|
|
|
- ธรรมไม่มีจิตเป็นสมุฏฐาน เป็นไฉน? การแยก จิต การแยก ธรรม
- ปู่..ย่า..ตา..ยาย...ไม่มีใครเคยเห็น...พระมีเมียได้ ..เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- พระอาจารย์ตั๋นกล่าวชอบแล้ว...สิ่งที่คิดไม่ใช่จิต..แต่เป็นเหตุปัจจัย..ในมหาปัฏฐานในพระอภิธรรม
- don't worry baby..สิ่งที่คิด..ไม่ใช่จิตอยู่แล้ว ..ถ้าแยกตามเหตุปัจจัย
- การพิจารณาเห็น จิตในจิต..
- บทบาทที่สำคัญของพระสงฆ์ในสังคมไทย. พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- การโกหกใส่ร้ายพระกรรมฐานว่าทำคุณไสย์ อย่าสงสัย ว่าพวกมันทำไปเพื่ออะไร
- การรักษาพระธรรมวินัย ด้วยชีวิต....พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- ระวัง...ลัทธิสัตว์นรก มันมาอีกแล้ว ลัทธิ พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- เติมคำในช่องว่าง....พระดีๆไม่มีเมีย ...พระ "......ๆ" มีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- ผลกรรมของการ โกหกใส่ร้าย พระกรรมฐาน ย่อมนำทุกข์ มาให้ไม่สิ้นสุด
- การ ดองกิเลส เลี้ยงตัณหา โดยการห้ามจิตกำหนดรู้ เป็นวิธีของมาร
- การมี สติสัมปชัญญะ เอาเงิน ญาติโยมให้เมีย
- การมี สติสัมปชัญญะ โกหกใส่ร้าย พระกรรมฐาน ว่าทำคุณไสย์
- ปัญหาว่าใครจะบรรลุธรรม.......พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- ความรัก..ครอบครองทุกอย่าง...พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- พระแท้. พระดี. ไม่มีเมีย พระเลว พระชั่ว มีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- พระชั่ว. ใส่ร้าย พระกรรมฐาน. ว่าทำคุณไสย์.
- ผลกรรมที่เกิดจากการ ขัดขวาง ห้ามเผยแผ่ ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ........ อวิชชาสวะ เป็นไฉน ?........
- ระวัง....พระที่ทำตัวเหมือน..สัตว์นรก... มันอยู่กับเมีย
- ปฏิสนธิจิตเป็นวิญญาณขันธ์. ........
- อะไรคือความผ่องใส อะไรเป็นกาก ของพรหมจรรย์นี้ในพระศาสดา
- .................ผลจิต............
- ใครจักรู้แจ้งแผ่นดินนี้ ใครจักรู้แจ้งยมโลกและมนุษยโลกนี้ พร้อมกับเทวโลก
- อรรถกถา.....ทิฐิกถา...
- ........วิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ........
- .........กรรมอันสัมปยุตด้วยญาณ .....
- ......วิญญาณเป็นมาร ......วิญญาณเป็นมารธรรม....
- ๓. ภวเนตติสูตร ว่าด้วยกิเลสที่นำไปสู่ภพ
- .ใคร ? มีหน้าที่ขัดขวาง ไม่ให้ปฏิบัติตาม ตำสอนของพระพุทธเจ้า
- ลัทธิเดียรถี เห็นวิญญาณ ( เวียนว่ายตายเกิด ) เป็นของ ของตน
- สัญโญชนสัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ปฏิจจวาร ปัญหาวาร
- วิญญาณเวียนว่ายตายเกิด เป็น สังโยชน์ ( สักกายทิฐิ
- .......[๓๕๘] ทิฐิวิบัติ ๓ ทิฐิสมบัติ ๓ ฯ........
- มิจฉาทิฐิ. ความเชื่อว่ามนุษย์ไม่มีวันออกจากวัฏฏสงสารได้
- ....สัมมาวายามะ.....การปฏิบัคิธรรมที่ใจ....ทำทีไหนก็ได้...
- ระวัง. เปรตที่เป็นสัตว์นรกมีจริง. พวกเปรตเมียพระ. ชอบหลอกลวงเงินญาติโยม
- ระวัง. เปรตเมียพระ. ออกหากินหลอกลวงเงินญาติโยมในเน็ต เพราะเมียพระร้อนเงิน
- [๓๗] คำว่า สัตว์เหล่านั้น เป็นผู้หลุดพ้นได้ยาก และไม่ยังบุคคลอื่นให้หลุดพ้น
- ว่าด้วยปัญญาที่เรียกว่าธี...
- ว่าด้วยปริญญา ๓ ประการ
- อวิชชาย่อมดับด้วยอาการเท่าไร.. ญาณด้วยสามารถแห่งวิปัสสนา ๗๒ เป็นไฉน ฯ
- ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัยมิได้มี
- วิคตปัจจโย....อวิคตปัจจโย..
- จงจำไว้ พระโง่ โกหกใส่ร้ายพระกรรมฐานว่าทำคุณไสย์ เป็นบาป รู้สึกตัวซักที
- โปรโมชั่น. บาปตลอดชีวิต. โกหก ใส่ร้าย พระกรรมฐานว่าทำคุณไสย์
- สอนลูกหลานว่าพระมีเมียไม่ได้ จะได้ไม่เกิดลัทธิ พระมีเมียได้ เพราะ พ่อแม่พวกมันไม่สั่งสอน
- วันนี้" วันพระ " ..ระวัง. ".วันเมียพระ"จะมาถึงในไม่ช้า..เพราะ พระมีเมียได้..เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- สนิทสฺสนสปฺปฏิฆา ธมฺมา ธรรมที่เห็นได้และกระทบได้
- ทำบุญกับพระดี ได้สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร..ทำบุญกับพระชั่ว แค่สร้างบ้านให้ผัวเมีย
- ความทรงจำที่เจ็บปวด เพราะเจตนากรรม...โกหกใส่ร้ายพระกรรมฐาน.ว่าทำคุณไสบ์
- ระวัง..พระชั่ว บิดเบือน พระธรรมวินัย..พระมีเมียได้..โกหกไม่ผิดศีลธรรม
- อนุปาทาปรินิพพาน ใน ปัจจุบัน
- สังขารที่เป็นกาย สังขารที่เป็นวาจา สังขารที่เป็นใจ....ไม่ใช่ของของ..เรา
- ต้องเชื่อก่อนจึงจะเห็น หรือ...ต้องเห็นก่อนจึงจะเชื่อ....นิพพาน
- พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า มี ๒ อย่าง คือ สมมติเทศนา (เทศนาเกี่ยวกับสมมติ) ๑ ปรมัตถเทศนา (เทศ
- วิวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ปริยายวาร ที่ ๖
- ถ้าเกิดชาติหน้า ไม่มีพระพุทธศาสนา ขอให้รู้ไว้ว่า ชาตินี้นี่แหละ ที่เราปล่อยให้ถูกทำลาย
- ๓. อรรถกถาสมาธิภาวนามยญาณุทเทส ว่าด้วยสมาธิภาวนามยญาณ
- มิจฉาทิฐิ พระโกหกได้ ไม่ผิดศีล ไม่บาป ...ถ้าทำเพื่อเมีย
- อินทรีย์ ๕ มีนิมิตเหตุปัจจัยเครื่องปรุงแต่ง
- อย่ายอมให้ความรู้สึก มาโกหก บิดเบือนพระธรรมวินัย พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยม...ให้เมีย
- ทฤษฎี พระมีเมียได้ แล้วเมียพระจะร่ำรวยด้วยเงินของญาติโยม มีมาแต่โบราณ
- ที่สุดแห่งอดีต ( สัญญา ) ....ที่สุดแห่งอนาคต ( สังขาร )
- ธรรม และ จิต..... และ ธรรมเกิดคล้อยตาม จิต
- ใจ. ชนะ. ใจ. กรรม. ชนะ. กรรม.
- น่าสงสาร พระโง่ ที่ไม่รู้ว่าการโกหก ใส่ร้าย พระกรรมฐาน เป็น ...บาป
- ระวัง พระมีเมียเป็น อนุสัย ตามนอนเนื่อง เพราะมี อาสวะ กับเงินญาติโยม เป็น สังโยชน์ ผูกใจใว้ด้วยกัน
- สองพี่น้องจากเปอร์เซีย คนหนึ่งนับถือพุทธ คนหนึ่งนับถืออิสลาม
- พระกรรมฐาน (. สมถะวิปัสสนา ). ชนะกรรมทั้งปวง
- ใครจะยอมโง่ หลงเป็นเหยื่อให้พระชั่ว หลอกเงินให้เมีย........เป็นรายต่อไป
- ขบวนการใส่ร้ายพระดี. มีจริง. มันใส่ร้ายพระกรรมฐาน ว่าทำคุณไสย์
- ใจ ล้าง ใจ กรรม ล้าง ...กรรม
- เพราะไม่มีจึงไม่เป็น เพราะไม่เป็นจึงไม่ใช่. ตัวตน
- กลับตัว กลับใจเสีย ... กรรมก็พร้อมจะอโหสิกรรม ...เพราะผู้ที่อโหสิกรรม...ย่อมได้บุญ
- อะไรที่ปนอยู่ในเจตนา.........สิ่งนั้นคือ...กรรม
- การทำกรรมดีอะไร หนักแน่นและดีที่สุด สมาธิ ( สมถะวิปัสสนา ) กรรมทีปนี
- กรรมมีแล้ว วิบากกรรมจักมี กรรมที่ใส่ร้ายพระกรรมฐานผู้บริสุทธิ เร็วและ แรง ทันตา
- มารห้ามเพ่ง มารห้ามกำหนดรู้. พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย มันทำลายศาสนาจริงๆ
- การใส่ร้ายพระกรรมฐาน ทั้งอดีตปัจจุบันและอนาคต ว่าไม่มี มรรคผล นิพพาน เป็นการทำลายสงฆ์
- ภัยลูกผู้หญิง. ระวังมีพระชั่วมาบอกว่าเป็นลูก. เพื่อหลอกเงินให้เมีย
- พระโง่ ใส่ร้ายพระกรรมฐานผู้บริสุทธิ. กรรมตามทัน. ไม่ตายก็เลี้ยงเมียไม่โต
- อนุศาสนีย์พระศาสดา. จงเพ่ง จงกำหนดรู้. ระวังลัทธิมาร มันห้ามเพ่ง ห้ามกำหนดรู้
- อย่า เวียนว่ายตายเกิด โดยไม่มีทิศทาง....ทิศทางของการเวียนว่ายตายเกิด
- ฝากเงินแทนใจ ฝากพระไปบำรุงพระศาสนา แต่พระชั่วช้า เอาไป บำรุงเมีย
- ต้องใช้เงินบริสุทธิของญาติโยมอีกเท่าใด จึงจะหล่อเลี้ยงความรักของเมียได้ ตลอดกาล
- ขบวนการทำลายพระพุทธศาสนา มีจริง เริ่มจากให้ พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- รักษาพระธรรมวินัยเท่าชีวิต ดีกว่ามีชีวิตโดยไม่มีพระธรรมวินัย พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- พระที่ปาราชิกเพราะพูดโกหกไปแล้ว. มันไม่ใช่พระ เป็นแค่ เดนคน
- น่าสงสารพระโง่ ซึ้งในความรักของเมีย. มากกว่าซึ้งในรสพระธรรม
- วจีสังหาร จาก มโนสังขาร. สมาธิไม่เกี่ยวกับ มรรคผล นิพพาน ที่พระชั่วมันกล่าว
- ทิฐิที่ไปนิพพาน. คือความระลึกรู้ว่า ตอนนี้กำลังอยู่ในวัฏฏสงสาร ( คือทุกข์)
- พวกมารยกกองทัพมาตั้งพัน. หมายทำลายโพธิบัลลัง( สมาธิ )ของพระศาสดา
- ผลกรรมที่เกิดจากก่ารใส่ร้ายพระกรรมฐาน มีจริง และวิบากนั้นก็จะให้ผลในชาตินี้นี่แหละ
- หมั่นตรวจสภาพจิต ดูแลสภาพใจ อย่าให้ อกุศลเจตนาเกิดขึ้นได้ จะพ้นภัยกรรมเวร
- ในวัฏฏสงสารที่ยาวนาน จิตที่ไม่เคยรับการตรวจสภาพเลย ...มีอยู่
- ตรวจสภาพจิต ก่อนหลับ และ ก่อนตื่น ว่ามีอะไรที่ปรุงแต่งจิตได้อยู่
- ระวังมิจฉาชีพ ที่หากินด้วยการ รับตรวจสภาพจิตผู้คน
- ตรวจดูสภาพจิตด้วยตนเอง โดยพระไตรปิฏก หลีกเลี่ยงมิจฉาชิพที่หากินกับศรัทธาของคน
- ขบวนการทำลายพระพุทธศาลนา มีจริง เริ่มจาก. ให้พระมีเมียได้. เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- กรรมของพระขี้อิจฉา. เมื่อคนรู้ว่า พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- สมาธิคือ สมถและวิป้สสนา คนไม่เคยอ่านพระไตรปิฏกไม่มีว้นรู้และเข้าใจ. พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้ภรรยา
- 真実 は 嘘 を 嘘 から は 真実 を 夢中 で 探して きた けど
- ความใจกว้าง ที่เกินกว่าพระธรรมวินัยจะทนรับไหว พระมีเมียได้ เอาเงินญาติให้เมีย
- ความละอายใจต่อบาป....ความไม่ละอายใจต่อบาป.....พระมีเมียได้..เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- นรกอยู่ข้างล่าง...สวรรคอยู่ข้างบน...ถ้าไม่มีความสงสาร...จิตย่อมไม่พ้นจากความไม่ละอาย
- คนที่คอยแก้ต่างให้พระชั่ว ย่อมได้รับผลกรรมเดียวกัน
- การสงสารลูกผู้หญิ่งที่โดนพระชั่ว หลอกลวงเงินไปให้เมีย เป็นบุญ
- ถึงกลุ่มคนชั่ว ที่มาโขมยใช้ blog shadee829
- ผม shadee829 โดย ขโมย blog
- ตัณหาอันเป็นเครื่องนำไปสู่ภพสิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ฯ
- ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน ถึงธรรมโดยไว
- การ "หลงสภาวะ" เพราะไม่เพ่ง ไม่กำหนดรู้ เป็น วิปัสสนูกิเลส
- อรหัตตมรรค ยังมีเวทนาให้กำหนดรู้.......อรหัตตผล..ไม่มีเวทนา
- .........พระพุทธองค์ยังทรง..รออยู่..
- การ กำหนดจิต รู้ใจตนเอง..และผู้อื่น..ป้องกันการหลอกลวงจากพวก..มิจฉาชีพ
- วิชชา.....สลับวิญญาณ....เพื่อความเบื่อหน่าย..คลายกำหนัดจากวิญญาณ
- โลกนี้....โลกหน้า..ไม่มีใน พระนิพพาน...ปฐมนิพพานสูตร..
- วิญญาณเวียนว่ายตายเกิด...เป็นเหตุแห่ง..ทิฏฐินิสัย..และเป็น..ทิฏฐิสังโยชน์
- วิญญาณเวียนว่ายตายเกิด....สตตวิญาณฏฐิติวณณนา...
- ความท้อแท้..และ..ความเพ่งเฉพาะ..ความเป็นกลางแห่งจิต.
- ตายแล้วจะไปไหน....ทูลถามพระพุทธเจ้า..อย่าไปเอง...เดี๋ยวหลง..
- สัมมาทิฏฐิ...ว่าด้วยความเห็นชอบ..สาธยายโดยท่านพระสารีบุตร
- ฝั่งนี้.....และ.ฝั่งโน้น...ที่น้อยคนจะไปถึง เพราะติดอยู่ในบ่วงมาร.
- เนื่องในวันมาฆบูชา....การส่งเสริมผู้อื่นทำสมาธิ....เป็นบุญมหาศาล..ประมาณไม่ได้
- เนื่องในวันมาฆบูชา....การห้ามผู้อื่นทำสมาธิ..เป็นบาปอย่างยิ่ง
- กราบท่านเซ็น ท่านจิต ท่านปล่อย ท่านดาญาณ และท่านฐานาฐานะ เนื่องในวันมาฆบูชาครับ
- ปุคคลบัญญัติ......การบัญญัติ..แจกแจง...จำแนก...บุคคล
- วิญญาณเวียนว่ายตายเกิด.....สักกายทิฐิ.....ปฏิสนธิวิญญาณ..
- วิญญาณเวียนว่ายตายเกิด คือสักกายทิฐิ ( ความยึดมั่น ถือมั่น ว่าวิญญาณเป็นตัวตน )
- การถอดองค์ประกอบของปัจจัยแห่งวิญญาณ เพื่อทำลายสักกายทิฐิ
- กราบขอบพระคุณท่าน ฐานาฐานะ ที่เอื้อเฟื้อ พระสูตรนี้
- สัมมาทิฏฐิ ของผู้มีความเห็นซื่อตรง ต่อ พระนิพพาน
- เมื่อพวกมาร ไม่สามารถใส่ร้าย ผู้ปฏิบัติ สมถะและวิปัสสนาได้
- ตัวของเราในชาติหน้า ย้อนกลับมาบอกเราในชาตินี้ ว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง
- ทำไมต้องกลับบ้าน,,,,,เพราะวิญญาณย่อมเวียนกลับนามรูป,, ไม่เลยไปอื่นเลย
- ทิฏฐิที่กำหนด เพื่อเกิดในภพน้อย และภพใหญ่
- เพราะ อวิชชา เป็นปัจจัย,,,,,,,,,โพธิกถา,,,,,,,,,,,,,
- อะไร คือ เหตุปัจจัย
- อะไรที่ มีจริง,,,,,,ไม่มีจริง,,,,,,,,มีจริงๆ,,,,,,,,ไม่มีจริงๆ
- สมาธิ เป็น มรรค เพราะอรรถว่าเป็น ประธาน
- กราบขอบพระคุณท่านโชติ ท่านเซ็นเถรวาทปฐมสังคายนาครับ ( f = 9b )
- โลกนี้..มีแต่นิทาน....มหานิทานสูคร
- จิตว่างๆ ที่ยังว่างได้อีก เจโตสมาธิที่ไม่มีนิมิต ที่ค่อยๆสิ้นอาสวะ
- จิตตสหภูธรรม
- การเพิกถอน การถือว่าเรานี้มีอยู่ นิสสารณียธาตุ ๖
- ชาติหน้าของคนอื่น ( สัสสตทิฏฐิ ) ชาติหน้าของตัวเรา ( อัสสาททิฏฐิ )
- ความทะเลาะ ความวิวาท มีมาแต่อะไร กลหวิวาทสุตตนิเทสที่ ๑๑
- กตัญญูกตเวทีบุคคล ทำบุญอุทิศแก่ผู้ล่วงลับ อิโตทินนกถา
- สมาธิสูตร .... ว่าด้วยสมาธิเป็นเหตุเกิดปัญญา
- ธรรมเทศนา กับธรรมเทศนา หรือ อนุศาสนี กับอนุศาสนี
- กุศลธรรม เป็นปัจจัยแก่กุศลธรรม โดยอารัมมณปัจจัย
- อิจฉาวจรอกุศล อนังคณสูตร
- การสมมุติตามความเป็นจริง " เราทั้งหลายกำลังจะตาย เพราะเราทั้งหลายได้ตายมาแล้ว " มรณานุสติ
- อภิภายตนะ ( คือเหตุเครื่องครอบงำธรรมอันเป็นข้าศึกและอารมณ์ ) และ กสิณายตนะ (เพื่อ อภิญญา )
- ความเป็นผู้ชำนาญในการเข้าสมาธิ โดยท่านพระสารีบุตร
- พรหมจรรย์นี้ในพระศาสดา
- อวิคตปัจจโย
- ความรู้สึกไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ที่เข้มแข็ง ตั้งมั่น เป็นสมาธิ
- ธรรมเป็นอุปาทาน และสัมปยุตด้วยอุปาทาน เป็นไฉน ?
- ความตรัสรู้ด้วย สมถะ และ วิปัสสนา ด้วยความว่ามีกิจเป็นอันเดียวกัน
- มโนธาตุ เจตนา จิต วิตก วิจาร อุเบกขา เอกัคคตา
- สมาธิภาวนามยญาณ สภาพในความเป็นสมาธิแห่งสมาธิ
- ธรรม เพื่อความไม่เกิด ( อีก ) ต่อไป ... ปังคิยมาณวกปัญหา
- ธรรมจักร ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมจักรกถา
- เครื่องสลัดออกแห่งอุปทานขันธ์ ๕ ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้
- คำอธิษฐานเวลาทำบุญ ขอมีส่วนรู้ เห็น ในธรรมที่พระพุทธองค์ ทรงตรัสรู้
- จิตตุปบาท ธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณ เป็นไฉน ?
- ธรรมอันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิ เข้ายึดครอง และไม่เข้ายึดครอง
- ทุกขนิโรธคามินีปฏปทา และ พระนิพพาน
- อายตนะ ๑๑ เป็น โนจิตตะ อายตนะ ๑๑ เป็น อเจตสิกะ
- โยนิโสมนสิการ เป็น นิมิต แห่งอริยมรรค โยนิโสมนสิการสัมปทาสูตร
- สติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐานกถา
- มโนสัญเจตนา ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนเป็นไป เพราะ อวิชชา
- โคตรภูญาณ ด้วยอำนาจ สมถะ ๘ วิปัสสนา ๑๐
- กุศลเหตุ ๓ อกุศลเหตุ ๓ อัพยากตเหตุ ๓ เหตุโคจฉกะ
- กฏ แห่ง กรรม
- จูฬสงคราม ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้เข้าสงคราม และประโยชน์ของพระวินัย
- อนุปาทาปรินิพพานสูตร ข้อปฏิบัติเพื่ออนุปาทาปรินิพพาน
- เหตุเกิดวิบาก วิปากติกะ ปฏิจจวาร
- คำถามที่พระพุทธองค์ไม่ทรงพยากรณ์ และ อนุปาทาปรินิพพาน
- วิมุตติ ความหลุดพ้น
- ดับ อวิชชา ด้วย สมาธิ ที่ ปฏิสังยุต ด้วย อานาปานสติ
- วิปัสสนาญาน และ นิพพาน
- มโนมยิทธิ กับวิชาธรรมกาย
- ชวนปัญญา ในมหาปัญญา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- การบัญญัติ อนุปาทาปรินิพพาน ในปัจจุบัน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- อินทรีย์เพื่อความ ตรัสรู้ ตามพระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ความเป็นผู้ชำนาญในอินทรีย์ ๓ โดยอาการ ๖๔ เป็น อาสวักขยญาณอย่างไร ?
- อภิภายตนะ ( ๑๗๘ ) ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน ?
- กรรมมีแล้ว วิบากกรรมมีอยู่ การใส่ร้ายพระกรรมฐาน ของพวกมาร
- ความวิบัติ ที่เกิดจากวิบากอกุศลกรรม ใส่ร้ายพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ว่าทำคุณไสย์
- พระอริยะสงฆ์ อยู่กับ ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ และปัญญาขันธ์ พระชั่ว อยู่กับเมีย
- มโนสัญเจตนา อกุศลสังขาร ที่ไม่กำเริบ เพราะดับสนิทเด็ดขาด
- อวิชชาอาสวะ การยึดมั่น ถือมั่นอย่างแรงกล้าว่า ขันธ์ห้า เป็นของๆตน
- การสำนักได้ด้วยปัญญาว่าขันธ์ทั้งหลายเป็นเพียงที่ อาศัยระลึก อนาสวสัมมาทิฐิ
- ชวนจิต ชวนปัญญา อะนัญญัสสามีตินทรีย์ การเลื่อนฌาน การเลื่อนญาณ
- การกำหนดรู้ กุศล อกุศล พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- การถือศีล แต่ไม่ทำสมาธิ และ ความไม่มั่นใจ ในธรรมะของพระพุทธองค์ เพราะมารห้ามเพ่ง
- อนุศาสนีย์พระศาสดา จงเพ่ง กำหนดรู้ นิกันติของมาร ไม่เพ่ง ไม่กำหนดรู้
- ทิฐิวิสุทธิ์ ของพระโสดาบัน
- การลบหลู่ไม่เคารพยำเกรง และ เนรคุณพระศาสดา พระศาสดาตรัส จงเพ่ง
- การมีอุปทานไปเองว่า สมาธิเป็นสิ่งไม่ดี ของสำนักเพื่อเมีย เพราะเมียร้อนเงิน
- การนับปัจจัยวิญญาณ ( มหาตัณหาสังขยสูตร ) ระวังมารห้ามเพ่ง มารห้ามรู้
- พระพุทธองค์ ตรัส จงเพ่ง แต่มารห้ามเพ่ง ดูเอาเองว่าใครเป็น มาร
- การไม่กำหนดรู้ เป็น อวิชชาสวะ อย่างไร ?
- โชคดีที่ไม่ได้เป็น โสดา เพราะโสดารับแจก จาก อรหันปลอมๆ เยอะแล้ว
- การทะนุถนอมเลี้ยงดู อนุสัยในจิตใจ ด้วยวิธีของมาร อย่าเพ่ง อย่ากำหนดรู้
- ท่านพุทธทาส กับ มหาตัณหาสังขยสูตร และภิกษุผู้กล่าวตู่พระศาสดา
- ถึงคุณ azazelzk เรื่องท่านพุทธทาส ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณ
- สติปํฏฐานสี่ พระมีเมียไม่ได้ แต่ มิจฉาสติของมาร พระมีเมียได้
- พระแท้ พระดี ไม่มีเมีย พระเลว พระชั่ว มีเมียได้
- อวิชชา ความไม่รู้ว่าความเกิดเป็นทุกข์ เพราะมารห้ามเพ่ง
- ความตระหนกเมื่อสังขารแปรเปลี่ยน และ ความตระหนักว่าสังขารย่อมแปรปรวน เป็น ญาณ
- ท่านพุทธทาส กับ ทิฐิกถา ผู้มีดวงตาเห็นธรรม
- ภวตัณหา ภวทิฐิ โลกนี้-โลกหน้า เป็น ทุกขสมุทัย
- เมื่อ อุปทานดับ ภพ ( โลกนี้-โลกหน้า ) จึงดับ เมื่อ วิญญาณดับ นามรูป ( กาย-ใจ ) จึงดับ
- ขอกราบอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย บันดาลให้พ่อของท่านจิต อาการปลอดภัยโดยไว
- นับถอยหลังวัฏฏสงสาร มหาตัณหาสังขยสูตร และ อัสสุตวตาสูตร
- ตัณหาทิฐิ สิทธิส่วนบุคคล ชอบพระมีเมีย ไม่ชอบพระมีเมีย เชื่อพระมีเมีย ไม่เชื่อพระมีเมีย
- พระธรรมวินัยทรงตรัสไว้แทนองค์พระศาสดา บัดนี้ไม่รักษา ภายหน้าจักไม่มี
- มิจฉาสติ เมื่อระลึกเสมอว่า " พระมีเมียได้ " "อย่าเพ่งเดี่ยวเห็นเมีย"
- ลัทธิมาร มิจฉาทิฐิ "พระมีเมียได้ " ทำลายธรรมวินัย
- หยุดทำร้ายพระพุทธศาสนา มิจฉาทิฐิ "พระมีเมียได้ "
- อาสวโคจฉกะ
- สังขารุเปกขาญาณ
- โลกุตตรกุศลจิต มรรคจิตดวงที่ ๑
- ยุคนัทธวรรค โลกุตรกถา
- ยุคนัทธวรรค วิราคกถา วิราคะเป็นมรรค
- มหาวรรค กรรมกถา
- ( ๓๐๖ ) ทิฏฐิ ๑๖
- สติ กับ มหาปัฏฐาน
- จงละรูปเสีย เพื่อความไม่เกิดต่อไป จงละตัณหาเสียเพื่อความไม่เกิดต่อไป
- ๙. นิพพิทาสูตร
- ขอ....สัตว์ที่เนื่องด้วย อัตตาสภาพทั้งปวง.
- ปริหานสูตร ... อภิภายตนะ ๖.
- ( ๑๐ ) อาสวักขยสูตร
- ธรรมเพื่อดับราคะ
- กราบอนุโมทนา กะทู้ที่งดงามที่สุด ในห้องศาสนา ของคุณอิ่ม
- ( อภิสังขาร ) สาสวาสัมมาทิฏฐิ และ ( วิสังขาร ) อนาสวาสัมมาทิฏฐิ
- ๕. อนุคคหสูตร
- ญาณ ๕ ( ญาณ ไม่ใช่ ฌาณ ) ของท่านเซ็น คือผลจิต
- ความรู้สึก (วิญญาณ) เป็นรูปเป็นร่าง(นามรูป) เป็นตัวเป็นตน(อัตตา)
- อภิภายตนะ วิโมกข์ วิมุตติยายตนะ
- ๑๐. เจตนาสูตรที่ ๓
- ....... โสดา.........
- ความเชื่อ ( ทิฏฐิ ) ชักจูงความคิด ( สังขาร ปรุงแต่ง )
- อาสวะที่ละได้ เพราะการสังวร
- อาสวะที่พึงละได้ เพราะการเว้นรอบ
- ๑๓. สมาธิสังยุต ผู้ได้ฌาณที่เป็นเลิศ
- อาสวะที่ละได้เพราะการบรรเทา
- สุญญตาวรรค ๑. จูฬสุญญตสูตร ( ๑๒๑ )
- ว่าด้วยผลแห่งสัญญาในพระพุทธเจ้า
- จิตประภัสสร แต่เศร้าหมองแล้วด้วยอุปกิเลสที่จรมา
- เอกกมาติกา
- อวิชชาสูตร
- อิทธิบาท 4 และ องค์ฌาณ (ความเห็นส่วนตัว)
- อัสสาทสูตร
- อริยะสาวกนั้น ย่อมมนสิการโดยแยบคาย
- การกำหนด จิตสัมผัสรูปปรมัตถุ์
- เทวดาสังยุต นิโมกขสูตรที่๒
- โลกุตตระธรรม สัมมัปธาน4 คือสัมมาวายามะ
- ธรรมมะง่ายๆ
- วิปัสสนาญาณ
- ฉวิโสธนสูตร
- บทสวดมนต์ที่ควรสวดเมื่อมีโอกาส
- เศษสังขาร เศษกรรม
- ท่านพุทธทาส
- วิญญาณ
- ขอแสดงกตัญญุตา
- สติ
|
|
|
|
|
........วิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ........
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหายมกวรรค มหาตัณหาสังขยสูตร ว่าด้วยสาติภิกษุมีทิฏฐิลามก
อรรถกถามหาตัณหาสังขยสูตร มหาตัณหาสังขยสูตรมีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ. พึงทราบวินิจฉัยในบทเหล่านั้น บทว่า ทิฏฺฐิคตํ นี้ ในอลคัททสูตรกล่าวบทว่า ทิฏฐิว่าเป็นลัทธิ. ในที่นี้ ท่านกล่าวว่าเป็นสัสสตทิฏฐิ. ก็ภิกษุนั้นเป็นผู้สดับมาก แต่ภิกษุที่สดับน้อยกล่าวชาดก ฟังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสประชุมเรื่องชาดกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น เราได้เป็นเวสสันดร ได้เป็นมโหสถ ได้เป็นวิธูรบัณฑิต ได้เป็นเสนกบัณฑิต ได้เป็นพระเจ้ามหาชนกดังนี้. ทีนั้น เธอได้มีความคิดว่า รูป เวทนา สัญญา สังขารเหล่านี้ ย่อมดับไปในที่นั้นๆ นั่นแหละ แต่วิญญาณย่อมท่องเที่ยว ย่อมแล่นไปจากโลกนี้สู่โลกอื่น จากโลกอื่นสู่โลกนี้ ดังนี้ จึงเกิดสัสสตทิฏฐิ. เพราะเหตุนั้น เธอจึงกล่าวว่า วิญญาณนี้นั่นแหละย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมแล่นไป ไม่ใช่อย่างอื่น ดังนี้. ก็พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เมื่อปัจจัยมีอยู่ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณจึงมี เว้นจากปัจจัย ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณย่อมไม่มี ดังนี้. เพราะฉะนั้น ภิกษุนี้ ชื่อว่าย่อมกล่าวคำที่พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสไว้ ย่อมให้การประหารชินจักร ย่อมคัดค้านเวสารัชชาญาณ ย่อมกล่าวกะชนผู้ใคร่เพื่อจะฟังให้ผิดพลาด ทั้งกีดขวางทางอริยะเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์แก่มหาชน มหาโจรเมื่อเกิดในราชสมบัติของพระราชา ย่อมเกิดขึ้นเพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์แก่มหาชน ชื่อฉันใด บัณฑิตพึงทราบว่า โจรในคำสั่งสอนของพระชินเจ้า เกิดขึ้นแล้วเพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์แก่มหาชน ฉันนั้น. บทว่า สมฺพหุลา ภิกฺขู ได้แก่ ภิกษุผู้บิณฑบาตเป็นวัตรผู้มีปกติอยู่ในชนบท. บทว่า เตนุปสงฺกมึสุ ความว่า ภิกษุเหล่านั้นคิดว่า ภิกษุสาตินี้ได้พวกแล้วจะพึงยังพระศาสนาให้อันตรธานไป เธอยังไม่ได้พวกเพียงใด พวกเราจักปลดเปลื้องเธอจากความเห็นผิดเพียงนั้น ดังนี้ จึงไม่ยืนไม่นั่ง เข้าไปหาจากที่ที่ตนฟังแล้วๆ นั่นแหละ. บทว่า ยํ กตมนฺตํ สาติ วิญฺญาณํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนสาติ เธอกล่าวหมายเอาวิญญาณใด วิญญาณนั้นเป็นไฉน. ข้อว่า ยฺวายํ ภนฺเต วโท เวเทยฺโย ตตฺร ตตฺร กลฺยาณปาปกานํ กมฺมานํ วิปากํ ปฏิสํเวเทติ ความว่า สาติภิกษุกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สภาวะใดย่อมพูดได้ ย่อมเสวยอารมณ์ได้ ก็สภาวะนั้นย่อมเสวยวิบากของกุศลกรรมและอกุศลกรรมในที่นั้นๆ ได้ ข้าพระองค์กล่าวหมายถึงวิญญาณอันใด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นวิญญาณนั้นดังนี้. บทว่า กสฺส นุ โขนาม ความว่า แก่ใคร คือว่าแก่กษัตริย์ หรือว่าพราหมณ์ หรือว่าแก่แพศย์ ศูทร คฤหัสถ์ บรรพชิต เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายคนใดคนหนึ่ง. บทว่า อถโข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ ถามว่า เพราะเหตุไร จึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย. ตอบว่า ได้ยินว่า สาติภิกษุได้มีความคิดอย่างนี้ว่า พระศาสดาตรัสเรียกเราว่าโมฆบุรุษดังนี้ จะไม่มีอุปนิสสัยแห่งมรรคและผลทั้งหลายโดยสักแต่คำที่กล่าวแล้วว่า โมฆบุรุษนี้เท่านั้นก็หามิได้ เพราะว่า แม้พระอุปเสนเถระ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสอย่างนี้ว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ เธอเวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมากเร็วนักดังนี้ ภายหลังสืบต่ออยู่ พยายามอยู่ ก็ได้กระทำให้แจ้งซึ่งอภิญญา ๖ แม้เราประคองความเพียรแล้ว ก็จักกระทำให้แจ้งซึ่งมรรคและผลทั้งหลายดังนี้. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะแสดงแก่เธอว่า สาติภิกษุนี้มีปัจจัยอันขาดแล้ว เป็นผู้มีธรรมอันไม่งอกงามในศาสนาดังนี้ จึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย. บทว่า อุสฺมีกโต เป็นต้น บัณฑิตพึงทราบอธิบายตามที่ได้กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ. บทว่า อถโข ภควา ความว่า อนุสนธิแม้นี้เป็นของเฉพาะบุคคล. ได้ยินว่า สาติภิกษุได้มีความคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ธรรมอันเป็นอุปนิสสัยแห่งมรรคและผลทั้งหลายของเราไม่มี ดังนี้ เมื่อธรรมอันเป็นอุปนิสสัยไม่มีอยู่ เราอาจเพื่อจะแก้ไขธรรมอันเป็นอุปนิสสัยได้หรือ เพราะว่า พระตถาคตทั้งหลายย่อมไม่แสดงธรรมแก่บุคคลผู้มีอุปนิสสัยเท่านั้น แสดงอยู่แก่ใครๆ นั่นแหละ เราได้โอวาทของพระสุคตจากสำนักของพระพุทธเจ้าแล้วจักกระทำกุศล เพื่อสวรรค์สมบัติดังนี้. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่สาติภิกษุนั้นว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ เราไม่ให้โอวาทหรืออนุสาสนีแก่เธอ ดังนี้ เมื่อจะทรงระงับโอวาทของพระสุคตเจ้า จึงเริ่มเทศนานี้. เนื้อความแห่งพระดำรัสนั้น พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงชำระลัทธิในบริษัท จึงตรัสคำว่า อิธาหํ ภิกฺขู ปฏิปุจฺฉิสฺสามิ เป็นต้น. ถ้อยคำแม้ทั้งหมด บัณฑิตพึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ. จบสาติกัณฑ์
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อจะทรงแสดงซึ่งความที่วิญญาณมีปัจจัย จึงตรัสคำว่า ยํ ยเทว ภิกฺขเว เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มนญฺจ ปฏิจฺจ ธมฺเม จ ได้แก่ วิญญาณอาศัยภวังคจิต พร้อมทั้งอาวัชชนะ และธรรมอันเป็นไปในภูมิสาม. บทว่า กฏฺฐญฺจ ปฏิจฺจ เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วเพื่อแสดงชี้แจงด้วยอุปมา. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้อย่างไร ด้วยอุปมานั้น. ทรงแสดงถึงความไม่มีความพอใจในทวาร. เหมือนอย่างว่า ไฟอาศัยไม้จึงลุกโพลงอยู่ เมื่อปัจจัยคือเชื้อยังมีอยู่นั่นแหละ ก็ยังลุกอยู่ เมื่อปัจจัยคือเชื้อไม่มีอยู่ ก็ย่อมดับไปในที่นั้นนั่นเอง เพราะความขาดแคลนปัจจัย ย่อมไม่ถึงซึ่งการนับเป็นต้นว่าไฟสะเก็ดไม้เป็นต้น เพราะก้าวล่วงวัตถุทั้งหลายมีสะเก็ดไม้เป็นต้นฉันใด วิญญาณเกิดขึ้นเพราะอาศัยจักษุและรูปฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อปัจจัยกล่าวคือจักขุประสาท รูป อาโลกะและมนสิการในทวารนั้น ยังมีอยู่ ย่อมเกิดขึ้นเมื่อปัจจัยนั้นไม่มีอยู่ ย่อมดับไปในที่นั้นแหละ. ด้วยความบกพร่องแห่งปัจจัย ย่อมไม่ถึงซึ่งการนับเป็นต้นว่า โสตวิญญาณเป็นต้น เพราะก้าวล่างโสตประสาทเป็นต้น. ในวาระทั้งปวงก็มีนัยนี้แหละ. ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงติเตียนภิกษุสาติด้วยพระดำรัสว่า เราย่อมไม่กล่าวเหตุแม้สักว่า ความพอใจในทวารในความเป็นไปแห่งวิญญาณ ก็สาติภิกษุโมฆบุรุษนี้ย่อมกล่าวถึงความพอใจในภพดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงความที่วิญญาณมีปัจจัยแล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงถึงความที่ขันธ์แม้ทั้งห้ามีปัจจัย จึงตรัสคำว่า ภูตมิทํ เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภูตมิทํ นี้ได้แก่ ขันธปัญจกะอันเกิดแล้ว เป็นแล้ว บังเกิดแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเห็นว่า ขันธปัญจกะที่เกิดแล้วหรือ. บทว่า ตทาหารสมฺภวํ ความว่า ก็ขันธปัญจกะนั่นนั้นเกิดขึ้นเพราะอาหาร เกิดขึ้นเพราะปัจจัย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า พวกเธอเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อปัจจัยมีอยู่ ขันธปัญจกะย่อมเกิดขึ้นหรือดังนี้. บทว่า ตทาหารนิโรธา ได้แก่ เพราะความดับแห่งปัจจัยนั้น. บทว่า ภูตมิทํ โนสุ ได้แก่ ขันธปัญจกะนี้เกิดขึ้นแล้ว. คือเป็นแล้ว มีอยู่หรือหนอ. บทว่า ตทาหารสมฺภวํ โนสุ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ก็ขันธปัญจกะที่มีแล้วนี้ เกิดขึ้นเพราะปัจจัยหรือไม่หนอ. บทว่า ตทาหารนิโรธา ได้แก่ เพราะการดับแห่งปัจจัยนั้น. บทว่า นิโรธธมฺมํ โนสุ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าถามว่า ขันธปัญจกะมีความดับไปเป็นธรรมดาหรือไม่หนอ. บทว่า สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสโต ความว่า เมื่อบุคคลเห็นอยู่โดยชอบด้วยวิปัสสนาปัญญา โดยลักษณะอันมีรสตามความเป็นจริงว่า ขันธปัญจกะนี้เกิดแล้ว เป็นแล้ว บังเกิดแล้ว ดังนี้. บทว่า ปญฺญาย สุทิฏฺฐํ ได้แก่ เห็นแล้วโดยชอบด้วยวิปัสสนาปัญญา โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ. บุคคลเหล่าใดๆ กำหนดคำถามนั้นด้วยอาการอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงรับปฏิญญาของคนเหล่านั้นๆ ก็จักแสดงถึงความที่ขันธ์ห้ามีปัจจัย ดังนี้. บัดนี้ พวกภิกษุมีความเห็นขันธ์ปัญจกะนั้นมีปัจจัย และมีนิโรธเป็นอย่างดีด้วยปัญญาใด พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะตรัสถามถึงความที่ขันธปัญจกะนั้นไม่มีตัณหาในที่นั้น จึงตรัสคำว่า อิมํ เจ ตุมฺเห เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิฏฺฐิ ได้แก่ วิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ. ชื่อว่าบริสุทธิ์ เพราะเห็นโดยสภาวะ. ชื่อว่าผุดผ่อง เพราะเห็นปัจจัย. บทว่า อลฺลิเยถ ได้แก่ พึงติดด้วยตัณหาและทิฏฐิทั้งหลายอยู่. บทว่า เกฬาเยถ ได้แก่ พึงเพลิดเพลินอยู่ด้วยตัณหาและทิฏฐิ. บทว่า ธเนยฺยาถ ได้แก่ พึงถึงความอยากได้ เหมือนผู้ปรารถนาทรัพย์. บทว่า มมาเยถ ได้แก่ พึงยังเหตุสักว่าตัณหาและทิฏฐิให้เกิดขึ้น. บทว่า นิตฺถรณตฺถาย โน คหณตฺถาย ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ธรรมใดเปรียบด้วยทุ่น (แพชนิดหนึ่ง) ที่เราแสดงแล้ว เพื่อประโยชน์ในอันสลัดออกจากโอฆะ ๔ พวกเธอพึงรู้ธรรมนั้น มิใช่เพื่อประโยชน์ในอันถือเอาด้วยสามารถแห่งความใคร่ บ้างหรือหนอ ดังนี้. บัณฑิตพึงทราบธรรมฝ่ายขาวโดยตรงกันข้าม. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงปัจจัยแห่งขันธ์เหล่านั้น จึงตรัสคำว่า จตฺตาโร เม ภิกฺขเว อาหารา เป็นต้น. คำนั้นมีอรรถตามที่กล่าวไว้แล้วนั่นแหละ. มีอธิบายว่า เหมือนอย่างว่า ธรรมอย่างหนึ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า เธอย่อมรู้ธรรมนี้ คือว่า บุคคลเมื่อรู้ด้วยสามารถแห่งประเพณีเป็นมาอย่างนี้ว่า เราย่อมไม่รู้มารดาของบุคคลนี้อย่างเดียว ย่อมรู้แม้ซึ่งมารดาของมารดา ดังนี้ ชื่อว่าย่อมรู้อย่างดี ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมทรงทราบชัดแต่เพียงขันธ์อย่างเดียวเท่านั้นก็หาไม่ ทรงทราบความสืบต่อเนื่องๆ กันมาแห่งธรรมที่เป็นปัจจัยทั้งปวง อย่างนี้ว่า ย่อมทรงทราบชัดแม้ปัจจัยแห่งขันธ์ทั้งหลาย ย่อมทรงทราบแม้ปัจจัยแห่งปัจจัยทั้งหลายเหล่านั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงกำลังของพระพุทธเจ้า เพื่อทรงแสดงความสืบเนื่องต่อๆ กันมาแห่งปัจจัยในบัดนี้ จึงตรัสคำว่า อิเม จ ภิกฺขเว จตฺตาโร อาหารา เป็นต้น. แม้คำนั้น ก็มีอรรถเหมือนที่กล่าวแล้ว. กถาว่าด้วยปฏิจจสมุปบาทในพระบาลีนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ฯลฯ ด้วยประการฉะนี้แล ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้นย่อมมีได้อย่างนี้ ดังนี้ พึงให้พิสดาร ก็กถานั้นกล่าวพิสดารไว้แล้วในวิสุทธิมรรค. บทว่า อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ ได้แก่ เมื่อปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นนี้มีอยู่ ผลมีสังขารเป็นต้นนี้ก็มี. บทว่า อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ ได้แก่ เพราะปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นนี้เกิดขึ้น ผลมีสังขารเป็นต้นนี้ก็เกิดขึ้น. ด้วยเหตุนั้นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายจึงมี ฯลฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนั้น ย่อมมีได้อย่างนี้ดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงวัฏฏะอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงถึงวิวัฏฏะจึงตรัสคำว่า อวิชฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธา เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อวิชฺชาย เตฺวว คือ อวิชชานั่นแหละ. บทว่า อเสสวิราคนิโรธา คำนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เพราะสังขารดับไป วิญญาณจึงดับดังนี้เป็นต้น เพื่อแสดงว่า ก็เพราะความดับไปแห่งสังขารทั้งหลายอันดับไปแล้วอย่างนี้ว่า เพราะความดับโดยไม่เหลือด้วยมรรค กล่าวคือวิราคะ ความดับไม่เกิดขึ้นแห่งสังขารทั้งหลายจึงมีดังนี้ วิญญาณก็ดับ และเพราะความดับแห่งธรรมทั้งหลายมีวิญญาณเป็นต้น ชื่อว่าธรรมทั้งหลายมีรูปเป็นต้น ก็ย่อมดับไปเหมือนกัน ดังนี้ แล้วจึงตรัสว่า ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้นย่อมมีได้อย่างนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เกวลสฺส ได้แก่ ทั้งสิ้น. อธิบายว่า กองทุกข์ล้วนๆ เว้นจากความเป็นสัตว์. บทว่า ทุกฺขกฺขนฺธสฺส แปลว่า กองทุกข์. บทว่า นิโรโธ โหติ ได้แก่ ความไม่เกิดขึ้น. บทว่า อิมสฺมึ อสติ เป็นต้น บัณฑิตพึงทราบโดยนัยตรงกันข้ามกับคำที่กล่าวแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสปฏิจจสมุปบาททั้งวัฏฏะและวิวัฏฏะด้วยอาการอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะตรัสถามถึงความไม่มีแห่งการท่องเที่ยวไปอันบุคคลผู้รู้อยู่ซึ่งความหมุนเวียนไปแห่งปัจจัย ๑๒ นี้ พร้อมด้วยมรรคในวิปัสสนาญาณที่ละได้แล้วนั้น จึงตรัสคำว่า อปินุ ตุมฺเห ภิกฺขเว เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ ชานนฺตา ได้แก่ รู้อยู่อย่างนี้พร้อมด้วยวิปัสสนามรรค. บทว่า เอวํ ปสฺสนฺตา เป็นไวพจน์ของคำนั้นนั่นแหละ. บทว่า ปุพฺพนฺตํ อธิบายว่า ขันธ์ ธาตุ และอายตนะทั้งหลายในอดีต. บทว่า ปฏิธาเวยฺยาถ คือว่า พึงแล่นไปด้วยอำนาจแห่งตัณหาและทิฏฐิ. คำที่เหลือพิสดารแล้วในสัพพาสวสูตร. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะตรัสถามถึงความไม่หวั่นไหวของภิกษุเหล่านั้น ในที่นั้นจึงตรัสคำว่า อปินุ ตุมฺเห ภิกฺขเว เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา เอวํ วเทยฺยาถ สตฺถา โน ครุ ดังนี้เป็นต้น. แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระศาสดาเป็นครูของพวกเรา. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ครุ ได้แก่ ผู้เต็มไปด้วยภาระ เป็นผู้คล้อยตามความใคร่ก็มิได้. บทว่า สมโณ ได้แก่ สมณะผู้ตรัสรู้แล้ว. บทว่า อญฺญํ สตฺถารํ อุทฺทิเสยฺยาถ ความว่า พวกเธอพึงเป็นผู้สำคัญอย่างนี้ว่า พระศาสดานี้ไม่สามารถยังกิจของพวกเราให้สำเร็จดังนี้ แล้วพึงยกย่องศาสดาอื่น คือภายนอกพระศาสนาบ้างหรือ. บทว่า ปุถุสมณพฺราหฺมณานํ คือ สมณะเดียรถีย์และพราหมณ์เป็นอันมาก. บทว่า วตกุตุหลมงฺคลานิ ได้แก่ สมาทานข้อปฏิบัติอย่างหนึ่ง ตื่นความเห็นอย่างหนึ่ง และทิฏฐมงคล สุตมงคล มุตตมงคลอย่างหนึ่ง. บทว่า ตานิ สารโต ปจฺจาคจฺเฉยฺยาถ ความว่า พึงเป็นผู้สำคัญเหล่านั้นอย่างนี้ว่าเป็นสาระ ดังนี้ ยึดถือเอา. อธิบายว่า แม้สละออกแล้วอย่างนี้ แล้วก็ยึดถือเอาอีก. บทว่า สามํ ญาตํ ได้แก่ รู้ได้เองด้วยญาณ. บทว่า สามํ ทิฏฐํ ได้แก่ เห็นได้เองด้วยปัญญาจักษุ. บทว่า สามํ วิทิตํ ได้แก่ กระทำให้แจ้ง คือทำให้ปรากฏได้เอง. บทว่า อุปนีตา โข เม ตุมฺเห ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธออันเรานำเข้าไปสู่นิพพานโดยธรรมอันมีสภาวะที่ตนพึงเห็นเองเป็นต้นนี้. อธิบายว่า อันเราให้ถึงแล้ว. เนื้อความแห่งธรรมทั้งหลายมี สนฺทิฏฐิโก เป็นต้น พิสดารแล้วในวิสุทธิมรรค. บทว่า อิทเมตํ ปฏิจฺจ วุตฺตํ ความว่า คำนี้อย่างนี้ เรากล่าวแล้ว เพราะอาศัยความที่พวกเธอรู้เองเป็นต้น. ถามว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเริ่มคำว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะการประชุมพร้อมแห่งปัจจัย ๓ ประการดังนี้. พระองค์ทรงยังเทศนาให้ถึงที่สุดแล้ว ด้วยสามารถแห่งวัฏฏะในหนหลังมิใช่หรือ. ตอบว่า ใช่ ให้ถึงที่สุดแล้ว. แต่ว่า อนุสนธินี้เป็นของเฉพาะบุคคล. จริงอยู่ โลกสันนิวาสนี้หลงใหลแล้วในปฏิสนธิ. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเริ่มเทศนานี้ว่า เราจักกำจัดฐานอันเป็นที่ตั้งแห่งความหลงใหลของโลกสันนิวาสนั้น ทำให้ปรากฏ. อีกอย่างหนึ่ง อวิชชามีวัฏฏะเป็นมูล ความบังเกิดขึ้นแห่งพุทธะมีวิวัฏฏะเป็นมูล เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ทรงแสดงอวิชชาอันมีวัฏฏะเป็นมูล และพุทธุปบาทอันมีวิวัฏฏะเป็นมูลแล้ว ทรงดำริว่า เราจักยังเทศนาให้ถึงที่สุดอีกครั้งเดียวด้วยสามารถแห่งวัฏฏะและวิวัฏฏะดังนี้ จึงเริ่มเทศนานี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺนิปาตา ได้แก่ เพราะการประชุม คือว่าเพราะประมวลมา. บทว่า คพฺภสฺส ได้แก่ สัตว์ผู้เกิดขึ้นในครรภ์. บทว่า อวกฺกนฺติ โหติ ได้แก่ ความเกิดย่อมมี. จริงอยู่ ในที่บางแห่งท้องแห่งมารดาท่านเรียกว่า ครรภ์. เหมือนอย่างที่กล่าวไว้ว่า :- ยเมกรตฺตึ ปฐมํ คพฺเภ วสติ มาณโว อพฺภุฏฺฐิโตว สยติ ส คจฺฉํ น นิวตฺตติ. แปลว่า สัตว์อยู่ในท้องแม่ ตลอดราตรีหนึ่งก่อน เขาลุกขึ้นแล้วก็นอน เขาไปไม่กลับ. ในที่บางแห่ง ท่านเรียกสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ว่า ครรภ์. เหมือนอย่างที่กล่าวไว้ว่า ยถา โข ปนานนฺท อิตฺถิโย อญฺญา นว วา ทส วา มาเส คพฺภํ กุจฺฉินา ปริหริตฺวา วิชายนฺติ แปลว่า ดูก่อนอานนท์ หญิงอื่นๆ ย่อมรักษาทารกผู้เกิดในครรภ์ด้วยท้อง เก้าเดือน หรือว่าสิบเดือนแล้วจึงคลอด. ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาสัตว์. คำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า คพฺภสฺส อวกฺกนฺติ โหติ ดังนี้ หมายถึงสัตว์นั้น. บทว่า อิธ ได้แก่ ในสัตว์โลกนี้. บทว่า มาตา จ อุตุนี โหติ นี้ ตรัสหมายเอาเวลามีระดู. ได้ยินว่า ทารกย่อมเกิดแก่มาตุคามในโอกาสใด ในโอกาสนั้น เม็ดโลหิตใหญ่ตั้งอยู่แล้วแตกไหลไป เป็นวัตถุบริสุทธิ์ เมื่อวัตถุบริสุทธิ์ มารดาบิดาอยู่ร่วมกันครั้งเดียวมีเขตเจ็ดวันทีเดียว ในสมัยนั้น ทารกย่อมเกิดขึ้นได้ แม้ด้วยการลูบคลำอวัยวะมีการจับมือ จับมวยผมเป็นต้น. บทว่า คนฺธพฺโพ ได้แก่ สัตว์ผู้เข้าถึงในที่นั้น. บทว่า ปจฺจุปฏฺฐิโต โหติ นี้ มีอธิบายว่า ชื่อว่าสัตว์ผู้จ้องดูการอยู่ร่วมมารดาและบิดา ซึ่งยืนอยู่ในที่ใกล้ ย่อมไม่มี แต่ว่า สัตว์หนึ่งผู้อันกรรมซัดส่งไปแล้ว ซึ่งจะเกิดขึ้นในโอกาสนั้น มีอยู่ ดังนี้. บทว่า สํสเยน ความว่า ด้วยการสงสัยในชีวิตอย่างใหญ่อย่างนี้ว่า เราหรือว่าบุตรของเราจักปราศจากโรคไหมหนอดังนี้. บทว่า โลหิตญฺเหตํ ภิกฺขเว ความว่า ได้ยินว่า โลหิตของแม่ในครั้งนั้นถึงพร้อมแล้วและถึงพร้อมแล้วซึ่งฐานะนั้น คือว่าย่อมเป็นของขาวด้วยความสิเนหาในบุตร เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนั้น. บทว่า วงฺกํ ได้แก่ ไถเล็กของทารกในบ้านผู้เล่นอยู่. การเล่นประหารไม้สั้นด้วยไม้ยาว ท่านเรียกว่า ฆฏิกา. บทว่า โมกฺขจิกํ ได้แก่ การเล่นหมุนเวียน. มีอธิบายว่า การเล่นจับท่อนไม้ในอากาศ หรือว่าเล่นเอาหัวตั้งที่พื้นดินแล้วพลิกไปมาข้างล่างข้างบน. จักรหมุนไปด้วยการกระทบลมที่ทำด้วยวัตถุทั้งหลายมีใบตาลเป็นต้น ท่านเรียกว่า ปิงคุลิกะ. ทะนานทำด้วยใบไม้ ท่านเรียกว่า ปัตตาฬหกะ ได้แก่การเล่นตวงวัตถุทั้งหลายมีทรายเป็นต้นด้วยทะนานใบไม้นั้น. บทว่า รถกํ ได้แก่ รถเล็ก. แม้ธนูก็ได้แก่ธนูเล็กนั่นแหละ. บทว่า สารชฺชติ ได้แก่ ย่อมยังราคะให้เกิดขึ้น. บทว่า พฺยาปชฺชติ ได้แก่ ย่อมยังความพยาบาทให้เกิดขึ้น. บทว่า อนุปฏฺฐิตกายสติ ความว่า สติในกาย เรียกว่ากายสติ. อธิบายว่า ตั้งกายสตินั้น. บทว่า ปริตฺตเจตโส ได้แก่ อกุศลจิต. บทว่า ยตฺถสฺส เต ปาปกา ความว่า อกุศลธรรมอันลามกเหล่านั้นย่อมดับไปในผลสมาบัติใด ย่อมไม่รู้ ย่อมไม่บรรลุสมาบัตินั้น. บทว่า อนุโรธวิโรธํ ได้แก่ ราคะและโทสะ. บทว่า อภินนฺทติ ได้แก่ ย่อมเพลิดเพลินด้วยอำนาจแห่งตัณหา เมื่อบุคคลกล่าวด้วยอำนาจแห่งตัณหาว่า โอ สุขหนอ เป็นต้น ชื่อว่าย่อมบ่น. บทว่า อชฺโฌสาย ติฏฺฐติ ได้แก่ กลืนกิน คือยังกิจให้สำเร็จแล้วถือเอาด้วยความติดใจในตัณหา. อธิบายว่า จงยินดียิ่งซึ่งสุข หรือว่าอทุกขมสุข ก่อนหรือว่าย่อมยินดียิ่งซึ่งทุกข์อย่างไร. เมื่อบุคคลยึดถือว่า เรามีทุกข์ ทุกข์เป็นของเรา ดังนี้ ชื่อว่าย่อมยินดียิ่งในทุกข์. บทว่า อุปฺปชฺชติ นนฺทิ ได้แก่ ตัณหาย่อมเกิดขึ้น. บทว่า ตทุปาทานํ ความว่า ตัณหานั้นเอง ชื่อว่าอุปาทาน เพราะอรรถว่ายึดถือ. ก็ปัจจยาการอันเป็นวัฏฏะมีสนธิสามและสังเขปนี้นี้ว่า ตสฺส อุปาทานปจฺจยา ภโว ฯปฯ สมุทโย โหติ ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสอีกครั้งหนึ่ง. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงแสดงอันเป็นส่วนวิวัฏฏะ จึงตรัสว่า อิธ ภิกฺขเว ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชติ เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปฺปมาณเจตโส ความว่า ชื่อว่ามีจิตหาประมาณมิได้ เพราะมีจิตเป็นโลกุตตระอันประมาณมิได้. อธิบายว่า เป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยมรรคจิต. บทว่า อิมํ โข เม ตุมฺเห ภิกฺขเว สงฺขิตฺเตน ตณฺหาสงฺขยวิมุตฺตึ ธาเรถ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงทรงจำเทศนาตัณหาสังขยวิมุตติของเรา อันเราแสดงโดยย่อนี้ตลอดกาลเป็นนิตย์เถิด อย่าหลงลืม. จริงอยู่ เทศนาในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า วิมุตติ เพราะเป็นเหตุได้วิมุตติ. บทว่า มหาตณฺหาชาลตณฺหาสํฆาฏิปฏิมุกฺกํ ความว่า ตัณหา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า ข่ายตัณหาใหญ่ เพราะอรรถว่าร้อยรัดไว้ ตรัสว่า สังฆาฏะ เพราะอรรถว่าเสียดสี. อธิบายว่า พวกเธอจงทรงจำสาติภิกษุผู้เป็นบุตรนายเกวัฏฏ์นี้ว่า เป็นผู้สวมอยู่ในข่ายแห่งตัณหาใหญ่ และในร่างตัณหานี้ พึงทรงจำภิกษุนั้นว่า เป็นผู้เข้าไปแล้ว อยากอยู่ภายใน ดังนี้ ด้วยประการฉะนี้. คำที่เหลือในที่ทั้งปวงง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถามหาตัณหาสังขยสูตรที่ ๘ -------------------------------------------- .. อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหายมกวรรค มหาตัณหาสังขยสูตร ว่าด้วยสาติภิกษุมีทิฏฐิลามก จบ.
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก //www.84000.org...2&A=8041&Z=8506
Create Date : 03 กันยายน 2555 |
|
1 comments |
Last Update : 3 กันยายน 2555 20:04:37 น. |
Counter : 1229 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: พรหมญาณี 4 กันยายน 2555 13:46:11 น. |
|
|
|
|
|
|
|
โอวชฺชมาโน กุปฺปติ เสยฺยโส อติมญฺญติ
คนที่ไม่รู้จักประโยชน์ตนว่า อะไรควรทำวันนี้ อะไรควรทำพรุ่งนี้
ใครตักเตือนก็โกรธ เย่อหยิ่งถือดีว่าฉันเก่ง ฉันดี
คนอย่างนี้เป็นที่ชอบใจของกาลกิณี
ใช้สติปัญญาประกอบกิจเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น ตลอดไป...นะคะ