สโลแกน แทนใจ ไว้ให้คิด แม้มิ่งมิตร ผู้อยู่ห่าง กลางความฝัน ไม่เห็นหน้า แต่วาจา พาทีนั้น คละเคล้ากัน ปันสุขทุกข์ ทุกวี่วัน
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
11 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
ทำดีต่อกันไว้ดีกว่า ...เพราะไม่มีใครรู้ว่า เราจะต้องจากกันเมื่อไหร่



Photobucket>

^_^ คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ , น้อง ,
ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรัก ฯลฯ
ไม่ใช่ของเลื่อนลอย


เมื่อมีวาสนา ไม่ต้องเรียกร้อง ถึงเวลาก็มาเจอกัน
เมื่อสิ้นวาสนา ก็ต้องจากกัน รั้งยังไงก็ไม่อยู่


ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้
คุณได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยัง
เพราะถึงเวลาที่ต้องจากกัน
ไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้า
ก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้ ^_^



ขอบคุณของฝากจาก นู๋อบค่ะ

Photobucket



>
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=savika&month=07-07-2008&group=5&gblog=46






Create Date : 11 กรกฎาคม 2551
Last Update : 11 กรกฎาคม 2551 16:26:41 น. 33 comments
Counter : 3217 Pageviews.

 

ขออนุโมทนากับนู๋กาและลูกชายด้วยนะจ๊ะ _/|\\_

ซาหวัดดีจ้ะ นู๋เวลา คุณย่าอำฯ พี่อร นู๋อบ คุณเย็น คุณมุ่งฯ คุณนักเดินทางและ พี่ผีเสื้อ..ค่ะ


โดย: ลิง IP: 58.137.0.83 วันที่: 11 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:06:30 น.  

 

ชอบ..ข้อคิด ข้อเขียนของหน้าใหม่นี้ค่ะ

ยายลิง..สบายใจขึ้น เพราะ ทั้งวางและปลงใจได้มากขึ้น
แม้..จะเป็นช่วงสำคัญและหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตอีกแล้วก็ตามค่ะ

เมื่อ..ได้เห็น สัจธรรม และ นึกถึง อกเขาอกเรา..
ทำให้ยายลิงไม่คิดจะ ทิ้ง ใคร
ไม่คิด..อยากจะสร้างทุกข์ หรือ สร้างกรรมเวรให้กับตัวเอง
ด้วยการทำร้ายผู้อื่น..
เพราะ เชื่อใน กรรมวิบาก.. ค่ะ

พยายาม ทำใจ ให้เป็นกลาง สิ่งที่เห็น..ที่เป็น ย่อมเกิดจาก เหตุ..ทั้งหมดทั้งสิ้น

เมื่อ ยิ้ม ให้กับใคร ก็คงจะได้ ยิ้ม..กลับมา
เมื่อใครไหว้เรา เราก็..รับไหว้อย่างนอบน้อม ทำให้รู้สึก ดี จริงๆ ค่ะ

แต่ ๆ เมื่อ ให้..ความรัก กับใครโดยไม่หวังแม้แต่ความรักตอบแทน..
จะ ดีถึงดีที่สุดนะ นะ นะคร้า จะบอกให้ อิอิ


โดย: ลิง IP: 58.137.0.83 วันที่: 11 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:25:29 น.  

 

สวัสดีครับสมาชิกทุกๆท่าน



ย่าอัก...เราเข้าไปที่บ้านโอเคเนชั่นแล้ว...แต่หาหัวข้อที่จะเม้นท์ข้อมูลนี้ไม่เจอ...ก็เลยยึดเอาที่นี่เม้นท์ละกันนะ...ขอนุยาดเจ้าบ้านก่อนนะ อิอิ



ความเป็นมาของ “ วันมหาปวารณา”

วันมหาปวารณา เป็นวันสุดท้ายของการเข้าพรรษา
ซึ่งพระภิกษุจะต้องประชุม ทำปวารณากันในโบสถ์ และต้องอยู่จำพรรษาที่อารามนั้นๆ อีก ๑ คืน จนกระทั่งรุ่งอรุณของวันใหม่
จึงได้ชื่อว่า สิ้นสุดการเข้าพรรษา หรือออกพรรษาที่แท้จริง
ทั้งนี้คนในปัจจุบันสับสน เพราะคนทำปฏิทินสับสนและเข้าใจผิด



พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระบรมพุทธานุญาตให้พระภิกษุทำปวารณา คือ

ยอมให้ว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกัน หรือ ยอมมอบตนให้สงฆ์ว่ากล่าวตักเตือน ในข้อบกพร่องที่ภิกษุทั้งหลายได้เห็น ได้ยิน หรือมีข้อสงสัย ด้วยจิตเมตตา

เพื่อให้สำรวมระวังปรับปรุงแก้ไขตนเอง เพื่อความเจริญในพระธรรมวินัย และความผาสุกในการอยู่ร่วมกัน


ที่มา คือ ครั้งหนึ่ง ภิกษุจำพรรษาในแคว้นโกศล ตั้งกติกาไม่พูดกัน ใช้วิธีบอกใบ้ หรือใช้มือแทนคำพูด
เมื่อออกพรรษาแล้วไปเฝ้าพระศาสดา พระองค์ทราบความแล้ว ทรงติเตียน และทรงอนุญาตการปวารณา

คือการอนุญาตให้ภิกษุอื่นว่ากล่าวตักเตือนกันได้ โดยภิกษุจำพรรษาแล้วปวารณาด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ
๑. โดยได้เห็น ๒. โดยได้ยิน ได้ฟัง ๓. โดยสงสัย

( ปวารณาขันธกะ วิ. ม. สมันตาปาสาทิกา มก. ๖/ ๕๖๘ , มจ. ๔/ ๓๓๑)





พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกระทำปวารณาต่อหมู่สงฆ์

น่าสังเกตว่า แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ผู้หมดกิเลสแล้วยังมีการทำปวารณาซึ่งกันและกัน แสดงให้เห็นว่า การทำปวารณาของสงฆ์นั้น เป็นสิ่งจำเป็นทั้งระดับบุคคลและหมู่สงฆ์ ดังนี้

คราวหนึ่งในพระวิหารบุพพาราม กรุงสาวัตถี
พระศาสดาประทับอยู่กับพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป ในวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ
เพื่อจะทรงทำปวารณา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่เหล่าภิกษุนั้นว่า

จะติเตียนการกระทำทางกาย ทางวาจาของพระองค์บ้างหรือไม่

พระสารีบุตรทูลตอบปฏิเสธ จากนั้นพระสารีบุตรก็กล่าวปวารณาให้พระศาสดาติเตียนท่าน

พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวปฏิเสธ เพราะพระสารีบุตรเป็นบัณฑิต เป็นผู้มีปัญญามาก

พระสารีบุตรทูลถามอีกว่า พระองค์จะไม่กล่าวติเตียนการกระทำทางกาย ทางวาจา ของเหล่าภิกษุบ้างหรือ

พระองค์กล่าวปฏิเสธ เพราะเหล่าภิกษุนี้ได้บรรลุวิชชา ๓ อภิญญา ๖ ได้อุภโตภาควิมุตติ และได้ปัญญาวิมุตติเป็นพระอรหันต์

( ปวารณาสูตรสัง. ส. วังคีสสังยุต มก. ๒๕/ ๓๒๕, มจ. ๑๕/ ๓๑๒)





อานิสงส์การอยู่จำพรรษา

ส่วนเมื่อออกพรรษาแล้ว นั่นหมายถึง พระภิกษุอยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ย่อมได้อานิสงส์พรรษา ๕ ข้อ คือ

๑.เที่ยวไปไหนโดยไม่ต้องบอกลา

๒.ไม่ต้องถือไตรจีวรครบสำรับ

๓.ฉันคณะโภชน์ได้ (ฉันอาหารรวมกันเป็นกลุ่มได้)

๔.ทรงอดิเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา และ

๕. จีวรที่สาธุชนถวายมานั้น สามารถรับเป็นของตนได้ตามความจำเป็น โดยไม่ต้องส่งเข้ากองกลางให้เป็นของสงฆ์
(วิ.ม. มก.๗/๑๙๓, มจ.๕/๑๔๕)


ด้วยอานิสงส์ทั้ง ๕ ข้อนี้ ทำให้เกิดความสะดวกในการบำเพ็ญสมณะธรรมอย่างมาก เพราะช่วง ๓ เดือนในพรรษา
เป็นเสมือนการศึกษาภาคทฤษฎีและฝึกปฏิบัติโดยมีอุปัชฌาย์อาจารย์คอยดูแลชี้แนะข้อบกพร่อง

เมื่อออกพรรษาจึงต่างแยกย้ายกันหาที่สงัดสงบและวิเวก เหมาะแก่การบำเพ็ญสมณะธรรมให้เข้มข้นด้วยตนเอง อีก ๙ เดือน
ก่อนที่จะกลับมารวมตัวกันใหม่พรรษาหน้า เพื่อเช็คสอบความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมและรับการชี้แนะต่อไป




โดย: นางเดินทัก IP: 222.123.74.78 วันที่: 11 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:34:00 น.  

 

สวัสดีค่ะ ..พี่ลิง และทุก ๆ ท่าน

วันนี้พี่ลิงมาเซอร์ไพร์สเป็นไม้หนึ่ง และจะเป็นไม้เดียวสำหรับวันนี้รึป่าวไม่รู้เนอะ

ขอบคุณนะคะ ...ที่มีข้อคิดดี ๆ มาฝากนู๋กาซาเหมอเรยยยย

วันนี้ยุ่งมากเลยอ่ะ ไปเสียเวลารอประกอบบาตรเข้าชุดอยู่นานมาก ...เจ้าของร้านบอกโชคดีที่มาแล้วมีของให้ เพราะช่วงนี้ขายดี ขาดของอยู่บ่อย ... อืมม์ ก็ให้รู้ซะบ้างใครไปซื้อ อิอิ...

พรุ่งนี้บ่าย ๆ จนถึงบ่ายวันอาทิตย์ ช่วยมาเดินเล่นในบ้านนี้กันหน่อยน้า ... เจ้าบ้านไม่อยู่บ้านอีกเช่นเคย แล้วจะนำบุญกุศลมาฝากเช่นเคย

และจะนำภาพพระลูกชายมาฝากด้วยค่ะ





โดย: สาวิกา วันที่: 11 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:45:28 น.  

 
ขอบพระคุณคุณนางฯค่ะ
กะลังทบทวนอยู่ว่าจะจำได้มั้ยน้า
ด้วยสมองที่เริ่มฝ่อแฟบมากขึ้นทุกที
เหลือส่วนที่จะจดจำน้อยนิด
เลยดีใจมากกับข้อมูลที่มาแปะให้ค่ะ
ขอขอบพระคุณอีกครั้งนะคะ

ยังไม่ได้เขียนค่ะ
ตั้งใจจะเขียนวันสองวันนี้
และจะ post วันโกนวันที่สิบหกค่ะ
คริ คริ
นี่คือเหตุผล
ที่เข้าบ้านไปแล้ว
ถึงไม่เห็นช่องทางอะจิ

(สามภาพรอยยิ้มและมือที่ยกขึ้นไหว้ด้วยความขอบพระคุณค่ะ)



โดย: อำไพพร IP: 125.26.28.39 วันที่: 12 กรกฎาคม 2551 เวลา:9:13:47 น.  

 





ขอขอบคุณ และขออนุโมทนา ... สาระธรรม ความรู้ดี ๆ จากคุณนางฯ ค่ะ

ข้าวของเครื่องใช้ของพระใหม่ และสิ่งของที่เตรียมจัดไปถวายวัด พร้อมเรียบร้อย ...เหลือแต่ข้าวของส่วนตัวของเจ้าบ้านเองแล้ว ยังมิได้นำพา อิอิ ... ยังไม่ได้จัดค่ะ ห่วงแต่ของผ้าขาวต้องพร้อมก่อน ของเราเองไว้ทีหลัง

ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อย พร้อมเดินทางแล้วค่า...ขอบคุณ และอนุโมทนากับทุกท่านที่ร่วมบุญทุก ๆ บุญกุศลค่ะ ... แล้วจะนำบุญกุศลมาฝากทุก ๆ ท่านเช่นเคยนะคะ







โดย: สาวิกา วันที่: 12 กรกฎาคม 2551 เวลา:13:31:13 น.  

 
แจ่มแจ้งแล้วครับ สำหรับการ มีพบ มีจากกัน จากคำว่า วาสนา นี่เอง


โดย: walkerahead (Walkerahead ) วันที่: 12 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:11:25 น.  

 
ป่านฉะนี้...
คุณแม่ไก่คงจะเตรียมงานเต็มกำลัง


อนุโมทนาสาธุค่ะ.


โดย: อำไพพร IP: 125.26.28.39 วันที่: 13 กรกฎาคม 2551 เวลา:0:14:20 น.  

 
อนุโมทนา สาธุ ค่ะ

_/|\\_

...

คุณย่าอำฯ ขา..
แอบนอนดึกอีกแล้วนะคะ..
ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ..
:-)




โดย: times IP: 124.121.219.246 วันที่: 13 กรกฎาคม 2551 เวลา:0:34:49 น.  

 
อิอิ..

แต่ วันนี้นู๋เวลา ไม่ง่วงเอาเท่าไหร่..

อารมณ์ดี..ซาบายใจ..

แถมได้ฟังเพลงเพราะๆ ตั้งหลายเพลง..

เฮ้ออออ ...

..สบายใจ..

:-)

เค้าว่ากันว่า..ความรู้สึกสื่อถึงกันได้..

งั้น..มาส่งความสบายใจ..ให้กันค่ะ

:-)


โดย: times IP: 124.121.219.246 วันที่: 13 กรกฎาคม 2551 เวลา:0:38:12 น.  

 
ป่านฉะนี้...
คงจะกำลังทำพิธีต่าง ๆ
เพื่อการบวชนาค
คงจะปลื้มทั้งคุณแม่และคุณลูก
เพราะเพื่อนคุณแม่...
อย่างย่าอำฯก็ยังปลื้มตาม
ขออนุโมทนาสาธุในบุญบวชครั้งนี้ค่ะ


คริ คริ
รับความสบายใจจากหนูเวลาไว้เพียบ
พอหัวถึงหมอน
ก็คร็อกฟี้ไปเลย...
ด้วยความสบายใจจัง
สาธุจ้า.


โดย: อำไพพร IP: 125.27.188.51 วันที่: 13 กรกฎาคม 2551 เวลา:8:30:41 น.  

 
เจ้าแม่จ๋า

เดี๋ยวนี้โพสต์รูปเองไม่ได้เลย

หารูปดอกไม้งามๆ มาไว้ให้ชมบ้างสิคะ

ขอบคุณค่า

:-)


โดย: times IP: 124.120.212.60 วันที่: 13 กรกฎาคม 2551 เวลา:20:38:41 น.  

 

สวัสดีค่ะ ... นู๋ไทมส์ เจ้าย่าฯ และทุก ๆ ท่าน

มารายงานตัวแล้วค่ะ ... ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมเยียนกันนะคะ

ผ่านไปด้วยดีสำหรับงานในวันนี้ ... ญาติธรรม มากกว่าญาติโกโหติกา ญาติธรรมจากสวนสันติธรรมไปร่วมปีติปลาบปลื้มยินดีกันมากเป็นพิเศษ รวมทั้งอ้น (ธรรมท้ายซอย) และหนุ่ม (คนไม่มีอะไร) ก็ไปร่วมงานด้วยค่ะ

งานนี้มี 3 คุณแม่ ... ผู้ไปร่วมงานไหว้ไม่ถูก แม่ไหนกันแน่

แม่เบอร์ 1 ... ผู้ให้อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย

คุณแม่เบอร์ 2 ... แม่ของเจ้าบ้าน พระใหม่ก็เรียกแม่เหมือนกัน ...ผู้รับไม้ 2 ต่อจากแม่เบอร์ 1 ในการรับมาอุปถัมภ์ดูแล

คุณแม่เบอร์ 3 ... "แม่ไก่" คนนี้ ผู้ดูแล อุปถัมภ์ ให้การดูแล ให้การศึกษาทั้งทางโลก และเปิดประตูสู่ธรรมให้

อ้อ ... จริง ๆ มีแม่เบอร์ 4 อีกนะ ญาติธรรมท่านหนึ่งที่สวนสันติธรรม เอ็นดูพระลูกชาย ขอเป็นแม่บุญธรรมค่ะ ...

มีผู้ทักทายทำนายว่า เจ้าบ้านจะมีน้ำตานองพื้น ผิดคาดค่ะ ไม่มีน้ำตาแห่งความปีติอย่างที่คิด มีแต่ใจที่เบิกบานยินดี ปีติที่ท้วมท้นใจในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ... ลดระดับลงเหลือแค่ความเบิกบานใจ ยิ้มหน้าบานจนมีแต่คนทัก และแอบถ่ายรูปแม่ไก่ยิ้มหน้าบานกันใหญ่

ไม่กล้านำรูปมาอวด เพราะหน้ามัน ผมเป็นกระเซิงเลยเชียว วิ่งไป วิ่งมา ยังดีได้เด็กวัดอย่างอ้นมาช่วย วิ่งงานคล่องนักเชียว .. ต้องขอบคุณเป็นอย่างมาก ๆ ค่ะ

อดไม่ได้ ... นำภาพมาฝากเพื่อให้ทุกท่านได้ร่วมอนุโมทนาอีกครั้งนะคะ ...





Photobucket>


Photobucket>


โดย: สาวิกา วันที่: 13 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:07:02 น.  

 
_/|\\_

:-)


โดย: times IP: 124.120.212.60 วันที่: 13 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:37:51 น.  

 
สาธุ...ขออนุโมทนา ค่ะ
ปลื้มใจด้วยนะคะ

พระใหม่และ แม่เบอร์ 3 หน้าเหมือนกันเด๊ะ

สงกะสัย คืนนี้แม่ไก่คงนอนยิ้มหน้าบานทั้งคืน
อิ อิ อิ อิ อิ


โดย: โอรัช IP: 125.24.145.103 วันที่: 13 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:38:27 น.  

 
อนุโมทนาสาธุค่ะ.


โดย: อำไพพร IP: 125.24.102.18 วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:0:11:07 น.  

 
Photobucket>



สุขสันต์ ... วันจันทร์ ทุก ๆ ท่านค่ะ

นู๋ไทมส์ ... สมัครเป็นสมาชิกจิ จะได้โพสรูป เล่นไอคอน และสีสันได้อย่างเจ้าบ้านอะจร้าส์

แวะมาทักทายกันยามเช้า ก่อนแต่จะไม่มีเวลามาทักทายรายงานตัวนะคะ ...

ขอทุกท่านมีความสุข ความเบิกบาน ในการทำงานกันค่ะ



Photobucket>





โดย: สาวิกา วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:9:12:27 น.  

 
ว้า...

สมัครสมาชิกเหรอคะ..ม่ายอาวววอ่ะ..

งั้น..ไปแอบดูรูปสวยๆ หลายๆ ที่เอาก้อได้ อิอิ ..

:-P

อรุณสวัสดิ์ทุกท่านค่ะ

:-)


โดย: times IP: 58.181.136.90 วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:9:18:11 น.  

 
สวัสดีค่ะ ..


อนุโมทนากับนู๋กาและพระลูกชายอีกครั้งนึงค่ะ _/|\\_


เช้านี้ ขับรถมาทำงาน สังเกตุได้ว่า มีรถมอเตอร์ไซค์มากขึ้น.. มาก ๆ
ทำให้ขับรถลำบาก ในใจนึกปลงกับชีวิตความเป็นอยู่..ในเมืองกรุง
ก็เห็นใจทุก ๆคน..ที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ กับยุคน้ำมันแพงค่ะ

เราเอง ก็ยังไม่แน่ ว่าจะ ตกงาน..ตอนแก่ไหม
ความประมาท เป็นหนทางแห่งความตายจริงๆ ค่ะ
ไม่อยากจะว่าใคร เพราะ คนเราไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่..
จะแตกต่างกัน ตรงที่ บทเรียน..หรือ ประสบการณ์เท่านั้น

อันที่จริง เราโชคดีมากๆ ที่ชีวิตไม่ประสบความสำเร็จทางโลก..
โชคดีอีกอย่าง คือ ได้อยู่เมืองนอกมานาน นานพอจนรู้สึกว่า มนุษย์มีความเสมอภาคกันค่ะ
โชคดีที่สุด คือ การได้เข้าถึงธรรม.. อาจจะเป็นเพียงแค่ขั้นพื้นฐาน
..แต่ ก็ทำให้ชีวิตนี้.. มีที่พึ่ง อย่างแท้จริงค่ะ


โดย: ลิง IP: 58.137.0.83 วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:9:55:34 น.  

 

..อย่างที่เคยได้ยินบ่อย ๆ
สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดีเสมอ.. หรือ
เมื่อประตูบานหนึ่งปิด ก็จะมีประตูอีกบานหนึ่งเปิด..


ที่ว่า เราไม่ประสบความสำเร็จทางโลก.. ก็อาจจะเป็นเพราะ เราไม่ขนขวายค่ะ
อาจจะเป็น สัญญาเก่า.. ก็ว่าได้
เห็น ๆอยู่ว่า หลายคนที่ ทำมาดี บุญเก่าดี ต้องมาพลาดท่า จาก..บุญเหล่านั้น

บุญที่เกิดจาก การทำทาน ทำให้รวย แต่..หลายครั้ง คนรวยมักยโส โอหัง
หรือ รวยแล้ว..อยากต่อยอด ให้รวย ๆ ยิ่ง ๆขึ้น
หรือ อย่างสุภาษิตฝรั่ง Money is the root of all evils..

บุญที่เกิดจากการรักษาศีล ทำให้สวย..
ความสวย หลายครั้งเป็นภัย นอกจากจะต้องเสียเงินทองเพื่อบำรุง รักษาแล้ว
หากใช้ไปในทางผิด ก็ทำให้เกิดบาปได้อีกเช่นกัน..

บุญ..ที่ทำให้เกิดปัญญา หากเป็นความเก่งหรือฉลาดทางโลก ๆแล้ว
ก็มักจะทำให้เกิด อัตตา.. อีโก้สูง ว่าตนเองเก่งกว่า ฉลาดกว่าคนอื่น
จนไม่ยอมรับฟังใคร

สรุปแล้ว หากคนเราทำมาดี แต่ไม่ต่อเนื่องหรือต่อยอด..
ย่อมทำให้ชีวิต..ตกต่ำต่อไปได้อย่างน่าเสียดาย
เพราะความประมาท เพราะความหลงผิด ยึดตัวตน เข้าของสมบัติเป็นสรณะค่ะ


โดย: ลิง IP: 58.137.0.83 วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:11:02:28 น.  

 

..ข้าวของ สมบัติ..เป็นสรณะค่ะ (สะกดผิด)

ที่พึ่ง..อีกหนึ่งคือ บุญ ค่ะ

เราไม่รู้เลยว่า กาลข้างหน้า เราจะต้องเจออะไรบ้าง
หากไม่ทำบุญ และ มีกรรมเก่ามาตัดรอน เราอาจจะขับรถอยู่ดี ๆ..
ก็สามารถจะ เกิดเหตุ ได้ทุกเมื่อ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ประมาท หรือ เราไม่ได้ผิด..

เมื่อวาน นั่งแทกซี่ไปเซ็นทรัล ลาดพร้าว ผ่านรพ.ทหารผ่านศึก..
คนขับก็ชวนคุย ว่า น่าสงสารทหารที่พิการ หลายคนที่ถูกเมียทิ้ง..
บางคนก็ตาบอดทั้งสองข้าง
เขาก็บอกว่า ตายเสีย..จะดีกว่า แต่ ๆ หากเรามีกรรมต้องชดใช้ ยังไม่ตายล่ะ
เราก็ได้คำตอบในใจว่า เราคงจะ พุทโธ ๆ ไปจนตายค่ะ

ตอนนี้ ไม่อยากจะอ่านข่าวอาไรเลย ขอดูจิต ดูลมหายใจ และ มาเขียนนะคะ


โดย: ลิง IP: 58.137.0.83 วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:13:00:47 น.  

 
..มาตามอ่านที่คุณยายลิงเขียนค่ะ

:-)



โดย: times IP: 58.181.136.90 วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:13:51:10 น.  

 
ปัญหาเรื่องระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ การป้องกัน

HYPOGLYCEMIA หรือ น้ำตาลในเลือดต่ำ

HYPO แปลว่าต่ำ GLYCEMIA หมายถึงน้ำตาล คำแปลตรงๆ ก็คือ น้ำตาลในเลือดต่ำ

มันเป็นโรคซึ่งหาสาเหตุไม่ได้ และมันไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่เมื่อคุณป่วยด้วยโรคนี้ มันจะเป็นสาเหตุ ที่ทำให้คุณป่วยเป็นโรคร้ายแรงต่างๆ ต่อไปได้ เป็นโรคซึ่งเกิดขึ้นใหม่ เกิดขึ้นในยุคของคนสมัยใหม่ ในอเมริกาและยุโรป และขณะนี้ก็เกิดขึ้นกับคนไทยยุคใหม่ของเราแทบทุกคน

อาการของมันก็คือ อาการเพลียโดยหาสาเหตุไม่ได้ ผสมกับการนอนไม่หลับ ปวดเนื้อปวดตัว และระบบขับถ่ายผิดเพี้ยนไปหมดนี่เป็นอาการรวมอย่างกว้างๆ นะครับ

ขอพูดถึงอาการเพลียโดยหาสาเหตุไม่ได้เสียก่อน การเพลียโดยปรกตินั้นเกิดขึ้นได้กับทุกๆ คน คุณตื่นเช้าขึ้นมีเรี่ยวมีแรง พอตอนสายคุณต้องไปทำงานหนัก เป็นต้นว่าต้องเดินขึ้นเขา แบกของหนักเหงื่อไคลไหลย้อย พอแบกของไปถึงที่ คุณก็หมดแรง นั่งพักนอนพักทั้งคืน รุ่งขึ้นจึงจะมีเรี่ยวแรงทำงานต่อไปได้

นี่คือการเหนื่อยการเพลียตามปรกติ คือ ข้อที่หนึ่ง คุณตื่นขึ้นมามีเรี่ยวมีแรง ข้อที่สอง คุณออกแรงทำงานหนักเหงื่อไหลไคลย้อย ข้อที่สาม คุณเหนื่อยแล้วคุณก็พัก ข้อที่สี่ เมื่อคุณได้นั่งพัก หรือนอนพักแล้วรุ่งขึ้นคุณก็มีแรงตามปรกติ

แต่การเหนื่อยเพลีย แบบ HYPOGLYCEMIA ไม่เป็นอย่างนั้นคุณนอนตื่นขึ้นมา คุณก็เพลียเสียก่อนแล้ว คุณรู้สึกว่าคุณนอนไม่หลับสนิท ตอนเช้าตื่นขึ้นมารู้สึกเหมือนโงหัวไม่ขึ้น อยากลุกขึ้นมา แต่ก็ลุกไม่ไหวอยากนอนต่อ

พอลุกขึ้นมาได้ แล้วล้างหน้าล้างตาอาบน้ำแล้ว ก็ยังรู้สึกเพลียอีกนั่นแหละ รู้สึกจิตใจมัวซัวไปทำงาน หรือจะทำอะไรก็ไม่มีชีวิตชีวา มิหนำซ้ำยังปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว และอาการเพลียไม่มีแรงของคุณ จะเป็นซ้ำๆซากๆ อย่างนี้ทุกๆ วัน

นี่คือการเหนื่อยเพลียแบบ HYPOGLYCEMIA ซึ่งเป็นการเหนื่อยเพลียโดยหาสาเหตุไม่ได้ และก็จะหาสาเหตุไม่ได้แน่นอน ถ้าเผื่อผู้ที่ป่วยจะไปหาหมอตามโรงพยาบาล หรือคลินิก เมื่อใช้เครื่อง มือตรวจทุกอย่าง ตรวจเลือด เอกซเรย์ หรือทำสะแกนจนครบถ้วน ผลลัพธ์ก็จะออกมาเป็นปรกติ เครื่องมือต่างๆก็จะไม่พบอะไรที่มันผิดปรกติ และแพทย์หลายคนก็อาจจะลงความเห็นว่า ผู้ป่วยนั้นเป็นโรคอุปาทานหรือโรคประสาทไปเลย

เมื่อประมาณ 40 ปีก่อนโน้น นายแพทย์ผู้หนึ่งของอเมริกา คือ สตีเฟน ไกแลนด์ ได้พบว่า เขาป่วยเป็นโรคอ่อนเพลียโดยหาสาเหตุไม่ได้ นอกจากนั้น เขานอนไม่หลับ และปวดเนื้อปวดตัวอยู่ตลอดเวลา อาการป่วยของเขานั้น ทำให้เขารู้สึกเบื่อไปหมดทุกอย่าง เบื่อจนกระทั่งคิดอยากจะฆ่าตัวตาย

เขาไปหาแพทย์หลายคน เป็นเพื่อนกันก็มี เป็นผู้เชี่ยวชาญทางสมอง และเชี่ยวชาญโรคอื่นๆ หลายโรค แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าเขาเป็นอะไร บางคนบอกว่าอาจจะเป็นเนื้องอกในสมอง แนะนำให้ผ่าตัดสมอง บางคนบอกว่า เป็นโรคเกี่ยวกับต่อมบางอย่างไม่ทำงาน แต่หลายๆ คนบอกว่าเขาเป็นโรคอุปาทาน และเป็นโรคประสาท และไม่มีใครรักษาเขาได้เลย

เขาตกลงใจว่า เขาจะต้องรักษาตัวเองให้ได้ ขั้นแรกที่สุด เขาพยายามไปค้นคว้ารายงานแพทย์ต่างๆ ที่รายงานถึงเรื่องโรคต่างๆ ซึ่งยังไม่มีใครค้นพบ เขาค้นรายงานใหม่ๆ ไม่พบว่ามีรายงานอันไหน ที่ตรงกับอาการของเขาเลย

เขาจึงค้นย้อนต้นกลับไปอีกประมาณ 30 ปี ก็ได้พบรายงานของนายแพทย์รุ่นอาจารย์คนหนึ่ง คือ
นายแพทย์ซีล ฮาริส ได้พูดถึงอาการของน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือ HYPOGLYCEMIA จากการค้นคว้าและรวบรวมอาการ จากคนไข้หลายๆ คน นายแพทย์ฮาริสได้สรุปว่า เป็นอาการของน้ำตาลในเลือดต่ำ

และอาการที่นายแพทย์ฮาริสรายงานไว้ทุกอาการนั้น ตรงกับอาการของนายแพทย์ไกแลนด์ทุกอย่าง เขาสรุปได้ทันทีว่า ที่เขาป่วยอยู่ขณะนั้นก็คือ HYPOGLYCEMIA

และเขาก็เริ่มรักษาตัวเอง ด้วยการตรวจดูอาหารซึ่งเขาได้กิน ตามแฟชั่นสมัยนิยมขณะนั้น คืออาหารที่หวาน ด้วยน้ำตาลขาวมากเกินไป และมีแต่แป้งขาวมากเกินไป (เช่น ขนมปังทำด้วยแป้งขาว และอาหารแทบทุกอย่าง ที่ทำจากแป้งขาวและน้ำตาลขาว)

เขาแก้ในเรื่องอาหารก่อน คือเลิกพวกแป้งขาวและน้ำตาลขาว แล้วหันมากินอาหารทุกอย่าง ที่เป็นอาหารไม่ได้ขัดสีออก และกินอาหารประเภทผัก ผักสด และหลังจากนั้นก็แก้ในเรื่องชีวิตประจำวัน และในเรื่องความเครียด

เขาได้ปรับปรุงเรื่องชีวิตประจำวัน ให้พ้นจากวิถีของชีวิตคนสมัยใหม่ ซึ่งมีรายละเอียดมากมาย และในไม่ช้าเขาก็หายขาดจากโรค ซึ่งป่วยมากว่าสิบปี

ต่อจากนั้นนายแพทย์ไกแลนด์ ได้ทำรายงานเสนอในวารสารการแพทย์หลายแห่ง ปรากฏว่ามีผู้ป่วยเช่นเดียวกันมากมาย รวมทั้งผู้ที่เป็นแพทย์ด้วย

นายแพทย์ไกแลนด์ และกลุ่มแพทย์อีกหลายคนได้ศึกษา HYPOGLYCEMIA อย่างจริงจัง ได้ทำ
รายงานและได้ร่างสูตรของ HYPOGLYCEMIA ไว้อย่างถูกต้อง ตามหลักการแพทย์ทุกประการ
จนเป็นที่ยอมรับของวงการแพทย์อเมริกัน และได้มีการศึกษาเรื่องผู้ป่วยด้วยโรคนี้

ปรากฏว่าในสหรัฐอเมริกา เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้วมามีผู้ป่วยด้วยโรคนี้ถึง 20 ล้านคน และแพทย์กลุ่มนี้ได้ระบุอาการละเอียดต่างๆ ของโรคนี้ มีอยู่ด้วยกัน 40 อาการ (ท่านผู้อ่าน กรุณาเก็บอาการที่จะพูดถึงนี้ไว้ด้วย เพราะเราจะพูดถึงกันโดยละเอียดในตอนต่อไป)

อาการโดยละเอียดคือ

1. อ่อนเพลีย ไม่มีแรง 2. รู้สึกเบื่อหน่าย -ซึมเศร้า 3. นอนไม่หลับ
4. มีอาการทางประสาท 5. เวียนหัว-ปวดหัว 6. เหงื่อแตกบ่อยๆ
7. มือสั่น 8. หัวใจเต้นผิดปรกติ 9. ปวดกล้ามเนื้อปวดหลัง
10. เบื่ออาหาร 11. จิตใจฟุ้งซ่าน ขาดสมาธิ 12. เนื้อตัวชาเป็นบางครั้ง
13. ท้องอืด ท้องขึ้น 14. มือเย็น เท้าเย็น 15. รู้สึกสับสนปั่นป่วน
16. เป็นตะคริวบ่อย 17. เบื่อการพบปะผู้คน 18. อ้วน น้ำหนักเกิน
19. การทรงตัวไม่ดี 20. อยากฆ่าตัวตาย 21. เกิดการชักกระตุก
22. เป็นลมบ่อยๆ 23. ความจำเสื่อม 24. วิตกกังวลง่าย
25. หิวอย่างรุนแรง ก่อนถึงเวลา 26. ลังเลตัดสินใจไม่ได้ 27. อยากกินของหวานๆ
28. กามตายด้าน 29. มีอาการภูมิแพ้ 30. การประสานงาน ส่วนต่างๆ ของร่างกายเลวลง
31. คันตามผิวหนัง 32. หายใจไม่ออกบ่อยๆ 33. ฝันร้ายบ่อยๆ
34. ปากแห้ง-คอแห้ง 35. ลมหายใจ และปากมีกลิ่นแปลกๆ 36. โมโหร้าย
37. ถ่ายอุจจาระผิดปรกติ 38. ถ่ายปัสสาวะผิดปรกติ 39. หน้าร้อนผ่าวบ่อยๆ
40. ทนเสียงอึกทึก-แสงจ้าๆ ไม่ได้.

นายแพทย์เจคอบ ไตเทิ้ลบอม จากแอนนาโปลีส มารี่แลนด์ เป็นแพทย์อีกคนหนึ่งที่ป่วยด้วยอาการ
HYPOGLYCEMIA หรือนํ้าตาลในเลือดตํ่า เขาโชคดีกว่านายแพทย์ไกแลนด์ เพราะขณะที่เขาป่วยนั้นโรคนี้เป็นที่รู้จักกันดีแล้ว แต่กระนั้นก็ตามที แม้จะรู้วิธีรักษา แต่ก็ต้องใช้เวลานานถึงหนึ่งปีกว่าจะรักษาโรคของเขาให้หายได้

นั่นก็เพราะเขาเกิดในสมัยหลัง นายแพทย์ไกแลนด์ ชีวิตความเป็นอยู่ของคนรุ่นหลังอย่างไตเทิ้ลบอมกลายเป็นชีวิตของคนสมัยใหม่เต็มตัว วัตถุนิยมกลายเป็นเป้าหมายในการดำรงชีวิตการแก่งแย่งชิงดี ความรีบร้อน และยุ่งเหยิงในชีวิตประจำวัน ทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยความเครียดและบีบคั้นโรคนํ้าตาลในเลือดตํ่า จากการอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ และปวดเนื้อปวดตัว ได้กลายเป็นโรคที่สลับซับซ้อนและมีอาการแปลกๆ มากมายถึง 40 อาการ ดังที่ได้ระบุไว้แล้วตามหัวข้อข้างต้น

แต่ความแตกต่างระหว่างอาการของโรคอื่นๆ และจาก HYPOGLYCEMIA นี้มีต่างกันอยู่อย่างหนึ่ง
คืออาการจากโรคอื่นๆ นั้นเรารู้สาเหตุ แต่อาการอย่างเดียวกันซึ่งเกิดจาก HYPOGLYCEMIAนั้น
เราจะหาสาเหตุไม่ได้

อย่างเช่น อาการหัวใจเต้นผิดปรกติของบางคนนั้น เมื่อตรวจดูอย่างละเอียดแล้วเราจะรู้ว่าสาเหตุมาจากโรคหัวใจ แต่หัวใจเต้นผิดปรกติของ HYPOGLYCEMIA ตรวจดูเท่าไหร่ ละเอียดเท่าไหร่ก็จะหาสาเหตุไม่ได้

โดยเหตุนี้แหละ เมื่อไปหาแพทย์หลายคน ซึ่งมักจะได้รับคำตอบว่า “ตรวจร่างกายละเอียดแล้วคุณสมบูรณ์ทุกอย่างคุณคงจะเป็นโรคอุปาทานมากกว่า”

นายแพทย์ไตเทิ้ลบอม คงจะเข้าใจความรู้สึกของคนไข้เป็นอย่างดี เขาจึงเตือนเพื่อนนายแพทย์ด้วยกันว่าอย่าด่วนตัดสินใจว่าคนไข้เป็นโรคอุปาทาน จนกว่าคุณจะได้ทดสอบคนไข้ด้วย G.T.T.หรือ GLUCOSE TOLERANCE TEST เพราะการตรวจเช่นนี้ ถ้าพบว่านํ้าตาลในเลือดขึ้นๆลงๆ อยู่ตลอดเวลา เมื่อทำเป็นกราฟก็จะเห็นว่า เส้นกราฟของนํ้าตาลในเลือดขึ้นลงเป็นรูปภูเขาแล้วคนไข้ก็เป็นโรค HYPOGLYCEMIA แน่

แสดงว่าจะรู้แน่นอนว่าเป็น HYPOGLYCEMIA แน่นอนก็ต้องเจาะเลือดดูติดต่อกันเกือบทั้งวันจึงจะรู้แน่ว่าเป็น HYPOGLYCEMIA หรือจะเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า CHRONIC FATIGUESYNDROME หรือ CFS ก็ได้

การเหนื่อย เพลียแบบ HYPOGLYCEMIA นี้ ไม่มีสาเหตุ คุณไม่ได้ไปออกแรงไม่ได้วิ่ง ไม่ได้ทำงานหนัก แต่คุณก็เหนื่อยเปลี้ยเพลียแรงอยู่ตลอดเวลา ตื่นเช้าขึ้นมาทั้งๆ ที่ได้นอนมาแล้ว 7-8 ชั่วโมง แต่คุณก็ไม่มีแรง ลุกไม่ได้ คุณกินอาหารบำรุงก็แล้วฉีดยาบำรุงกี่เข็มต่อกี่เข็มก็แล้ว แต่คุณก็ยังไม่มีแรงอยู่นั่นเอง

นี่คือความแตกต่างของการเหนื่อย การเพลียอย่างมีสาเหตุ และอย่างไม่มีสาเหตุซึ่งเป็นเพราะ
HYPOGLYCEMIA

มาถึงการนอนไม่หลับ ซึ่งเป็นอาการสำคัญอีกอย่างหนึ่งของ HYPOGLYCEMIA ซึ่งถ้าพยายามหาสาเหตุเพียงไร ก็จะหาไม่พบและทำให้งงงันอยู่ตลอดเวลา ปรกติถ้าคนที่ไม่เป็นอะไร ทำงานหนักๆ หรือออกแรงมากๆ เขาก็จะง่วงนอน เมื่อนอนก็หลับทันทีและเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะมีแรง

แต่การนอนไม่หลับของ HYPOGLYCEMIA นั้น แรกๆเจ้าตัวอาจจะนึกว่าตัวนอนหลับสนิทแต่ในไม่ช้าเขาจะรู้ตัวว่า เขาตื่นขึ้นคืนหนึ่งๆ หลายครั้ง และบางครั้งเขาจะต้องเข้าห้องนํ้าถ่ายปัสสาวะคืนหนึ่งหลายๆ ครั้ง เมื่อเขานอนต่อไปจนถึงรุ่งเช้า ถึงเวลาไปทำงานเขาจะลุกไม่ไหวยิ่งแข็งใจตื่นมากเท่าไหร่ เขาก็จะงัวเงีย และหมดแรงมากเท่านั้น

ไปหาหมอเพื่อหาสาเหตุว่า เขานอนไม่หลับเพราะอะไร ก็จะหาสาเหตุไม่เจอ และเมื่อแพทย์พยายามช่วยเขาด้วยการจ่ายยานอนหลับให้ เขาก็จะพบว่าอาการของเขากลับเลวร้ายไปใหญ่ เขาจะนอนหลับเหมือนคนเมาคือ สมองของเขาจะมึนซึมเหมือนคนเมาเหล้า และถึงแม้จะหลับไปได้ แต่จะตื่นไม่ได้และอาการของเขาก็จะเป็นมากขึ้น จนกลายเป็นโรคประสาทเรื้อรังไปเลย

อาการต่างๆ เหล่านี้ ผสมกันหลายอย่างก็จะต่อๆ ไปให้เกิดอาการแปลกๆ มากขึ้นอาการตอนแรกๆ ก็คือ อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ ปวดหลัง ปวดเอว ปวดตัว ปวดศีรษะ ระบบขับถ่ายทั้งหนักทั้งเบารวนเรไปหมด

และอาการต่างๆ ก็จะมากขึ้นจนถึง 40 อาการดังกล่าวมาแล้ว ที่สำคัญก็คือ ไม่ใช่อาการทางกายแต่อย่างเดียวแต่จะมีอาการทางจิตด้วย เขาจะรู้สึกเบื่อหน่าย ซึมเศร้า อาจจะถึงคิดฆ่าตัวตายก็มี

และนี่แหละ คือโรคที่นายแพทย์ฮาร์เวย์ รอสส์ เพื่อนคนหนึ่งของนายแพทย์ไกแลนด์กล่าวไว้ว่า “โรคนี้ไม่ทำให้คุณตายหรอก แต่มันจะทำให้คุณอยากตาย”.

การรักษาอาการ 40 อาการนั้น ค่อนข้างจะหนักหนาสาหัส เพราะดูๆ ไปแล้ว ไม่ว่าจะป่วยเป็นอะไรก็ตาม ดูเหมือนอาการจะมาตรงกับ HYPOGLYCEMIA หรือ CFS. ไปเสียหมดสิ้น แล้วทำไมไม่บอกเสียสักทีว่ารักษาอย่างไร

ผมบอกแล้วว่า ต้นเหตุเกิดจากการกินอาหารผิดๆ ก็ต้องแก้เรื่องอาหารเสียก่อน เรื่องการกินผิดๆ นั้น
ให้คำจำกัดความง่ายๆ ว่า เรากินตามใจปากมากเกินไป กินอาหารด้วยการติดความอร่อยมากเกินไป กินอาหารเนื้อสัตว์มากเกินไป กินอาหารประเภทแป้งขาวมากเกินไป กินหวานเกินไป กินมันเกินไป กินอาหารรสจัดมากเกินไป เหล่านี้เป็นต้น

วิธีแก้ง่ายๆ จึงได้แนะให้กินอาหารตามสูตรชีวจิต ซึ่งเป็นสูตรกลางๆ อย่างที่สุด และเมื่อลองกินอาหารตามสูตรแล้ว ก็ต้องแก้อาการอื่นๆ ซึ่งยังหลงเหลืออยู่ต่อไป เรียกว่าต้องแก้ทั้งอาการภายนอก และอาการภายในร่วมกันนั่นเอง

และก็อย่าลืมเรื่องชีวิตประจำวัน คือการปรับชีวิตประจำวันให้สมดุล พร้อมกันไปด้วย กิน นอน ทำงาน พักผ่อน ออกกำลังกาย ต้องมีกิจกรรมให้ครบถ้วน จัดให้พอดีกับวิถีชีวิต จะขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้

และเรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ เรื่องของการคิดหรือวิธีคิด รู้จักคิดในทางบวก คิดในทางที่จะทำตัวเองให้สบายใจ มีความรัก ความเมตตาให้แก่ตัวเอง แก่คนอื่น และเพื่อนร่วมโลก

ฟังดูแล้วเหมือนกับเอาเทศน์ หรือเทปของวัดวาอารามต่างๆ มาเปิดให้ฟัง แต่จริงๆ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่บ้าง ชีวิตคนเราถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ หรือการแพทย์โดยตรง ก็ต้องมีเรื่องคุณธรรม หรือศีลธรรมเป็นพื้นฐาน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่บ้าน จะไปคลินิก ไปโรงพยาบาล ไปหาหมอวิเศษที่ไหน ถ้าแห่งนั้นหรือหมอคนนั้นขาดคุณธรรมหรือศีลธรรม โรคของคุณและอาการป่วยของคุณ ไม่มีวันหายหรอกครับ

เอาละครับ ก่อนที่จะลืมพูดส่วนสำคัญของอาหาร อีกส่วนหนึ่งคือ เรื่องแร่ธาตุ ผมขอพูดถึงความสำคัญของแร่ธาตุ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวกับ HYPOGLYCEMIA โดยตรง และก็มีความสำคัญต่อการรักษา HYPOGLYCEMIA หรือ Chronic Fatigue Syndrome (CFS). เป็นพิเศษด้วย

แร่ธาตุที่ร่างกายต้องการมีอยู่ 18 อย่าง คือ แคลเซียม คลอรีน โครเมียม โคบอลท์ ทองแดง ฟลูออรีนไอโอดีน แมกนีเซียม แมงกานีส โมลิบดีนัม ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม ซีเลเนียม โซเดียม กำมะถัน วานาเดียม และสังกะสี

ในจำนวน 18 ตัวนี้ มีอยู่ 4 ตัว ซึ่งมีความสำคัญกับ Chronic Fatigue Syndrome (CFS). เป็นพิเศษ คือ โซเดียม แคลเซียม โปแตสเซียม และแมกนีเซียม สี่ตัวนี้เราเรียกว่า กลุ่มเกลือคาร์บอนิค (CARBONIC SALTS)

ขอย้อนกลับพูดถึงความสำคัญของ อาหารที่มีต่อชีวิตของเราว่า อาหารสร้างชีวิตของเรา และทำให้เรามีชีวิตเจริญเติบโตต่อไปได้ก็จริง แต่ในขณะเดียวกัน อาหารก็สามารถเป็นเพชฌฆาตทำให้เราตายได้

โทษของอาหารก็คือ ถ้าเรากินอาหารผิดๆ อาหารนั้นก็จะกลายเป็นท็อกซิน (TOXIN) ทำลายสุขภาพและชีวิตของเราได้

ท็อกซินเป็นพิษก็จริง แต่ไม่ใช่ยาพิษ มันเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาทางเคมี ซึ่งแล้วแต่การผสมหรือการบูด (FERMENTATION) จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงไร และตกค้างอยู่ในร่างกายมากน้อยเพียงไรด้วย

ขอพูดถึงกระบวนการของการกิน ซึ่งก่อนที่เราจะกินมัน ก็เป็นอาหารปรกติธรรมดา เช่น หมู เห็ด เป็ด ไก่ ก่อนจะส่งเข้าปากเรา มันก็จะเป็นหมู เห็ด เป็ด ไก่ อยู่

แต่พอเข้าปากเราแล้ว มันก็จะเปลี่ยนแปลงทันที มันจะถูกเคี้ยวให้ละเอียดก่อน อาหารบางอย่างเมื่อถูกเคี้ยวคลุกเคล้ากับน้ำลาย เช่น ข้าวจะเปลี่ยนเป็นแป้ง และน้ำตาลกลูโคส และอาหารอย่างอื่นเมื่อผ่านลงกระเพาะจะถูกย่อย และผ่านจากกระเพาะสู่ลำไส้เล็ก ก็จะถูกย่อยละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะโปรตีนและไขมัน

ต่อจากนั้น มันจึงจะถูกดูดซึมเข้ากระแสโลหิต และโลหิตก็จะไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย
ส่วนที่เหลือเป็นกากอาหาร ก็จะกลายเป็นอุจจาระ ขับถ่ายออกจากร่างกาย เป็นอันจบกระบวนการ
กระบวนการนี้เรียกว่า METABOLISM

ในระหว่างกลางของกระบวนการ METABOLISM นี้เอง ที่จะเกิดการสร้างท็อกซินหรือพิษขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอาหาร ซึ่งเราแยกออกเป็น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เมื่อย่อยครบถ้วนกระบวนความแล้ว กลุ่มโปรตีนและไขมัน จะกลายเป็นกรดซิลเฟอริค และกรดฟอสฟอรัส กลุ่มคาร์โบไฮเดรตจะกลายเป็นกรดอาซติค และกรดแลคติค

กรดซัลเฟอริค และกรดฟอสฟอริค เป็นกรดร้ายแรง ขนาดกัดเหล็กให้กร่อนได้ ส่วนกรดอาซติค หรือกรดน้ำส้ม และกรดแลคติค ก็มีความร้ายแรงเกือบจะพอๆ กัน

ความรุนแรงเช่นนี้ ถ้ายังคงอยู่ในร่างกายเรา อวัยวะสำคัญๆ ก็จะพังพินาศไม่มีชิ้นดี และเราก็คงตายไปเสียนานแล้ว

เหตุการณ์เช่นนี้ ว่าที่จริงก็เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่ธรรมชาติก็คงไม่ต้องการให้เราตายง่ายๆเช่นนั้น จึงได้เตรียมแก้ความเป็นพิษไว้ให้เรา การแก้พิษนี้ ก็คือกลุ่มเกลือคาร์บอนิคนี้เอง

กลุ่มเกลือคาร์บอนิค จะเปลี่ยนกรดที่ร้ายแรงต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว ให้กลายเป็นกลางได้ และสารอาหารต่างๆ ซึ่งจะกลายเป็นพิษร้ายแรงนั้น ก็กลับกลายเป็นสารอาหาร ที่เป็นประโยชน์ไปเลี้ยงร่างกายได้ นั่นคือการทำลายท็อกซินขั้นแรก

แต่การทำลายท็อกซิน ด้วยวิธีธรรมชาติของร่างกายนั้น ไม่สามารถจะทำร้ายท็อกซิน ได้หมดร้อยเปอร์เซ็นต์ถ้ากลุ่มเกลือคาร์บอนิคซอลท์ของเรา ไม่เพียงพอ และจะยิ่งร้ายแรงมากยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าเรากินผิดๆ เช่น แป้งขาวมากเกินไป เนื้อสัตว์มากเกินไป หวานมากเกินไป มันมากเกินไป เหล่านี้เป็นต้น

ด้วยเหตุการแก้อาการ Chronic Fatigue Syndrome (CFS). ประการหนึ่งในหลายประการก็คือ
เติมกลุ่มเกลือคาร์บอนิคเข้าไปให้มากขึ้น
การเติมนี้ ผมเคยอธิบายให้ฟังไว้หลายครั้งแล้วว่า กลุ่มวิตามินและแร่ธาตุนั้น ก็คืออาหารและมีอยู่ในอาหารแล้ว แต่ในกรณีที่เราป่วย การจะกินอาหารที่มีแร่ธาตุอย่างนี้ แต่เพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ทันกาล จึงควรกินชนิดอย่าง ที่สกัดออกมาอย่างเข้มข้น ทำเป็นเม็ดหรือแคปซูล จะช่วยทำให้อาการป่วยหายเร็วขึ้น

กลุ่มเกือบคาร์บอนิค ที่มีในอาหารนั้น มีดังนี้
โซเดียม มีอยู่ใน เกลือ หอย แครอท หัวบีท อาร์ติโช้ค เนื้อสัตว์
ประโยชน์ ของโซเดียม ช่วยขับถ่ายทางผิวหนัง (เหงื่อ) ช่วยให้การทำงานของระบบประสาท และกล้ามเนื้อ

แคลเซียม อาหารจากนม และผลิตผลจากนม ปลา และกระดูกปลา ถั่วต่างๆ วอลนัท เมล็ดทานตะวัน ถั่วเหลือง ถั่วแดง ผักใบเขียว
ประโยชน์ สร้างกระดูก ฟัน เล็บ ช่วยการเต้นของหัวใจ ทำให้นอนหลับ ช่วยให้ธาตุเหล็กทำงานดีขึ้น (สร้างเลือด) ช่วยระบบประสาท

โปแตสเซียม มีในพวกส้ม และผลไม้เปรี้ยว แคนตาลูป มะเขือเทศ แห้ว ผักใบเขียว เมล็ดทานตะวัน กล้วย มัน (หัว)
ประโยชน์ ช่วยให้สมองทำงานดีขึ้น ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยแก้ภูมิแพ้ ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด

แมกนีเซียม มีในมะนาว ส้มโอ ข้าวโพด อัลมอนด์ ถั่วต่างๆ ผักเขียวแก่ แอปเปิ้ล
ประโยชน์ ช่วยแก้รู้สึกซึมเศร้า ช่วยระบบเลือดหัวใจ ช่วยฟันแข็งแรง ช่วยละลายแคลเซียมสะสม ช่วยในการย่อย

ถ้าหากมีอาการ Chronic Fatigue Syndrome (CFS). เมื่อใด ก็แสดงว่า กลุ่มเกลือคาร์บอนิค
ในอาหารของเรา มีไม่พอเพียง จะเพิ่มอาหารอีกก็จะแก้ไม่ทัน จึงแนะนำให้ใช้อย่างสกัดเป็นเม็ด หรือ
เป็น อาหารเสริมดังนี้ แคลเซียม 500 มก. โปแตสเซียม 100 มก. แมกนีเซียม 300 มก. (กินทุกวัน ประมาณ 2-3 อาทิตย์) โซเดียมไม่ต้องเติม เพราะคนไทยกินเค็มมากอยู่แล้ว.

//www.wuttanan.com/few/?p=116

ปล.

๑ อนุโมทนากับแม่ไก่กับพระกั๊กอีกทีนะคะ
๒ สวัสดีทุกคนค่ะ
๓ ข้างบนนี้เอามาฝากเพราะช่วงหลังเป็นบ่อยกว่าเดิมเลยไปหาอ่านดู เผื่ออาจเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆค่ะ



โดย: นู๋อบค่ะ IP: 58.10.80.179 วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:15:02:14 น.  

 
สวัสดีค่ะสมาชิกประจำบ้านทุกท่าน...

ย่าอำฯขออนุโมทนาสาธุกับคุณความดีของทุก ๆ ด้วยนะคะ

ระยะนี้เข้าไปบ้านเก่าที่ลานธรรม
ได้ซึมซับบรรยากาศเก่า ๆ ที่บ้านหนูกา
ทำให้คิดถึงเพื่อน ๆทุกคนมากยิ่งขึ้นค่ะ
ไม่เชื่อลองเข้าไปดูซิคะ...

ขอบคุณข้อมูลจากหนูอบ
แล้วจะค่อย ๆ อ่านอีกครั้งค่ะ

คุณอรหมู่นี้งานคงยุ่งนะคะ
นาน ๆ ถึงเข้ามาที
จะไปต่างประเทศอีกเมื่อไรเอ่ย ?
แต่คงไม่มีโอกาสได้ชมภาพสวย ๆ
จากคุณอรแล้ว
แล้วจะไปติดตามที่ลานธรรมค่ะ

ขอแสดงความเสียใจกับคุณนางฯด้วยนะคะ
ที่ต้องสูญเสียเจ้าขาว-สุนัขประจำตัวไป
เสียใจด้วยจริง ๆ
ขอให้ทำใจได้ในเร็ววัน
เอาใจช่วยนะคะ...


มาส่งข่าวสองข่าวด้วยค่ะ...

ข่าวแรก
เย็นวันพุธถึงเย็นวันอาทิตย์
ที่จะถึงนี้
ขอกราบลาเข้าวัดค่ะ
ว่าจะงด
แต่ทุรนทุราย
ไม่ไหวกับจิตที่พุ่งออก
เลยต้องตามใจจิตเขาค่ะ
คิดว่าคงจะเกิดประโยชน์แก่ตนด้วย
ดีกว่าฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ

ข่าวที่สอง
ส่งถึงคุณยายลิงและหนูกาว่า...
ย่าอำฯหันกลับไปแชทใหม่แล้ว
อยากชวนคุณยายลิงเข้าไปคุยเล่นกันบ้างนะคะ
ส่วนหนูกาคงจะเข้าอยู่แล้ว
ส่วนมากจะเข้าไปช่วงเย็นและตอนดึกค่ะ
ตอนเช้าไม่ค่อยได้เข้า
เพราะแบ่งเวลาอ่านหนังสือธรรมะค่ะ
แล้วไปคุยกันนะคะ...คุณยายลิง หนูกา
ย่าอำฯคิดถึงค่ะ


สวัสดีทุกท่านค่ะ
ในระหว่างอยู่ที่วัด
จะตั้งใจเต็มที่
เพื่อที่จะได้บุญมามาก ๆ
เอามาเผื่อเพื่อน ๆค่ะ

อนุโมทนาสาธุทุกท่านค่ะ.


โดย: อำไพพร IP: 125.26.30.145 วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:15:33:16 น.  

 
**
คิดว่าคงจะเกิดประโยชน์แก่ตนด้วย
ดีกว่าฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ
**

ดีค๊า..
อย่าฆ่าเลยน่ะ..เวลา
(นู๋)เวลา..ไม่ได้ทำอาไรให้ซักหน่อย..
นอกจาก..รักคุณย่าอำฯ มั่กๆ เท่านั้นเองอ่ะ
อิอิ..
:-)

_/|\\_
ขออนุโมทนาด้วยนะคะ
:-)


โดย: นู๋เวลา IP: 58.181.136.90 วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:15:38:38 น.  

 

A Whiter Shade Of Pale


We skipped a light fandango,
Turned cartwheels 'cross the floor.
I was feeling kind of seasick,
But the crowd called out for more.
The room was humming harder,
As the ceiling flew away.
When we called out for another drink,
The waiter brought a tray.

And so it was that later,
As the miller told his tale,
That her face at first just ghostly,
Turned a whiter shade of pale.

She said there is no reason,
And the truth is plain to see
That I wandered through my playing cards,
And would not let her be
One of sixteen vestal virgins
Who were leaving for the coast.
And although my eyes were open,
They might just as well have been closed.

And so it was later,
As the miller told his tale,
That her face at first just ghostly,
Turned a whiter shade of pale.


เอาเพลงโปรดตอนอายุประมาณ 21-22 มาแปะค่ะ 30 ปีมาแล้ว
เพลงนี้ มีความหลังมาก..
ตอนนั้น เราเพิ่งย้ายรัฐจาก NY ไป Virginia รู้สึกเหงากันมาก ๆ
น้องชายเล่นบาส..ตอนนั้น น้องขับรถ Camero..สปอร์ตสีน้ำเงินบรอนส์
ไปหาเพื่อนคนไทยที่อยู่ที่ Wash DC..
พอรถไปจอดหน้าบ้าน.. เจอหญิงชายคู่นึงออกจากบ้านมาพอดี..
ญ.นั้นคือ อดีตน้องสะใภ้..แม่ของหลานชายโจเจ
ช.คือ ญาติกัน แล้วก็เกือบจะเป็นคู่คนแรกของเราค่ะ ชื่อ หอม..
หลังจากนั้น น้องชายก็ขับรถ 8 ชม.เพื่อไปหาสาวเราก็ไปด้วย..ที่ N.Carolina
เพลงนี้ คือเพลง..ที่มีมนต์ขลังสำหรับพวกเรา..
ทั้งๆ ที่เนื้อไม่ได้มีความหมายอะไรพิเศษ แต่ทำนองเพราะมาก ๆ

เป็นความสุข ของเราช่วงหนึ่งของชีวิตในวัยสาวค่ะ


โดย: ลิง IP: 58.137.0.83 วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:11:06 น.  

 
สวัสดีครับทุกท่าน

ขออนุโมทนาในบุญกุศลทุกท่านโดยดีงามครับ

เข้ากระทู้นี้ยากอีกแล้วครับท่าน พอดีเข้าได้เลยรีบมาลง

วันศุกร์ ออกเดินทางไปทำบุญกับคณะ ที่ชอบถือ

อุโบสถศีลปฏิบัติธรรมที่อุโบสถวัดมหาธาตุ

เหมารถตู้ไป คุณลุง คุณป้า ข้าราชการ เกษียณ

(นายทหารปืนใหญ่หูหนวก) ก็มีไปทำบุญไหว้พระ

บรมสารีริกธาตุ 12วัด 4จังหวัด ลำปาง ลำพูน

พิษณุโลก เชียงใหม่ (ผมเสนอจากเดิมไหว้9วัด3จังหวัดเชียงใหม่อีก1จังหวัดครับ) สักการะพระนเรศวร (ได้ดูประวัติท่านจากภาพยนตร์

ระหว่างเดินทาง) พระนางจามเทวี ห่มผ้าเสาอินทขิล


ถวายเทียน นีออน ตะลุ่มมุก โคมไฟ หมอน

อาสนะ ผ้าห่มพระประธาน พาน ผ้าห่มพระบรม

สารีริกธาตุเจดีย์ น้ำหอมพรมผ้าห่ม หนังสือ

ธรรมะ ถวายปัจจัยสี่ ค่าน้ำ ค่าไฟ บำรุงวัด จุดธูป

เทียนประทีปบูชา ก่อพระเจดีย์ทันใจ(บรม

สารีริกธาตุเจดีย์)ข้างวัดเจดีย์หลวง อธิษฐานจิต

อุทิศบุญกุศล เวียนรอบเจดีย์

สาธยายสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ปฏิบัติ

กรรมฐาน ครับ

จากแรงคะยั้นคะยอของผมทำให้ได้ไหว้12พระบรมธาตุเจดีย์ ใน4จังหวัดคือเพิ่มจังหวัดเชียงใหม่อีกแห่งด้วยครับ
และได้เข้ากราบศพหลวงปู่จันทร์ ที่วัดเจดีย์หลวงด้วยครับ

ระหว่างเดินทางปลื้มปิติได้นึกถึงธรรมะพระโพธิสัตว์มากมาย ยกมือไหว้พระธาตุระหว่างทางอีกจำนวนมาก เห็นคุณของพระพุทธศาสนาว่ามีจริงมากขึ้น

ธรรมะสวัสดีขอให้มีบุญความสุขกันโดยดีงามนะครับ

ขอเชิญอนุโมทนาบุญกุศลกันครับ

"ส่งเสริมเขาไป เดินทางก้าวไม่หยุด ก็ถึงจุดหมายได้" ล.ป.เลี่ยม ฐิตธัมโม วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี มอบให้ ณ ชมรมพุทธ ทีโอที ในมหามงคลวโรกาส ครบรอบ79-80พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ธันวาคม2549

"พุทโธ โพเธยยัง มุตโต โมเจยยัง ติณโณ ตาเรยยัง"
"เมื่อรู้แล้ว จักช่วยผู้อื่นรู้ด้วย เมื่อพ้นทุกข์แล้ว จักช่วยผู้อื่นพ้นทุกข์ด้วย เมื่อข้ามโอฆะแล้ว จักช่วยผู้อื่นข้ามโอฆะด้วย"

"เมื่อได้พุทธภูมิ อภิเษกพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จักช่วยให้ผู้อื่นได้พุทธภูมิ อภิเษกพระสัมมาสัมโพธิญาณด้วย"


โดย: มุ่งเต็มใจ IP: 203.113.0.206 วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:23:31 น.  

 
***จึงควรกินชนิดอย่าง ที่สกัดออกมาอย่างเข้มข้น ทำเป็นเม็ดหรือแคปซูล จะช่วยทำให้***

ผมกินบ่อยๆครับ หนูอบ

ที่มีบางท่าน(รู้สึกว่าเป็นคุณเปิ้ลกับใครอีกก็จำไม่

ได้ครับ)ถามว่าผมกินยาอะไร(ไม่รู้ว่าเห็นได้ยังไง

ว่าจะตอบแล้วลืมตอบครับ ) ก็คือ พวกเกลือแร่

ผักผลไม้ วิตามินรวมสกัดเข้มข้น แบบนี้ล่ะครับ

กินแล้วสุขภาพดีมาก ไม่ค่อยเพลีย อยู่หน้า

คอมพิวเตอร์เพลิดเพลินตอบกระทู้วันละ10-12

ชั่วโมงติดต่อกันหลายๆวัน ได้ไม่รู้ตัวครับ

ธรรมะสวัสดีครับ


โดย: มุ่งเต็มใจ IP: 203.113.0.206 วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:51:12 น.  

 
***อานิสงส์การอยู่จำพรรษา

ส่วนเมื่อออกพรรษาแล้ว นั่นหมายถึง พระภิกษุอยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ย่อมได้อานิสงส์พรรษา ๕ ข้อ คือ

๑.เที่ยวไปไหนโดยไม่ต้องบอกลา

๒.ไม่ต้องถือไตรจีวรครบสำรับ

๓.ฉันคณะโภชน์ได้ (ฉันอาหารรวมกันเป็นกลุ่มได้)

๔.ทรงอดิเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา และ

๕. จีวรที่สาธุชนถวายมานั้น สามารถรับเป็นของตนได้ตามความจำเป็น โดยไม่ต้องส่งเข้ากองกลางให้เป็นของสงฆ์
(วิ.ม. มก.๗/๑๙๓, มจ.๕/๑๔๕)
***
เมื่อวันพฤหัสได้ชักชวนบอกบุญเพื่อนที่ทำงาน สร้างหนังสือสวดมนตร์ สำหรับพระใหม่วัดปากน้ำได้141เล่ม ตั้งใจถวายให้ทันก่อนเข้าพรรษา จะได้อานิสงส์พระจำพรรษาด้วยครับ (ปีที่แล้วผมบวชเฉลิมพระเกียรติที่นี่ครับ) พระจำพรรษานวกะที่นี่(นอกจากมีกำหนดนั่งกรรมฐานทุกวัน) ใช้สวดมนตร์ถึงวันละ5เวลาแน่ะครับ

ขอเชิญอนุโมทนาบุญกุศลกันครับ


โดย: มุ่งเต็มใจ IP: 203.113.0.206 วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:24:42 น.  

 

.....บทสวดธรรมสังเวช....

ดูรา ท่านหญิงชาย ฟังบรรยาย ธรรมคาถา
โอวาท ศาสดา พระสัมมา พุทธองค์
ฟังแล้ว เพ่งพินิจ อบรมจิต ให้มั่นคง
ตั้งสติ ดำริตรง จิตดำรง ปัญญาญาณ
ชีวิต อนิจจัง อย่าได้หวัง ในสังขาร
ไม่มี สิ่งต้านทาน เมื่อถึงกาล มรณา
ชีวิต คือความทุกข์ เหมือนติดคุก ทุกข์หนักหนา
เวียนว่าย ในโลกา เพราะตัณหา พาให้หลง
ชีวิต อนัตตา ภาพมายา พางุนงง
ควรคิด พินิจปลง พุทธองค์ ทรงสั่งสอน
ชีวิต ดุจความฝัน ทุกสิ่งอันไม่แน่นอน
เปรียบไป คล้ายละคร ทุกขั้นตอน สอนจิตใจ
ชีวิต ไม่มีหมาย บ่มีนาย ประกันไว้
เช้าเห็น เย็นจากไป อนาถใจ ชีวิตคน
เมื่อไม่ตาย อย่าประมาท อย่าได้ขาด สร้างกุศล
สั่งสมไว้ ในกมล ติดตามตน ทุกนาที
ขอท่าน สาธุชน ดำรงตน ในความดี
บำเพ็ญ บารมี ตามวิถี พุทธองค์
มุ่งใด ได้ดังคิด ผลสัมฤทธิ์ สมประสงค์
ดวงจิต สถิตคง มุ่งดำรง พระธรรมเทอญ.

บทประพันธ์.. หลวงปู่พระพุทธพจนวราภรณ์--- (จันทร์ กุสโล)

นำบทธรรมสังเวชของหลวงปู่ใหญ่มาลงไว้
เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจพวกเราทุกคน
หลวงปู่ได้ละสังขารแล้ว เหลือไว้แต่คุณความดีของหลวงปู่ที่บำเพ็ญมาตลอดชีวิต

กราบหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้า



โดย: โอรัช IP: 125.24.156.64 วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:59:12 น.  

 
แง..แง..แง
อุตสาห์นั่งจัดหน้า บทธรรมสังเวชของหลวงปู่
เป็นบท ๆ มีย่อหน้า
แฮ่..แฮ่...พอโพสต์แล้ว ย่อหน้าหาย เว้นวรรคหาย ที่จัดหน้าไว้มารวมกันเป็นแถว ๆ

มาชวนสมาชิกฯไปดูภาพ ปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่
//larndham.net/index.php?showtopic=32279&st=23






โดย: โอรัช IP: 125.24.156.64 วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:19:14:09 น.  

 
บุญกุศลบารมีปัญญาธรรมทานที่เกิดขึ้น ที่เกี่ยวเนื่องกับผมในกระทู้คุณสาวิกาต่างๆ และที่อื่นๆ ที่เกิดขึ้นแก่ท่านๆและสรรพชีวิตทั้งหลาย หากจะมีขึ้น ผมขออุทิศให้ถึงแก่เจ้ากรรมนายเวร เจ้าบุญนายคุณ ต้นเหตุแห่งกรรมอันเป็นสมุหฐานแห่งอกุศลวิบาก ผู้ที่ผมเคยล่วงเกินไว้ในการสงคราม และอกุศลกรรมอื่นทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมในอดีต ปัจจุบัน อนาคต เพื่อเป็นสรรพพลวปัจจัยให้ท่านทั้งหลายอโหสิกรรม ให้ ให้กระผมเจริญในศีลธรรม สุขภาพกาย วาจา ใจ แข็งแรง ให้ผมพ้นจากอาภัพพฐานะ18ประการ มีกรรมกระทำที่ดีงามเจริญในอภัยทาน สัจจะบารมี สัมมาทิฏฐิ พระพุทธการกธรรม สรรพกุศลธรรม พ้นจากภัยอันตรายนานา เสื่อมจากสรรพอกุศลธรรม

อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญกุศลใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนบุญกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงอนุโมทนา ส่วนบุญกุศลนี้ แล้ว ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน พุทธภูมิ อภิเษกพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

และขออุทิศส่วนบุญกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลาย ที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลาย ทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราช จงอนุโมทนาส่วนบุญกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญบุญกุศล ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด และขออุทิศส่วนบุญกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนบุญกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข ไม่ต่ำกว่าข้าพเจ้า จะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

หากท่านทั้งหลายยังไม่มีโอกาสได้อนุโมทนาเพียงใด ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพระยายมราชจงเป็นสักขีพยานให้แก่ข้าพเจ้าด้วย เจอท่านทั้งหลายเมื่อใด ขอให้ท่านทั้งหลายได้อนุโมทนาส่วนบุญกุศลนี้ด้วยเถิด ผลบุญกุศลบารมีใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาตินี้ ขอผลบุญกุศลบารมีนี้ จงเป็นสรรพพลวปัจจัย ให้ข้าพเจ้า เจริญในพระพุทธการกธรรม ได้เข้าถึง ซึ่งพระนิพพาน พุทธภูมิ อภิเษกพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วยเถิด หากแม้นยังไม่ถึงพระนิพพาน พุทธภูมิ อภิเษกพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด ขอคำว่าไม่รู้ ไม่มี ในสิ่งที่ดี จงอย่าได้บังเกิดแก่ข้าพเจ้าเลย ขอผลบุญกุศลทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้า ได้กระทำแล้ว จงบังเกิดผล ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้ โดยดีงามด้วยเทอญเถิด

"พุทโธ โพเธยยัง มุตโต โมเจยยัง ติณโณ ตาเรยยัง"
"เมื่อรู้แล้ว จักช่วยผู้อื่นรู้ด้วย เมื่อพ้นทุกข์แล้ว จักช่วยผู้อื่นพ้นทุกข์ด้วย เมื่อข้ามโอฆะแล้ว จักช่วยผู้อื่นข้ามโอฆะด้วย"

"เมื่อได้พุทธภูมิแล้ว จักช่วยให้ผู้อื่นได้พุทธภูมิด้วย"

พุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปมาโณ สิทธมัตถุ ๆ ๆ
สะอาด สว่าง สงบสมดุลย์ เลิศ ประเสริฐ ปราณีต ละเอียด ยิ่งๆๆขึ้นไปเทอญ สัมปะติจฉามิ ๆ ๆ


โดย: มุ่งเต็มใจ IP: 203.113.0.206 วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:19:27:39 น.  

 
หลวงปู่จันทร์วัดเจดีย์หลวงมรณภาพ เชียงใหม่

12 ก.ค.-เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จ.

เชียงใหม่ พระเถระชั้นผู้ใหญ่ของภาคเหนือ

มรณภาพแล้ว ด้วยโรคชรา สิริอายุได้ 91 ปี


หลวงปู่จันทร์ กุสโล หรือพระพุทธพจนวราภรณ์

พระราชาคณะเจ้าคณะรองชั้นหิรัญบัฏ เจ้าอาวาส

วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จ.เชียงใหม่ และอดีตเจ้า

คณะภาค 4, 5 และ 6 ฝ่ายธรรมยุต มรณภาพ ที่

กุฏิภายในวัด ด้วยโรคชรา สิริอายุ 91 ปี


หลวงปู่จันทร์เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ของ

เชียงใหม่ เป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชน

จำนวนมาก เป็นพระนักปฏิบัติ นักพัฒนาในทุก

ด้าน มีผลงานการเขียนเผยแผ่ธรรมะอย่างกว้าง

ขวาง ด้านการศึกษา การพัฒนาชนบท ได้ตั้ง

มูลนิธิส่งเสริมการศึกษาของภิกษุและสามเณร ตั้ง

โรงเรียนและมูลนิธิอีกหลายแห่งเพื่อช่วยเหลือ

เด็กนักเรียนที่ยากจน.-สำนักข่าวไทย

//news.mcot.net/entertain/inside.php?value=bmlkPTQ0Njk2Jm50eXBlPXRleHQ=

หากกรรมใดเคยล่วงเกินต่อองค์พระคุณเจ้า และ

องค์พระรัตนตรัยด้วยกาย วาจา หรือใจก็ดี

นับแต่ชาติต้น จนถึงชาติปัจจุบัน ข้าพระพุทธเจ้า

กราบขอเมตตา งดโทษอโหสิกรรม กรรมนั้นๆ

ให้ข้าพระพุทธเจ้า ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน

ด้วยเทอญ



โดย: มุ่งเต็มใจ IP: 203.113.0.206 วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:19:39:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สาวิกา
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]























Friends' blogs
[Add สาวิกา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.