สโลแกน แทนใจ ไว้ให้คิด แม้มิ่งมิตร ผู้อยู่ห่าง กลางความฝัน ไม่เห็นหน้า แต่วาจา พาทีนั้น คละเคล้ากัน ปันสุขทุกข์ ทุกวี่วัน
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2551
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
12 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 

กล้าที่จะก้าว

Photobucket>


"ถ้าเราแคร์คำพูดแย่ ๆ ...
ก็เท่ากับแพ้ใจตัวเอง"




"ดูแลหัวใจของเราให้ดี…
เรียนรู้ที่จะคิดปฏิเสธคำพูดแย่ ๆ จากคนอื่น…
รู้แหล่งที่มาอย่างมีเหตุผล…
แล้วจะไม่มีอะไรมาบั่นทอนหัวใจเราได้เลย..."



Photobucket>



คำพูดแย่ ๆ คำไหนของเจ้าบ้านหนอ
ที่ทำให้คุณ oio มากล่าวคำว่า
"ลาก่อน" ในบ้านนี้ได้
ทำเอาใจของเจ้าบ้านกระเพื่อมสะเทือนไหวมากมาย



Photobucket>



ขออำภัยอีกหลาย ๆ ครั้ง ...
อย่าขุ่นเคืองเจ้าบ้านเลยน้า ...
นะ นะ นะ นะ นะ นะคร้า ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
คงจะต้องไปร่ำร้องอ้อนวอนถึงในฝันแน่ ๆ เลย

คืนนี้เจ้าบ้านจะหลับตาลงไปได้อย่างไร









 

Create Date : 12 มิถุนายน 2551
35 comments
Last Update : 12 มิถุนายน 2551 21:54:23 น.
Counter : 600 Pageviews.

 

เย..เข้าบ้านได้แว้ววววว

..Friendship is Continuous..

_/|\\_

 

โดย: times IP: 124.120.197.151 12 มิถุนายน 2551 21:59:38 น.  

 


ปัญหาในช่วงนี้
ช่วงนี้เว็บ BlogGang มีผู้ใช้งานมากขึ้น ทำให้ server ไม่พร้อมรองรับการใช้งานสำหรับทุกท่านในบางช่วง จึงอาจจะล่าช้า หรือขัดข้องในบางเวลา

ทางเว็บต้องขออภัยด้วยนะคะ แต่เร็วๆ นี้ทางเว็บจะทำการเพิ่ม server ใหม่ และจะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบต่อไปค่ะ

 

โดย: สาวิกา 12 มิถุนายน 2551 22:12:13 น.  

 

คุณโอคะ...

ขอเป็นของขวัญวันเกิดให้ย่าอำฯ
ได้ไหมคะ ?

นะคะ.

 

โดย: อำไพพร IP: 125.26.29.222 12 มิถุนายน 2551 22:17:26 น.  

 

สวัสดีครับทุกท่าน
(3ไหว้)

 

โดย: มุ่งเต็มใจ IP: 203.113.0.205 12 มิถุนายน 2551 22:21:41 น.  

 

สวัสดีค่ะ

คุณโอขา...
มิตรภาพที่ย่าอำฯได้รับจากคุณโอ

เป็นความช่วยเหลือเอื้ออาทรทางธรรม
สม่ำเสมอมา

ตัวอักษรของเรา
เป็นเพื่อนธรรมไม่จางคลาย

แม้คุณโอจะห่างหายไปบ้าง
แต่ไม่เคยทิ้งพวกเราไป

ยามที่คุณโอไม่มาเยือน

พวกเราต่างรอคอย
บทร้อยกรองที่งดงาม
ธรรมะที่ลึกซึ้ง
คำพูดสั้น ๆ
ที่ให้แง่คิด
ที่ขบขัน

ทำให้พวกเรามีใจที่แจ่มใส
มีรอยยิ้มที่เบิกบาน
เมื่อได้เห็นอักษรของคุณโอ
มาเยี่ยมเยียนพวกเรา

คุณโอหายไปนานเป็นบางครั้ง
แต่ไม่เคยทิ้งพวกเรา

เรารำลึกเสมอว่า
คุณโออยู่ใกล้ ๆ พวกเรา
และวันหนึ่ง...
ตัวอักษรของคุณโอ
จะมาปรากฏให้ความอบอุ่น...ความรู้...และรอยยิ้มแก่พวกเรา

ไม่เคยคาดคิดเลยว่า
จะมีอักษรบอกกล่าวการจากลากัน

แม้มิตรภาพของย่าอำฯกับคุณโอ
เพียงแค่ปีเศษเล็กน้อย

แต่มิตรภาพที่คุณโอ
ที่มีต่อหลาย ๆ คนในบ้านนี้
ยาวนานมาหลายปี

ทุกคนล้วนใจหาย
ตกใจกับคำกล่าวอำลา

ไม่ปรารถนาให้ข้อความทั้งสองนั้น
เป็นของคุณโอ

คิดว่า...
ใครหนอ ?
ใช้ชื่อคุณโอ
เขียนข้อความทั้งสอง คห.

เพื่อประสงค์อันใด ?

ความเป็นเพื่อนที่เนิ่นนานมา
ย่อมทำให้พวกเราเข้าใจกัน
ให้อภัยกัน

หากว่ามีการก้ำเกินกันบ้าง
ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ขอคุณโอโปรดรับทราบว่า...
หากมาจากเหตุที่ปรากฏในทั้งสอง คห. นั้น

ย่าอำฯก็คิดว่า...
ต้นเหตุแห่งเรื่อง...
มาจากย่าอำฯ
ย่าอำฯเสียใจนะคะ


เสียใจมากกกกกกกกกกกกกกค่ะ
ที่ทำร้ายบ้านนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว

เมื่อครั้งขึ้นบ้านใหม่ไม่ได้ที่ลานธรรม

แล้วครั้งนี้
ย่าอำฯ...
ทำให้ทุกคนเสียเพื่อน
ที่ทุกคนรักมาก

ถ้าหากว่าข้อความนั้น...
เป็นของคุณโอจริง

แต่พวกเรา
มั่นใจว่า
ไม่ใช่คุณโอเป็นคนเขียนแน่นอน

ย่าอำฯขอโทษคุณโอนะคะ
ขอร้องคุณโอ
กลับมาเป็นเพื่อนเราเหมือนเดิมเถอะค่ะ
มันเป็นอะไรที่โหดร้ายและทำร้ายจิตใจของเรามาก
จนประมาณค่าออกมาไม่ได้

ย่าอำฯอาจจะต้องจากลาอีกครั้ง
เหมือนที่จากลาลานธรรม

ด้วยความสำนึกผิด

แล้วพวกเราที่เหลือ
จะมีความสุขใจ
จะมีความขวนขวายในธรรมได้อย่างไร
ในสภาพที่บ้านแตกเช่นนี้...

ไม่ใช่ญาติพี่น้อง
แต่เราก็สนิทสนมกัน
ด้วยความเป็นญาติธรรมที่เรามีต่อกัน

ย่าอำฯมั่นใจ
ว่าไม่ใช่ตัวอักษรจากคุณโอแน่นอน

ได้โปรดรีบมาเยี่ยมเยือนพวกเราเหมือนเดิมนะคะ

จะได้หายตกใจขวัญหนีดีฟ่อกันเร็ว ๆค่ะ

นะคะคุณโอ
เห็นแก่ย่าอำฯสักครั้งเถอะค่ะ

มีตัวอักษรมากมายที่อยากจะพูด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ออกมา

เพื่อให้คุณโอเข้าใจ

แต่มั่นใจว่า
เพื่อนต้องเข้าใจเพื่อน
มิตรภาพของเพื่อน
โดยเฉพาะเพื่อนธรรม
ต้องไม่สั่นคลอนง่ายดายเช่นนี้

ด้วยความระลึกถึงเพื่อนธรรมที่ชื่อคุณโอค่ะ
ทิพพาภรณ์ เพียรรู้จบ
อักษราภรณ์
อำไพพร

โดย: ทิพพาภรณ์ เพียรรู้จบ IP: 125.26.29.222 12 มิถุนายน 2551 22:13:55 น.




ปล. ขออภัยเจ้าย่าฯ ที่นู๋กาลบข้อความอันเดิมของเจ้าย่าฯ และนำมาโพสใหม่
เพราะนู๋กาลบเบอร์โทรศัพท์ออกค่ะ ไม่อยากให้โชว์ในที่สาธารณะ มันลบเฉพาะคำไม่ได้ค่ะ ต้องลบทั้งคห.

 

โดย: สาวิกา 12 มิถุนายน 2551 22:42:59 น.  

 

ได้ค่า...
(ภาพเก้ารอยยิ้มที่เศร้าหมอง)

 

โดย: อำไพพร IP: 125.26.29.222 12 มิถุนายน 2551 22:50:20 น.  

 

จริงด้วยคะ

 

โดย: Anitapa 12 มิถุนายน 2551 23:14:55 น.  

 

..เศร้าจัง..

ขอประทานโทษอย่างมาก..

ขออนุญาตนะคะ

_/|\\_

..มิตรภาพ..เพื่อน..
เป็นธรรมดา..
ที่ต้องมีการกระทบกระทั่งบ้าง

สิ่งใดที่เห็นว่า..
ไม่สมควร..
ไม่ถูกต้อง..
ไม่ควรทำ.. หรือ
รับไม่ได้..

หากเราไม่บอกออกไป..
อีกฝ่ายย่อมไม่มีทางทราบได้
ไม่มีทางได้แก้ไข ..
เพื่อทำในสิ่งที่ถูก..
หรือ อย่างน้อย..
ก็ไม่ทำในสิ่งที่ผิด..
หรือ ทำร้ายจิตใจเพื่อน..

บางที..
เราก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย..
นอกจาก "โอกาส" นะคะ

คุณป๋าไม่ใจร้ายหรอก..ใช่มั้ยคะ ?

+++++++++++++++

สิ่งใดที่ล่วงเกินคุณป๋า..
ทำให้ขัดเคืองใจ
ขอให้คุณป๋าอโหสิให้เปิ้ลด้วยนะคะ

_/|\\_

 

โดย: times IP: 124.120.197.151 13 มิถุนายน 2551 0:33:42 น.  

 

ซาหวัดดีค่ะ ทุก ๆ ท่าน..


เด็ดดอกรัก
ชรินทร์ นันทนาคร

อย่าโศกไปเลย
อย่าเศร้าไปเลยเมื่อเคยรักกัน
ความรักต้องแปรเปลี่ยนผัน
เหมือนความฝันที่แปรเปลี่ยนไป

ร่วมคู่ครองกัน
ไม่เนิ่นนานวันต้องพลันช้ำใจ
ถึงรักมากแท้แค่ไหน
อย่าฝันใฝ่ยั่งยืนจีรัง

เกิดจากกรรมเวร
สุดแต่กฏเกณฑ์ลิขิตชะตา
เป็นคู่สู่สมสร้างมา
สูงสุดฟ้าต่ำจนหญ้าบัง

เมื่อรักมั่นจริง
ผ่านสิ่งลวงใจหากใครคิดชัง
รักแท้จะจูงมุ่งหวัง
ถึงจนก็ยังหวังความรื่นรมย์

เด็ดดอกรัก ร่วมต้นคนละกิ่ง
ไม่รักจริงจึงจืดจางเมินหมางคู่ชม
แรกรักกันมิเคยไหวหวั่นพลั่นคำติชม
เบื่อรักเหลือข่ม อ้างดินฟ้าห่างไกล


ตัดขาดไมตรี
สุดสิ้นกันทีเถิดความระทม
เมื่อคิดมีคู่สู่สม
ขอเด็ดดมดอกรักร่วมใจ

จับกิ่งเดียวกัน
เก็บดอกเดียวกันมั่นในฤทัย
ถึงทุกข์สุขแท้แค่ไหน
ขอฝากใจแก่คนรักจริง...


อย่าเศร้าไปเลยนะคร้า..นู๋กา คุณย่าอำฯ นู๋เวลา..
พี่โอ.. คงจะเข้ามา ทดสอบ.. ว่าพวกเรา ปฎิบัติ ไปได้แค่ไหนแล้ว..ค่ะ

หากเป็นพี่ o ..จริงนะ (ยิ้มกว้างงง 3 ที)
หรืออาจจะเป็น แควนพี่โอ ที่ขี้หวง..เหมือนอย่างพี่ช.สาวิกาก็ได้น๊าคร้า..

 

โดย: ยายลิง IP: 58.137.0.83 13 มิถุนายน 2551 8:50:04 น.  

 

***
พี่โอ.. คงจะเข้ามา ทดสอบ.. ว่าพวกเรา ปฎิบัติ ไปได้แค่ไหนแล้ว..ค่ะ
***

นึกว่าตัวจะเข้มแข็ง
ยังแพ้แรงอารมณ์ไหว
ยังอ่อนหัด..ต้องฝึกไป
ไม่หวั่นไหวกับอารมณ์.

เช่นกันค่ะ..คุณยายลิง
นู๋เวลาก้อยังทำใจลำบาก..
..กับเรื่องจาก..จาก อ่ะค่ะ

“สติ” นี่สำคัญจริงๆ นะคะ
หากเข้ามาได้ทันท่วงที..และแข็งแรงพอ
ปัญญาที่มีอยู่ ก้อพร้อมตัดสิ่งที่เข้ามากระทบได้ไว

ทีแรก..สติตั้งมั่นอยู่ดี
อุอุ..ตกค่ำ..กระเจิง
อาไรหว่า..
ทีเล่นทีจริง??

..อุอุ..ทีนี้หละ..
สติก้อไม่แข็งแรง
ตัว “ปัญญา” ก้อยังอ่อนอยู่
..
เรื่องนี้สอนว่า..
อย่าไว้ใจ..ตัวเอง..

++++++++++++++++++
***
หากเป็นพี่ o ..จริงนะ (ยิ้มกว้างงง 3 ที)
หรืออาจจะเป็น แควนพี่โอ ที่ขี้หวง..เหมือนอย่างพี่ช.สาวิกาก็ได้น๊าคร้า..
***

55555++

+++++++++++++++

คุณยายลิงขา..

บุญรักษานะคะ _/|\\_

:-)



 

โดย: times IP: 58.181.136.90 13 มิถุนายน 2551 9:59:19 น.  

 

O-Mi-Gosh!!!

*_*

 

โดย: นู๋อบค่ะ IP: 58.10.80.167 13 มิถุนายน 2551 10:11:32 น.  

 

สวัสดีครับทุกท่าน
เอาใจช่วยทุกท่านที่มีความเครียดความเศร้าโศกนะครับ
ขอให้เจริญในศีลในธรรมกันนะครับ(3ยิ้ม)

เอาสติมาฝากเป็นกำลังใจเปิ้ลครับ(3ยิ้มจริงจัง)

สติปัฏฐาน 4
ที่ตั้งของสติ การตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นตามความเป็นจริง คือ ตามที่สิ่งนั้นๆ มันเป็นของมัน ประกอบด้วย


1.การตั้งสติกำหนดพิจาราณากาย (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน)
เป็นการตั้งสติกำหนดพิจารณากาย ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงกาย ไม่ใช้สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา

ท่านจำแนกวิธีปฏิบัติไว้หลายอย่าง คือ

กำหนดลมหายใจ (อานาปานสติ)
กำหนดรู้ทันอิริยาบถ (อิริยาบถ)
สร้างสัมปชัญญะในการกระทำความเคลื่อนไหวทุกอย่าง (สัมปชัญญะ)
พิจารณาส่วนประกอบอันไม่สะอาดทั้งหลายที่ประชุมเข้าเป็นร่างกายนี้ (ปฏิกูลมนสิการ)
พิจารณาเห็นร่างกายของตนโดยสักว่าเป็นธาตุแต่ละอย่างๆ (ธาตุมนสิการ)
พิจารณาซากศพในสภาพต่างๆอันแปลกกันไปใน 9 ระยะเวลา ให้เห็นคติธรรมของร่างกายของผู้อื่นเช่นใด ของตนจักเป็นเช่นนั้น (นวสีวถิกา)


2.การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนา (เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน)
เป็นการตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนา ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงเวทนา ไม่ใช้สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
คือ มีสติอยู่พร้อมด้วยความรู้ชัดเวทนาอันเป็นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี เฉยๆก็ดี ทั้งที่เป็นสามิส และเป็นนิรามิสที่เป็นไปอยู่ในขณะนั้นๆ

3.การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต (จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน)
เป็นการตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงจิต ไม่ใช้สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
คือ มีสติอยู่พร้อมด้วยความรู้ชัดจิตของตนที่มีราคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไม่มีโมหะ เศร้าหมอง หรือผ่องแผ้ว ฟุ้งซ่าน หรือ เป็นสมาธิ ฯลฯ อย่างไรๆ ตามที่เป็นไปอยู่ในขณะนั้นๆ

4.การตั้งสติกำหนดพิจาณาธรรม (ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน)
เป็นการตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช้สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
คือ มีสติอยู่พร้อมด้วยความรู้ชัดธรรมทั้งหลายได้แก่ นิวรณ์ 5 ขันธ์ 5 อายตนะ 12 โพชฌงค์ 7 อริยสัจจ์ 4 ว่าคืออะไร เป็นอย่างไร มีในตนหรือไม่ เกิดขึ้น เจริญบริบูรณ์ และดับไปได้อย่างไร ตามที่เป็นจริงของมันอย่างนั้นๆ

ที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ผู้แต่ง พระธรรมปิฎก สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. 2546 หน้า 141

โปรดใช้หลักอย่าเชื่อ 10 ประการ (กาลามสูตร) ในการพิจารณา ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถหาได้จากที่มาที่อ้างอิงครับ

//www.easyinsurance4u.com/buddha4u/foundations_of_mindfulness.htm
(3ยิ้ม)

 

โดย: มุ่งเต็มใจ IP: 203.113.0.205 13 มิถุนายน 2551 10:44:05 น.  

 

ขออภัยครับคล้ายๆเครื่องมันรวน
เลยเกิดการลงความคิดเห็นซ้อนกันสองครั้ง คุณสาวิกายกความเห็นที่ซ้ำ ความเห็นที่13 (ในวันศุกร์ที่13)ออกก็ได้นะครับ เผื่อใครจะงง
(3ยิ้มธรรมะสวัสดีครับ)

 

โดย: มุ่งเต็มใจ IP: 203.113.0.205 13 มิถุนายน 2551 10:48:57 น.  

 

O-Mi-Gosh!!!

*_*

โดย: นู๋อบค่ะ

_/\\_ เกิดอะไรขึ้นหรือครับ(3หน้างงๆ)

ผมขออนุญาตนำเรื่องราวของสัจจะดีๆมาฝากต่อครับ

1. สัจจบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์



--------------------------------------------------------------------------------

"สัจจบารมี"เป็นบารมีหนึ่งในทศบารมีซึ่งเป็นชาดกกล่าวถึงเรื่องของการเสวยพระชาติของพระพุทธเจ้า
เป็นพระโพธิสัตว์เพื่อบำเพ็ญบารมีต่างๆ รวม ๑๐ ชาติ ก่อนที่จะเสวยพระชาติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะแล้วเสด็จออกบวช
จนกระทั่งทรงบรรลุพระโพธิญาณตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในที่สุด

คำว่า "สัจจะ" หมายถึง "จริงใจ คือ ความซื่อสัตย์ จริงวาจา คือ พูดจริง" และ "จริงการ คือ ทำจริง"
ส่วนคำว่า "บารมี" หรือ "ปารมี" มีความหมายอยู่ ๒ ประการ คือ "อย่างยิ่ง, เลิศประเสริฐที่สุด" และ "คุณธรรม
ที่ได้สั่งสมกันมาโดยลำดับ หรือ การสะสมคุณงามความดี ทำบุญกุศลกันโดยลำดับต่อเนื่อง"

"สัจจบารมี" จึงหมายความว่า "บารมีที่เกิดขึ้นโดยวิธีการฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้มีความจริงใจ
มีความซื่อสัตย์ พูดจริง กระทำจริง" นอกจาก "สัจจบารมี" แล้ว ยังมีอีกบารมีหนึ่งที่จำเป็นต้องบำเพ็ญควบคู่กัน
เสมือนพี่น้องฝาแฝด คือ "อธิษฐานบารมี"

คำว่า "อธิษฐาน" หมายถึง "ความตั้งใจมั่น เด็ดเดี่ยว แน่วแน่ ที่จะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้บรรลุ
ความมุ่งหมายของตน" คำนี้มักถูกนำมาใช้ควบคู่กับคำว่า "สัตย์" ซึ่งเรียกรวมกันว่า "สัตยาธิษฐาน หรือ ตั้ง
สัตย์อธิษฐาน"

ในการตั้งสัตยาธิษฐานเพื่อให้บรรลุผลตามที่ได้ตั้งจิตปรารถนาไว้นั้น จะบังเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อใน
คำอธิษฐานนั้น ได้มีการกล่าวอ้างอิงถึงสิ่งที่เป็นความจริง และหรือ คุณธรรมที่ตนเชื่อมั่น และได้ถือปฏิบัติ
อย่างจริงจัง

พระสูตร หรือ พระปริตร เป็นบทสวดมนต์ที่พระภิกษุสงฆ์นำมาสวด หรือ เจริญพระพุทธมนต์ในพิธี
มงคลต่างๆ เป็นการตั้งสัตยาธิษฐาน หรือ การกล่าวสัจจวาจาของผู้สวดเพื่ออวยพรแก่เจ้าภาพ และผู้ที่มาร่วมพิธี
เช่น บทสวดที่ว่า นัตถิ เม สรณัง อัญญัง ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พุทโธ เม สรณัง วรัง พระพุทธเจ้า
เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ ด้วยคำกล่าวสัตย์นี้ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา
ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทุกเมื่อ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ความศักดิ์สิทธิ์ของบทสวดมนต์จะปรากฏผลได้ ก็ต่อเมื่อผู้สวดได้ถือปฏิบัติ
ิตามข้อความ หรือ สัจจวาจาที่ได้แสดงไว้ในบทสวดนั้นได้จริงๆ กล่าวคือ ผู้สวดจะต้องมีความเคารพ
เชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัยจริงๆ มิใช่กล่าวออกไปเฉยๆ พอเป็นพิธีเท่านั้น

การกล่าวสัจจวาจานั้น ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงคุณพระรัตนตรัยเสมอไป ผู้กล่าวจะอ้างอิงความจริงใน
เรื่องอื่นๆ ของตนก็ได้ เช่นอ้างเรื่องการบำเพ็ญบุญกิริยาของตน คือ การรักษาศีล การบริจาคทาน การภาวนา
เป็นต้น เมื่อได้กล่าวอ้างอิงถึงความจริงแล้ว ก็ให้อธิษฐานขอสิ่งที่ตนปรารถนาสิ่งที่พึงเป็นไปได้ไว้ในใจ เช่น
อธิษฐานขอความคุ้มครองให้ตนพ้นจากทุกข์โศกโรคภัย มีบทสวดมนต์บทหนึ่งในบทสวด ๗ และ ๑๒ ตำนาน คือ
วัฏฏปริตร ซึ่งขึ้นต้นด้วยคำว่า อัตถิ โลเก สีเลคุโณ บทสวดนี้ เป็นที่รู้จัก และนับถือกันมาตั้งแต่โบราณจนถึง
ปัจจุบันว่า "คาถา (นกคุ่ม) ดับไฟ"

บทสวดมนต์ หรือ คาถาดังกล่าวนี้มีตำนานว่า ครั้งหนึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก
เสด็จไปจำพรรษาที่ตำบลหนึ่งในแคว้นมคธ เช้าวันหนึ่ง ได้เสด็จออกบิณฑบาต ระหว่างทาง ได้เกิดไฟป่าลุกไหม้
และไฟได้ลามมาใกล้ที่ประทับของพระพุทธองค์ แต่ก็ได้ดับลงไปเองอย่างน่าอัศจรรย์ บรรดาพระภิกษุสงฆ์ จึงได้
ขอให้พระสาริบุตรทูลถาม พระพุทธองค์จึงได้ตรัสเล่าวัฏฏชาดกซึ่งเป็นเรื่องที่ได้เกิดมาแล้วในอดีตเมื่อครั้งยังเป็น
พระโพธิสัตว์ ที่ได้เสวยพระชาติเป็นลูกนกคุ่ม (บางทีเรียกว่า นกคุ่มไฟ) ว่า ครั้งหนึ่งได้เกิดไฟป่าไหม้มาโดยรอบ
รังนกที่อาศัยอยู่ในป่า และรังหนึ่งเป็นรังของนกคุ่มผัวเมีย มีลูกเล็กๆ อาศัยอยู่ด้วย เมื่อไฟป่าได้ลุกลามมาใกล้จะถึง บรรดานกทั้งหลายก็พากันบินหนี รวมทั้งนกคุ่มที่เป็นพ่อแม่ด้วย ปล่อยให้ลูกนกคุ่มที่ยังเดินไม่ได้ บินไม่ได้รอความ
ตายอยู่ในรัง ลูกนกคุ่มนั้นจึงได้ตั้งสัจจกิริยา คือ การกล่าวสัจจวาจาโดยอ้างอิงถึงคุณของศีล รวมทั้งคุณธรรมอื่นที่มี
อยู่ ที่ได้กระทำมาในอดีตชาติ คุณของพระพุทธเจ้า รวมทั้งความจริงที่เกี่ยวกับตัวเอง คือ มีปีกก็ยังบินไม่ได้ มีเท้าก็
็ยังเดินหนีไปไม่ได้ แล้วจึงอธิษฐานอยู่ในใจว่า ขอให้อำนาจแห่งความจริงต่างๆ ที่ตนได้กล่าวไว้จงดลบันดาลให้เกิด
ผลคือ ขอให้ไฟป่าที่กำลังลุกลามเข้ามาใกล้รอบตัวได้ดับลง

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ได้ทรงแปล มีข้อความตอนหนึ่งในบทสวดนี้ไว้ว่า
"คุณแห่งศีลมีอยู่ในโลก ความสัตย์ความสะอาดและความเอ็นดูกรุณามีอยู่ในโลก ด้วยคำสัตย์นั้น ข้าพเจ้าจะทำสัจจะ
กิริยาอันเยี่ยม ข้าพเจ้ารำลึกถึงกำลังแห่งธรรม รำลึกถึงพระชินเจ้าทั้งหลายในปางก่อน อาศัยกำลังแห่งสัจจะ ขอทำ
สัจจกิริยา ปีกทั้งหลายของข้าพเจ้ามีอยู่ แต่ก็ยังบินไปไม่ได้ เท้าทั้งหลายของข้าพเจ้ามีอยู่ก็ยังเดินไม่ได้ มารดาและ
บิดาของข้าพเจ้าก็ออกไปแล้ว ดูก่อนไฟป่า ขอท่านจงถอยไป ครั้นเมื่อสัจจะอันข้าพเจ้าทำแล้ว เปลวไฟอันลุกโพลง
มากก็สงบ.… ประหนึ่งเปลวไฟที่ตกถึงน้ำ สิ่งใดเสมอด้วยสัจจะของเราไม่มี นี้เป็นสัจจบารมีของเรา"

ผู้ที่สามารถรักษาสัจจวาจาได้จนเป็นนิสัย ก็เท่ากับผู้นั้นได้มีโอกาสบำเพ็ญ สะสมสัจจบารมีของตนให้มาก
ขึ้นโดยลำดับ และเมื่อนำมาประกอบกับอธิษฐานบารมี บารมีที่ได้สะสมไว้ทั้งสองประการย่อมมีพลังรุนแรง
แสดงผลให้ได้ทันตาเห็น ดังที่ได้แสดงไว้ในบทสวดวัฏฏปริตรดังกล่าวข้างต้น

เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๐ได้มีเหตุการณ์สำคัญที่น่าระทึกใจยิ่งครั้งหนึ่งคือ ภัยพิบัติที่เกิด
แก่หลายจังหวัดในภาคใต้ตอนบน อันเนื่องจากพายุใต้ฝุ่น “ลินดา” พัดผ่าน พายุนี้ได้เริ่มก่อตัวในทะเลจีนตอนใต้ห่างจาก
แหลมญวนไม่มากนัก โดยเริ่มก่อตัวจากหย่อมความกดอากาศต่ำ มาเป็นดีเปรสชันเมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๔๐
แล้วได้ทวีความรุนแรงกลายเป็นพายุโซนร้อนเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ ต่อจากนั้นได้แปรสภาพเป็นพายุ ไต้ฝุ่นมี
ความเร็วสูงสุดรอบศูนย์กลางประมาณ ๘๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เคลื่อนที่ผ่านแหลมญวนเข้าสู่อ่าวไทย มุ่งหน้าเข้าสู่บาง
จังหวัดใน ภาคใต้ตอนบนซึ่งได้แก่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และชุมพร ลักษณะการก่อตัว ความรุนแรง และทิศทางการเคลื่อน
ที่ของพายุใต้ฝุ่นนี้คล้ายกับพายุใต้ฝุ่น “เกย์” ซึ่งได้เคยก่อภัยพิบัติ ให้แก่จังหวัดเหล่านี้มาแล้วอย่างมหาศาลเมื่อวันที่
๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๒

ด้วยความเป็นห่วงใยต่อพสกนิกรที่พำนักอาศัยอยู่ในท้องถิ่นที่พายุ "ลินดา" จะเคลื่อนที่ผ่าน
พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวจึงได้ทรงเฝ้าติดตามสังเกตการณ์การก่อตัว การเปลี่ยนแปลงของพายุใต้ฝุ่น “ลินดา”
ตั้งแต่จุดเริ่มต้นอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด

คำพยากรณ์ที่ได้รับรายงานจากศูนย์อุตุนิยมวิทยาทั่วโลกระบุอย่างแน่ชัดว่า ในวันที่ ๓
พฤศจิกายน ๒๕๔๐ ตามเวลาท้องถื่น ๑๙.๐๐ น. พายุนี้จะมีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด ๑๐.๘ องศาเหนือ ลองจิจูด
๑๐๐.๘ องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดที่จุดศูนย์กลางรุนแรงถึง ๗๕ นอต หรือ ๑๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง
โดยเคลื่อนที่มาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือด้วยความเร็วประมาณ ๑๑ นอต หรือ ๑๘ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตรงเข้า
สู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และชุมพร โดยอยู่ห่างจากฝั่งประมาณ ๒๘ กิโลเมตร และจะเคลื่อนที่ถึงฝั่งภายใน ๑ ชั่วโมง
เศษเท่านั้น หากเป็นเช่นคำพยากรณ์ ทั้งจังหวัดสุราษฎร์ธานี และ ชุมพรคงจะถูกกวาดล้างโดยพายุใต้ฝุ่น “ลินดา”
จนหมดสิ้น สิ่งบอกเหตุดังกล่าวนี้ จึงได้สร้างความกังวลและความเคร่งเครียดพระทัยให้แก่พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างยิ่ง

แต่โดยที่มิได้คาดคิด อีกไม่กี่นาทีก่อนที่จะเคลื่อนที่มาถึงฝั่ง พายุนี้ได้กลับอ่อนกำลังลง
โดยฉับพลัน มาเป็นพายุโซนร้อนมีความเร็วสูงสุดที่จุดศูนย์กลางเพียง ๕๐ นอต หรือ ๙๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น
ทั้งทิศทางการเคลื่อนที่กลับเบี่ยงเบนขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเล็กน้อย และถึงฝั่งที่อำเภอทับสะแก จังหวัด
ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ เวลา ๐๒.๐๐ น.จังหวัดสุราษฎร์ธานี และชุมพรจึงได้รับภัยพิบัติ
จากพายุนี้ไม่รุนแรงนัก ดูจะเป็นการผิดปกติอย่างยิ่งในการเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลันของพายุไต้ฝุ่นในลักษณะนี้
เพราะโดยธรรมชาติแล้ว ถ้าพายุยังเคลื่อนที่อยู่เหนือพื้นน้ำทะเลหรือมหาสมุทร พายุนั้นจะเพิ่มความแรง ความเร็ว
ที่จุดศูนย์กลางมากยิ่งขึ้น และจะลดลงเมื่อเคลื่อนที่ขึ้นฝั่งแล้ว พายุโซนร้อน “ลินดา” นี้ก็เช่นกัน เมื่อเคลื่อนที่พ้นจาก
ประเทศไทยลงสู่ทะเลอันดามัน และมหาสมุทรอินเดีย ก็ได้เพิ่มความรุนแรงมากยิ่งขึ้นตามลำดับ แปรสภาพกลับ
ไปเป็นพายุไต้ฝุ่น หรือ ไซโคลน อีกครั้งหนึ่งในวันเวลาต่อมา

เหตุการณ์ครั้งนี้ เมื่อได้พิจารณาดูแล้ว จะไม่แตกต่างกับเหตุการณ์ที่ได้มีแสดงไว้ในวัฏฏปริตร
จึงน่าจะยืนยันได้ว่า การที่พายุไต้ฝุ่น "ลินดา" ได้เปลี่ยนทิศทางโดยกระทันหันเป็นมหัศจรรย์ในครั้งนั้น
เป็นผลมาจากพลังสัจจบารมี และอธิษฐานบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้ทรงสะสมมาตั้งแต่
ในอดีตพระชาติ และที่ได้ทรงบำเพ็ญสะสมเพิ่มเติมขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างยิ่งใหญ่มหาศาลในพระชาติ
ปัจจุบันได้ส่งเสริมกันจนเป็นพลังที่รุนแรง สามารถมีส่วนช่วยให้ประเทศชาติพสกนิกรรอดพ้นจากภัยพิบัติ
ธรรมชาติในครั้งนั้นได้ ประชาชนคนไทยนับได้ว่าเป็นผู้ที่มีโชคดีที่ได้มีพระมหากษัตราธิราชซึ่งทรงสมบูรณ์
ด้วยพระบารมี และทศพิธราชธรรม ทรงมีพระปรีชาสามารถ ทรงมีพระราชอัจฉริยภาพสูงส่ง และทรงมีพระ
มหากรุณาธิคุณแก่พวกเราเหลือคณานับ ดังนั้นในวโรกาสที่สำคัญยิ่งที่วันเฉลิมพระชนมพรรษาของ
พระองค์ท่านที่จะเวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่พวกเรา ชาวไทยทุกคน
จะร่วมกันตั้งสัตยาธิษฐาน ด้วยการระลึกถึงคุณธรรมที่เป็นความจริงต่างๆ ซึ่งตนได้บำเพ็ญมาอย่างต่อเนื่อง
อาทิ การรักษาศีล การบริจาคทาน การภาวนา เป็นต้น เป็นสัจจบารมี แล้วตั้งจิตอธิษฐานถวายพระพรว่า
ขอให้สัจจบารมีที่ตนได้บำเพ็ญมาโดยตลอดนั้น จงบังเกิดเป็นพระราชกุศลให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ตลอดไป

_ _ / \\ _ _

______________________________

"ส่งเสริมเขาไป เดินทางก้าวไม่หยุด ก็ถึงจุดหมายได้" ล.ป.เลี่ยม ฐิตธัมโม วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี มอบให้ ณ ชมรมพุทธ ทีโอที ในมหามงคลวโรกาส ครบรอบ79-80พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ธันวาคม2549

"พุทโธ โพเธยยัง มุตโต โมเจยยัง ติณโณ ตาเรยยัง"
"เมื่อรู้แล้ว จักช่วยผู้อื่นรู้ด้วย เมื่อพ้นทุกข์แล้ว จักช่วยผู้อื่นพ้นทุกข์ด้วย เมื่อข้ามโอฆะแล้ว จักช่วยผู้อื่นข้ามโอฆะด้วย"

"เมื่อได้พุทธภูมิแล้ว จักช่วยให้ผู้อื่นได้พุทธภูมิด้วย"

 

โดย: มุ่งเต็มใจ IP: 203.113.0.205 13 มิถุนายน 2551 11:01:53 น.  

 

The Heart Of The Matter
. . by India.Arie (originally by Don Henley)


I got the call today, I didn't wanna hear
But I knew that it would come
An old true friend of ours was talkin' on the phone
She said you found someone

And I thought of all the bad luck,
And all the struggles we went through
How I lost me and you lost you
What are these voices outside love's open door
Make us throw off our contentment
And beg for something more?

I've been learning to live without you now
But I miss you sometimes
The more I know, the less I understand
All the things I thought I knew, I'm learning them again

I've been tryin' to get down to the Heart of the Matter
But my will gets weak
And my thoughts seem to scatter
But I think it's about forgiveness
FORGIVENESS
Even if, even if you don't love me anymore

These times are so uncertain
There's a yearning undefined
And people filled with rage
We all need a little tenderness
How can love survive in such a graceless age

And the trust and self-assurance that lead to happiness
They're the very things we kill, I guess
Pride and competition cannot fill these empty arms
And the work they put between us,
You know it doesn't keep us warm

I've been trying to live without you now
But I miss you, baby
The more I know, the less I understand
And all the things I thought I figured out, I have to learn again

I've been tryin' to get down to the Heart of the Matter
But my will gets weak
And my heart is so shattered
But I think it's about forgiveness
FORGIVENESS
Even if, even if you don't love me anymore

All the people in your life who've come and gone
They let you down, you know they hurt your pride
Better put it all behind you; cause life goes on
You keep carryin' that anger, it'll eat you up inside

I want a happily everafter
And my heart is so shattered
But I know it's about forgiveness
FORGIVENESS
Even if, even if you don't love me anymore

I've been tryin' to get down to the Heart of the Matter
Because the flesh gets weak
And the ashes will scatter
So I'm thinkin' about forgiveness
FORGIVENESS

Even if you don't love me anymore

EVEN IF YOU DON'T LOVE ME ANYMORE

//www.youtube.com/watch?v=PT9jrPbZ5ug&feature=related

-_-

 

โดย: dj อบค่ะ IP: 58.10.80.167 13 มิถุนายน 2551 11:05:57 น.  

 

กล่าวเรื่องสติแล้วก็นำเรื่องปัญญามาผนวกด้วยครับ (3ยิ้ม)
อานิสงส์ปัญญาบารมี

ในสมัยหนึ่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดา เสด็จประทับอยู่บนแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ชั้น
ดาวดึงส์เทวสถาน ท้าวอมรินทราธิราช ได้ทูลถามถึงธรรมอันประเสริฐ ที่จะสามารถอำนวยมรรคผล
ให้แก่ผู้ประพฤติปฏิบัติ ขจัดเสียซึ่งภัยอันตราย ที่เกิดขึ้นจากหมู่มนุษย์ และสัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายให้
พ่ายแพ้ไปด้วย อำนาจอานุภาพ ที่ได้ประพฤติปฏิบัติท่องบ่นสาธยายทรงจำไว้ ซึ่งธรรมจะมีอยู่หรือ
พระพุทธเจ้าข้า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกรมหาราช ธรรมที่ยังผู้ปฏิบัติให้ประสบสุขเช่นนั้น
มีอยู่ท้าวอมรินทราธิราชจึงทูลถามต่อไปว่าธรรมนี้ชื่ออะไร พระพุทธเจ้าข้าพระบรมครูจึงตรัสว่า
พระธรรมนี้ชื่อว่าปัญญาบารมี

ท้าวอมรินทราธิราช ทูลอาราธนาให้พระองค์ทรงแสดงพระสัทธรรมนี้
พระบรมศาสดาทรงแสดงซึ่งปัญญาบารมี ที่พระองค์ได้เคยสร้างมาแล้วในอนันตะชาติว่าปัญญาบารมี
30 ทัศนี้ เป็นยอดแห่งธรรมที่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ทรงบำเพ็ญมาแล้วอย่างเต็มเปี่ยม จึงได้ตรัส
เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บุคคลใดได้เขียนไว้สักการบูชาก็ดี ได้สดับฟังทุกวันก็ดี ผู้นั้นจะเป็น
ผู้มีสมบัติข้าวของมาก ผู้ใดได้ท่องบ่นทรงจำไว้สาธยายทุกวัน ผู้นั้นจะพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง
ปรารถนาสิ่งใดก็จะสำเร็จดังความมุ่งหมาย เป็นที่รักแก่เทวดาและมนุษย์ ทั้งปวง เทวดาย่อมให้พรและ
ตามรักษาบุคคลนั้น ผู้ใดได้ประพฤติบารมี 30 ทัศนี้ ให้บังเกิดมีแก่ตนย่อมประสบสมบัติ 3 ประการคือ
มนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัตินิพพานสมบัติแม้จะปรารถนาเป็นพุทธภูมิ ปัจเจกภูมิ สาวกภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะสำเร็จ
พระอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้าทรงแสดงปัญญาบารมีจบลงแล้ว ท้าวอมรินทราธิราช
แสดงตนเป็นอุบาสก น้อมเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีพ เหล่าเทวดาทั้งหลายได้บรรลุมรรคผล
เป็นอันมาก
(3ไหว้ครั้ง)

"พุทโธ โพเธยยัง มุตโต โมเจยยัง ติณโณ ตาเรยยัง"
"เมื่อรู้แล้ว จักช่วยผู้อื่นรู้ด้วย เมื่อพ้นทุกข์แล้ว จักช่วยผู้อื่นพ้นทุกข์ด้วย เมื่อข้ามโอฆะแล้ว จักช่วยผู้อื่นข้ามโอฆะด้วย"

"เมื่อได้พุทธภูมิแล้ว จักช่วยให้ผู้อื่นได้พุทธภูมิด้วย"

พระโพธิญาณัง ณ ปัจจโย โหตุ สาธุ

 

โดย: มุ่งเต็มใจ IP: 203.113.0.205 13 มิถุนายน 2551 12:41:57 น.  

 

ลาก่อน


สิ่งที่ยาวนาน ยิ่งกว่าสิ่งไหน
นั่นก็คือใจที่ฉันให้เธอ
แต่สิ่งที่ยืนยงมั่นคงเสมอ
ก็คือเธอกับความเฉยชา

อ่อนใจกับความเลื่อนลอย
กับความรอคอย จนเหนื่อยจนล้า
บัดนี้ มันเกินเวลา

จบแล้ว รักนี้ที่ทนมา
เหนื่อยล้า เพราะรักที่ยาวไกล
หนึ่งคำที่อยากจะพูดไป
อยากจะย้ำชัดๆ ครั้งสุดท้าย รักเธอ

อยากจะใจเย็น มากกว่าวันนี้
อยากเป็นคนดี ทนได้นานๆ
แต่จะรอเธอ เพื่อเจอวันนั้น
จะต้องรออีกนานเท่าไหร่

เมื่อเธอ...ไม่เคยเข้าใจ
ว่าการรอคอยมันเหนื่อยเพียงไหน
อย่างนี้คงรอเรื่อยไป

จบแล้ว รักนี้ที่ทนมา
เหนื่อยล้า เพราะรักที่ยาวไกล
จากกันฉันอาจต้องเสียใจ
แต่วันนี้ฉันขอยอมตัดใจ...จากเธอ

หากว่าความจริงเธอไม่มีใจ
ก็ไม่น่าคิดนานขนาดนั้น
เจ็บที่จริงใจ ให้อยู่นาน
แต่เหมือนไม่มีความหมาย

จบแล้ว รักนี้ที่ทนมา
เหนื่อยล้า เพราะรักที่ยาวไกล
หนึ่งคำที่อาจจะฝืนใจ
แต่วันนี้ต้องพูดมันออกไป…ลาก่อน

 

โดย: ลิง IP: 58.137.0.83 13 มิถุนายน 2551 14:19:49 น.  

 

ผีเสื้อ...ตัวน้อยๆ ..... บินล่องลอย..กลางพนา..ไพร...

โผผิน..ร่อนบิน....ระเริงใจ .... คลุกเคล้า...ดอกไม้..ใจชื่นบาน....

แสง..แดด...ยามสายๆ...งาม..พร่างพราย...ต้องสายธาร....

ฉาบทอง..เมื่อมอง...แสงตระการ....ผีเสื้อ...สุขสราญ...นะ..เจ้าเอย...

ท้อง...ฟ้า...สีอำพัน...ผีเสื้อ...สุขสันต์...มากเหลือ.....

เจ้าไม่คิด...ไม่ต้องหวัง....ดอกไม้ยัง...กูลเกื้อ...แสงแดด...จุนเจือ...ชีวี...

อยาก..จะเป็น...ผีเสื้อ...ตัวน้อย....บินล่องลอย....เสรี....

สีสรร...ดุจอัญมณี....สุขใดฤาจะมี...เช่น...ผีเสื้อ....

:-)
:-)
:-)

 

โดย: times IP: 58.181.136.90 13 มิถุนายน 2551 14:27:05 น.  

 

ทำความเห็นให้เป็นปกติ ไม่ยึดถือความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น จิตย่อมไม่ไหลตามกระแสอารมณ์เหล่านั้น ไม่เป็นทุกข์

_/|\\_
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

:-) :-) :-) :-) :-) :-)

...
หาเหตุต้นตัวก่อให้ท้อใจ
เพียรทวนไป รู้ ตัด วาง ว่างอารมณ์.

:-) :-) :-) :-) :-) :-)


 

โดย: times IP: 58.181.136.90 13 มิถุนายน 2551 14:42:28 น.  

 

คุณย่าอำฯ ขา..

นู๋เวลาเอามาฝากค่ะ :-)

ปริยัติ-ปฏิบัติ
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)

ในหมู่ผู้สนใจศึกษาศาสนาจะมีข้อโต้แย้งกันเสมอระหว่าง การศึกษาจากตำรา คือศึกษาด้านปริยัติ กับอีกฝ่ายหนึ่งเน้นการปฏิบัติและไม่เน้นการศึกษาจากตำรา ว่าแนวทางใดจะให้ผลดีกว่ากัน

สำหรับหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านเสนอแนะให้ดำเนินสายกลาง นั่นคือถ้าเน้นเพียงด้านใดด้านหนึ่ง แล้วละเลยอีกด้านหนึ่ง ก็เป็นการสุดโต่งไป

หลวงปู่ท่านแนะนำลูกศิษย์ลูกหาที่มุ่งปฏิบัติธรรมว่า ให้อ่านตำรับตำราส่วนที่เป็นพระวินัยให้เข้าใจ เพื่อที่จะปฏิบัติไม่ผิด แต่ในส่วนของพระธรรมนั้นให้ตั้งใจปฏิบัติเอา

จากคำแนะนำนี้แสดงว่าหลวงปู่ถือเรื่อง การปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระวินัยเป็นเรื่องสำคัญ และจะต้องมาก่อน ศึกษาให้เข้าใจ และปฏิบัติตนให้ถูก แล้วเรื่องคุณธรรมและปัญญาสามารถสร้างเสริมขึ้นได้ถ้าตั้งใจ

ยกตัวอย่างในกรณีของ หลวงตาแนน

หลวงตาแนนไม่เคยเรียนหนังสือ ท่านมาบวชพระเมื่อวัยเลย กลางคนไปแล้ว ท่านเป็นพระที่มีความตั้งใจดี ว่าง่ายสอนง่าย ขยัน ปฏิบัติกิจวัตรไม่ขาดตกบกพร่อง เห็นพระรูปอื่นเขาออกไปธุดงค์ก็อยากไปด้วย จึงไปขออนุญาตหลวงปู่

เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว หลวงตาแนนก็ให้บังเกิดความวิตกกังวล ปรับทุกข์ขึ้นว่า “กระผมไม่รู้หนังสือ ไม่รู้ภาษาพูดเขา จะปฏิบัติกับเขาได้อย่างไร”

หลวงปู่จึงแนะนำด้วยเมตตาว่า

“การปฏิบัติไม่ได้เกี่ยวกับอักขระ พยัญชนะ หรือคำพูดอะไรหรอก ที่รู้ว่าตนไม่รู้ก็ดีแล้ว สำหรับวิธีปฏิบัตินั้น ในส่วนวินัยให้พยายาม ดูแบบเขา ดูแบบอย่างครูบาอาจารย์ผู้นำ อย่าทำให้ผิดแผกจากท่าน ในส่วนธรรมะนั้นให้ดูที่จิตของตัวเอง ปฏิบัติที่จิต เมื่อเข้าใจจิตแล้วอย่างอื่นก็เข้าใจได้เอง”

เนื่องจากหลวงปู่ได้อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ผู้ปฏิบัติมามากต่อมาก ท่านจึงให้ข้อสังเกตในการปฏิบัติธรรมระหว่างผู้ที่เรียนน้อยกับผู้ที่เรียนมากมาก่อนว่า

“ผู้ที่ยังไม่รู้หัวข้อธรรมอะไรเลย เมื่อปฏิบัติอย่างจริงจังมักจะได้ผลเร็ว เมื่อเขาปฏิบัติจนเข้าใจจิต หมดสงสัยเรื่องจิตแล้ว หันมาศึกษาตริตรองข้อธรรมในภายหลัง ก็จะรู้แจ้งแทงตลอดแตกฉานน่าอัศจรรย์”

“ส่วนผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนมาก่อน แล้วจึงหันมาปฏิบัติต่อภายหลัง จิตจะสงบเป็นสมาธิยากกว่าเพราะชอบใช้วิตกวิจารมาก เมื่อจิตวิตกวิจารมาก วิจิกิจฉาก็มาก จึงยากที่จะประสบผลสำเร็จ”

อย่างไรก็ตามข้อสังเกตดังกล่าว หลวงปู่ย้ำว่า “แต่ทั้งนี้ก็ไม่เสมอไปทีเดียว” แล้วท่านให้ข้อแนะนำต่อไปอีกว่า

“ผู้ที่ศึกษาทางปริยัติจนแตกฉานมาก่อนแล้ว เมื่อหันมามุ่งปฏิบัติอย่างจริงจัง จนถึงขั้นอธิจิต อธิปัญญาแล้ว ผลสำเร็จก็จะยิ่งวิเศษขึ้นไปอีก เพราะเป็นการเดินตามแนวทางปริยัติ ปฏิบัติ ย่อมแตกฉาน ทั้งอรรถะและพยัญชนะ ฉลาดในการชี้แจงแสดงธรรม”

หลวงปู่ได้ยกตัวอย่างพระเถระทั้งในอดีตและปัจจุบันเพื่อสนับสนุน ความคิดดังกล่าว ก็มีท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์) แห่งวัดบวรนิวาส กรุงเทพฯ และท่านอาจารย์พระมหาบัว ณานสมฺปนฺโน แห่งสำนักวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี เป็นต้น

ทั้งสององค์นี้ “ได้ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ อาจหาญชาญฉลาดในการแสดงธรรม เป็นประโยชน์ใหญ่หลวงแก่พระศาสนาเป็นอย่างยิ่ง”

โดยสรุป หลวงปู่สนับสนุนทั้งตำรา คือ ปริยัติและปฏิบัติต้องไปด้วยกัน และท่านย้ำว่า

“ผู้ใดหลงใหลในตำราและอาจารย์ ผู้นั้นไม่อาจพ้นทุกข์ได้ แต่ผู้ที่จะ พ้นทุกข์ได้ ต้องอาศัยตำราและอาจารย์เหมือนกัน”

_/|\\_

 

โดย: times IP: 58.181.136.90 13 มิถุนายน 2551 14:54:03 น.  

 


สวัสดีครับทุกท่าน
คห.ที่ 20 ของคนมีความสุข
***นู๋เวลาเอามาฝากค่ะ :-)

ปริยัติ-ปฏิบัติ
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)***

สาธุครับหนูเวลา(และย่าอำ) แอบเจ้านายมาโพสต์หรือครับ

ใช่เรื่องจากหนังสือหลวงปู่ฝากไว้ที่พระอาจารย์สมศักดิ์ อุปัชฌาย์พระอาจารย์ปราโมทย์ เขียนคำสอนหลวงปู่ดุลย์ไว้นานแล้วใช่ไหมครับ
ผมเคยอ่านมาประมาณปี2528โน่น เอ่อ(ยิ้มใหญ่ครับ) จำปริยัติตรงนี้ไม่ค่อยได้แล้วครับ อิอิ
ประมาณ20ปี(2548)ถัดมา หลวงปู่สมศักดิ์ท่านมาเทศน์ที่ทีโอที ผมได้โอกาสปรนนิบัตินวดขาท่าน(เชิญอนุโมทนากันนะครับ) ท่านมองหน้าผมอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ท่านก็กล่าวว่า อ่านหลวงปู่ฝากไว้จนแตกฉานเชี่ยวชาญแล้ว (แหะๆ ผมจำเนื้อความไม่ค่อยได้ คล้ายว่าตอนอ่านชอบมากและเนื้อความลึกซึ้ง คำสั้นกระชับเข้าใจได้ง่ายแต่ถ้ามาอ่านแล้วจะคุ้นๆตาครับ) ขอเชิญอนุโมทนากันนะครับ ผมยังต้องศึกษาอีกมากครับ
ขอให้ห้วงช่วงระหว่างการศึกษาของผมเป็นไปโดยดีงาม พ้นจากภัยของกิเลส อุปกิเลสต่าง เพื่อเป็นเหตุพลวปัจจัยอุปนิสัยตามส่งให้ได้พุทธภูมิและได้ช่วยให้ผู้อื่นได้ด้วยดีงามยิ่งๆขึ้นไปเทอญ

อนุโมทนาในส่วนบุญกุศลบารมีของทุกท่านครับ
เดี๋ยวนี้หนูเปิ้ลไม่ค่อยอวยพรผมเหมือนแต่ก่อนเลยครับ นึกสิ่งใดที่ดีงามขอให้สมความปรารถนาครับ

ธรรมะสวัสดีครับทุกท่าน (3รอยไหว้)

 

โดย: มุ่งเต็มใจ IP: 203.113.0.205 13 มิถุนายน 2551 16:22:17 น.  

 

ลาก่อน


สิ่งที่ยาวนาน ยิ่งกว่าสิ่งไหน
นั่นก็คือใจที่ฉันให้เธอ
แต่สิ่งที่ยืนยงมั่นคงเสมอ
ก็คือเธอกับความเฉยชา

อ่อนใจกับความเลื่อนลอย
กับความรอคอย จนเหนื่อยจนล้า
บัดนี้ มันเกินเวลา

จบแล้ว รักนี้ที่ทนมา
เหนื่อยล้า เพราะรักที่ยาวไกล
หนึ่งคำที่อยากจะพูดไป
อยากจะย้ำชัดๆ ครั้งสุดท้าย รักเธอ

อยากจะใจเย็น มากกว่าวันนี้
อยากเป็นคนดี ทนได้นานๆ
แต่จะรอเธอ เพื่อเจอวันนั้น
จะต้องรออีกนานเท่าไหร่

เมื่อเธอ...ไม่เคยเข้าใจ
ว่าการรอคอยมันเหนื่อยเพียงไหน
อย่างนี้คงรอเรื่อยไป

จบแล้ว รักนี้ที่ทนมา
เหนื่อยล้า เพราะรักที่ยาวไกล
จากกันฉันอาจต้องเสียใจ
แต่วันนี้ฉันขอยอมตัดใจ...จากเธอ

หากว่าความจริงเธอไม่มีใจ
ก็ไม่น่าคิดนานขนาดนั้น
เจ็บที่จริงใจ ให้อยู่นาน
แต่เหมือนไม่มีความหมาย

จบแล้ว รักนี้ที่ทนมา
เหนื่อยล้า เพราะรักที่ยาวไกล
หนึ่งคำที่อาจจะฝืนใจ
แต่วันนี้ต้องพูดมันออกไป…ลาก่อน

 

โดย: ลิง IP: 58.137.0.83 13 มิถุนายน 2551 16:40:38 น.  

 

ลาไปวัดนะคะ
ไปวัดใจค่ะ
เย็นวันนี้ ถึง
เย็นวันอาทิตย์ค่ะ

 

โดย: อำไพพร IP: 125.26.29.78 13 มิถุนายน 2551 16:47:05 น.  

 

ถึง...เพื่อน ๆ ทุกค่ะ

สว. ม่ายด้ายเข้ามาโพสต์...หลายวัน

ตามอ่านแล้ว...ต๊ก.จาย ..เล็กน้อย

"ดีจัง"...ที่ใครบางคนรู้สึกผิด และกล่าวคำ "ขอโทษ" เมื่อรู้สึกว่า.... อาจกล่าวล่วงเกินเพื่อน.....แม้มิได้เจตนา

สว.รอกล่าวคำว่า....
"ดีจัง".....ที่ใครบางคนจะ "รู้รัก...ให้อภัย"
และ
"ดีจัง"....ที่บ้านนี้ยังเป็นที่ชุมนุมของ
คนที่มีไมตรีจิตให้แก่กัน

และจะ "ดีมาก"....ถ้าสว.จะได้กล่าว
คำ "ดีจัง" อีกครั้งเร็ว ๆนี้

 

โดย: โอรัช IP: 125.24.148.197 13 มิถุนายน 2551 17:32:19 น.  

 


..อ้าววว ทำไมมีหลาย ลาก่อน อะคะ
ผีหลอกอีกแล้วววหรือ ไม่ได้ทำอาไรเลยน๊า..

มาอัพเดทให้ฟังว่า เรื่องเค้าไปถึงพราแล้วค่ะ
เมื่อกี๋..พี่ให้ทั้งเลขา ทั้งเพื่อนพี่โทรมาพูดกับยายลิง เฮ้อ ๆ ๆ
แล้วก็เรียกเค้า ไปพบ..ตอนนี้อยู่

เด๋ว..ก็รู้ ว่า หมู่ หรือ จ่า..
แบบว่า เบื่ออออ ทั้งหมดเลยยอะค่า

เมื่อกี๋เข้าไปแชท ก็รู้สึก สนุกตอนคุณย่าอำฯอยู่..
พอตอนหลัง ไม่รุ้จักใครสักคน ก็ไม่หนุก..

สอนก็สอน เรื่องที่เราพอจะรู้ ๆ อยุ่แล้วอะ
ยายลิงค่อนข้างจะชอบ ปฎิบัติ มากกว่า ปริยัติค่ะ
เพราะ ศัพท์ยากๆ.. สุดท้ายก็เหมือนเป็นแค่ท่องอาไรให้ฟัง

อ่านหมอดูในหนังสือมติชนศุกร์ที่แล้ว ยังอดขำๆ ไม่ได้อะ
เขาทายว่า จะมี แบบว่า.. คนที่ไม่อาบน้ำนานเป็นเดือน..
จามาสอนสุขอนามัย..ให้เรา อิอิ

..เข้าไปในแชท ก็ทำนองนั้นนะ ก็เหมือนๆใน ลธ.
..เคร่งเครียด ซีเรียสกันจัง..
ไม่ยักกะเหมือน คนที่หนูรุ้งทุกข์..ใจ คะนึงหาเลยเนอะ (ยิ้มกว้างงง 3 ที)..
(แล้วตามด้วย ร้องไห้อีก 7 ที )..
..เพราะ ไม่รู้ชะตากรรม..ทั้งของเราและของพี่ช.นู๋กาค่ะ

จวนจากลับบ้านแล้วน๊า..
เบื่อ ๆ เป็น มานุดซะจิงเลยย ทำไมมันยุ่งยิ่ง ยุ่งเหยิงจังคะ

 

โดย: ลิง IP: 58.137.0.83 13 มิถุนายน 2551 17:32:41 น.  

 

๑๐. สาเถยยะ คือการโอ้อวด หลอกลวงเขา ชอบอวดว่าดีกว่าเขา เก่งกว่าเขา พยายามแสดงให้เขาเห็น เพื่อให้เขาเกิดอิจฉาเรา เมื่อได้โอ้อวดแล้วมีความสุข

๑๔. อติมานะ คือการดูหมิ่นท่าน ความถือตัวว่าเราดียิ่งกว่าเขา ทำให้ดูถูกดูหมิ่นคนอื่น

ขออนุญาตนำมาฝากอีก2ข้อครับทุกท่าน
------------------------------------------
แสงส่องใจ
สมเด็จพระญาณสังวร

อุปกิเลสคือโทษเครื่องเศร้าหมอง ๑๖ อย่างนั้น เกิดจากความคิดปรุงแต่ง หยุดความคิดปรุงแต่งได้เพียงไร ย่อมยังความเศร้าหมองมิให้บดบังความประภัสสรแห่งจิตได้เพียงนั้น

------------------------------------------
O สาเถยยะ อุปกิเลสข้อ ๑๐ ท่านแปลว่า “โอ้อวด”

ความโอ้อวดเกิดจากความคิดปรุงแต่ง หาทางแสดงออกให้ผู้อื่นเห็นความสำคัญในทางต่างๆ ของตน เช่นความมั่งมี ความใหญ่โต มีอำนาจวาสนา หรือความฉลาดรอบรู้เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นความสำคัญจริงก็ตามไม่จริงก็ตาม

ความสำคัญนั้นจะปรากฏเป็นที่ล่วงรู้ของผู้อื่นก็ตาม แต่ถ้าเจ้าตัวไม่คิดปรุงแต่งหาทางแสดงออกก็ไม่เป็นการโอ้อวด ไม่เป็นอุปกิเลส ต้องคิดปรุงแต่งเพื่อโอ้อวดเท่านั้นจึงจะเป็นอุปกิเลส เป็นเครื่องเศร้าหมองที่ห่อหุ่มจิต และพรางความประภัสสรของจิต

เพียงไม่คิดปรุงแต่งเพื่อโอ้อวดสิ่งที่มีอยู่แล้วจริงก็ตาม หรือไม่จริงก็ตาม เพียงเท่านั้นสาเถยยะคืออุปกิเลสข้อ ๑๐ ก็จะไม่เกิด ความเศร้าหมองก็จะไม่เกิดเป็นดั่งฝุ่นละอองจับของสะอาดผ่องแผ้ว คือ จิตที่ประภัสสร ให้ปรากฏหมองมัว

O อติมานะ อุปกิเลสข้อ ๑๔ ท่านแปลว่า “ดูหมิ่นท่าน”

ก็เข้าใจได้ชัดแล้วว่าความรู้สึกหรือการกระทำที่เป็นการดูหมิ่นไม่ใช่สิ่งดี เป็นที่ตำหนิของคนทั่วไป ดูหมิ่นกับดูถูกก็ทำนองเดียวกัน ผู้ที่คิดดูหมิ่นหรือแสดงอาการดูหมิ่นผู้อื่นก็ต้องเริ่มจากความคิดปรุงแต่งว่าผู้อื่นต่ำต้อยกว่าตนต่างๆ

เป็นต้นว่า ฐานะความรู้ความสามารถ ชาติตระกูล เมื่อเกิดความคิดปรุงแต่งเช่นนี้ขึ้น ต้องพยายามหยุดให้ได้ จึงจะไม่เกิดความรู้สึกดูหมิ่นติดตามมา เปรียบดังพัดพาหมอกควันที่เริ่มขึ้นมิให้ผ่านเข้าปิดบังความประภัสสรแห่งจิตเพิ่มขึ้นกว่าที่มีอยู่เพราะความคิดปรุงแต่ง อันเป็นอุปกิเลสข้ออื่นๆ

ผู้มีความรู้ความสามารถหรือสติปัญญาหรือฐานะชาติตระกูล รู้แน่ในความเป็นจริงเช่นนั้นของตน จักไม่ทะนงเห่อเหิม เห็นตนวิเศษกว่าผู้ใดผู้หนึ่งแล้วดูหมิ่นผู้นั้น

ผู้ไม่มีสมบัติดังกล่าว แต่ปรารถนาจะให้เขายกย่องว่ามี นั่นแหละที่จะคิดปรุงแต่งไปต่างๆ นานาว่า คนนั้นคนนี้ต่ำต้อยกว่าตน แล้วก็ดูหมิ่นเขาแสดงออกให้ปรากฏ จะแก้ไขได้ด้วย การอย่านำตนไปเปรียบกับผู้อื่น

ตั้งใจทำดีเท่านั้น นั่นแหละจึงจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นที่จะได้พ้นทุกข์ ได้ประจักษ์ชัดเจนในความประภัสสรแห่งจิตตน

ธรรมะสวัสดีครับทุกท่าน
(3ไหว้)

 

โดย: มุ่งเต็มใจ IP: 203.113.0.205 13 มิถุนายน 2551 17:52:20 น.  

 

อิอิ..
สงสัยเป็นเพราะ..วันนี้เมื่อบ่าย..
เข้าบ้านมาโพสต์เพลงผีเสื้อ
เลยมีคนเข้าใจผิด..
คิดว่า..เราคือ"ผีเสื้อ"

ในเวลางาน..chat ไม่ได้ค่ะ..
ระบบที่ทำงานไม่รองรับมั้งคะ

หุหุ..
แล้วทีนี้..
ใครนะ คือ "ผีเสื้อ"
ลักษณะ..สำนวน..สไตล์การเขียน
คล้ายกันหรือคะ ?

ไหนจะมี"หนอนผีเสื้อ"
ที่คุณป๋าเคยเอ่ยถึง..

หุหุ..ท่าทางหนุกหนานกันใหญ่

:-) :-)


 

โดย: times IP: 124.120.203.59 13 มิถุนายน 2551 21:28:19 น.  

 


สวัสดีครับสมาชิกทุกๆท่าน


เพิ่งจะกลับมาครับ...ตามอ่านกันจนมึนตายลา...สายตาเริ่มจะร้องอุทรณ์แล้ว...หวังเพียงแต่จะเมตตาอย่าให้ถึงฎีกา...ก็นับว่ากรุณามากแล้ว อิ อิ


ต้องขออภัยย่าอักด้วยครับที่มาช้า...อวยพรวันเกิดไม่ทัน...แต่ทุกสิ่งนั้นล้วนเป็นเรื่องสมมติ...ถ้าเราหยุดที่บัญญัติ...เราก็จะปฏิบัติได้ก้าวไกล...เกินกว่าใคร ๆ จะรู้ได้ (ยิ้มปากกว้าง 1 ครั้ง)

 

โดย: นางเดินทัก IP: 222.123.76.164 14 มิถุนายน 2551 21:48:52 น.  

 

เมื่อวานหัวค่ำ..
เข้าเว็บ chat ดู..
หุหุ..
ไม่เจอ jukjik
ไม่เจอคุณย่าสายรุ้ง (ปฏิบัติธรรมอยู่)
ไม่เจอคุณนักเดินทาง (เพิ่งกลับ)
ไม่เจอคุณธรรมะ_พุทธะ ที่ย่าอำฯ เอ่ยถึง

แต่เจอ..
คุณผีเสื้อ..
ได้คุยเล็กน้อย..
แต่ไม่มีอะไรคุยเท่าไหร่

แปลก..
มีคนมาทักผิด
ประมาณว่า..
นึกว่า ..ทาม.. เดียวกัน
เลยเปลี่ยนชื่อ..

..ไม่ค่อยคุ้นกับการคุยกับคนแปลกหน้า..แต่..ก้อได้เพื่อนคุยท่านนึง..
เค้าเล่าประสบการณ์ปฏิบัติธรรมให้ฟัง
นับว่า..สนุกไม่เบาเลย..
การ chat นี่

แต่..
พิมพ์ช้า..
เลยเป็นอุปสรรค..
คุยไม่ทัน
อิอิ..

เสียดาย..เวลางานคุยไม่ได้..
เลยอดเจอหลายๆ ท่าน

_/|\\_

สบายดีกันนะคะ..
เร็วๆ นี้อยากหาเรื่อง..
หุหุ..ไม่ได้จะหาเรื่องใครนะ
อยากหาเรื่อง/บทความบางหัวข้ออ่าน..

แหล่งข้อมูลที่จะให้ถาม..
ก้อหาไปไหนไม่รุ
..
แต่ไม่เป็นไร..รอได้..
สบายดีนะคะ

_/|\\_

 

โดย: times IP: 124.120.205.172 15 มิถุนายน 2551 0:44:13 น.  

 

เสียดายจังนะคะ..
โพสต์รูปไม่ได้..

ได้ fwd mail ดีดีจากเพื่อน
อยากโพสต์ให้อ่านกัน

เลยไปโพสต์ไว้ที่
บ้านเรือนใจฯ ค่ะ

_/|\\_

 

โดย: times IP: 124.120.197.156 15 มิถุนายน 2551 11:23:07 น.  

 


สวัสดีครับสมาชิกทุกๆท่าน


ช่วงนี้สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ล้วนเป็นพิษ...เรามาดูแลและห่วงใยในสุขภาพกันเถอะ


สัญญาณเตือนเมื่อโภชนาการชำรุด

@ สัญญาณ 10 ประการที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณทานอาหารไม่เหมาะสม ร่างกายของคุณเกิดมีปฏิกิริยาตอบกลับมาเป็นผดผื่นคัน ผิวหนังลอกเป็นขุยแล้วล่ะก็ แสดงว่าคุณกำลังทานอาหารไม่ถูกต้องอยู่นะ วันนี้เราจึงนำสัญญาณ 10 ประการ ที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณทานอาหารไม่เหมาะสมมาฝากกัน มีดังนี้

1. ผิวหนังมีปัญหา เช่น มีอาการคัน หรือลอกเป็นขุย แม้จะไม่ใช่ช่วงหน้าหนาว อาการเช่นนี้อาจเป็นลักษณะของการขาดวิตามิน A ผักและผลไม้ที่มีสีเหลือง สีส้มหรือสีเขียวเข้มล้วนแต่อุดมไปด้วยวิตามิน A เพียงพอที่จะทำให้ผิวคุณเป็นปกติ ไม่ควรทานวิตามิน A เสริมที่อยู่ในรูปแบบเม็ด เพราะการได้รับโดยตรงเช่นนี้มากเกินไปจะเป็นอันตรายได้

2. ผมไม่เงางาม ในกรณีที่รุนแรงผมของคุณจะไม่สามารถจัดทรงได้เลย เป็นผลมาจากการขาดโปรตีนและธาตุเหล็ก
โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นมังสะวิรัติหรือคนที่จำกัดอาหารอย่างมาก ดังนั้นคุณจึงควรที่จะทานอาหารที่มีกากใยควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย ส่วนคนที่เป็นมังสะวิรัติต้องได้สารอาหารจากพืชผัก ข้าว และ ถั่วในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อที่จะได้โปรตีนทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ขาดไป และเพิ่มเติมด้วยกะหล่ำดอกและผลไม้เปลือกแข็ง เช่น เกาลัด ถั่วแขก
และถั่วเหลือง ซึ่งอุดมไปด้วยไบโอติน

3. ท้องผูก เป็นอาการที่กำลังบอกคุณว่า คุณต้องได้สารอาหารพวกไฟเบอร์หรืออาหารที่มีกากใย เช่น ผักผลไม้ต่าง ๆ
อย่างน้อยวันละ 25 กรัม และดื่มน้ำให้มากขึ้นด้วย

4. ผายลมบ่อย (ตด...เหม็น) แม้ว่าไฟเบอร์จะมีประโยชน์ แต่ถ้ากินมากเกินไปหรือได้รับสารอาหารประเภทนี้เร็วเกินไป เช่น กินถั่วหรือไม้จำพวกที่มีฝัก เช่น กระถิน ทองหลาง ร่างกายของคุณจะผลิตแก๊สตามออกมามากกว่าอาหารที่ย่อยง่ายตามปกติ วิธีแก้ปัญหาคือค่อย ๆ เพิ่มสารอาหารพวกไฟเบอร์อย่างช้า ๆ ถ้าคุณเคยกินแค่เพียงวันละ 10 กรัม อย่าผลีผลามเพิ่มเป็น 25 กรัมในวันรุ่งขึ้น ในสัปดาห์แรกเพิ่มแค่เพียง 5 กรัม แล้วสัปดาห์ต่อมาค่อยเพิ่มอีก 5 กรัม

5. ข้อต่อมีเสียงดังหรือปวดบริเวณข้อต่อ อย่าเพิ่งไปโทษโรคข้ออักเสบ อาจเป็นไปได้ว่าคุณกิน ปลาน้อยเกินไป กรดไขมันประเภท โอเมก้า 3 ที่พบมากในปลา เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า จะทำให้ข้อต่อของคุณเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น ซึ่งจะช่วยให้กระแสโลหิตไหลเวียนดีขึ้น ลดอาการบวมและปวดบริเวณข้อต่อ

6. สเปิร์มน้อยลงไปมาก ถ้าคุณกำลังพยายามที่จะมีลูกและมีปัญหาระดับของสเปิร์มต่ำกว่าปกติ อาจเป็นไปได้ว่าคุณขาดวิตามิน C ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการกระตุ้นการทำงานระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จากการศึกษาพบว่า วิตามิน C
ยังช่วยในการรักษาปริมาณและความสมบูรณ์ของตัวสเปิร์มด้วย Earl Dawson, Ph.D., ที่ University of Texas Medical Branch ที่ Galveston แนะนำว่าให้ผู้ชายดื่มน้ำส้มอย่างน้อยวันละประมาณ 1 ลิตรทุกวัน โดยบอกว่าวิตามิน C มีส่วนช่วยป้องกันสเปิร์มจากอันตรายและความเสียหายในทุกๆด้าน

7. หัวใจเต้นผิดปกติ หัวใจของคนเราเป็นกล้ามเนื้อที่มีการบีบตัวมากกว่า 100,000 ครั้งต่อวัน คงไม่สามารถทำงานอย่างสมบูรณ์แบบได้ตลอดเวลา แต่ถ้าอยู่ ๆ คุณรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติหรือเต้น ๆ หยุด ๆ โดยไม่มีเหตุผล ถ้ามีอาการเจ็บปวดหรือหน้ามืด เวียนศีรษะด้วย ให้รีบไปพบแพทย์ทันที แต่ถ้าแพทย์พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติแต่หัวใจคุณก็ยังมีอาการเต้นผิดปกติในบางครั้ง คุณอาจจะขาดสารอาหารพวกแม็กนีเซียมหรือโปแตสเซียม สำหรับโปแตสเซียม ให้ดื่มน้ำส้มวันละ 2-3 แก้ว ช่วงอาหารเช้าให้เพิ่มกล้วยเข้าไปในส่วนหนึ่งของเมนู สำหรับแม็กนีเซียม ให้ทานอาหารว่างที่เป็นพวกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน หรือเมล็ดฟักทอง และผักโขม เป็นอีกตัวหนึ่งที่มีแร่ธาตุช่วยในการทำงานของหัวใจได้ดี

8. ปวดเหงือก ถ้าการเจ็บปวดเกิดจากการอักเสบก่อให้เกิดความเจ็บปวดและปัญหาของเหงือก แสดงว่าปากของคุณกำลังต้องการแบคทีเรียที่มีประโยชน์ ให้มาช่วยจัดการกับแบคทีเรียในปากที่มีอันตราย ให้กินโยเกิร์ตที่มีแบคทีเรียที่เราต้องการเป็นอาหารว่างในช่วงเช้าของทุกวัน

9. กระดูกแตก ถ้ากระดูกคุณแตกมากกว่า 2-3 ครั้งตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่ อาจเป็นไปได้ว่ากระดูกของคุณอยู่ในภาวะอ่อนแอ อาจมีสาเหตุมาจากการขาดวิตามิน D และแคลเซียมซึ่งเป็นตัวประกอบที่สำคัญในการสร้างกระดูก ผู้ชายก็ต้องการแคลเซียมมากเหมือน ๆ ผู้หญิง เพราะผู้ชายมักจะกินเนื้อมากกว่า ซึ่งอุดมไปด้วยฟอสฟอรัสยิ่งร่างกายได้รับฟอสฟอรัสมากเท่าไรก็ยิ่งต้องการแคลเซียมมากขึ้นเท่านั้น อาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ได้แก่ ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง โยเกิร์ต นม และเนยแข็ง (ไขมันต่ำได้ก็ดี)

10. ขี้ลืม อาจเป็นได้ว่าคุณขาดวิตามิน B ในการศึกษาที่ USDA Human Nutrition Research Center in Boston นักวิจัยพบว่าผู้ชายที่มีระดับของวิตามิน B 6 B 12 และ B folate สูงในเลือดจะมีความทรงจำที่ดีกว่า จากการทดสอบพบว่าสารอาหารพวกนี้ช่วยให้สมองทำงานได้เต็มที่และยังช่วยควบคุม homocysteine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นตัวขัดขวางการที่เลือดจะไปหล่อเลี้ยงสมอง ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน B 6 และโฟเลตมากที่สุด และไม่ต้องกังวลกับการขาดวิตามิน B 12 เพราะมีมากในเนื้อสัตว์และอาหารทะเล

หมั่นสังเกตตัวเองสักนิด แล้วจะรู้ว่าร่างกายของท่านเรียกร้องอะไร


 

โดย: นางเดินทัก IP: 117.47.214.48 15 มิถุนายน 2551 17:42:20 น.  

 


สายสัมพันธ์ เคยแน่นแฟ้น และแน่นหนา
กลับบอกลา กันง่ายดาย เหมือนไม่เห็น
มิตรไมตรี ที่เคยมี ทุกเช้าเย็น
เธอผู้เป็น ต้นตำนาน บ้านรวมพลฯ

รินน้ำคำ เป็นกานท์กลอน วอนขอโทษ
หากเธอโกรธ และขุ่นเคือง ในตัวฉัน
ฉันคนนี้ อาจไม่ดี ในบางวัน
ขอทุกท่าน เป็นพยาน มารดลใจ

ขอขอบคุณ ในไมตรี ที่ดีงาม
ขอนิยาม ความสุขสม อารมณ์หมาย
ขอความทุกข์ ที่มากมี จงมลาย
ขอเธอได้ ในสิ่งหวัง ทุกครั้งเทอญ

 

โดย: สาวิกา 15 มิถุนายน 2551 19:25:45 น.  

 

คุณป๋าโอ๊ะโอ..
ผู้แสนดี..
นรน. ขนาดนั้น..
อยู่ไม่ไกลหรอกน่า..

 

โดย: times IP: 124.120.197.156 15 มิถุนายน 2551 19:49:17 น.  

 


สวัสดีครับสมาชิกทุกๆท่าน


แวะมาดูเห็นประตูบ้านยังเปิดอยู่...กลัวบ้านโดนขโมย(...?...)...ก็เลยเข้ามาปิดให้ครับ อิอิ


การเรียนรู้ผู้เรียนพากเพียรหา...
เกิดปัญญาหรือไม่ใครเล่าเห็น...
รู้หรือไม่หาใช่ในประเด็น...
สิ่งที่เย็นจนดับทุกข์นั่นสุขเอย...

 

โดย: นางเดินทัก IP: 117.47.207.79 15 มิถุนายน 2551 23:11:08 น.  

 

**ในเวลางาน..chat ไม่ได้ค่ะ..
ระบบที่ทำงานไม่รองรับมั้งคะ**
กลับมาจากเลย เห็นคำตอบเปิ้ล ดีใจครับ ขอบคุณที่ตอบคำทักทายครับ
ผมไปลงเรื่องราวบุญในหน้าถัดไปแล้วครับ
สวัสดีครับ

 

โดย: มุ่งเต็มใจ IP: 203.113.0.205 17 มิถุนายน 2551 17:45:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สาวิกา
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]























Friends' blogs
[Add สาวิกา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.