Once upon a time ...
Group Blog
 
All blogs
 

ซากุระ

Back pack ไปญี่ปุ่น ใช้ JR pass nationwide ได้คุ้มมาก ขอบคุณที่มีตั๋วแบบนี้ ไปอยู่หลายวัน เหนื่อยอยู่ ถ่ายภาพมาน้อยแต่น่าจะพิมพ์ภาพในสัญญาไว้เยอะอยู่

วัยขนาดไหนล่ะที่ควรจะหยุดเที่ยวแบบลำบากซะที เข็นกระเป๋า ลากกระเป๋า เดินขึ้นเขาลงเขา วันละไม่ต่ำกว่า 5 กม. บางวันต่อทั้ง JR, Shinkansen, Subway, Bus, Walk เอามันทุกรูปแบบ สนุกนะ ยังพอมีแรงอยู่ แต่จะทำแบบนี้ได้อีกกี่ปีกันจ๊ะ

วันที่ไปรอเพื่อนร่วมทาง พบว่าพื้นตรงส้นรองเท้าใกล้จะขาดทั้งสองข้าง แย่แล้ว ทำไมไม่เช็คของสำคัญก่อนออกเดินทางนะ ยังดีที่เพื่อนเขามีญาติผู้ชายใส่ผ้าใบเบอร์ 40 ขอยืมละกัน ง่ายดีเนอะ Smiley คู่นั้นก็ขาดด้านข้างนิดหนึ่ง ดีที่ทนอยู่ด้วยกันหลายวัน กว่าจะได้เปลี่ยนคู่ใหม่ตอนใกล้จะกลับ


ความน่ารักของคนสูงอายุที่นั่น

สถานีหนึ่งในเมืองซัปโปโร คุณยายวัยเกิน 80 แล้วกระมัง ลงจากรถราง ค่อยๆเดิน เดินอย่างตั้งใจข้ามถนน ไม่เงยหน้ามองใคร ไม่แสดงอาการให้ใครต้องมาห่วงใย มีแต่เรานี่ล่ะที่มองแล้วมองอีก อยากจะอุ้มคุณยายข้ามถนนซะ แต่คณยายไม่สนใจความห่วงใยของคนต่างชาติอย่างเราเลย

คุณตาเข็นรถให้คุณยายชมดอกซากุระ รอบวังพระราชวังอิมพีเรียลคือ 5 กม. ไม่รู้คุณตาจะเข็นได้กี่กิโล คุณยายเหมือนมีปัญหาสุขภาพ ขาบนรถเข็นและหน้าที่ดูเบี้ยวๆนิดหนึ่ง แต่นึกถึงภาพนั้นก็น้ำตาซึม คุณตาคนนี้อาจจะเหมือนใครบางคนที่หาได้ไม่ง่ายนัก (หนึ่งในนั้นคือปู่สมบูรณ์) คนที่พร้อมจะดูแลอีกฝ่ายไปจนถึงที่สุดของชีวิตคู่

คุณยายที่เข้ามาในรถไฟโดยไม่รู้ว่าต้องกดปุ่มข้างๆเพื่อปิดประตูด้วย ลมเย็นข้างนอกผ่านเข้ามาในรถ มีคนเอื้อมไปกดปุ่มนั้นให้ประตูปิดลง คุณยายหันมาเห็นเข้า เอามือปิดปากด้วยความเขินอาย (อย่างกะในหนังเลย) แล้วก็ก้มหัวขอโทษ น่ารักจังเลยค่ะ

ยังมีความน่ารักของคนขายรองเท้าใน Outlet คนหนึ่งเป็นชายที่กิริยาเป็นหญิง เธอตั้งใจ หยิบจับ แนะนำด้วยความนุ่มนวลแต่ไม่ตุ้งติ้ง อีกคนนี่ตอนเราลองผ้าใบ (รองเท้าผ้าใบสำหรับผู้หญิง size 9 ควรต้องซื้อสักคู่เพราะอยู่เมืองไทย หา size ยาก) เขามาคุกเข่า หยิบมาให้ลอง มากดๆตรงหน้าเท้า ทำท่าทางว่ามีที่ว่างขนาดนี้ กำลังดีแล้ว พอผูกเชือกเสร็จ ลองกระโดดดู เขาก็กระโดดตาม ลองวิ่งดู เขาก็วิ่งด้วย น่ารักจัง คือ..ความมีชีวิตชีวาและความตั้งใจในการขายของเขา มันส่งพลังมาให้เราประทับใจจนถึงตอนนี้


เสียงเตือนในรถไฟให้ปิดเสียงมือถือและอย่าใช้โทรศัพท์เสียงดัง ไม่เห็นว่าจะมีใครใช้โทรศัพท์เพื่อคุยนะ แต่ใช้อ่าน ใช้ฟังนี่เยอะอยู่ เยอะมากๆๆ

ตัดสินใจทิ้งโรงแรมไปหนึ่งคืน เพราะไม่งั้น จะต้องนั่งรถไฟย้อนกลับไป แล้วนั่งรถไฟผ่านที่เมืองนี้อีกครั้งในตอนสายของอีกวัน แล้วเสียเวลาไปเกือบวันกับการเดินทาง เลยทิ้งโรงแรม เที่ยวเสร็จ กินข้าวเสร็จก็มานั่งรอรถไฟที่เมืองน่ารักแห่งหนึ่งเพื่อที่จะผ่านลงไปยังเกาะข้างล่าง จะได้ไปถึงที่หมายตอนสาย มีเวลาเที่ยวอีกหนึ่งวัน นี่เป็นผลจากการไม่ได้วางแผนเส้นทางให้มากพอ ถือว่าซื้อประสบการณ์อันน่าประทับใจ นอนหนาว (นอนหลับซะที่ไหนกัน) ในสถานีรถไฟอยู่หลายชั่วโมง ไม่บ้าพอ ไม่กล้าพอ ไม่อึดพอ ทำไม่ได้หรอกนะแบบนี้

ไปนั่งเล่นริมแม่น้ำ ทั้งที่โตเกียวและเกียวโต ซากุระออกดอกบานเป็นแนว อากาศกำลังเย็นสบาย นั่งไปก็นึกในใจว่า ไหลไปเป็นเดรัจฉานอีกแล้วตู มีความสุข

อมยิ้มได้บ่อยๆเมื่อมองไปยังคุณลุงที่ยืนเป่าเม้าท์ออร์แกนริมแม่น้ำ เป่าไป เขย่าขาไปด้วยความรื่นรมณ์ นานเชียว แต่ไม่รู้ว่าเพลงอะไรบ้าง ขอบคุณที่เอาความสุขมาแบ่งปันกันนะคะ

มีตลาดนัดอยู่บางที่ด้วย ที่สวน Ueno มีของกินขาย พอซื้อเสร็จก็นั่งกิน เพื่อนที่ไปด้วยกันบอกว่าไม่สมควรเดินกิน คนไทยเราเดินกินเป็นเรื่องธรรมดา เขาบอกว่ามันจะหกเลอะเทอะทั้งบนทางเดินและอาจไปหกใส่เสื้อผ้าใคร เป็นอย่างนั้นจริงๆด้วย เพราะผู้คนมาชมซากุระกันเยอะมาก แล้วมีคนถือไม้เสียบไก่ย่างเดินไปกินไป หกไปเปื้อนเสื้อคุณลุงคนหนึ่ง แย่จัง

ใช้เงินไม่เยอะนะ พี่ชายแลกเงินให้ ถามว่าพอเหรอ อืม..เหลือเฟือ ค่ากินค่าอยู่แต่ละวัน เหลือเฟือ กินได้กินดี ข้าวอร่อย ผลไม้สดและอร่อย ขนมหลากหลาย และอร่อยได้เสมอกับอะไรที่เป็นไส้ถั่วแดง ขับถ่ายดีทุกวัน ขอบคุณระบบย่อยอาหารและอารมณ์ที่ไม่บูดเน่าจนเกินไป ขนาดไปช้อปรองเท้าผ้าใบและกางเกงมาหนึ่งตัวนะ ยังเหลือเงินกลับมา คือ ซื้ออะไรได้ไม่เยอะนักหรอกเพราะไม่อยากแบก พื้นที่กระเป็าก็มีไม่มากพอให้ขนอะไรได้สักเท่าไหร่ เป็นความจำกัดที่ดีกับตัวเรา

เราอยู่กับบรรยากาศเงียบๆ คนพลุกพล่านแต่ไม่เสียงดัง มาตกใจเสียงตอนอยู่สนามบิน กลุ่มคนไทยที่ซื้อของกันหลายถุง วิ่งกันมาขึ้นรถไฟไปที่ชานชาลาของเครื่องบิน พวกองุ่นเปรี้ยวที่ไม่มีปัญญาแบกของฝากอย่างเราได้แต่มอง คิด ...คนหนึ่งคน มีข้าวของหลายชิ้นหอบมาบนเครื่อง แล้วใช้ที่ว่างของใครๆเก็บข้าวของของตัวเอง แต่ไม่ใช่หนึ่งคน มีหลายคนที่เป็นแบบนี้ เจ้าของที่นั่งมาถึงพร้อม carry on ต้องไปหาที่ว่างที่อื่นหรือจัดระเบียบของให้มากที่สุดเพื่อวางของของตัวเอง ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ เราใส่ใจตัวเองหรือญาติมิตรเพื่อนฝูงของตัวเองมากจนลืมใส่ใจผู้คนรอบข้างที่มีสิทธิใช้ทรัพยากรเช่นเดียวกับเราไปรึเปล่า แล้วไม่รู้สึกอะไรกับภาพที่ว่านั่นเลยหรือที่คนมาทีหลังต้องไปหาที่วางของของตัวเองแบบนั้น


โดยรวมก็ดีนะ อยากไปซ่อมอีกสักครั้ง แต่คงจะใช้เวลากับแต่ละที่ให้มากกว่านี้ ไม่ต้องไปหลายที่แต่ไปจมจ่อมกับบางที่น่าจะดี ได้ยิ้มหวานๆทั้งวัน เว้นแต่คืนที่นั่งหนาวที่สถานีรถไฟ มันยิ้มไม่ออก เพราะโทสะมันกรุ่น ได้นับจังหวะก้าวเดินหลายๆครั้งในแต่ละวัน ทั้งเวทนาทางกายและทางใจ ผ่านมาทักทายได้บ่อยๆ 

ขอบคุณกายและใจ ที่ไปไหนด้วยกันตลอดมา  






 

Create Date : 06 เมษายน 2558    
Last Update : 8 เมษายน 2558 20:20:56 น.
Counter : 1221 Pageviews.  

พม่า (อีกครั้ง)

พี่คนหนึ่งชวนไปพม่า ตอบรับอย่างง่ายดาย ค่าทัวร์ไม่ได้แพงมาก อยากไปพระธาตุอินทร์แขวนที่เดียว ที่อื่นในโปรแกรม เคยไปมาแล้วเมื่อ 11-12 ปีก่อน

ตอนนั้นไปกับแม่และพี่สาว ไปไหว้พระธาตุมุเตา ไปหงสา ไหว้พระนอนและอีกบางวัด อยู่กับเจดีย์ชเวดากองนานพอสมควร ตอนนั้นที่ไป ตรงกับวันวิสาขบูชา ได้เห็นเจดีย์ชเวดากองกับพระจันทร์ดวงโต เป็นความประทับใจที่ติดตาติดใจมานาน

ตอนนั้น ศรัทธายังไม่มากเท่าตอนนี้ แต่ก็รู้สึกดีที่ได้ไป บางที การที่เราสะสมอะไรหลายๆสิ่งจากการกระทำบางอย่างหรือการไปสักการะบางสถานที่ ก็อาจมีส่วนให้เรามาถึงวันนี้ ก็เป็นได้

ออกจากกรุงเทพฯเช้ามาก ก่อน 7 โมงเช้า ไปถึงโน่นก็เจอรถทัวร์มารับ แบ่งเสื้อผ้าบางส่วนใส่กระเป๋าเล็กเพราะจะต้องเปลี่ยนไปเป็นรถขนหมูตอนขึ้นพระธาตุอินทร์แขวนในตอนเย็น แลกเงินกับไกด์ (เงินจ๊าด 25,000 จ๊าดต่อ 1,000 บาทไทย พันละสี่สิบบาท)

วันแรกไปหงสา ผ่านเจดีย์ไจ๊ปุ่น มีพระพุทธรูปปางประทับนั่งอยู่ 4 ทิศ ไกด์อธิบายว่าหมายถึงพระพุทธเจ้าในภัทรกัป ซึ่งที่ผ่านมามี 4 พระองค์ คือ กกุสันธะ  โกนาคมนะ  กัสสปะ และ พระพทุธโคดม ต่อจากนั้นก็ไปพระธาตุมุเตา ซึ่งเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในหงสา แล้วก็ไปที่พระราชวังของบุเรงนอง เขาเอาเมืองขึ้นมาตั้งชื้อประตูเมือง ก็แปลว่าได้เห็นร่องรอยที่ได้มาตีเมืองต่างๆตามนั้นจริง ไม่ใช่เรื่องแต่งที่เล่ากันมาหรืออ่านแค่ในตำราเรียนของที่ไหน แน่นอนว่ามีประตูเมืองอโยธยาเป็นหนึ่งในนั้นด้วย

มีภาพวาดในนั้นที่ชอบมากคือภาพข้างล่างนี้ ไกด์เล่าว่า ขุนนางมีสองประเภท พวกหนึ่งคือ เป็นพวกเชื้อพระวงศ์ ไม่มีความสามารถอะไร แต่ความที่เป็นเชื้อพระวงศ์ เลยได้นั่งหน้า พวกนี้ใส่เสื้อสีเขียว ส่วนพวกที่มีความสามารถแต่ไม่มีเส้นสาย นั่งข้างหลัง จะใส่เสื้อสีแดง เขาก็แบ่งชัดเจนดีนะ


 ตอนบ่ายใกล้เย็นไปถึงทางขึ้นพระธาตุอินทร์แขวน ต้องเปลี่ยนรถเป็นรถเปิดประทุน 6 ล้อ เขาเรียกกันว่ารถขนหมูแต่เขาทำที่นั่งเหมือนรถสองแถว ระหว่างทางที่ขึ้นไป ยิ่งสูง ยิ่งสวย Smiley  มีน้ำตกอยู่ข้างทาง ทางก็ลดเลี้ยว หักศอกอยู่หลายจุด สุดท้ายก็ขึ้นไปได้อย่างปลอดภัย ให้คนรับจ้างขนกระเป๋าไปโรงแรม (ค่าจ้าง ใบละ 500 จ๊าด) ส่วนเราก็เดินไปเรื่อยๆ ไม่ถึงกิโลก็ถึงโรงแรม

ตอนเย็นใกล้ค่ำ อากาศเย็นนิดๆกำลังสบาย จากที่ปวดหัวเพราะหัวโยกตัวโยกกับการนั่งรถ เจออากาศดีดีเข้าไปก็ดีขึ้น ออกมาสักการะพระธาตุ คนพม่าขึ้นมาอยู่ที่ลานข้างบนกันเยอะมาก ไกด์บอกว่าเขามานอนค้างกันที่นั่น ไม่ได้พักโรงแรมแต่นอนกันบนลาน มีห้องอาบน้ำสาธารณะที่จะใช้ได้ 

นอกจากสักการะพระธาตุแล้ว ก็มีเทพทันใจอยู่ใกล้ๆกัน 

ช่วงที่ไปเป็นช่วงวันเพ็ญ พระจันทร์ดวงโตกับพระธาตุอินทร์แขวน งามดีจัง ไกด์เล่นคำได้น่ารัก เขาบอกว่าโรงแรมที่เราพักน่ะ เรทร้อยดาว ก็เป็นอย่างนั้นนะ ออกมาตอนตีสี่กว่าๆ หน้าระเบียงมืดเชียว มองไปข้างล่างก็มืด มองไปข้างบน ดาวเรียงกันระยิบระยับ พร้อมกับพระจันทร์ดวงโตอีกฟากหนึ่ง อากาศต่ำกว่า 20 องศา ไปซื้อข้าวตักบาตรพระพุทธ อาหารในถ้วยโฟมที่เขาขาย ตกถ้วยละ 500 จ๊าด ข้าวมีกลิ่นหอมเชียวล่ะ ก็เอาไปถวายที่เจดีย์แล้วกราบระลึกถึงพระพุทธเจ้าอีกครั้ง หลังจากนั้น เดินไปอีกฟาก ไปนั่งมองแม่ค้าขายก๊วยเตี๋ยว ทาแป้งทานาคา ไกลออกไปเป็นทะเลหมอก




ลงจากเขามา รู้สึกคลื่นไส้นิดหนึ่ง ทางมันหักศอกมากเกินไปและคนขับคันนี้ก็กระชากมากกว่าคันเมื่อวาน เลยมึนไปครึ่งวัน ไปดูพระนอน ระหว่างทาง ตอนเย็นก็ไปเจดีย์ชเวดากอง ที่ที่หลับตานึกถึงพม่าทีไร ก็จะมีแต่ภาพเจดีย์กับพระจันทร์ดวงโตติดตามานานหลายปี หลังจากอธิษฐาน ไปสรงน้ำพระประจำวันเกิด ก็เดินจงกรมรอบเจดีย์สามรอบ รูปที่ได้หลังจากเดินเหมือนมีกลีบดอกบัวแดงล้อมรอบเจดีย์ อาจเป็นเพราะมือถือเราเองด้วยล่ะ แต่ก็..ชอบนะ Smiley

อีกวัน ไปที่เจดีย์โบตาทาวน์ มีพระเกศาธาตุที่นั่น ในบริเวณเดียวกันมีพระพุทธรูปทองคำแล้วก็รูปปั้นนัตโบโบยีหรือเทพทันใจ จากนั้นก็ไปพระนอน (เจ๊าทัตจี) ปลายเท้าของพระนอนจะมีภาพมงคล 108 ภาพ ไปวัดพระเขี้ยวแก้ว แล้วก็โชคดีที่ช่วงนี้ เขาอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมา พร้อมกับพระธาตุของพระโมคลาและพระสารีบุตร อยู่ในผอบให้ได้เข้าไปมองชัดๆ

ส่วนที่ไปตลาด scott ร่วมสองชั่วโมง อันนั้เป็นช่วงที่เบื่อสุดๆ แต่ก็ได้เข้าไปเดินเล่นใน supermarket แถวนั้น สำรวจราคาสินค้าเปรียบเทียบกับบ้านเรา ไปอุ้มแตงโมลูกโต หนักเกิน 5 kg แต่ราคาประมาณ 100 บาทไทย อยากหอบกลับมาให้เแม่กินจัง

...........

โดยรวมก็ดีล่ะ สำหรับครั้งที่สอง แต่มีข้อสังเกตนิดนึงที่ต่างไปจากเมื่อ 11-12 ปีก่อน คือ คนพม่าที่เข้าวัดมานั่งสวดมนต์ นับลูกประคำ มีจำนวนน้อยลงไปมาก รู้สึกว่าบรรยากาศในการเข้าวัดไม่ขลังเหมือนก่อน มีแต่คนพม่าเข้ามา นั่งดูโทรศัพท์มือถือ ใช้มือถือถ่ายรูปบ้าง ดูอะไรกันบ้าง ดีที่ยังไม่มีเสียงเรียกเข้ามากวนใจเพราะการใช้มือถือที่นั่นก็ยังแพงอยู่ อีกหน่อยก็ตามคนไทยทัน ผู้นำแห่งสังคมก้มหน้า Smiley  ไกด์ยังเหน็บพวกเราเลยว่า ก่อนกินข้าว อย่าลืมถ่ายรูปอาหารด้วยนะครับ เพราะในยุคนี้ ก่อนกินข้าว เราต้องบูชาอาหารบน Facebook ก่อน

แต่ตามวัด ตู้กระจกทั้งหลายมีเงินบริจาคกองกันเต็มหลายๆตู้ ทั้งๆที่เป็นสถานที่เปิด ไกด์บอกว่าวัดแต่ละที่ กรรมการจะบริหารเงินบริจาคกันเอง เงินช่วยเหลือจากรัฐที่จะมาทนุบำรุงแทบจะไม่มีเลย อย่างน้อย นี่ก็ยังเป็นตัวชี้วัดอะไรบางอย่างของคนที่นั่น เพราะถ้าเป็นเมืองไทย ตู้ทึบ ล็อคกุญแจ ยังไม่เหลือเลยนี่นะ

แล้วก็ยังต้องถอดรองเท้าเหมือนเดิมไม่ว่าจะไปในเขตวัดไหน เจดีย์ไหน ถุงเท้าก็ไม่ให้ใส่ ยังชอบวัฒนธรรมแบบนี้อยู่นะ แม้ว่าหลายๆคนจะไม่ชอบเรื่องการถอดรองเท้าก็ตาม 

สิ่งที่ชอบและจำได้คือ เด็กนักเรียนใส่เสื้อสีขาว ผ้าซิ่นหรือโสร่งสีเขียว ถ้าเป็นคุณครูจะไว้ผมมวย ตอนเช้าๆ แต่ละคนจะหิ้วปิ่นโตไปโรงเรียน เพราะค่าครองชีพที่นั่นสูง ห่อข้าวไปถูกกว่าไปซื้อ 

และก็ต้นไม้ หลักๆที่เห็นจากย่างกุ้งคือ ต้นไม้ใหญ่รอบเมือง เป็นความเขียวที่ยังเหมือนเดิม ตอนมองจากเครื่องบินลงมา เห็นสายน้ำหลักที่แยกย่อยออกไป เหมือนเป็นผังของสายน้ำ เย็นดี ไม่ว่าจะจากแม่น้ำหรือจากต้นไม้

สิ่งที่ทำให้รู้สึกดีมากๆอีกอย่างคือ คน กลุ่มครอบครัวเล็กที่เราไปด้วย มีเด็กสาวอายุ 18 ที่ยิ่งใกล้ชิดก็ยิ่งหลงรัก มีน้ากับแม่ที่อายุ 70 กว่าทั้งคู่ ผู้หญิงตัวเล็กที่เป็นมะเร็งทั้งคู่ แต่น้าแข็งแรงกว่าแม่ น้าพูดน้อย ไม่บ่นอะไรทั้งนั้น น้าเดินขึ้นบันไดหลายสิบขั้นได้เรื่อยๆ ไม่หอบ ไม่ต้องจูง ช่วงวันหลังๆ แม้แต่จังหวะในการไปนั่ง แล้วกราบพระ ก็ดูเรากับน้าจะเข้ากันได้ดีมาก เหมือนอยู่กับญาติสนิท ยังงั้นเลย ความเย็นของน้า แผ่มาให้เราสัมผัสได้เรื่อยๆ 

เด็กผู้หญิงคนนั้น หน้าตาเธอน่ารัก มารยาทเธอก็งาม กราบพระได้งาม เหมือนกราบมาจากใจ ป้าเธอคงสอนมาดีล่ะ แล้วเวลาที่เธอต้องดูแลย่า (เราเรียกว่าแม่) ก็ทำได้ดี อ่อนโยนและตั้งใจ พูดจาไม่มีกระชาก บทจะ selfie ตามประสาคนวัยนี้ เธอก็ทำท่าได้ทันสมัยกับวัยของเธอ เล่นแบดเป็นประจำ เดี๋ยวต้องท้ามาดวลกันหน่อย ภาษาอังกฤษก็พอไหว หลงรักเด็กคนนี้ไปแล้วเรา Smiley


ก็ดีนะ ... อีกครั้งกับพม่า

....

ขากลับเมืองไทย ไปนั่งที่สนามบินร่วมสองชั่วโมง ตอนที่เข้าไปรอตรงประตูเพื่อขี้นเครื่อง ถูกรมควันบุหรี่อยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่ากลิ่นมาจากไหน มองไปรอบๆก็ไม่เห็นมีใครสูบนะ กลับมาก็เริ่มเจ็บคอ ไอ ตื่นทั้งคืนเพราะไอไปร่วมสามคืน เสื้อผ้าต้องซักทั้งหมดรวมไปถึงผ้าคลุมไหล่ อันนี้แย่น่ะทั้งที่สนามบินก็ดูดีนะ







 

Create Date : 11 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2557 20:34:34 น.
Counter : 546 Pageviews.  

พุทธคยา อินเดีย

เดือนพฤศจิ ปี 56 มีโอกาสไปที่พุทธคยา อินเดีย ไปแค่ที่นั่นกับรอบๆ ไม่ได้ไปสังเวชนียสถานทั้งหมด แต่เหมือนมีอะไรฝังใจบอกตัวเองว่า แค่พุทธคยาที่เดียวนี่แหละที่อยากไป

โชคดีที่เพื่อนให้หนังสืออนันตชิโนมาให้ อ่านจบไปนานแล้ว แต่พอไปที่นั่น งัดเล่มนี้มาอ่านประกอบ ก็รู้สึกว่าได้บรรยากาศ ซึมซาบกับประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งโน้น

ช่วงที่ไปนั้น มีพิธีนำทองหุ้มยอดฉัตรเจดีย์พุทธคยา คนไทยเดินทางไปที่คยากันมาก ทัวร์ที่เราไปเขาไม่มีตั๋วไปลงที่คยา จากกัลกัตตา ต้องต่อเครื่องไปลงที่เมืองปัตนะ (Patna) แล้วนั่งรถมาที่เมืองคยา ใช้เวลาเดินทางทางรถประมาณ 5 ชั่วโมง

เพิ่งมารู้ตอนหลังว่า เมืองปัตนะ ในอดีตมีชื่อเรียก เช่น ปัตนะ ปาฏลีบุตร มคธ ปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของแคว้นพิหาร ในอดีตเมืองนี้เคยเป็นสถานที่ทำสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่สาม ณ อโศการาม และที่นี้ยังเป็นสถานที่ที่เผยแพร่พระพุทธศาสนาไปทั่วอินเดียในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช

พักที่โรงแรมในเมืองคยา ห่างจากเจดีย์พุทธคยาไม่เกิน 5 กม. อากาศตอนเย็นก็เย็นประมาณ 15 องศา ตอนสายๆก็อุ่นขึ้นจนไม่ต้องใส่เสื้อกันหนาว 

วันแรก ไปแวะที่วัดนานาชาติ วัดญี่ปุ่น วัดทิเบต ที่วัดญี่ปุ่น มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่มากตั้งเด่นตรงกลางแจ้ง ส่วนรอบข้าง มีรูปปั้นท่ายืนของพระสาวกของพระพุทธเจ้า ตอนที่ฟังพระท่านบรรยาย ก็จะจับไปผสมกับสิ่งที่เคยฟังเคยอ่านมา รู้สึกดีที่รู้ว่าแต่ละท่านเป็นใคร ไหว้แต่ละองค์ด้วยความเคารพ ไม่แน่ใจว่าครบหรือเปล่า มีพระสารีบุตร พระโมคลานะ พระสังกัจจายนะ พระราหุล พระอุบาลี พระมหากัสสะปะ  พระอานนท์ พระอนุรุทธ พระปุณณมันตานีบุตร

ได้ไปที่เจดีย์พุทธคยา แวะเวียนไปที่นั่นทุกวัน รอบเช้าบ้าง รอบบ่ายบ้าง รอบค่ำบ้าง ก่อนเข้าต้องถอดรองเท้าฝากไว้ข้างนอก แล้วเดินไปผ่านด่านตรวจ 2 ด่าน เดินลงไปกราบพระพุทธเมตตากับต้นพระศรีมหาโพธิ์ วันแรกก็...ตื้นตันนะ

ทางด้านหลังมีลานกว้างให้นั่งได้หลายร้อยคน มีพุทธบริษัทหลายเชื้อชาติไปที่นั่น พระทิเบตจะอยู่อีกมุมหนึ่งซึ่งมากันเยอะพอสมควร  

ช่วงที่ไปเป็นวันอาสาฬหบูชา พระจันทร์สวยตามเคย

ด้านหนึ่งของเจดีย์เป็นสระขนาดใหญ่ เป็นสระมุจลินท์จำลอง โดยมีพระพุทธรูปอยู่กลางสระ เย็นวันที่ทำพิธีเสร็จ ไปเดินเล่นแถวนั้นสักสองสามรอบก่อนกลับมาที่เจดีย์และต้นพระศรีมหาโพธิ์ มุจลินท์เป็นชื่อพญานาคที่แผ่พังพานป้องกันลมฝนไม่ให้ต้องพระวรกายของพระพุทธเจ้าหลังจากที่ท่านตรัสรู้แล้ว

ได้ไปที่บ้านนางสุชาดา ผ่านแม่น้ำเนรัญชราที่ตอนนี้กลายเป็นผืนทราย มีหญ้ากุสสะขึ้นอยู่ประปราย

ได้ตื่นแต่เช้ามืดไปเขาคิชกูฎ ผ่านถ้ำที่พักของพระโมคลา พระสารีบุตร พระอานนท์ จนไปถึงยอดที่เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า

ได้ไปวัดเวฬุวณาราม (เวฬุวัน)

วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา และเป็นสถานที่แสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระอริยสงฆ์ 1250 องค์

ไปกราบหลวงพ่อองค์ดำ

ไปนาลันทา มหาวิทยาลัยสงฆ์

มหาวิทยาลัยนาลันทา มหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นศูนย์การศึกษาในสมัยพุทธกาล ต่อมาในปีพ.ศ. 1742 กองทัพมุสลิมเติรกส์ได้ยกทัพมารุกรานรบชนะกษัตริย์แห่งชมพูทวีปฝ่ายเหนือ กองทัพมุสลิมเติรกส์ได้เผาผลาญทำลายวัด และปูชนียสถานในพุทธศาสนาลงแทบทั้งหมด และสังหารผู้ที่ไม่ยอมเปลี่ยนศาสนา นาลันทามหาวิหารก็ถูกเผาผลาญทำลายลงในช่วงระยะเวลานั้น ว่ากันว่าไฟที่ลุกโชนเผานาลันทานานถึง 3 เดือนกว่าจะเผานาลันทาได้หมด จากนั้นนำท่านเดินทางไปนมัสการ หลวงพ่อดำ ซึ่งเป็นพระพระพุทธรูปที่สร้างด้วยหินแกรนิตสีดำซึ่งสร้างรุ่นราวคราวเดียวกับพระพุทธเมตตา

นั่งรถยาวจากพุทธคยาไปขึ้นเครื่องที่ปัตนะ จากปัตนะ นั่งเครื่องไปกัลกัตตา แล้วก็กลับไทย




 

Create Date : 05 ธันวาคม 2556    
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2557 20:30:57 น.
Counter : 626 Pageviews.  

เขมร กุมภา 09 # 2

ปราสาทที่สาม คือ ปราสาทบายน

สร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ต้นพุทธศตวรรษที่ 18 เป็นการนำหินมาวางซ้อนๆกัน โดยมีทั้งหมด 54 ปรางค์ แต่ละปรางค์จะสลักรูปหน้าพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรไว้ 4 ด้าน ผลรวมของหน้าทั้งหมดคือ 216 หน้า (คุณไกด์บอกว่า เลขแต่ละเลขดูจะได้ผลรวมเป็นเลข 9 ไปซะทุกเลข ไม่ว่าจะ 54 หรือ 216)

รูปหน้าที่ว่านั้น อาจสร้างจำลองรูปของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ก็ได้ ยังไม่มีใครระบุได้ชัดเจนล่ะ รู้แต่ว่า เมื่อผ่านมายุคหลัง บางรูปหน้าถูกดัดแปลงให้เป็นแบบพราหมณ์ คือ เปิดตาให้เห็นเต็มตา หรือมีตาที่สามที่หน้าผาก เป็นต้น






เราชอบรูปปั้นที่นี่มากที่สุด ไม่รู้เป็นไง




นางอัปสราแต่ละที่ แต่ละยุคก็มีรูปร่าง การแต่งกายต่างกันไป จำไม่ได้ว่ามีกี่แบบ มากกว่า 10 กระมัง



ภาพสลักบอกเรื่องราวในยุคนั้นมีอยู่รอบกำแพงของปราสาท ภาพนี้ ไกด์บอกว่าเป็นการเคลื่อนทัพ ผู้หญิงสมัยนั้นทำงานหนัก (ยุคไหนก็หนักทั้งนั้นล่ะค่า ) ผู้ชายข้างหน้าท้าวสะเอวและหันมาดุผู้หญิงข้างหลัง ดุว่าไงไม่รู้ รู้แต่ว่าดุ

รูปสลักเป็นอะไรที่น่าทึ่งดีนะ ทำให้ได้รับรู้เรื่องราวของคนในสมัยนั้น ทั้งประเพณีลอยกระทง จับหมูชนกัน วิธีการเลี้ยงทารก มากมายเลยค่ะ แต่ไม่ค่อยมีเวลา ถ้าไปดูกันเองคงไม่รู้ล่ะ มีไกด์อธิบายให้ก็ดูได้สนุกมากๆ


เราไปเดินซื้อของที่ระลึกที่ตลาดซาจ๊ะกันตอนบ่ายหลังกินข้าว เพราะไกด์บอกว่าจะไปนครวัด ควรไปสักบ่ายสามเนื่องจากแดดแรง เดินซื้อของฝากในราคาที่ต่อรองตามความชอบใจค่ะ อย่างพวก magnet หรือพวงกุญแจ ตกอันละ 20 บาท (ใช้เงินไทยซื้อล่ะ) เสื้อยืดตัวละเหรียญ ถูกมากๆเลย แต่ไม่ได้ซื้ออะไรกันมากมาย ชั่วโมงเดียวก็พอแล้วสำหรับสาวนักช้อบ


นครวัด Angkor Wat

อันนี้เป็น highlight เลยนะ นครวัดสร้างสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (พ.ศ. 1656 - 1693) เพื่ออุทิศถวายแก่พระวิษณุ และเพื่อเก็บศพของกษัตริย์ ดังนั้น ตัวปราสาทจะหันหน้าไปทางทิศตะวันตก (ไกด์ถึงเสนอให้ไปตอนบ่ายเพราะถ่ายรูปแล้วไม่ย้อนแสง แต่ตาหยีแทน )

ความเชื่อในสมัยนั้น กษัตริย์คือเทพ นอกจากนี้ ยังจินตนาการไปถึงเขาพระสุเมรุ โดยสร้างปราสาทจำลองเขาพระสุเมรุ คูเมืองล้อมรอบคือมหาสมุทรที่ล้อมรอบโลก

ที่นี่มีภาพสลักน่าสนใจมากๆ อยู่ได้เป็นวันถ้าใครมีเวลาและดูเป็นด้วยนะ ภาพเด่นๆที่ไกด์พาไปชม ก็มี

ภาพการกวนเกษียรสมุทรน้ำนมที่เทวดาและอสูรช่วยกัน ใช้นาควาสุกรีแทนเชือก ใช้ภูเขามันทระเป็นแกนหมุน มีพระวิษณุอวตารเป็นเต่า เอากระดองรองรับภูเขามันทระเนื่องจากเกรงว่าโลกจะทะลุ และพระวิษณุ 4 กรยังเป็นผู้ควบคุมการหมุนอีกด้วย เหนือพระวิษณุจะเป็นพระอินทร์คอยจับภูเขาให้ตรง กิจกรรมนี้ใช้เวลา 1,000 ปีในการผลิตน้ำอมฤติ

ภาพพญายมทรงควายเป็นพาหนะ มี 18 กร และตัดสินคดีความดี ความชั่วของคน เบื้องบนเป็นสวรรค์ เบื้องล่างเป็นนรก

ภาพกองทัพของทหารสยามที่ไม่เป็นระเบียบ มีการหยอกล้อในขบวนและที่สุดแล้ว แตกพ่ายกลับไป จึงเป็นที่มาของสถานที่ที่เรียกว่า เสียมเรียบ (สยามเรียบ) ไกด์เป็นคนเขมรนี่นะ ไม่รู้เชื่อได้ป่าว ^ ^







ต้องรอให้ลมหยุดพัด น้ำนิ่ง ถึงจะได้ภาพสวยๆที่เงาของปรางค์กระทบน้ำค่ะ (สวยสุด ทำได้แค่นี้เอง )




อุทิศแก่พระวิษณุหรือพระนารายณ์ จึงมีรูปปั้นของท่านไว้ที่นี่ค่ะ




ภาพการกวนเกษียรสมุทรน้ำนม




นางอัปสรายิงฟัน แต่ตอนถ่ายรูป แมลงปอมาเกาะ "ตรงนั้น" พอดีเลยอ่ะ ไกด์บอกว่ารูป Defect ขอนางอัปสรา บางทีก็มีแซมๆบ้างด้วยความนึกสนุกของช่างในตอนนั้น เช่น ยิ้มยิงฟัน หรือ หน้าบึ้ง

ที่นี่มีนางอัปสราทำผมทรงโซล่ามูนด้วยล่ะ รูปอยู่ด้านล่างนี้ค่ะ แถมยังบอกอีกว่า นางอัปสราที่อยู่ด้านใน หน้าอกจะมันเพราะถูกลูบบ่อย เฮ้อ...






ปราสาทพนมบาแค็ง

ปราสาทพนมบาแค็งเป็นศาสนสถานแห่งแรกของเมืองพระนคร (เมืองพระนครเป็นยุค ยุคหนึ่ง เหมือนอยุธยา สุโขทัย) สร้างประมาณปี พ.ศ. 1450 ในยุคของพระเจ้ายโศวรมันที่ 1

เป็นปราสาทสุดท้ายของวัน ด้วยความที่ตั๋วที่เข้าชมบอกว่า เวลาที่เข้าชมแต่ละสถานที่ทำได้จนถึง 5.30 pm แต่กว่าสาวๆจะถ่ายรูปในนครวัดเสร็จแล้วไปต่อที่พนมบาแค็งก็เย็นแล้ว เกือบ 6 โมงเย็น คุณไกด์ไม่บอกอะไรเราแต่บอกว่าขี้เกียจขึ้นไป จะรอเราอยู่ข้างล่าง ไอ้เราก็แปลกใจว่าทำไมอยากเป็นศิลปินเดี่ยวขึ้นมากะทันหัน พอขึ้นมาสัก 100 เมตร เจอเจ้าหน้าที่บอกว่าขึ้นไม่ได้แล้ว หมดเวลา เดี๋ยวจะมืดเกินไป อันตราย ... ฝรั่งคนหนึ่งต่อรองว่า ขึ้นไปแป๊บเดียว ยังไงก็ลงมาทันมืด เจรจายังไงก็ไม่สำเร็จ สุดท้าย สำเร็จด้วยหลวงพ่อเงินค่ะ คนละ USD2 เขาหันมาชวนเราให้ออกคนละ 2 เหรียญ ยัดเงินปุ๊บก็เดินผ่านไปปั๊บ

ทางขึ้นปราสาทก็ชันขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นทางดิน ประมาณ 10 นาทีก็ขึ้นไปถึงข้างบน ปีนป่ายบันไดชันๆแคบๆ แบบว่าต้องใช้ด้านข้างของเท้าเหยียบบันไดสูงชันนั้นขึ้นไปล่ะ




นางอัปสราที่นี่มีพุงเป็นชั้นๆ ท่าทางผู้หญิงยุคนี้คงจะอ้วนท้วนสมบูรณ์ดีนะ



จากยอดปราสาท มองไปไกลๅจะเห็นโตนเลสาปล่ะ



เสร็จจากการชมประสาททั้ง 5 ที่ในหนึ่งวัน ไกด์ไล่ถามทบทวนความรู้อีกครั้งก่อนปล่อยไปกินข้าว อย่างนี้ก็มีด้วย




 

Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2552 18:40:17 น.
Counter : 2642 Pageviews.  

เขมร กุมภา 09 # 3

วันที่สามของเรา เดินทางไปที่พนมเปญค่ะ นั่งรถจากเสียมเรียบไปพนมเปญ ใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่เหมือนกัน

ไปถึงพนมเปญ ไปดูคุกที่ขังนักโทษในสมัยเขมรแดง ไปดูพระราชวังและวัดพระแก้ว ไปที่ National Museum ที่ฝรั่งเศสสร้างให้ เสียดายที่มีของน้อยไปนิด เทียบกับอียิปต์แล้วคนละเรื่องกันเลย ไปวัดพนมที่กลางเมืองและไปดูปากน้ำที่แม่น้ำโขงกับโตนเลสาปมาเจอกัน ก่อนจะรวมเป็นแม่น้ำสายใหญ่ และไปรวมกับแม่น้ำจำปาสัก ไหลลงเวียตนามใต้

วันที่สี่ก็เดินทางกลับ แวะพระตะบอง มาถึงตลาดโรงเกลือตอนสี่โมงเย็น ไม่ได้กระจายรายได้ให้ที่นี่เลยเพราะเขาให้ขึ้นรถบ่อน (อีกแล้ว) กลับกรุงเทพฯ



เราสะดุดอยู่ที่คุก Toul Sleang ที่เดียว เพราะไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์ของสงครามเขมรสามฝ่าย ไม่รู้ว่าเขมรแดงมาจากไหน รู้จักแต่คำว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งจริงๆก็แค่เผ่าเดียวนั่นเอง กลับมาแล้วเลยไปหาความรู้เพิ่มเติมจากตรงนี้ค่ะ

เขมรแดง
//th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87


คุก ตวล แสลง
//www.dek-d.com/board/view.php?id=558264


พอลพต พี่ชายหมายเลขหนึ่ง (1)
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=historyandphilosophy&date=08-11-2006&group=3&gblog=22

พอลพต พี่ชายหมายเลขหนึ่ง (2)
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=historyandphilosophy&date=14-11-2006&group=3&gblog=13

พอลพต พี่ชายหมายเลขหนึ่ง (3)
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=historyandphilosophy&date=27-11-2006&group=3&gblog=1

พอลพต พี่ชายหมายเลขหนึ่ง (4)
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=historyandphilosophy&date=03-12-2006&group=3&gblog=29


นั่นคือพวกเขมรแดงได้บังคับให้ชาวเมืองอพยพออกนอกเมืองโดยด่วนเพื่อหลบหนีการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินของสหรัฐฯที่ไม่พอใจว่ารัฐบาลที่ตัวเองหนุนถูกโค่นล้ม พอล พตและพวกอ้างว่าการเดินทางก็ไม่ไกลแค่สองสามกิโลเมตรเท่านั้น และใช้เวลาประมาณสองสามวันเท่านั้นก็กลับบ้านได้ แถมตอนออกไปก็ไม่ต้องล็อคบ้าน เพราะทางพรรคจะดูแลให้ทุกอย่าง

จาก พอลพต พี่ชายหมายเลขหนึ่ง (3)


ตอนที่ฟังไกด์เล่าว่าคนที่นี่ไม่เชื่อถือสถาบันการเงิน เงินที่ฝากในธนาคารไม่มีความหมายอะไร ทรัพย์สินใดๆที่เก็บไว้ก็ไม่มีความหมายอะไร ยังไม่เข้าใจมาก จนมาเจอข้อความข้างบนเข้านั่นล่ะ

นี่คือคำบอกเล่าของไกด์ ชาวเขมรค่ะ...

ไกด์เล่าว่าเมื่อเขมรแดงเข้ามาแทนที่นายพลลอนนอล ชาวเขมรยินดีต่อการก้าวขึ้นมานำประเทศของเขมรแดงอย่างยิ่ง มีการโบกไม้โบกมือแสดงความดีใจ มียื่นดอกไม้หรือเปล่า ไม่แน่ใจ (scene แบบนี้มันคุ้นๆตา เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อนน่ะค่ะ ) แต่หลังจากนั้น นักศึกษาและข้าราชการถูกลวงมาฆ่าที่คุกแหล่งนี้และอีกหลายแห่ง พนมเปญกลายเป็นเมืองร้าง และเขมรแดงก็คือฆาตกรที่บังหน้าด้วย "ความเชื่อที่จะนำประเทศไปสู่ความเท่าเทียมกันในสังคม"

สมัยนั้น เขาอายุประมาณ 8 ขวบ ต้องออกไปทำงานตามที่ถูกบังคับ แรงงานมีหลายระดับตามอายุ ข้าวสาร 1 กิโลสำหรับคน 10 คนในหนึ่งวัน คนจึงตายเพราะขาดอาหารไปพอสมควร

ในยุคนั้น พ่อแม่กับลูกไม่ไว้วางใจกัน เวลาเจอกันแทบจะไม่คุยกัน ต่างคนต่างระแวงกัน ไม่ต้องนับถือกัน ถือว่าเป็นสหาย เรียกชื่อของอีกฝ่ายได้เลย เพราะไม่แน่ใจว่าถ้าพูดอะไรไป อีกฝ่ายจะเอาไปบอกทหารแล้วจะถูกจับไปทรมานหรือไปฆ่าหรือเปล่า

ครั้งหนึ่งที่เขาเห็นคือ ครอบครัวข้าราชการที่ทหารมาพบเข้าว่าเป็นข้าราชการ จับพ่อกับแม่ไปฆ่า ส่วนลูกน้อยอายุไม่กี่เดือน ไม่ฆ่าแต่ปล่อยทิ้งไว้ข้างทาง คนในหมู่บ้านเดินเรียงผ่านไปทำงานเป็นแถว เห็นและได้ยินเด็กร้อง ไม่มีใครกล้าอุ้ม ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะแตะเด็กเพราะถ้าใครไปแตะเข้าก็จะถูกทหารฆ่าเช่นกัน

การฆ่าเด็กเล็กก็ฆ่าได้ง่ายมากๆ แค่จับขาทั้งสองข้างเหวี่ยงหัวเด็กไปที่ต้นตาล แค่นั้น เด็กก็ตายแล้ว มีรูปวาดประกอบตามที่เขาเห็นมาจริงๆด้วย

การฆ่าคนทำได้ง่ายๆ ทำได้แม้การฆ่าเพื่อเอาคนมาถมที่ เช่น มีบ่อใหญ่แห่งหนึ่งที่ต้องการจะถมที่ ก็จะถมดินลงไปสลับกับศพคน บ่อตรงนั้นจะได้เต็มไวๆ ง่ายซะ

สถานการณ์ในตอนนั้น ทหารเขมรแดงตัดสินว่าใครถูกหรือผิดโดยใช้คำว่า “เชื่อว่า” ถ้าเขาเชื่อว่าใครทำผิด ก็ลงโทษได้เลย “เชื่อว่า” “เชื่อว่า” “เชื่อว่า” .... ฟังถึงตรงนี้แล้วหดหู่จัง การตัดสินใครว่ามีความผิด โดยใช้คำว่า "เชื่อว่า" ขอเถอะค่ะ จะที่ไหนก็ตามบนโลกใบนี้

ทหารจะให้ประชาชนย้ายหมู่บ้านไปเรื่อยๆ มีแผนที่การย้ายคนที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งด้วยเพื่อไม่ให้คนอยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเกิดความคุ้นเคยและรู้ช่องทางการหลบหนี เมื่อคนถูกย้ายไปอีกที่ ก็จะต้องไปทำความคุ้นเคยกับที่ใหม่อีก มีแผนที่แสดงการวางแผนในการย้ายคนประกอบด้วย

ที่เห็นรูปทหารเขมรแดงดูเด็กนั้น ก่อนหน้าที่เขมรแดงจะขึ้นมามีอำนาจ มีข่าวว่าเด็กผู้ชายหายตัวไปจากบ้านและโรงเรียน คาดว่าเด็กที่หายไป คือพวกทหารเหล่านี้เอง

ญาติและคนในครอบครัวของไกด์ ตายไป 26 คนและหายสาบสูญไป 2 คน จนถึงวันนี้ ก็ไม่รู้ว่า 2 คนนั้นไปอยู่ที่ไหนหรือจริงๆคือตายไปแล้ว

เรื่องข้างบนนั่นคือการตกนรกครั้งที่หนึ่ง


ส่วนการตกนรกครั้งที่สอง

ช่วงสงครามเขมร 3 ฝ่าย มีการฝังลูกระเบิดเต็มไปทั้งประเทศ แต่ละฝ่ายจะฝังระเบิดเพื่อทำลายอีกฝ่าย ฝังไปฝังมาเลยทำยอดไปถึง 14 ล้านลูก เท่ากับประชากรชาวกัมพูชาในปัจจุบัน ตอนนี้กู้ไปได้ประมาณ 70% แล้ว เวลาจะเข้าไปใช้พื้นที่ไหน จะส่งวัวควายไปหยั่งเชิงก่อน ถ้าพวกนั้น อยูได้ ไม่โดนระเบิด คนก็คงจะอยู่ได้เช่นกัน

เขาหนีไปฝั่งไทย อยู่ตรงชายแดนที่มีทหารไทยอยู่ 2-3 วัน จำได้ว่าคืนหนึ่งได้กินปลากระป๋องกับข้าวอย่างเอร็ดอร่อย อย่างที่ไม่เคยได้กินมาก่อน เช้าวันรุ่งขึ้น ทหารให้ขึ้นรถ ไม่รู้ว่าขึ้นรถไปไหน มีชาวบ้านคนไทยมายืนส่งข้าวเหนียว หมู เนื้อต่างๆมากมาย ปรากฎว่ารถคันนั้น นำผู้อพยพไปส่งที่เขาพระวิหาร เดินขึ้นเขาพระวิหารไปแล้วให้ลงไปที่ฝั่งกับพูชา การลงคือ ไต่เขาลงไป

พื้นที่แถบทางนั้นมีลูกระเบิดฝังอยู่มาก โชคดีที่ก่อนหน้านี้ประมาณ 3 วัน มีผู้อพยพรุ่นก่อนหน้ามาลงทางนี้ ผู้อพยพเหล่านั้นถูกระเบิดตายนอนเกลื่อนเป็นทาง การจะหลบลูกระเบิดคือเดินผ่านตัวผู้อพยพที่นอนตายเหล่านั้นไป โดยไม่ให้กระทบพื้นดิน ความที่ตายมาแล้ว 3 วัน ศพก็เริ่มเน่าเปื่อย แต่ยังไงก็ต้องทนเหยียบย่ำหรือคลานไปบนตัวศพเหล่านั้นเพื่อรักษาชีวิต


การตกนรกครั้งที่สาม

เมื่อจบชั้นมัธยม วันสุดท้ายของการสอบ มีรถคันใหญ่มารับที่โรงเรียนพร้อมเสื้อผ้าชุดทหารและอาวุธ ให้เปลี่ยนเสื้อผ้าและออกรบ ไม่มีการสอนว่ายิงปืนยังไง ป้องกันตัวยังไง

ถึงจุดหนึ่งของการสู้รบกับคนชาติเดียวกันกลายเป็นความชาชิน ไม่มีความรู้สึกว่าการฆ่าคนเป็นเรื่องผิดบาปเพราะถ้าไม่ยิงเขา เขาก็ยิงเรา

ถึงที่สุดแล้ว การมีชีวิตในปัจจุบัน เป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับเขา ....


รูปที่ถ่ายในตวล แสลง



เตียงที่ใช้ทรมานนักโทษ มีเครื่องมือทรมาน อย่างตอกเล็บ ...



การทรมานวิธีนี้คือ ผูกตัวคนแล้วดึงขึ้นไป โยนลงมาในตุ่มน้ำ



แผนที่ในการโยกย้ายคนในแต่ละหมู่บ้าน



ภาพหัวกระโหลกมากมายในเขมร ไกด์บอกว่าจำนวนคนตายน่าจะประมาณ 3 ล้านคน ส่วนศพที่เปลี่ยนสภาพเป็นกระโหลกแบบนี้ น่าจะใช้เวลาสัก 6-7 เดือน



รูปวาด ตัวอย่างของวิธีการที่ทหารเขมรแดงฆ่าคน ไม่ได้ใช้อาวุธหนักเลย




ผู้หญิงในรูปที่อุ้มเด็กทารก มีอีกภาพที่ถ่ายด้านข้างโดยเขมรแดงทรมานเธอด้วยการใช้เหล็กเจาะศรีษะด้านหลัง ในภาพเธอยังอุ้มทารกคนนี้ หน้าเฉยๆแบบนี้ พร้อมรอรับความตาย (เวลาเขาทรมาน บอกก็ตาย ไม่บอกก็ตายค่ะ) แต่ยังเห็นน้ำตาหนึ่งหยดที่แก้มเธอค่ะ


..........................................

เริ่มสนุกแต่จบเศร้าเนอะ ภาพสลักก็เหมือนที่อียิปต์แหละ ในแง่ความเชื่อของการทำความดีความชั่ว ดูแล้วก็เพลินดีค่ะ

ส่วนที่มาสะดุดใจ คงเพราะเมื่อมาอ่านเพิ่มเติม ทำให้เห็นว่า ความเชื่อของคนเรานี่มันอันตรายจริงๆนะคะ ความเชื่อที่ว่าตัวเองดี ตัวเองเก่งและจะนำพาประเทศไปทางไหนๆ โดยลืมมองไปว่าคนที่ถูกนำ เขาไม่ได้เต็มใจไปทางนั้น หรือแม้เขาอาจจะเคยเต็มใจก็เป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าผลที่ได้จะเป็นแบบนี้

และหวังอย่าให้ความคิดที่ว่า การสู้รบกับคนชาติเดียวกัน เป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้วสำหรับคนไทย ขออย่าให้มีวันนั้นเลยค่ะ


นึกขอบคุณเพื่อนร่วมทางเหมือนเคย มีสาวๆวัยเพิ่งจบมหาลัยมาไม่กี่ปีมาด้วย ทำเอาเรากับหญิงเล็กรู้สึกว่าเรายังรุ่นๆเหมือนเด็กพวกนั้นเลย

ขอบคุณร่างกายตัวเองที่ยังแข็งแรง ปีนป่ายบันไดตรงปราสาทพนมบาแค็งได้ว่องไวจนหลานสาวงงไปเลยว่า ทำไมอาชั้นขึ้นมาเร็วจัง ยังเดินไกลๆได้ กินได้กินดีและระบบต่างๆในร่างกายตัวเองก็ทำงานได้ดีทุกวัน

ขอบคุณโชคชะตาหรืออะไรก็ตาม ที่ทำให้ได้มาเกิดในครอบครัวที่ดีและมีชีวิตที่ดีค่ะ ...




 

Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 2 เมษายน 2552 19:29:28 น.
Counter : 2591 Pageviews.  

1  2  3  4  

saifan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add saifan's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.