่ร้ายพระกรรมฐาน.ว่าทำคุณไสบ์
- ระวัง..พระชั่ว บิดเบือน พระธรรมวินัย..พระมีเมียได้..โกหกไม่ผิดศีลธรรม
- อนุปาทาปรินิพพาน ใน ปัจจุบัน
- สังขารที่เป็นกาย สังขารที่เป็นวาจา สังขารที่เป็นใจ....ไม่ใช่ของของ..เรา
- ต้องเชื่อก่อนจึงจะเห็น หรือ...ต้องเห็นก่อนจึงจะเชื่อ....นิพพาน
- พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า มี ๒ อย่าง คือ สมมติเทศนา (เทศนาเกี่ยวกับสมมติ) ๑ ปรมัตถเทศนา (เทศ
- วิวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ปริยายวาร ที่ ๖
- ถ้าเกิดชาติหน้า ไม่มีพระพุทธศาสนา ขอให้รู้ไว้ว่า ชาตินี้นี่แหละ ที่เราปล่อยให้ถูกทำลาย
- ๓. อรรถกถาสมาธิภาวนามยญาณุทเทส ว่าด้วยสมาธิภาวนามยญาณ
- มิจฉาทิฐิ พระโกหกได้ ไม่ผิดศีล ไม่บาป ...ถ้าทำเพื่อเมีย
- อินทรีย์ ๕ มีนิมิตเหตุปัจจัยเครื่องปรุงแต่ง
- อย่ายอมให้ความรู้สึก มาโกหก บิดเบือนพระธรรมวินัย พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยม...ให้เมีย
- ทฤษฎี พระมีเมียได้ แล้วเมียพระจะร่ำรวยด้วยเงินของญาติโยม มีมาแต่โบราณ
- ที่สุดแห่งอดีต ( สัญญา ) ....ที่สุดแห่งอนาคต ( สังขาร )
- ธรรม และ จิต..... และ ธรรมเกิดคล้อยตาม จิต
- ใจ. ชนะ. ใจ. กรรม. ชนะ. กรรม.
- น่าสงสาร พระโง่ ที่ไม่รู้ว่าการโกหก ใส่ร้าย พระกรรมฐาน เป็น ...บาป
- ระวัง พระมีเมียเป็น อนุสัย ตามนอนเนื่อง เพราะมี อาสวะ กับเงินญาติโยม เป็น สังโยชน์ ผูกใจใว้ด้วยกัน
- สองพี่น้องจากเปอร์เซีย คนหนึ่งนับถือพุทธ คนหนึ่งนับถืออิสลาม
- พระกรรมฐาน (. สมถะวิปัสสนา ). ชนะกรรมทั้งปวง
- ใครจะยอมโง่ หลงเป็นเหยื่อให้พระชั่ว หลอกเงินให้เมีย........เป็นรายต่อไป
- ขบวนการใส่ร้ายพระดี. มีจริง. มันใส่ร้ายพระกรรมฐาน ว่าทำคุณไสย์
- ใจ ล้าง ใจ กรรม ล้าง ...กรรม
- เพราะไม่มีจึงไม่เป็น เพราะไม่เป็นจึงไม่ใช่. ตัวตน
- กลับตัว กลับใจเสีย ... กรรมก็พร้อมจะอโหสิกรรม ...เพราะผู้ที่อโหสิกรรม...ย่อมได้บุญ
- อะไรที่ปนอยู่ในเจตนา.........สิ่งนั้นคือ...กรรม
- การทำกรรมดีอะไร หนักแน่นและดีที่สุด สมาธิ ( สมถะวิปัสสนา ) กรรมทีปนี
- กรรมมีแล้ว วิบากกรรมจักมี กรรมที่ใส่ร้ายพระกรรมฐานผู้บริสุทธิ เร็วและ แรง ทันตา
- มารห้ามเพ่ง มารห้ามกำหนดรู้. พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย มันทำลายศาสนาจริงๆ
- การใส่ร้ายพระกรรมฐาน ทั้งอดีตปัจจุบันและอนาคต ว่าไม่มี มรรคผล นิพพาน เป็นการทำลายสงฆ์
- ภัยลูกผู้หญิง. ระวังมีพระชั่วมาบอกว่าเป็นลูก. เพื่อหลอกเงินให้เมีย
- พระโง่ ใส่ร้ายพระกรรมฐานผู้บริสุทธิ. กรรมตามทัน. ไม่ตายก็เลี้ยงเมียไม่โต
- อนุศาสนีย์พระศาสดา. จงเพ่ง จงกำหนดรู้. ระวังลัทธิมาร มันห้ามเพ่ง ห้ามกำหนดรู้
- อย่า เวียนว่ายตายเกิด โดยไม่มีทิศทาง....ทิศทางของการเวียนว่ายตายเกิด
- ฝากเงินแทนใจ ฝากพระไปบำรุงพระศาสนา แต่พระชั่วช้า เอาไป บำรุงเมีย
- ต้องใช้เงินบริสุทธิของญาติโยมอีกเท่าใด จึงจะหล่อเลี้ยงความรักของเมียได้ ตลอดกาล
- ขบวนการทำลายพระพุทธศาสนา มีจริง เริ่มจากให้ พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- รักษาพระธรรมวินัยเท่าชีวิต ดีกว่ามีชีวิตโดยไม่มีพระธรรมวินัย พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- พระที่ปาราชิกเพราะพูดโกหกไปแล้ว. มันไม่ใช่พระ เป็นแค่ เดนคน
- น่าสงสารพระโง่ ซึ้งในความรักของเมีย. มากกว่าซึ้งในรสพระธรรม
- วจีสังหาร จาก มโนสังขาร. สมาธิไม่เกี่ยวกับ มรรคผล นิพพาน ที่พระชั่วมันกล่าว
- ทิฐิที่ไปนิพพาน. คือความระลึกรู้ว่า ตอนนี้กำลังอยู่ในวัฏฏสงสาร ( คือทุกข์)
- พวกมารยกกองทัพมาตั้งพัน. หมายทำลายโพธิบัลลัง( สมาธิ )ของพระศาสดา
- ผลกรรมที่เกิดจากก่ารใส่ร้ายพระกรรมฐาน มีจริง และวิบากนั้นก็จะให้ผลในชาตินี้นี่แหละ
- หมั่นตรวจสภาพจิต ดูแลสภาพใจ อย่าให้ อกุศลเจตนาเกิดขึ้นได้ จะพ้นภัยกรรมเวร
- ในวัฏฏสงสารที่ยาวนาน จิตที่ไม่เคยรับการตรวจสภาพเลย ...มีอยู่
- ตรวจสภาพจิต ก่อนหลับ และ ก่อนตื่น ว่ามีอะไรที่ปรุงแต่งจิตได้อยู่
- ระวังมิจฉาชีพ ที่หากินด้วยการ รับตรวจสภาพจิตผู้คน
- ตรวจดูสภาพจิตด้วยตนเอง โดยพระไตรปิฏก หลีกเลี่ยงมิจฉาชิพที่หากินกับศรัทธาของคน
- ขบวนการทำลายพระพุทธศาลนา มีจริง เริ่มจาก. ให้พระมีเมียได้. เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- กรรมของพระขี้อิจฉา. เมื่อคนรู้ว่า พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- สมาธิคือ สมถและวิป้สสนา คนไม่เคยอ่านพระไตรปิฏกไม่มีว้นรู้และเข้าใจ. พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้ภรรยา
- 真実 は 嘘 を 嘘 から は 真実 を 夢中 で 探して きた けど
- ความใจกว้าง ที่เกินกว่าพระธรรมวินัยจะทนรับไหว พระมีเมียได้ เอาเงินญาติให้เมีย
- ความละอายใจต่อบาป....ความไม่ละอายใจต่อบาป.....พระมีเมียได้..เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- นรกอยู่ข้างล่าง...สวรรคอยู่ข้างบน...ถ้าไม่มีความสงสาร...จิตย่อมไม่พ้นจากความไม่ละอาย
- คนที่คอยแก้ต่างให้พระชั่ว ย่อมได้รับผลกรรมเดียวกัน
- การสงสารลูกผู้หญิ่งที่โดนพระชั่ว หลอกลวงเงินไปให้เมีย เป็นบุญ
- ถึงกลุ่มคนชั่ว ที่มาโขมยใช้ blog shadee829
- ผม shadee829 โดย ขโมย blog
- ตัณหาอันเป็นเครื่องนำไปสู่ภพสิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ฯ
- ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน ถึงธรรมโดยไว
- การ "หลงสภาวะ" เพราะไม่เพ่ง ไม่กำหนดรู้ เป็น วิปัสสนูกิเลส
- อรหัตตมรรค ยังมีเวทนาให้กำหนดรู้.......อรหัตตผล..ไม่มีเวทนา
- .........พระพุทธองค์ยังทรง..รออยู่..
- การ กำหนดจิต รู้ใจตนเอง..และผู้อื่น..ป้องกันการหลอกลวงจากพวก..มิจฉาชีพ
- วิชชา.....สลับวิญญาณ....เพื่อความเบื่อหน่าย..คลายกำหนัดจากวิญญาณ
- โลกนี้....โลกหน้า..ไม่มีใน พระนิพพาน...ปฐมนิพพานสูตร..
- วิญญาณเวียนว่ายตายเกิด...เป็นเหตุแห่ง..ทิฏฐินิสัย..และเป็น..ทิฏฐิสังโยชน์
- วิญญาณเวียนว่ายตายเกิด....สตตวิญาณฏฐิติวณณนา...
- ความท้อแท้..และ..ความเพ่งเฉพาะ..ความเป็นกลางแห่งจิต.
- ตายแล้วจะไปไหน....ทูลถามพระพุทธเจ้า..อย่าไปเอง...เดี๋ยวหลง..
- สัมมาทิฏฐิ...ว่าด้วยความเห็นชอบ..สาธยายโดยท่านพระสารีบุตร
- ฝั่งนี้.....และ.ฝั่งโน้น...ที่น้อยคนจะไปถึง เพราะติดอยู่ในบ่วงมาร.
- เนื่องในวันมาฆบูชา....การส่งเสริมผู้อื่นทำสมาธิ....เป็นบุญมหาศาล..ประมาณไม่ได้
- เนื่องในวันมาฆบูชา....การห้ามผู้อื่นทำสมาธิ..เป็นบาปอย่างยิ่ง
- กราบท่านเซ็น ท่านจิต ท่านปล่อย ท่านดาญาณ และท่านฐานาฐานะ เนื่องในวันมาฆบูชาครับ
- ปุคคลบัญญัติ......การบัญญัติ..แจกแจง...จำแนก...บุคคล
- วิญญาณเวียนว่ายตายเกิด.....สักกายทิฐิ.....ปฏิสนธิวิญญาณ..
- วิญญาณเวียนว่ายตายเกิด คือสักกายทิฐิ ( ความยึดมั่น ถือมั่น ว่าวิญญาณเป็นตัวตน )
- การถอดองค์ประกอบของปัจจัยแห่งวิญญาณ เพื่อทำลายสักกายทิฐิ
- กราบขอบพระคุณท่าน ฐานาฐานะ ที่เอื้อเฟื้อ พระสูตรนี้
- สัมมาทิฏฐิ ของผู้มีความเห็นซื่อตรง ต่อ พระนิพพาน
- เมื่อพวกมาร ไม่สามารถใส่ร้าย ผู้ปฏิบัติ สมถะและวิปัสสนาได้
- ตัวของเราในชาติหน้า ย้อนกลับมาบอกเราในชาตินี้ ว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง
- ทำไมต้องกลับบ้าน,,,,,เพราะวิญญาณย่อมเวียนกลับนามรูป,, ไม่เลยไปอื่นเลย
- ทิฏฐิที่กำหนด เพื่อเกิดในภพน้อย และภพใหญ่
- เพราะ อวิชชา เป็นปัจจัย,,,,,,,,,โพธิกถา,,,,,,,,,,,,,
- อะไร คือ เหตุปัจจัย
- อะไรที่ มีจริง,,,,,,ไม่มีจริง,,,,,,,,มีจริงๆ,,,,,,,,ไม่มีจริงๆ
- สมาธิ เป็น มรรค เพราะอรรถว่าเป็น ประธาน
- กราบขอบพระคุณท่านโชติ ท่านเซ็นเถรวาทปฐมสังคายนาครับ ( f = 9b )
- โลกนี้..มีแต่นิทาน....มหานิทานสูคร
- จิตว่างๆ ที่ยังว่างได้อีก เจโตสมาธิที่ไม่มีนิมิต ที่ค่อยๆสิ้นอาสวะ
- จิตตสหภูธรรม
- การเพิกถอน การถือว่าเรานี้มีอยู่ นิสสารณียธาตุ ๖
- ชาติหน้าของคนอื่น ( สัสสตทิฏฐิ ) ชาติหน้าของตัวเรา ( อัสสาททิฏฐิ )
- ความทะเลาะ ความวิวาท มีมาแต่อะไร กลหวิวาทสุตตนิเทสที่ ๑๑
- กตัญญูกตเวทีบุคคล ทำบุญอุทิศแก่ผู้ล่วงลับ อิโตทินนกถา
- สมาธิสูตร .... ว่าด้วยสมาธิเป็นเหตุเกิดปัญญา
- ธรรมเทศนา กับธรรมเทศนา หรือ อนุศาสนี กับอนุศาสนี
- กุศลธรรม เป็นปัจจัยแก่กุศลธรรม โดยอารัมมณปัจจัย
- อิจฉาวจรอกุศล อนังคณสูตร
- การสมมุติตามความเป็นจริง " เราทั้งหลายกำลังจะตาย เพราะเราทั้งหลายได้ตายมาแล้ว " มรณานุสติ
- อภิภายตนะ ( คือเหตุเครื่องครอบงำธรรมอันเป็นข้าศึกและอารมณ์ ) และ กสิณายตนะ (เพื่อ อภิญญา )
- ความเป็นผู้ชำนาญในการเข้าสมาธิ โดยท่านพระสารีบุตร
- พรหมจรรย์นี้ในพระศาสดา
- อวิคตปัจจโย
- ความรู้สึกไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ที่เข้มแข็ง ตั้งมั่น เป็นสมาธิ
- ธรรมเป็นอุปาทาน และสัมปยุตด้วยอุปาทาน เป็นไฉน ?
- ความตรัสรู้ด้วย สมถะ และ วิปัสสนา ด้วยความว่ามีกิจเป็นอันเดียวกัน
- มโนธาตุ เจตนา จิต วิตก วิจาร อุเบกขา เอกัคคตา
- สมาธิภาวนามยญาณ สภาพในความเป็นสมาธิแห่งสมาธิ
- ธรรม เพื่อความไม่เกิด ( อีก ) ต่อไป ... ปังคิยมาณวกปัญหา
- ธรรมจักร ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมจักรกถา
- เครื่องสลัดออกแห่งอุปทานขันธ์ ๕ ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้
- คำอธิษฐานเวลาทำบุญ ขอมีส่วนรู้ เห็น ในธรรมที่พระพุทธองค์ ทรงตรัสรู้
- จิตตุปบาท ธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณ เป็นไฉน ?
- ธรรมอันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิ เข้ายึดครอง และไม่เข้ายึดครอง
- ทุกขนิโรธคามินีปฏปทา และ พระนิพพาน
- อายตนะ ๑๑ เป็น โนจิตตะ อายตนะ ๑๑ เป็น อเจตสิกะ
- โยนิโสมนสิการ เป็น นิมิต แห่งอริยมรรค โยนิโสมนสิการสัมปทาสูตร
- สติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐานกถา
- มโนสัญเจตนา ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนเป็นไป เพราะ อวิชชา
- โคตรภูญาณ ด้วยอำนาจ สมถะ ๘ วิปัสสนา ๑๐
- กุศลเหตุ ๓ อกุศลเหตุ ๓ อัพยากตเหตุ ๓ เหตุโคจฉกะ
- กฏ แห่ง กรรม
- จูฬสงคราม ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้เข้าสงคราม และประโยชน์ของพระวินัย
- อนุปาทาปรินิพพานสูตร ข้อปฏิบัติเพื่ออนุปาทาปรินิพพาน
- เหตุเกิดวิบาก วิปากติกะ ปฏิจจวาร
- คำถามที่พระพุทธองค์ไม่ทรงพยากรณ์ และ อนุปาทาปรินิพพาน
- วิมุตติ ความหลุดพ้น
- ดับ อวิชชา ด้วย สมาธิ ที่ ปฏิสังยุต ด้วย อานาปานสติ
- วิปัสสนาญาน และ นิพพาน
- มโนมยิทธิ กับวิชาธรรมกาย
- ชวนปัญญา ในมหาปัญญา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- การบัญญัติ อนุปาทาปรินิพพาน ในปัจจุบัน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- อินทรีย์เพื่อความ ตรัสรู้ ตามพระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ความเป็นผู้ชำนาญในอินทรีย์ ๓ โดยอาการ ๖๔ เป็น อาสวักขยญาณอย่างไร ?
- อภิภายตนะ ( ๑๗๘ ) ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน ?
- กรรมมีแล้ว วิบากกรรมมีอยู่ การใส่ร้ายพระกรรมฐาน ของพวกมาร
- ความวิบัติ ที่เกิดจากวิบากอกุศลกรรม ใส่ร้ายพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ว่าทำคุณไสย์
- พระอริยะสงฆ์ อยู่กับ ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ และปัญญาขันธ์ พระชั่ว อยู่กับเมีย
- มโนสัญเจตนา อกุศลสังขาร ที่ไม่กำเริบ เพราะดับสนิทเด็ดขาด
- อวิชชาอาสวะ การยึดมั่น ถือมั่นอย่างแรงกล้าว่า ขันธ์ห้า เป็นของๆตน
- การสำนักได้ด้วยปัญญาว่าขันธ์ทั้งหลายเป็นเพียงที่ อาศัยระลึก อนาสวสัมมาทิฐิ
- ชวนจิต ชวนปัญญา อะนัญญัสสามีตินทรีย์ การเลื่อนฌาน การเลื่อนญาณ
- การกำหนดรู้ กุศล อกุศล พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- การถือศีล แต่ไม่ทำสมาธิ และ ความไม่มั่นใจ ในธรรมะของพระพุทธองค์ เพราะมารห้ามเพ่ง
- อนุศาสนีย์พระศาสดา จงเพ่ง กำหนดรู้ นิกันติของมาร ไม่เพ่ง ไม่กำหนดรู้
- ทิฐิวิสุทธิ์ ของพระโสดาบัน
- การลบหลู่ไม่เคารพยำเกรง และ เนรคุณพระศาสดา พระศาสดาตรัส จงเพ่ง
- การมีอุปทานไปเองว่า สมาธิเป็นสิ่งไม่ดี ของสำนักเพื่อเมีย เพราะเมียร้อนเงิน
- การนับปัจจัยวิญญาณ ( มหาตัณหาสังขยสูตร ) ระวังมารห้ามเพ่ง มารห้ามรู้
- พระพุทธองค์ ตรัส จงเพ่ง แต่มารห้ามเพ่ง ดูเอาเองว่าใครเป็น มาร
- การไม่กำหนดรู้ เป็น อวิชชาสวะ อย่างไร ?
- โชคดีที่ไม่ได้เป็น โสดา เพราะโสดารับแจก จาก อรหันปลอมๆ เยอะแล้ว
- การทะนุถนอมเลี้ยงดู อนุสัยในจิตใจ ด้วยวิธีของมาร อย่าเพ่ง อย่ากำหนดรู้
- ท่านพุทธทาส กับ มหาตัณหาสังขยสูตร และภิกษุผู้กล่าวตู่พระศาสดา
- ถึงคุณ azazelzk เรื่องท่านพุทธทาส ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณ
- สติปํฏฐานสี่ พระมีเมียไม่ได้ แต่ มิจฉาสติของมาร พระมีเมียได้
- พระแท้ พระดี ไม่มีเมีย พระเลว พระชั่ว มีเมียได้
- อวิชชา ความไม่รู้ว่าความเกิดเป็นทุกข์ เพราะมารห้ามเพ่ง
- ความตระหนกเมื่อสังขารแปรเปลี่ยน และ ความตระหนักว่าสังขารย่อมแปรปรวน เป็น ญาณ
- ท่านพุทธทาส กับ ทิฐิกถา ผู้มีดวงตาเห็นธรรม
- ภวตัณหา ภวทิฐิ โลกนี้-โลกหน้า เป็น ทุกขสมุทัย
- เมื่อ อุปทานดับ ภพ ( โลกนี้-โลกหน้า ) จึงดับ เมื่อ วิญญาณดับ นามรูป ( กาย-ใจ ) จึงดับ
- ขอกราบอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย บันดาลให้พ่อของท่านจิต อาการปลอดภัยโดยไว
- นับถอยหลังวัฏฏสงสาร มหาตัณหาสังขยสูตร และ อัสสุตวตาสูตร
- ตัณหาทิฐิ สิทธิส่วนบุคคล ชอบพระมีเมีย ไม่ชอบพระมีเมีย เชื่อพระมีเมีย ไม่เชื่อพระมีเมีย
- พระธรรมวินัยทรงตรัสไว้แทนองค์พระศาสดา บัดนี้ไม่รักษา ภายหน้าจักไม่มี
- มิจฉาสติ เมื่อระลึกเสมอว่า " พระมีเมียได้ " "อย่าเพ่งเดี่ยวเห็นเมีย"
- ลัทธิมาร มิจฉาทิฐิ "พระมีเมียได้ " ทำลายธรรมวินัย
- หยุดทำร้ายพระพุทธศาสนา มิจฉาทิฐิ "พระมีเมียได้ "
- อาสวโคจฉกะ
- สังขารุเปกขาญาณ
- โลกุตตรกุศลจิต มรรคจิตดวงที่ ๑
- ยุคนัทธวรรค โลกุตรกถา
- ยุคนัทธวรรค วิราคกถา วิราคะเป็นมรรค
- มหาวรรค กรรมกถา
- ( ๓๐๖ ) ทิฏฐิ ๑๖
- สติ กับ มหาปัฏฐาน
- จงละรูปเสีย เพื่อความไม่เกิดต่อไป จงละตัณหาเสียเพื่อความไม่เกิดต่อไป
- ๙. นิพพิทาสูตร
- ขอ....สัตว์ที่เนื่องด้วย อัตตาสภาพทั้งปวง.
- ปริหานสูตร ... อภิภายตนะ ๖.
- ( ๑๐ ) อาสวักขยสูตร
- ธรรมเพื่อดับราคะ
- กราบอนุโมทนา กะทู้ที่งดงามที่สุด ในห้องศาสนา ของคุณอิ่ม
- ( อภิสังขาร ) สาสวาสัมมาทิฏฐิ และ ( วิสังขาร ) อนาสวาสัมมาทิฏฐิ
- ๕. อนุคคหสูตร
- ญาณ ๕ ( ญาณ ไม่ใช่ ฌาณ ) ของท่านเซ็น คือผลจิต
- ความรู้สึก (วิญญาณ) เป็นรูปเป็นร่าง(นามรูป) เป็นตัวเป็นตน(อัตตา)
- อภิภายตนะ วิโมกข์ วิมุตติยายตนะ
- ๑๐. เจตนาสูตรที่ ๓
- ....... โสดา.........
- ความเชื่อ ( ทิฏฐิ ) ชักจูงความคิด ( สังขาร ปรุงแต่ง )
- อาสวะที่ละได้ เพราะการสังวร
- อาสวะที่พึงละได้ เพราะการเว้นรอบ
- ๑๓. สมาธิสังยุต ผู้ได้ฌาณที่เป็นเลิศ
- อาสวะที่ละได้เพราะการบรรเทา
- สุญญตาวรรค ๑. จูฬสุญญตสูตร ( ๑๒๑ )
- ว่าด้วยผลแห่งสัญญาในพระพุทธเจ้า
- จิตประภัสสร แต่เศร้าหมองแล้วด้วยอุปกิเลสที่จรมา
- เอกกมาติกา
- อวิชชาสูตร
- อิทธิบาท 4 และ องค์ฌาณ (ความเห็นส่วนตัว)
- อัสสาทสูตร
- อริยะสาวกนั้น ย่อมมนสิการโดยแยบคาย
- การกำหนด จิตสัมผัสรูปปรมัตถุ์
- เทวดาสังยุต นิโมกขสูตรที่๒
- โลกุตตระธรรม สัมมัปธาน4 คือสัมมาวายามะ
- ธรรมมะง่ายๆ
- วิปัสสนาญาณ
- ฉวิโสธนสูตร
- บทสวดมนต์ที่ควรสวดเมื่อมีโอกาส
- เศษสังขาร เศษกรรม
- ท่านพุทธทาส
- วิญญาณ
- ขอแสดงกตัญญุตา
- สติ
|
|
|
|
|
มโนสัญเจตนา ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนเป็นไป เพราะ อวิชชา
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
มโนสัญเจตนา ๓- เป็นเหตุ อีกอย่างหนึ่ง เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย บุคคลย่อม ปรุงแต่งกายสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง หรือบุคคลอื่นย่อมปรุงแต่งกายสังขารของบุคคลนั้น อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภาย ในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น หรือบุคคลรู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร อันเป็น ปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง หรือบุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง บุคคลย่อมปรุงแต่งวจีสังขารอันเป็น ปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง หรือบุคคลอื่นย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร ของบุคคลนั้น อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นบ้าง หรือบุคคล รู้สึกตัวย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง หรือ บุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง บุคคลย่อมปรุงแต่งมโนสังขารอันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง หรือบุคคลอื่นย่อมปรุงแต่งมโนสังขารของบุคคลนั้น อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภาย ในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นบ้าง หรือบุคคลรู้สึกตัวย่อมปรุงแต่งมโนสังขารอันเป็นปัจจัย ให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง หรือบุคคลไม่รู้สึกตัวย่อมปรุงแต่งมโนสังขารอันเป็น ปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย อวิชชาติดตามไปแล้วใน ธรรมเหล่านี้ แต่เพราะอวิชชานั่นแลดับโดยสำรอกไม่เหลือ กายอันเป็นปัจจัย ให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น ย่อมไม่มี วาจา ... ใจ ... เขต ... วัตถุ ... อายตนะ ... อธิกรณะอันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น ย่อมไม่มี ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความได้อัตภาพ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนเป็นไป ไม่ใช่สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไป @๑. ความจงใจทางกาย ๒. ความจงใจทางวาจา ๓. ความจงใจทางใจ ก็มี ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไป ไม่ใช่สัญเจตนาของตนเป็นไป ก็มี ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนด้วย สัญเจตนาของผู้อื่นด้วยเป็นไปก็มี ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนก็มิใช่สัญเจตนาของผู้อื่นก็มิใช่เป็นไปก็มี ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ความได้อัตภาพ ๔ ประการนี้แล ฯ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสโดยย่อนี้ ข้าพระองค์ทราบชัด เนื้อความโดยพิสดารอย่างนี้ว่า บรรดาความได้อัตภาพ ๔ ประการนั้น ความได้ อัตภาพที่สัญเจตนาของตนเป็นไป มิใช่สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไปนี้ คือ การจุติ จากกายนั้นของสัตว์เหล่านั้น ย่อมมีเพราะสัญเจตนาของตนเป็นเหตุ ความได้ อัตภาพที่สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไป มิใช่สัญเจตนาของตนเป็นไปนี้ คือ การจุติ จากกายนั้นของสัตว์เหล่านั้น ย่อมมีเพราะสัญเจตนาของผู้อื่นเป็นเหตุ ความได้ อัตภาพที่สัญเจตนาของตนด้วย สัญเจตนาของผู้อื่นด้วยเป็นไปนี้ คือ การจุติจาก กายนั้นของสัตว์เหล่านั้น ย่อมมีเพราะสัญเจตนาของตนและสัญเจตนาผู้อื่นเป็นเหตุ ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนเป็นไปก็มิใช่ สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไปก็มิใช่นี้ จะพึงเห็นเทวดาทั้งหลายด้วยอัตภาพนั้นเป็นไฉน พระเจ้าข้า ฯ พ. ดูกรสารีบุตร พึงเห็นเทวดาทั้งหลายผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ ด้วยอัตภาพนั้น ฯ สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้ สัตว์บางจำพวกในโลกนี้ จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอาคามีกลับมาสู่ความเป็นอย่าง นี้ อนึ่ง อะไรเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้ จุติจากกายนั้น แล้วเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ พระเจ้าข้า ฯ พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ไม่ได้ แต่เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะในปัจจุบัน บุคคลนั้นชอบใจ ยินดี และถึงความปลื้มใจด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ยับยั้งอยู่ในเนวสัญญา- *นาสัญญายตนะนั้น น้อมใจไป อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม เมื่อทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานา- *สัญญายตนภพ เขาจุติจากชั้นนั้นแล้วย่อมเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่าง นี้ ดูกรสารีบุตร อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้แล้ว เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ ในปัจจุบัน บุคคลนั้นชอบใจ ยินดี และถึง ความปลื้มใจ ด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ยับยั้งในเนวสัญญานา- *สัญญายตนะนั้น น้อมใจไป อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม เมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญา- *นาสัญญายตนภพ เขาจุติจากชั้นนั้นแล้ว ย่อมเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความ เป็นอย่างนี้ ดูกรสารีบุตร นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลก นี้ จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ อนึ่ง นี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้ จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ [๑๗๒] ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกร อาวุโสภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตร ได้กล่าวว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย เราอุปสมบทแล้วได้กึ่งเดือน ก็ได้กระทำให้แจ้ง อรรถปฏิสัมภิทาโดยเป็นส่วน โดยจำแนก เราย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายซึ่งอรรถปฏิสัมภิทานั้นโดยอเนกปริยาย ก็ผู้ใดแล พึงมีความสงสัยหรือความเคลือบแคลง ผู้นั้นพึงถามเรา เราพึงพยากรณ์ พระศาสดาของเราทั้งหลาย ทรงฉลาดด้วยดีในธรรมทั้งหลาย ประทับอยู่เฉพาะ หน้าของเราทั้งหลาย เราอุปสมบทแล้วได้กึ่งเดือน กระทำให้แจ้งธรรมปฏิสัมภิทา ... นิรุตติปฏิสัมภิทา ... ปฏิภาณปฏิสัมภิทา โดยเป็นส่วน โดยจำแนก เราย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายซึ่ง ปฏิภาณปฏิสัมภิทานั้นโดยอเนกปริยาย ก็ผู้ใดแลพึงมีความสงสัยหรือเคลือบแคลง ผู้นั้น พึงถามเรา เราพึงพยากรณ์ พระศาสดาของเราทั้งหลายทรงฉลาดด้วยดี ในธรรมทั้งหลาย ประทับอยู่เฉพาะหน้าของเราทั้งหลาย ฯ [๑๗๓] ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโกฏฐิตะเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึง ได้ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ อะไรๆ อื่นมีอยู่หรือ ท่าน พระสารีบุตรกล่าวว่า ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนี้ ฯ ม. ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ อะไรๆ อื่นไม่มีอยู่หรือ ฯ สา. ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น ฯ ม. ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ อะไรๆ อื่นมีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วยหรือ ฯ สา. ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น ฯ ม. ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ อะไรๆ อื่นมีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่หรือ ฯ สา. ดูกรอาวุโส อย่ากล่าวอย่างนั้น ฯ ม. ผมถามว่า ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอก ไม่เหลือ อะไรๆ อื่นมีอยู่หรือ ท่านก็กล่าวว่า ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่าง นั้น ผมถามว่า ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ อะไรๆ อื่นไม่มีอยู่หรือ ท่านก็กล่าวว่า ดูกรอาวุโส อย่ากล่าวอย่างนั้น ผม ถามว่า ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ อะไรๆ อื่นมีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วยหรือ ท่านก็กล่าวว่า ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น ผมถามว่า ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ อะไรๆ อื่นมีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่หรือ ท่านก็กล่าวว่า ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่าง นั้น ดูกรอาวุโส ก็เนื้อความแห่งคำตามที่ท่านกล่าวแล้วนี้ จะพึงเห็นได้อย่างไร ฯ สา. ดูกรอาวุโส เมื่อกล่าวว่า เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอก ไม่เหลือ อะไรๆ อื่นมีอยู่หรือ ... ไม่มีอยู่หรือ ... มีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วย หรือ ... มีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่หรือ ดังนี้ ชื่อว่าทำความไม่เนิ่นช้าให้เนิ่นช้า ผัสสายตนะ ๖ ยังดำเนินไปเพียงใด ปปัญจธรรมก็ยังดำเนินไปเพียงนั้น ปปัญจ ธรรมยังดำเนินไปเพียงใด ผัสสายตนะ ๖ ก็ยังดำเนินไปเพียงนั้น ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ ปปัญจธรรมก็ดับ สงบระงับ ฯ [๑๗๔] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปหาท่านพระมหาโกฏฐิตะถึงที่ อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระมหาโกฏฐิตะ ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกัน ไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระมหาโกฏฐิตะ ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ อะไรๆ อยู่หรือ ท่านพระมหาโกฏฐิตะกล่าวว่า ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น ฯ อา. ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ อะไรๆ อื่นไม่มีอยู่หรือ ฯ ม. ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น ฯ อา. ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ อะไรๆ อื่น มีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วยหรือ ฯ ม. ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น ฯ อา. ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ อะไรๆ อื่นมีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่หรือ ฯ ม. ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น ฯ อา. ผมถามว่า เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ อะไรๆ อื่นมีอยู่หรือ ท่านกล่าวว่า ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น ผมถามว่า ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ อะไรๆ อื่น หรือ ท่านก็กล่าวว่า ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น ผมถามว่า ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ อะไรๆ อื่นมีอยู่ด้วย อยู่ด้วยหรือ ท่านก็กล่าวว่า ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น ผมถามว่า อาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ อะไรๆ อื่นมีอยู่ก็ มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่หรือ ท่านก็กล่าวว่า ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น ดูกรอาวุโส ก็เนื้อความแห่งคำตามที่ท่านกล่าวแล้วนี้ จะพึงเห็นได้อย่างไร ฯ ม. อาวุโส เมื่อกล่าวว่า เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอก ไม่เหลือ อะไรๆ อื่นมีอยู่หรือ ... ไม่มีอยู่หรือ ... มีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วยหรือ ... มีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่หรือ ดังนี้ ชื่อว่าทำความไม่เนิ่นช้าให้เนิ่นช้า ผัสสายตนะ ๖ ยังดำเนินไปเพียงใด ปปัญจธรรมก็ดำเนินไปเพียงนั้น ปปัญจธรรม ยังดำเนินไปเพียงใด ผัสสายตนะ ๖ ก็ดำเนินไปเพียงนั้น ดูกรอาวุโส เพราะ ผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ ปปัญจธรรมก็ดับสนิท สงบระงับ ฯ [๑๗๕] ครั้งนั้นแล ท่านพระอุปวานเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูกรอาวุโส บุคคล กระทำที่สุดแห่งทุกข์ด้วยวิชชาหรือหนอ ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ดูกรอาวุโส ไม่ใช่อย่างนั้น ฯ อุ. ดูกรอาวุโส บุคคลกระทำที่สุดแห่งทุกข์ด้วยจรณะหรือ ฯ สา. ดูกรอาวุโส ไม่ใช่อย่างนั้น ฯ อุ. ดูกรอาวุโส บุคคลกระทำที่สุดแห่งทุกข์ด้วยวิชชาและจรณะหรือ ฯ สา. ดูกรอาวุโส ไม่ใช่อย่างนั้น ฯ อุ. ดูกรอาวุโส บุคคลกระทำที่สุดแห่งทุกข์อื่นจากวิชชาและจรณะหรือ ฯ สา. ดูกรอาวุโส ไม่ใช่อย่างนั้น ฯ อุ. ผมถามว่า ดูกรอาวุโส บุคคลกระทำที่สุดแห่งทุกข์ ด้วยวิชชาหรือ ท่านกล่าวว่า ดูกรอาวุโส ไม่ใช่อย่างนั้น ผมถามว่า ดูกรอาวุโส บุคคลกระทำ ที่สุดแห่งทุกข์ด้วยจรณะหรือ ... ด้วยวิชชาและจรณะหรือ ... อื่นจากวิชชาและ จรณะหรือ ท่านก็กล่าวว่า ดูกรอาวุโส ไม่ใช่อย่างนั้น ดูกรอาวุโส ก็บุคคล กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้อย่างไรเล่า ฯ สา. ดูกรอาวุโส ถ้าบุคคลจักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ด้วยวิชชาแล้วไซร้ ก็จักเป็นผู้มีอุปาทานเทียวกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ถ้าบุคคลจักกระทำที่สุดได้ด้วย จรณะแล้วไซร้ ก็จักเป็นผู้มีอุปาทานเทียวกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ถ้าบุคคลจัก กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ด้วยวิชชาและจรณะไซร้ ก็จักเป็นผู้มีอุปาทานเทียวกระทำ ที่สุดแห่งทุกข์ได้ ถ้าบุคคลจักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้นอกจากวิชชาและจรณะไซร้ ปุถุชนก็จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เพราะปุถุชนเว้นจากวิชชาและจรณะ ดูกร อาวุโส บุคคลผู้มีจรณะวิบัติย่อมไม่รู้ไม่เห็นตามความเป็นจริง บุคคลผู้มีจรณะ สมบูรณ์จึงรู้จึงเห็นตามความเป็นจริง ย่อมกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ฯ [๑๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีศรัทธาเมื่อปรารถนาโดยชอบ พึง ปรารถนาอย่างนี้ว่า ขอเราจงเป็นเช่นพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะเถิด ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรและโมคคัลลานะนี้เป็นตราชู เป็นประมาณแห่งภิกษุ ทั้งหลายผู้สาวกของเรา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีผู้มีศรัทธา เมื่อปรารถนาโดยชอบ พึงปรารถนาอย่างนี้ว่า ขอเราจงเป็นเช่นพระเขมาภิกษุณี และพระอุบลวรรณาภิกษุณี เถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เขมาภิกษุณีและอุบลวรรณาภิกษุณีนี้เป็นตราชู เป็น ประมาณแห่งภิกษุณีทั้งหลายผู้สาวิกาของเรา ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบาสกผู้มีศรัทธา เมื่อปรารถนาโดยชอบ พึงปรารถนาอย่างนี้ว่า ขอเราจงเป็นเช่นจิตตคฤหบดีและ หัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวีเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตตคฤหบดีและหัตถกอุบาสก ชาวเมืองอาฬวีนี้เป็นตราชู เป็นประมาณแห่งอุบาสกทั้งหลายผู้เป็นสาวกของเรา ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบาสิกาผู้มีศรัทธาเมื่อปรารถนาโดยชอบ พึงปรารถนาอย่างนี้ว่า ขอเราจงเป็นเช่นนางขุชชุตราอุบาสิกา และนางเวฬุกัณฏกีนันทมารดาเถิด ดูกร ภิกษุทั้งหลาย นางขุชชุตราอุบาสิกา และนางเวฬุกัณฏกีนันทมารดานี้เป็นตราชู เป็นประมาณของอุบาสิกาทั้งหลายผู้สาวิกาของเรา ฯ [๑๗๗] ครั้งนั้นแล ท่านพระราหุลเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มี พระภาคได้ตรัสกะท่านพระราหุลว่า ดูกรราหุล ปฐวีธาตุที่เป็นภายในก็ดี เป็น ภายนอกก็ดี ปฐวีธาตุนั้นก็เป็นแต่สักว่าปฐวีธาตุเท่านั้น พึงเห็นปฐวีธาตุนั้นด้วย ปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ ตัวตนของเรา เพราะเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนั้น จิตย่อม เบื่อหน่ายในปฐวีธาตุ ย่อมคลายกำหนัดในปฐวีธาตุ ดูกรราหุล อาโปธาตุที่ เป็นภายในก็ดี เป็นภายนอกก็ดี อาโปธาตุนั้นก็เป็นแต่สักว่าอาโปธาตุเท่านั้น พึง เห็นอาโปธาตุนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของตน เพราะเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความ เป็นจริงอย่างนั้น จิตย่อมเบื่อหน่ายในอาโปธาตุ ย่อมคลายกำหนัดในอาโปธาตุ ดูกรราหุล เตโชธาตุที่เป็นภายในก็ดี เป็นภายนอกก็ดี เตโชธาตุนั้นก็เป็นแต่ สักว่าเตโชธาตุเท่านั้น พึงเห็นเตโชธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เพราะเห็น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนั้น จิตย่อมเบื่อหน่ายในเตโชธาตุ ย่อม คลายกำหนัดในเตโชธาตุ ดูกรราหุล วาโยธาตุที่เป็นภายในก็ดี เป็นภายนอกก็ดี วาโยธาตุนั้นก็เป็นแต่สักว่าวาโยธาตุเท่านั้น พึงเห็นวาโยธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน ของเรา เพราะเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนั้น จิตย่อมเบื่อหน่าย ในวาโยธาตุ ย่อมคลายกำหนัดในวาโยธาตุ ดูกรราหุล เพราะเหตุที่ภิกษุพิจารณา เห็นว่ามิใช่ตัวตน ไม่เนื่องในตน ในธาตุ ๔ นี้ ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ตัดตัณหาได้ แล้ว รื้อถอนสังโยชน์เสียได้ กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้แล้วเพราะละมานะได้ โดยชอบ ฯ [๑๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุเจโตวิมุติอันสงบ อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ภิกษุนั้นมนสิการสักกายนิโรธ (ความดับสักกายะ คือ วัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓) เมื่อเธอมนสิการสักกายนิโรธอยู่ จิตของเธอย่อมไม่ แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในสักกายนิโรธ เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุนั้นแลไม่พึงหวังได้สักกายนิโรธ บุรุษมีมือเปื้อนยางเหนียวจับกิ่งไม้ มือของ เขานั้นพึงจับติดกิ่งไม้อยู่ แม้ฉันใด ภิกษุบรรลุเจโตวิมุติอันสงบอย่างใดอย่างหนึ่ง อยู่ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล เธอย่อมมนสิการสักกายนิโรธ เมื่อเธอมนสิการ สักกายนิโรธอยู่ จิตย่อมไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปใน สักกายนิโรธ เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุนั้นแลไม่พึงหวังได้สักกายนิโรธ อนึ่ง ภิกษุ ในธรรมวินัยนี้ บรรลุเจโตวิมุติอันสงบอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ภิกษุนั้นย่อม มนสิการสักกายนิโรธ เมื่อเธอมนสิการสักกายนิโรธอยู่ จิตย่อมแล่นไป ย่อม เลื่อมใส ย่อมตั้งอยู่ ย่อมน้อมไปในสักกายนิโรธ เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุนั้นแล พึงหวังได้สักกายนิโรธ บุรุษมีมือหมดจดจับกิ่งไม้ มือของเขานั้นไม่พึงจับติดอยู่ ที่กิ่งไม้ แม้ฉันใด ภิกษุบรรลุเจโตวิมุติอันสงบอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ก็ฉันนั้น เหมือนกันแล เธอย่อมมนสิการสักกายนิโรธ เมื่อเธอมนสิการสักกายนิโรธ จิตย่อมแล่นไป ย่อมเลื่อมใส ย่อมตั้งอยู่ ย่อมน้อมไปในสักกายนิโรธ เมื่อเป็น เช่นนี้ ภิกษุนั้นแลพึงหวังได้สักกายนิโรธ อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุเจโต- *วิมุติอันสงบอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ภิกษุนั้นย่อมมนสิการ การทำลายอวิชชา เมื่อ เธอมนสิการ การทำลายอวิชชาอยู่ จิตย่อมไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในการทำลายอวิชชา เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุนั้นแลไม่พึงหวังได้การ ทำลายอวิชชา บ่อน้ำใหญ่นับได้หลายปี คนพึงปิดทางไหลเข้าของบ่อน้ำนั้นเสีย และเปิดทางไหลออกไว้ ทั้งฝนก็ไม่ตกเพิ่มเติมตามฤดูกาล เมื่อเป็นอย่างนี้ บ่อน้ำใหญ่นั้นก็ไม่พึงหวังที่จะมีน้ำล้นขอบออกไปได้ แม้ฉันใด ภิกษุบรรลุเจโต- *วิมุติอันสงบอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เธอย่อมมนสิการ การ ทำลายอวิชชา เมื่อเธอมนสิการ การทำลายอวิชชาอยู่ จิตย่อมไม่แล่นไป ไม่ เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในการทำลายอวิชชา เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุนั้นแล ไม่พึงหวังได้การทำลายอวิชชา อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุเจโตวิมุติอัน สงบอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ภิกษุนั้นมนสิการ การทำลายอวิชชา เมื่อเธอมนสิการ การทำลายอวิชชาอยู่ จิตย่อมแล่นไป ย่อมเลื่อมใส ย่อมตั้งอยู่ ย่อมน้อมไปใน การทำลายอวิชชา เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุนั้นพึงหวังได้การทำลายอวิชชา บ่อน้ำ- *ใหญ่นับได้หลายปี คนพึงเปิดทางไหลเข้าของบ่อน้ำนั้นไว้ และปิดทางไหลออก เสีย ทั้งฝนก็ตกเพิ่มเติมตามฤดูกาล เมื่อเป็นอย่างนี้ บ่อน้ำใหญ่นั้นก็พึงหวังที่จะ มีน้ำล้นขอบออกไปได้ แม้ฉันใด ภิกษุบรรลุเจโตวิมุติอันสงบอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุนั้นย่อมมนสิการ การทำลายอวิชชา เมื่อเธอมนสิการ การทำลายอวิชชาอยู่ จิตย่อมแล่นไป ย่อมเลื่อมใส ย่อมตั้งอยู่ ย่อมน้อมไป ในการทำลายอวิชชา เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุนั้นแลพึงหวังได้การทำลายอวิชชา ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ [๑๗๙] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูกรอาวุโส- *สารีบุตร อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ไม่ ปรินิพพานในปัจจุบัน ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ดูกรอาวุโสอานนท์ สัตว์ ทั้งหลายในโลกนี้ ไม่ทราบชัดตามความเป็นจริงว่า นี้หานิภาคิยสัญญา (สัญญา ฝ่ายเสื่อม) นี้ฐิติภาคิยสัญญา (สัญญาฝ่ายดำรงอยู่) นี้วิเสสภาคิยสัญญา (สัญญาฝ่ายวิเศษ) นี้นิพเพธภาคิยสัญญา (สัญญาฝ่ายชำแรกกิเลส) ดูกรอาวุโส อานนท์ นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ไม่ปรินิพพาน ในปัจจุบัน ฯ อา. ดูกรอาวุโสสารีบุตร ก็อะไรเล่าเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์ บางพวกในโลกนี้ ปรินิพพานในปัจจุบัน ฯ สา. ดูกรอาวุโสอานนท์ สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมทราบชัดตามความ เป็นจริงว่า นี้หานิภาคิยสัญญา นี้ฐิติภาคิยสัญญา นี้วิเสสภาคิยสัญญา นี้นิพเพธภาคิยสัญญา ดูกรอาวุโสอานนท์ นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์ บางพวกในโลกนี้ ปรินิพพานในปัจจุบัน ฯ [๑๘๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ อานันทเจดีย์ใกล้ โภคนคร ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เราจักแสดงมหาประเทศ ๔ นี้ เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เรา จักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มหาประเทศ ๔ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าว อย่างนี้ว่า ดูกรอาวุโส ข้อนี้ข้าพเจ้าได้สดับมา ได้รับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้ มีพระภาคว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายไม่พึงยินดี ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้วพึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วพึงเทียบเคียงในพระสูตร พึงสอบสวนในพระวินัย ถ้าเมื่อเทียบเคียงในพระสูตร สอบสวนในพระวินัย บทและพยัญชนะเหล่านั้น เทียบเคียงกันไม่ได้ในพระสูตร สอบสวนกันไม่ได้ ในพระวินัย ในข้อนี้พึงลงสันนิษฐานได้ว่า นี้มิใช่คำของพระผู้มีพระภาคอรหันต- *สัมมาสัมพุทธเจ้าแน่แท้ ภิกษุนี้รับมาผิดแล้ว เธอทั้งหลายพึงทิ้งคำนี้เสียทีเดียว อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรอาวุโส ข้อนี้ข้าพเจ้าได้สดับมา ได้รับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำ- *สั่งสอนของพระศาสดา ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายไม่พึงยินดี ไม่พึง คัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้วพึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วเทียบเคียงในพระสูตร สอบสวนในพระวินัย ถ้าเมื่อเทียบเคียงในพระสูตร สอบสวนในพระวินัย บทและพยัญชนะเหล่านั้น เทียบเคียงกันได้ในพระสูตร สอบสวนกันได้ในพระวินัย ในข้อนี้พึงลงสันนิษฐานได้ว่า นี้เป็นคำของพระผู้ มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่แท้ และภิกษุนี้รับมาดีแล้ว ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย นี้เป็นมหาประเทศข้อที่ ๑ เธอทั้งหลายพึงทรงจำไว้ ฯ อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า สงฆ์อยู่ในอาวาสชื่อโน้น พร้อมทั้งพระเถระพร้อมทั้งท่านที่เป็นประธาน ข้าพเจ้าได้สดับมา ได้รับมาเฉพาะ หน้าสงฆ์นั้นว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายไม่พึงยินดี ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้วพึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วเทียบเคียงในพระสูตร สอบ สวนในพระวินัย ถ้าเมื่อเทียบเคียงในพระสูตร สอบสวนในพระวินัย บทและ พยัญชนะเหล่านั้น เทียบเคียงกันไม่ได้ในพระสูตร สอบสวนกันไม่ได้ในพระวินัย ในข้อนี้พึงลงสันนิษฐานได้ว่า นี้มิใช่คำของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัม- *พุทธเจ้าแน่แท้ และสงฆ์นั้นรับมาผิดแล้ว เธอทั้งหลายพึงทิ้งคำนี้เสียทีเดียว อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้พึงกล่าวอย่างนี้ว่า สงฆ์อยู่ในอาวาสชื่อโน้น พร้อมทั้งพระเถระ พร้อมทั้งท่านที่เป็นประธาน ข้าพเจ้าได้สดับมา ได้รับมาเฉพาะหน้าสงฆ์นั้นว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายไม่พึงยินดี ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้วพึงเรียนบท และพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วเทียบเคียงในพระสูตร สอบสวนในพระวินัย ถ้าเมื่อเทียบเคียงในพระสูตร สอบสวนในพระวินัย บทและพยัญชนะเหล่านั้น เทียบเคียงกันได้ในพระสูตร สอบสวนกันได้ในพระวินัย ข้อนี้พึงลงสันนิษฐาน ได้ว่า นี้เป็นคำของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมพุทธเจ้าแน่แท้ และสงฆ์นั้นรับมา ดีแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาประเทศข้อที่ ๒ เธอทั้งหลายพึงทรงจำไว้ ฯ อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุผู้เป็นพระเถระมาก ด้วยกันอยู่ในอาวาสชื่อโน้น เป็นพหูสูต ชำนาญในนิกาย ๑- ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับมา รับมาเฉพาะหน้าพระเถระเหล่านั้น ... ข้าพเจ้าได้ สดับมารับมาเฉพาะหน้าพระเถระเหล่านั้นว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำ สั่งสอนของพระศาสดา ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายไม่พึงยินดี ไม่พึงคัดค้าน คำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้ว พึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วพึง เทียบเคียงในพระสูตร สอบสวนในพระวินัย ถ้าเมื่อเทียบเคียงในพระสูตร สอบสวนในพระวินัย บทและพยัญชนะเหล่านั้นเทียบเคียงกันได้ในพระสูตร @๑. นิกาย ๕ คือ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย ขุททกนิกาย สอบสวนกันได้ในพระวินัย ในข้อนี้พึงลงสันนิษฐานได้ว่า นี้เป็นคำของพระผู้ มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นแน่แท้ และพระเถระเหล่านั้นรับ มาดีแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาประเทศข้อที่ ๓ เธอทั้งหลายพึงทรง จำไว้ ฯ อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุผู้เป็นเถระรูปหนึ่ง อยู่ในอาวาสชื่อโน้น เป็นพหูสูต ชำนาญในนิกาย ทรงธรรม ทรงวินัย ทรง มาติกา ข้าพเจ้าได้สดับมา ได้รับมาเฉพาะหน้าพระเถระรูปนั้น ... ข้าพเจ้าได้ สดับมา ได้รับมาเฉพาะหน้าพระเถระรูปนั้นว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็น คำสั่งสอนของพระศาสดา ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายไม่พึงยินดี ไม่พึง คัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้ว พึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วพึงเทียบเคียงในพระสูตร สอบสวนในพระวินัย ถ้าเมื่อเทียบเคียงใน พระสูตร สอบสวนในพระวินัย บทและพยัญชนะเหล่านั้นเทียบเคียงกันได้ใน พระสูตร สอบสวนกันได้ในพระวินัย ในข้อนี้พึงลงสันนิษฐานได้ว่า นี้เป็นคำ ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นแน่แท้ และพระเถระ รูปนั้นรับมาดีแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาประเทศข้อที่ ๔ เธอทั้งหลาย พึงทรงจำไว้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาประเทศ ๔ นี้แล ฯ จบสัญเจตนิยวรรคที่ ๓ -----------------------------------------------------
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ บรรทัดที่ ๔๓๐๔ - ๔๖๑๖. หน้าที่ ๑๘๕ - ๑๙๗. //www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=21&A=4304&Z=4616&pagebreak=0 ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น และท่านพระสารีบุตรพร้อมทั้งพระอรหันทั้งหลาย อนุโมทนาสาธุ
Create Date : 18 ธันวาคม 2554 |
|
2 comments |
Last Update : 18 ธันวาคม 2554 17:20:27 น. |
Counter : 822 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: maramba1 18 ธันวาคม 2554 17:36:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: พรหมญาณี 19 ธันวาคม 2554 12:58:37 น. |
|
|
|
|
|
|
|