พระอรหันต์ กับ พระวินัย .
หมายเหตุ ก้อปและตัดแต่งมาจากกระทู้ ผู้ที่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ แต่มาแอบอ้างว่าตนเองเป็นนี่บาปไหมครับ แต่หาลิงค์ของกระทู้ดังกล่าวไม่เจอแล้ว หมายเหตุ2 เนื่องจากมีบางคนเชื่อว่า
พระอรหันต์ท่านจะละเมิดพระวินัยอย่างไรก็ได้ ไม่เป็นความผิด แล้วความเชื่ออันนี้ก็ส่งผลต่อการวินิฉัย เวลาเห็นภิกษุ(ที่ตนเชื่อว่าเป็นพระอรหันต์)กระทำผิดพระวินัยด้วย ความจริง(ตามตำรา)นั้นแสดงว่า พระอรหันต์ยังต้องอาบัติจากความผิดทางพระวินัยได้ แต่พระอรหันต์จะไม่จงใจล่วงละเมิดพระวินัยเด็ดขาด ด้วยความเคารพเชื่อฟังในพระศาสดาอย่างไม่คัดค้านสงสัย ดังนั้น พระวินัยที่พระอรหันต์จะมีโอกาสละเมิดได้ (และโดยไม่ใช่จงใจละเิมิด) จึงมีแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องสำคัญ เป็นต้น มิลินทปัญหา
ฉบับแปลในมหามกุฏราชวิทยาลัย เมณฑกปัญหา วรรคที่เจ็ด 7 สติสัมโมสปัญหา พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ความหลงลืมสติของพระอรหันต์มีหรือ" พระเถรเจ้าทูลว่า "ขอถวายพระพร พระอรหันต์ทั้งหลายปราศจากความหลงลืมสติแล ความหลงลืมสติของพระอรหันต์ทั้งหลายย่อมไม่มี" ร "พระผู้เป็นเจ้า ก็พระอรหันต์ต้องอาบัติหรือไม่" ถ "ขอถวายพระพร ต้องซิ" ร "ต้องเพราะวัตถุอะไร" ถ "ขอถวายพระพร ต้องเพราะทำกุฎี, ต้องเพราะสัญจริต, ต้องเพราะความสำคัญในวิกาลว่าเป็นกาล, ต้องเพราะความสำคัญในภิกษุผู้ห้ามข้าวแล้วว่าเป็นผู้ยังไม่ได้ห้ามข้าวแล้ว, ต้องเพราะสำคัญในภัตรเป็นอนติริตตะว่าเป็นอติริตตะ" ร "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวอยู่ว่า 'ภิกษุทั้งหลายเหล่าใด ย่อมต้องอาบัติ ภิกษุทั้งหลายนั้น ย่อมต้องด้วยอาการทั้งหลายสอง คือ ต้องด้วยความไม่เอื้อเฟื้อบ้าง คือ ต้องด้วยความไม่รู้บ้าง' อนาทริยะ ความไม่เอื้อเฟื้อมีแก่พระอรหันต์บ้างหรือ พระผู้เป็นเจ้า พระอรหันต์ต้องอาบัติเพราะความไม่เอื้อเฟื้อไรเล่า" ถ "ขอถวายพระพร หามีไม่" ร "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ถ้าพระอรหันต์ต้องอาบัติ, แต่ อนาทริยะของพระอรหันต์ไม่มี, ถ้าอย่างนั้น ความหลงลืมสติของพระอรหันต์ย่อมมี ละซิ" ถ "ขอถวายพระพร ความหลงลืมสติของพระอรหันต์ ย่อมไม่มี, ก็แต่ว่าพระอรหันต์ย่อมต้องอาบัติ" ร "พระผู้เป็นเจ้า ถ้าอย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้าจงยังข้าพเจ้าให้ทราบด้วยเหตุ อะไรเป็นเหตุในความต้องนั้น" ถ "ขอถวายพระพร กิเลสทั้งหลายสองประการเหล่านี้ คือ:โลกวัชชะหนึ่ง ปัณณัตติวัชชะหนึ่ง โลกวัชชะเป็นไฉน: กรรมบถทั้งหลายที่เป็นอกุศลสิบประการ ประชุมแห่งกรรมบถเป็นอกุศลนี้ บัณฑิตย่อมกล่าวว่าโลกวัชชะ ปัณณัตติวัชชะเป็นไฉน: กรรมอันใดไม่เหมาะ ไม่ควรแก่สมณะทั้งหลาย แต่เป็นอนวัชชะไม่มีโทษของคฤหัสถ์ทั้งหลายมีอยู่ในโลก, พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทั้งหลาย ให้เป็นเขตแดนอันสาวกทั้งหลายพึงล่วงไม่ได้ ตราบเท่าสิ้นชีพเพราะกรรมนั้น ขอถวายพระพร วิกาลโภชน์เป็นอนวัชชะไม่มีโทษของโลก, วิกาลโภชน์นั้นเป็นสาวัชชะมีโทษในพระชินศาสนา; ความกระทำภูตคามให้กำเริบเป็นอนวัชชะของโลก, ความกระทำภูตคามให้กำเริบนั้นเป็นสาวัชชะในพระชินศาสนา, การรื่นเริงเล่นน้ำเป็นอนวัชชะของโลก, การรื่นเริงเล่นน้ำนั้นเป็นสาวัชชะในชินศาสนา; กรรมทั้งหลายเห็นปานฉะนี้ เป็นสาวัชชะในพระชินศาสนา; วัชชะนี้อันบัณฑิตย่อมกล่าวว่าเป็นปัณณัตติวัชชะ กิเลสใดเป็นโลกวัชชะ พระขีณาสพไม่พอเพื่อจะประพฤติล่วงกิเลสนั้น, กิเลสใดที่เป็ฯปัณณัตติวัชชะ พระขีณาสพต้องกิเลสนั้นเพราะเไม่รู้ ขอถวายพระพร การที่จะรู้กิเลสทั้งปวงมิใช่วิสัยของพระอรหันต์บางองค์, กำลังที่จะรู้กิเลสทั้งปวงย่อมไม่มีแก่พระอรหันต์โดยแท้ แม้ชื่อแม้โคตรแห่งสตรีบุรุษทั้งหลายอันพระอรหันต์ไม่รู้แล้ว, แม้ทางเดินในแผ่นดินอันพระอรหันต์นั้นยังไม่รู้สิ้นแล้ว; พระอรหันต์บางองค์พึงรู้ได้แต่วิมุตติอย่างเดียว, พระอรหันต์ที่ได้อภิญญาหกประการ พึงรู้ได้เฉพาะวิสัยของตน พระตถาคตผู้สัพพัญญูเท่านั้น ย่อมรู้กิเลสทั้งปวง" ร "ดีละ พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ข้อวิสัชนาปัญหานั้น สมอย่างนั้น, ข้าพเจ้ายอมรับรองอย่างนั้น" //www.baanjomyut.com/pratripidok/milin/mantok/07_7.html โดย: ปล่อย วันที่: 4 กรกฎาคม 2555 เวลา:1:34:19 น.
อรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สังคีติสูตร
ถามว่า พระขีณาสพอื่นๆ มีกายสมาจารเป็นต้น ไม่บริสุทธิ์กระนั้นหรือ. ตอบว่า ไม่ใช่ไม่บริสุทธิ์ เพียงแต่ว่าบริสุทธิ์ไม่เท่ากับพระตถาคต. พระขีณาสพที่ฟังมาน้อย ย่อมไม่ต้องอาบัติที่เป็นโลกวัชชะ ก็จริงอยู่ แต่เพราะไม่ฉลาดในพุทธบัญญัติ ก็ย่อมจะต้องอาบัติในกายทวาร ประเภททำวิหาร ทำกุฏิ (คลาดเคลื่อนไปจากพุทธบัญญัติ) อยู่ร่วมเรือน นอนร่วมกัน (กับอนุปสัมบันเป็นต้น). ย่อมต้องอาบัติในวจีทวารประเภทชักสื่อ กล่าวธรรมโดยบท พูดเกินกว่า ๕-๖ คำ บอกอาบัติที่เป็นจริง (เป็นต้น). ย่อมต้องอาบัติเพราะรับเงินรับทอง ในทางมโนทวารด้วยอำนาจยินดีเงินทองที่เขาเก็บไว้เพื่อตน. //www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11.0&i=221&p=3 อรรถกถา ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ รัตนสูตรในขุททกปาฐะ พระดำรัสนั้นมีความดังนี้ ถึงแม้ว่า พระโสดาบันนั้นถึงพร้อมด้วยทัสสนะ อาศัยการอยู่อย่างประมาทด้วยหลงลืมสติ เว้นสิกขาบทที่เป็นโลกวัชชะ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงการจงใจล่วงละเมิด ตรัสไว้ว่า สิกขาบทใด เราบัญญัติแก่สาวกทั้งหลาย สาวกทั้งหลายย่อมไม่ล่วงละเมิดสิกขาบทนั้นของเรา แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต ดังนี้ ย่อมทำบาปกรรมอย่างอื่นทางกาย ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงรังเกียจ กล่าวคือ การล่วงละเมิดสิกขาบทที่เป็นปัณณัติวัชชะ มีกุฏิการสิกขาบทและสหเสยยสิกขาบทเป็นต้นก็ดี ทำบาปกรรมทางวาจา มีสอนธรรมแก่อนุปสัมบันว่าพร้อมกัน แสดงธรรมแก่มาตุคามเกิน ๕-๖ คำ การพูดเพ้อเจ้อ พูดคำหยาบเป็นต้นก็ดี ทำบาปกรรมทางใจ ไม่ว่าในที่ไหนๆ คือ การทำให้เกิดโลภะ โทสะ การยินดีทองเป็นต้น การไม่พิจารณาเป็นต้นในการบริโภคจีวรเป็นอาทิก็ดี พระโสดาบันนั้น ก็ไม่ควรปกปิดบาปกรรมนั้น คือพระโสดาบันนั้น รู้ว่ากรรมนี้ไม่สมควร ไม่ควรทำ ก็ไม่ปกปิดบาปกรรมนั้น แม้แต่ครู่เดียว ในทันใดนั้นเอง ก็กระทำให้แจ้งคือเปิดเผยในพระศาสดา หรือในเพื่อนสพรหมจารีผู้เป็นวิญญูชนแล้ว กระทำคืนตามธรรม หรือระวังข้อที่ควรระวัง อย่างนี้ว่าข้าพเจ้าจักไม่ทำอีก. เพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงความที่พระโสดาบันผู้เห็นบท คือพระนิพพานแล้ว ไม่ควรปกปิดบาปกรรม อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงความที่บุคคล ผู้เห็นบท คือพระนิพพาน ผู้ถึงพร้อมด้วยทัสสนะ ไม่ควรที่จะทำบาปกรรมแม้เห็นปานนั้น แล้วปกปิดบาปกรรมนั้นไว้. ตรัสไว้อย่างไร. ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เด็กเยาว์อ่อนนอนหงาย เอามือเอาเท้าเหยียบถ่านไฟ ย่อมหดกลับฉับพลัน ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถึงแม้ว่า พระโสดาบัน ต้องอาบัติเห็นปานนั้น การออกจากอาบัติเห็นปาน นั้น ย่อมปรากฏ ทีนั้นแหละ พระโสดาบันย่อมรีบ แสดง เปิดเผย ทำให้ง่าย ในพระศาสดา หรือใน เพื่อนสพรหมจารีผู้เป็นวิญญูชน ครั้นแล้วก็สำรวม ระวังต่อไป นี้เป็นธรรมดาของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วย ทิฏฐิ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน. //84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25.0&i=7&p=2 ไปค้นๆ เจอมาเพิ่ม (มีคนโพสต์ไว้ที่เวบพลังจิต) เลยนำมาลงเสริมประกอบ โดย: ปล่อย วันที่: 4 กรกฎาคม 2555 เวลา:1:45:24 น.
|
Group Blog All Blog
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
จุลวรรค ภาค ๒
ความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัย ๘ ประการ
[๔๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนมหาสมุทรตั้งอยู่ตามธรรมดาไม่ล้นฝั่ง
สาวกทั้งหลายของเราก็เหมือนกัน
ไม่ล่วงละเมิดสิกขาบทที่เราบัญญัติ แล้วแก่สาวกทั้งหลาย
แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต
ข้อที่สาวกทั้งหลายของเรา
ไม่ล่วงละเมิดสิกขาบทที่เราบัญญัติแล้วแก่สาวกทั้งหลาย
แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต
แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ ๒
ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้ว พากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้
//www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=07&A=5460&Z=5544
--------
มาเพิ่มเติมบางข้อ