น้ำตามากกว่ามหาสมุทร
.
    ฝนทุกข์


    สุขทุกข์เปรียบเมื่อฟ้า       มีฝน
    พรมพร่างพื้นดินจน          เจิ่งน้ำ
    ห่อนฝึกจิตคือชน             จรจัด
    ฝกตกเปียกโชกช้ำ          ชุ่มเนื้อ เหน็บใจ



    บัณฑิตสดับแล้ว             ฝึกตน
    ดุจก่อบ้านกั้นฝน             ภาคหน้า
    ก่อธรรมแก่กมล             รู้โลก ละวาง
    ฝนตก-ตกเถิดฟ้า            อุ่นใต้ ธรรมบัง


    ได้แนวคิดจากเถรคาถา
    ข้างล่างนี้


    "ฝนตกลงมา มีเสียงไพเราะดังเสียงเพลงขับ
    กุฎีของเรามุงดีแล้ว มีประตู หน้าต่างมิดชิดดี
    จิตของเราก็ตั้งมั่นดีแล้ว
    ถ้าท่านปรารถนาจะตก ก็เชิญ ตกลงมาเถิดฝน."





    วัฏฏสงสาร : น้ำตามากกว่ามหาสมุทร

    หยดหยาดน้ำตาคราหนึ่ง เจ็บเศร้าโศกซึ้ง
    จะได้กี่หนึ่งช้อนชา

    อนันต์แห่งกาลเวลา เกิดดับกี่ครา
    น้ำตานับหลั่งเท่าใด

    กี่หนดังถูกฉีกใจ กี่คราวร่ำไห้
    กลับหายไปจากความจำ

    เจ็บแล้วเจ็บเล่ากี่ย้ำ ก็เรื่องซ้ำๆ
    วัฏฏะมืดดำบังตา

    สมุทรเหลือล้ำพรรณา บ่เทียบน้ำตา
    ที่เราหลั่งมานานอนันต์....


    ได้ความคิดจาก ๓. อัสสุสูตร ข้างล่างนี้


    "... ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ

    พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน

    น้ำตาที่หลั่งไหลของพวกเธอผู้ท่องเที่ยวไปมา คร่ำครวญร้องไห้อยู่
    เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ โดยกาลนานนี้

    กับน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔  สิ่งไหนจะมากกว่ากัน ฯ..."






    สรรเสริญนินทาประสาโลก


    ไม่หวังสรรเสริญจากคนเกลื่อนกลาด

       เพียงหวังจากปราชญ์บัณฑิต

       นินทาจากใคร ไม่ใส่ใจคิด

       ถูก-ผิด ฟังผู้ตื่นรู้โดยธรรม



    ข้างล่างนี้มาจาก ๒. โคทัตตเถรคาถา

    การสรรเสริญจากคนพาลกับการติเตียนจากนักปราชญ์
    การติเตียนจากนักปราชญ์ประเสริฐกว่า การสรรเสริญจากคนพาลจะประเสริฐอะไร




    ดีเบท อย่าให้ดีบาด


    ถ้าดีเบทขบธรรมเพื่อวิจัย
    จุดหมายใหญ่เพื่อรู้ตรง-คงคำสอน
    ต่างแสดงต่างแย้งถามตามบทตอน
    ชูธรรมก่อนวางศักดิ์ศรีที่ค้ำคอ

    ถ้าต่างฝ่ายร่วมยึดถือคือเพื่อรู้
    ไม่ยึดตูกางกั้นทำหัวหมอ
    ฝ่ายจะแพ้-แพ้ไม่ได้ ใจรีรอ
    ฝ่ายเป็นต่อก็ไม่รานพาลได้ที

    ถ้าดีเบทตีคนแทนขบธรรม
    อัตตานำธรรมก็ด้อยคนถอยหนี
    มีน้อยคนอยากจะสนคนราวี
    ความรู้มี-ตีกันบัง คนไม่มอง

    ถ้าดีเบทร่วมกันหาความรู้
    ไม่แยกฝ่ายเอ็งตูออกเป็นสอง
    ไม่สนเรื่องใครชนะใครประลอง
    แค่อยากมองธรรมให้ตรงช่วยค้นกัน

    ถ้าดีเบทอย่างนี้ดีนักหนา
    เพียงแต่ว่าหลากคนหลายสีสัน
    ขาวกะขาวดียิ่งทุกสิ่งอัน
    ขาวกะดำดำกะดำต้องกลั่นกรอง




    ข้างล่างนี้มาจาก มิลินทปัญหา

    ...พระนาคเสนตอบว่า

    " ถ้ามหาบพิตรจะสนทนาตามเยี่ยงอย่างบัณฑิต
    อาตมภาพก็จะสนทนากับมหาบพิตรได้
    ถ้ามหาบพิตรจะสนทนาตามเยี่ยงอย่างของพระราชา
    อาตมาก็จะสนทนาด้วยไม่ได้ "

    " บัณฑิตทั้งหลายสนทนากันอย่างไร ? "

    " อ๋อ…ธรรมดาว่าบัณฑิตที่สนทนากันย่อมเจรจาข่มขี่กันได้
    แก้ตัวได้ รับได้ ปฏิเสธได้ ผูกได้ แก้ได้ บัณฑิตทั้งหลายไม่โกรธ
    บัณฑิตทั้งหลายสนทนากันอย่างนี้แหละมหาบพิตร "

    " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระราชาทั้งหลายสนทนากันอย่างไร ? "

    " ขอถวายพระพร พระราชาทั้งหลายทรงรับสั่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไปแล้ว
    ผู้ใดไม่ทำตาม ก็ทรงรับสั่งให้ลงโทษผู้นั้นทันที
    พระราชาทั้งหลายสนทนากันอย่างนี้แหละ มหาบพิตร "




    ชาวบ้านวิจารณ์ว่า...




    ครั้งหนึ่งมีลา           มีตากับหลาน
    เดินทางกลับบ้าน     ผ่านคนมากมาย


    หลานจูงตาขี่           มีคนว่าร้าย
    ตัวโตเป็นควาย        ยังเอาเปรียบเด็ก


    ตาลงหลานขี่           คราวนี้ปลอดภัย
    ไม่ต้องกลัวใจ          มีใครนินทา
    อีกพักได้เรื่อง          มีคนเคืองว่า
    ตาแ่ก่ชรา               เด็กปล่อยตาเดิน


    หลานชวนตาขี่         คราวนี้เพลิดเพลิน
    ไม่ต้องทนเดิน         ไม่ต้องเหนื่อยกาย
    คราวนี้คนร้อง           เจ้าของใจร้าย
    คิดแต่สบาย             ไม่เห็นใจลา


    เลยเดินกลับบ้าน        ทั้งหลานทั้งตา
    ได้แต่จูงลา               พากันเดินไป
    มีคนมาเห็น               ถามเป็นอะไร
    ลามีไม่ใช้                 ทำไมโง่จริงฯ





    เฒ่าขี่    "ดูเฒ่าแกล้ง      เด็กเหนื่อย"
    เด็กขี่    "เมินเฒ่าเมื่อย    เด็กบ้า"
    เฒ่าเด็ก ร่วมขี่เรื่อย         "ดูนั่น ลาหนัก"
    ไม่ขี่ ยอมเดินล้่า             "โง่แท้  คนเรา"








หมายเหตุ.

- กลอนทั้งหมดนี้ แต่งไว้นานแล้ว ต่างที่ต่างวาระกัน

- ส่วนใหญ่ในนี้ได้แนวคิดจากที่เอามาลงประกอบข้างล่าง แต่บางกลอนก็ไปหามาให้เข้าคู่กันเฉยๆ : )

- ตอนวัยรุ่นมีช่วงชอบแต่งกลอนรักๆ เพ้อๆ เจ้อๆ 555  พอพ้นวัยอารมณ์อย่างนั้นหายไป ก็แต่งไม่ออก
แม้แต่กลอนธรรมะ แต่งแล้วอ่านเองก็รู้สึกจืดๆ เรียบๆ เป็นอันมาก



Create Date : 15 ตุลาคม 2555
Last Update : 15 ตุลาคม 2555 19:56:52 น.
Counter : 4848 Pageviews.

0 comments

ปล่อย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



Group Blog
ตุลาคม 2555

 
2
3
4
5
6
7
8
10
11
12
13
14
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog