Once upon a time ...
Group Blog
 
All blogs
 

เขมร กุมภา 09 # 1

ยัยหญิงเล็กจาก trip Egypt ชวนไปเขมร แต่คราวนี้เราไปอย่างคุณนาย คือ ซื้อทัวร์ไป 4 วัน 10,500 บาท ข้อมูลอะไรไม่ได้ศึกษาเลยก่อนไป ไปฟังไกด์เล่าให้ฟังอย่างเดียว

เริ่มเดินทางกันเช้าตรู่วันศุกร์ ไปกับรถบ่อนตอนประมาณตี 5 หน้าตาคนไปเล่นการพนันก็เหมือนๆกับพวกเรานี่ล่ะค่ะ แต่มองพวกเขาแล้วก็...แปลกๆ

ไกด์บอกว่าคนเขมรห้ามเล่นการพนัน ถ้าถูกจับได้ จะชั่งตามน้ำหนักตัว เสียค่าปรับตามน้ำหนักตัวล่ะ เอ...อย่างนี้ คนผอมๆก็ได้เปรียบน่ะสิ ไว้ถ้ากฎหมายไทยมีแบบนี้บ้าง นักการพนันอาจจะสุขภาพดีก็ได้เพราะได้ลดความอ้วนก่อนเล่นน่ะค่ะ


จำข้อมูลอะไรไม่ค่อยได้แล้ว จะคัดลอกจากหนังสือมาเขียนไว้ก็ยังไงอยู่ ใครสนใจ ไปหา Trip Magazine ฉบับพิเศษอ่านนะคะ บอกเรื่องปราสาทต่างๆได้ละเอียดเชียว หรือไม่ก็อีกหลายแหล่ง จาก LP ก็มีค่ะ หญิงเล็กซื้อที่โน่นในราคา 150 บาท ถูกมากๆ


ประตูปอยเปต




วันแรกเราไปที่เมืองเสียมเรียมก่อน ออกจากปอยเปตโดยรถตู้ มีผู้โดยสารก็แค่กลุ่มเรา 5 คน รถตู้ใหม่เชียว นั่งสบาย แอร์ก็เย็น เส้นทางลาดยางเป็นส่วนใหญ่ มีส่วนที่เป็นดินลูกรังประมาณ 10-15% ได้

ไปถึงเสียมเรียบก่อนเที่ยง รับประทานอาหารกลางวันที่โรงแรมแล้วก็ไป Angkor National Museum เสียค่าเข้าคนละ USD12 เป็นพิพิทธภัณฑ์ใหม่ จัดแสดงเรื่องราวต่างๆไว้หลายส่วน ถ้าใครมีเวลา เดินเล่นในนี้สัก 2-3 ชั่วโมงยังไหวนะ แต่พวกเราต้องไปที่อื่นต่อ มีเวลาเดินเล่นในนั้นชั่วโมงกว่าแล้วไปดูการทำหัตถกรรมของคนพิการ และการแกะสลักรูปปั้น ต่อจากนั้นก็ไปล่องเรือในโตนเลสาป ซึ่งเป็นทะเลสาปน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย

ไกด์บอกว่า คนเขมรจับปลาส่งขายนอกประเทศเพราะขายได้ราคาดี แล้วซื้อปลาราคาถูกซึ่งเป็นปลาเลี้ยงจากไทยไปกินแทนล่ะ ไม่รู้จริงป่าว

ดูพระอาทิตย์ตกที่โตนเลสาปก่อนกินข้าวเย็นที่ Cultural Center เยื้องๆกับโรงแรมที่พัก อาหารบุฟเฟต์แทบทุกมื้อล่ะ มื้อนั้น กินไปก็ดูการแสดงไป มีกรุ๊ปทัวร์ชาวเกาหลีและจีนเป็นส่วนใหญ่ ส่วนการแสดงก็เป็นการร่ายรำของนางอัปสรา เพลงประกอบฟังคล้ายๆของบ้านเราเหมือนกัน




เช้าวันรุ่งขึ้น เตรียมตัวใส่เสื้อผ้า รองเท้าที่พร้อมจะลุยได้ทั้งวัน เพราะมีโปรแกรมไปดูปราสาทถึง 5 ที่

ที่แรกคือ ปราสาทบันทายสรี (บัน - ทาย - สะ - รี)

ปราสาทนี้สร้างขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ 16 พ.ศ. 1510 หินที่ใช้สร้างปราสาท คือ หินทรายสีชมพู มีนางอัปสราคู่หนึ่งที่ทรวดทรงงดงามมาก แต่รูปยังไม่มาอ่ะ






ปราสาทของเขมร คือ วัดนั่นเอง ทำเพื่อบูชาตามศาสนา ไม่ได้สร้างให้กษัตริย์อยู่ สระน้ำมักมีอยู่รอบตัวปราสาท



ฐานโยนี (ลึงค์หายไป)

สมัยก่อน เขมรนับถือพราหมณ์และฮินดู ซึ่งเทพสูงสุดของฮินดูได้แก่ พระศิวะ (พระอิศวร) พระวิษณุ (พระนารายณ์) และพระพรหม

ศิวลึงค์ เป็นเครื่องหมายขององค์กำเนิดเพศชาย ตั้งอยู่บนฐานโยนี (แทนอวัยวะเพศหญิง) สมัยนั้น เชื่อว่าหากอวัยวะเพศทั้งสองอยู่ร่วมกัน บ้านเมืองจะร่มเย็นเป็นสุข

การเซ่นสรวงพระศิวะ พราหมณ์จะตักน้ำรดพระศิวลึงค์ ให้น้ำไหลผ่านร่องโยนี ไหลไปตามท่อโสมสูตร น้ำที่ไหลผ่านมา ประชาชนถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ดื่มแล้วเป็นศิริมงคลและรักษาโรคภัยไข้เจ็บ




ไกด์บอกว่าพระอิศวรกำลังพิโรธ มีทศกัณฑ์ 10 หน้าอยู่ข้างล่างมากวน ท่านจึงเขย่าโลก ขนาดพระนางอุมาที่อยู่ในอ้อมกอดท่านยังตกใจเลยจ้า




เวลาเดินเข้าไปข้างใน ประตูชั้นในเข้าได้เฉพาะพราหมณ์กับกษัตริย์ ประตูจะยิ่งเตี้ยลง เป็นการบังคับให้ต้องย่อตัวเพื่อแสดงความเคารพล่ะ


ปราสาทแห่งที่สอง คือ ปราสาทตาพรหม
(ตั้งชื่อตามคุณตาคนหนึ่งที่ชาวฝรั่งเศสมาเจอเข้า คุณตา "พรหม"
)

เป็นวิหารหลวงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สร้างอุทิศแก่พระมารดาซึ่งเปรียบประดุจกับพระนางปรัชญาปรมิตา เทวีแห่งปัญญา (พระมารดาพระพุทธเจ้าทั้งปวง)

ปราสาทนี้จะคู่กับปราสาทพระขรรค์ (สร้างอุทิศแก่พระบิดา)



ต้นสะปง สัญลักษณ์ของปราสาทนี้เลยล่ะ



เหมือนรูปปั้นแอบอมยิ้มอยู่ในต้นสะปงล่ะ ของจริงเล็กมาก ถ้าเดินผ่านไปไม่ทันสังเกตเห็น ก็ถูกแอบมองจริงๆจ้า




ความเชื่อในแต่ละยุคไม่เหมือนกัน เมื่อผ่านความเชื่อจากยุคที่นับถือพุทธไปสู่พราหมณ์ รูปสลักเดิมซึ่งเป็นพระพุทธรูปก็ถูกดัดแปลงไปเป็นรูปศิวลึงค์แทน




 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2552 18:39:35 น.
Counter : 1252 Pageviews.  

อียิปต์ วันที่เก้า

Sat 19 Apr 08 Day 9 วันสุดท้าย

ตื่นมาอาบน้ำแล้วเก็บข้าวของเพื่อเช็คเอ้าท์ เขามีห้องเก็บกระเป๋าด้วยล่ะ ใส่กุญแจอย่างดีเพราะพวกเราเป็นแขก ผิดกับวันแรกที่พวกเราไม่ใช่แขก เขาถึงให้เอากระเป๋าวางแอบไว้ที่มุมประตู

กินข้าวเช้าที่เขาเตรียมให้ มีขนมปังก้อนๆ ไข่ต้มและชา/กาแฟ



อยู่ในซิตาเดล

จากนั้นก็นั่งแท็กซี่ไป Citadel เสียค่าเข้า 20 L.E. ที่นี่ใหญ่มาก กว่าจะเดินดูหมดก็เกือบ 11 โมง แล้วก็ไปต่อกันที่ Blue Mosque คนขับแท็กซี่ที่รับปากกับเราว่าคิดแค่ 5 L.E. กลับขับไปไม่ถูก ถามทางไปตลอด 3-4 จุด กว่าจะไปถึงที่หมายก็กินเวลาซะนาน พอจ่ายเงินเขากลับคิด 10 L.E. ท่าทางหัวเสียว่าขับพามาซะนาน อ้าว ก็มาไม่ถูกแล้วรับปากทำไมล่ะ แถวนั้นท่าทางไม่ค่อยมีคนด้วย เลยต้องตัดใจให้ไป 10 L.E.



ประตูที่หันไปทางทิศที่เมกกะตั้งอยู่ อยู่ใน Blue Mosque

ที่นี่ไม่ค่อยมีคนมาเที่ยว ไม่ต้องเสียค่าตั๋วเข้าชมสถานที่ เหมือนที่ร้างซะมากกว่า สังเกตได้ว่ามีพวกเราเป็นนักท่องเที่ยวอยู่กลุ่มเดียวแต่ยังอุตส่าห์มี tour guide ประจำ blue mosque อยู่หนึ่งราย เขาเห็นตั้งแต่พวกเราเถียงกับแท็กซี่แล้วล่ะ เดินมาต้อนรับพวกเราเมื่อพวกเราเดินเข้าไป พาไปดูแต่ละจุด อธิบายความได้ชัดเจน แถมยังเปิดประตูลับ (แบบนี้ต้องจ่ายพิเศษ รู้แล้วล่ะ) ให้ขึ้นไปดูวิวข้างบน พอจบเราจะไปกันต่อที่ Mosque of Sayidna al Hussan ก็ส่งทิปให้เขา 10 L.E. เขามองเงินในมือแล้วก็ทำตาตกบอกขอเพิ่มอีก ท่าทางน่าสงสารจริงแต่ท่าทางแบบนี้ทำเอาพวกเราอึดอัด เราบอกว่าเราไม่มีเงินเยอะหรอกนะ สุดท้ายให้เพิ่มไปเป็น 15 L.E. เขาเลยบอกทางให้พวกเราเดินไปยังที่หมาย อืม..ถ้าไม่ให้ 5 L.E. นั้น สงสัยต้องเรียกแท็กซี่ไปแน่เลย จริงๆแล้วเดินไป 10 นาทีก็ถึงแล้วล่ะ

เสียค่าเข้า Mosque of Sayidna al Hussan คนละ 10 L.E. เดินเข้าไปดูข้างในเสร็จก็ไปต่อกันที่ Mosque of Ahmed IBN Tulun กว่าจะออกจากที่นั่นก็บ่าย 2 กว่าไปแล้ว นั่งแท็กซี่ไปกินข้าวกลางวันใกล้ๆกับพิพิธภัณฑ์อียิปต์ เป็นเคบับไก่ชิ้นละ 5 L.E. อร่อยดีล่ะ เนื้อไก่ไม่เยอะเท่าที่ได้กินที่ Alexandria แต่ผักเยอะดี ร้านอยู่ใกล้ๆกับ KFC กินเสร็จก็พบว่า มีเวลาแค่ 2 ชั่วโมงกว่าๆในการเดินดูพิพิธภัณฑ์

เสียค่าเข้าชมคนละ 25 L.E. และในส่วนของ Royal Mummy อีกคนละ 50 L.E. เข้าไปดูมัมมี่ของราชวงศ์กันในห้อง Mummy 1 ซึ่งจะเก็บพระศพของมัมมี่ยุคเก่า พวกเราไม่รู้ว่ามี 2 ด้าน อีกฝั่งหนึ่งเป็น Mummy 2 ซึ่งจะเก็บพระศพของมัมมี่ยุคหลังจากนั้น หญิงเล็กได้เข้าไปดูตอนที่ได้เวลาใกล้จะกลับกันแล้ว ทางนั้นเปิดให้ชมพอดี เลยกลับมาเล่าให้ฟังว่าพระศพที่เห็นไม่เป็นสีดำเท่าในห้อง 1 เหมือนกับในยุคหลังค้นพบวิธีที่ก้าวหน้ากว่า พอได้มาดูพระศพจริงกันที่นี่ เลยเห็นตรงกันว่า Mummification Museum ที่ Luxor นั้นไม่จำเป็นต้องเข้าไปดู มาดูที่นี่ที่เดียวก็คุ้มแล้ว



สฟิงส์สุดหล่อหมอบเฝ้าสมบัติอยู่หน้า Egypt Museum ในไคโร

วันนั้นพวกเราได้ดูสมบัติของตุตันคาเมน โลงอีก 3 ชั้นที่เหลือ (โลงชั้นแรก พวกเราเห็นกันแล้วในสุสานที่ Valley of the King) และหน้ากากโดยไม่ต้องเสียค่าเข้าชมล่ะ ช่างเป็นความโชคดี สมบัติที่ได้จากหลุมของฟาโรห์องค์นี้เยอะมาก ทางเดินที่ทอดยาวไปในห้องนั้นล้วนแล้วแต่เรียงรายไปด้วยสมบัติของท่าน โดยเฉพาะในห้องนั้นที่เก็บโลงศพและหน้ากากทอง โลงชั้นในสุดทำด้วยทองหนักเท่าใดจำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่าสวย หญิงกลางบอกว่ารายละเอียดที่สลักไว้ที่โลงทำอย่างประณีตมาก พอไปดูที่หน้ากากที่หนักมากกว่าสิบกิโลกรัม หญิงเล็กอ่านแล้วช่วยแปลให้ว่าหน้ากากของฟาโรห์จะต้องทำให้คล้ายกับรูปหน้าจริงเพื่อจะได้กลับมาคืนร่างตัวเองถูกต้อนฟื้นคืนชีพ แล้วพวกเราก็หยุดยืนมอง...นาน นึกภาพว่าถ้าหน้าตาจริงเป็นอย่างที่เห็น จะงามสักเพียงใด

เลยไม่ต้องสงสัยว่า แค่ฟาโรห์ที่ไม่ได้มีชื่อเสียงดังอะไรยังมีสมบัติขนาดนี้ แล้วฟาโรห์องค์ดังๆจะมีมากขนาดไหน แล้วคนที่ล่าสมบัติจะทุ่มเทความพยายามขนาดไหนเพื่อตามหาสมบัติที่อีกฝ่ายหนึ่งพยายามซุกซ่อนไว้


มีอีกส่วนหนึ่งที่พวกเราดูแล้วดูอีก นั่นคือส่วนของฟาโรห์อัคนาเตน องค์ที่ย้ายเมืองจากทีปส์ไปที่อีกเมืองหนึ่งเพื่อไปให้พ้นจากอิทธิพลของพวกนักบวช แต่เมื่อท่านเสียชีวิต พระนางเนเฟอร์ตีตีก็ต้องย้ายกลับมาที่เดิม ที่หยุดยืนมองกันนานคือรูปปั้น หญิงกลางบอกว่าเด็กแนว เพราะรูปที่เห็นต่างไปจากรูปปั้นอื่นๆที่เคยเห็นมา หน้าตาไม่ได้ออกแนวสวยงามคอยาว เอวคอดแปลกๆ แขนขาไม่ได้สัดส่วน ราวกับจะประชดรูปปั้นทั้งหลายว่าฉันไม่เห็นด้วยกับที่เคยปั้นกันมา อย่างนั้นเลย

เวลาที่มีให้กับพิพิธภัณฑ์นี้น้อยไปจริงๆล่ะเพราะมีอะไรให้ดูมากมาย พอ 5.30 pm ก็ต้องกลับโรงแรมไปอาบน้ำแล้วก็ไปสนามบิน อาเหม็ดคนขับรถคนเดิมมารับไปที่สนามบิน เสียค่ารถ 50 L.E. โดยรวมค่าเข้าสนามบิน 5 L.E. แล้ว ราคาผิดกันกับตอนขาออกจากสนามบินวันแรกเลยเพราะวันนั้นเราเสียค่ารถเมล์คนละ 2.50 L.E. เอง แต่วันนี้ไม่สะดวกไปรอรถเมล์ล่ะ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมา เกิดตกเครื่องล่ะยุ่งเชียว มีวีซ่าอยู่ได้แค่วันนี้เสียด้วย

ให้เงินเศษเล็กเศษน้อยกับอาเหม็ดไปทั้งหมดค่าแท็กซี่ แล้วก็ไปเช็คอิน ไม่ต้องเสียภาษีสนามบินเพราะรวมอยู่ในตั๋วแล้ว จริงๆแลกเงินคืนเลยก็ได้แต่เราไม่แน่ใจว่าจะได้ใช้อีกหรือเปล่า ผ่าน ตม. เรียบร้อยแล้ว เข้าไปข้างในมีบูทแลกเงินอยู่หนึ่งที่แต่ว่าดันปิดทำการไปซะครึ่งชั่วโมง เกือบจะไม่ได้แลกเงินอียิปต์คืนซะแล้ว ออกไปข้างนอกเพื่อแลกเงินคืนก็ไม่ได้แล้วด้วย ทหารที่สนามบินกวนและดุ ท่าทางวางอำนาจมากๆไม่ชอบเลยแต่ก็..ช่างเถอะ สุดท้ายก็ได้แลกเงินกลับคืน 5 นาทีก่อนขึ้นเครื่องแล้วก็กลับเมืองไทยกับสายการบินอียิปต์แอร์ MS 958 เครื่องออกตอนประมาณ 10.30 pm เป็นสายที่บินไปกวางเจาแต่แวะที่เมืองไทยก่อน งานนี้เลยเจอคนไทยเพียบ ตามด้วยคนจีน

ที่นั่งและห้องน้ำตอนขาออกในสนามบินนี่ผิดกันลิบลับกับตอนขาเข้า ห้องน้ำสะอาดกว่าเดิม มีหลายห้องและดูไม่น่าจะมีแมลงสาบตัวโตไต่ตามฝานั่งเลย

จบซะที เก้าวันเต็มกับอียิปต์

ส่งท้าย เรานึกถึงอะไรบ้างนะ....

เรานึกขอบคุณผู้ผ่านทางหลายๆคนที่ให้ข้อมูลทางอ้อม (website) ทั้งข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวและราคาค่าบริการต่างๆ อ่านแค่จากหนังสือคงไม่พอสำหรับการไปเที่ยวกันเอง ขอบคุณนะคะคุณหนุ่มน้อย คุณ skyblue คุณ Catz คุณ Don Rome De Madrid จาก trekkingthai.com ยังมีคุณ ๐Real~nerve๐ และ คุณ joy@ahmed เที่ยวกลับมาแล้วยังมาเปิดดูข้อมูลที่เขาให้ไว้แล้วก็...เอ๊ ทำไมลืมไปตรงนี้ เออ อันนี้เราก็ไปเจอมาเหมือนกัน พวกรุ่นพี่ทั้งหลายถ่ายรูปมาสวยกว่าที่เราถ่ายเองเยอะเลย

เรานึกขอบคุณทั้ง 3 หญิงที่เป็นเพื่อนร่วมเดินทางที่น่ารัก การเดินทางด้วยกันแบบนี้ แน่นอนว่าต้องมีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ้าง ขัดแย้งกันบ้าง งอนกันบ้าง แต่พวกเราก็จัดการกับความรู้สึกแบบนั้นได้ดี นึกขอบคุณหญิงกลางที่เป็นผู้ริเริ่มและหาข้อมูลจากหลายแหล่ง อีกทั้งความรู้ในตัวเธอเอง บางทีก็ได้หญิงกลางเป็นทัวร์ไกด์ประจำกลุ่มที่อธิบายหลายๆเรื่องให้เข้าใจ ทั้งประวัติศาสตร์และทั้งความหมายของรูปสลัก หญิงใหญ่ที่อาจจะดูพูดถึงน้อยไปบ้างเพราะเพิ่งมารู้จักกันในงานนี้ก็เป็นน้องที่น่ารัก เวลาเดินดูอะไร เรามักไปกับหญิงใหญ่ เวลาเบื่อก็เป็นพวก back bencher เหมือนกันคือ มองหาที่นั่งแล้วก็นั่งแปะ รออีก 2 หญิง ณ ที่ใดที่หนึ่งด้วยกัน แล้วก็ชอบสอดส่ายสายตาดูอะไรรอบๆตัว แทนที่จะดูแต่เรื่องในวิหารอย่างเดียว
ส่วนหญิงเล็กนี่เป็นคนที่อยู่ด้วยกันตลอด เป็นเพื่อนกินที่หาได้ยากเพราะหญิงเล็กกินได้ทุกอย่าง เราทั้งคู่มีความสุขกับการกินอะไรๆได้ทั้งวันและได้ทุกที่ จนนึกๆว่ากลับไปน้ำหนักต้องขึ้นแน่นอน ในขณะที่อีก 2 หญิงนั่นกินอะไรกันไม่ค่อยได้ เรากับหญิงเล็กกลับกินได้กินดี ขนมปังที่เก็บมาก็หมดได้เพราะพวกเรา อาหารท้องถิ่นเจ้าไหนก็ไม่มีปัญหา ตื่นมาตอนเช้าในรถไฟหรือในรถตู้ก็กินได้ตลอด นอกจากเรื่องกิน หญิงเล็กยังเดินอึดมากๆ และไม่มีบ่นเลย แบกหนังสือเล่มโตอธิบายเรื่องโน้นเรื่องนี้ เป็นไกด์แบบเฉพาะหน้าให้พวกเราได้เป็นอย่างดี ยังไม่นับการอ่านคำอธิบายต่างๆแล้วแปลให้พวกเราฟังได้อย่างมีอรรถรส รวมทั้งอุปกรณ์ทั้งหลายไม่ว่า Laser Pointer หรือไฟฉาย ร่มยูวีหรือแม้แต่โลชั่นทากันยุงยังอุตส่าห์พกมาได้


ส่วนเรื่องที่ได้ดู ได้เห็น เราประทับใจกับภาพสลักตามที่ต่างๆ ภาพที่บ่งบอกถึงการบูชาเทพ ความเชื่อในเทพต่างๆ เราว่าดีออกถ้าคนเรายังเคารพบูชาเทพโดยเฉพาะเทพแห่งธรรมชาติ เพราะเมื่อเราเคารพในธรรมชาติ ความเคารพจะถูกแสดงออกผ่านทางการดูแลและอยู่ร่วมกันด้วยดี และถ้ายังคิดถึงชีวิตหลังความตาย ชีวิตที่ยังอยู่ ณ ตอนนี้ เราจะทำมันให้ดีเพื่อเตรียมการที่จะกลับคืนชีพมาอีกครั้ง หากความคิดที่จะต้องทำดีและละอายต่อบาปเพื่อทำชีวิตในแต่ละโลก แต่ละชาติภพให้ดีแล้ว เราว่าสันติสุขในใจของแต่ละคนก็เกิดขึ้นได้ง่ายและนั่นย่อมหมายถึงสันติสุขของโลกเล็กๆใบนี้ด้วย

เว่อร์ไปหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ หญิงเล็กบอกว่าเธอจะไปเขียนบนบล็อก อย่าบ่นมากก็แล้วกัน เราว่าเราบ่นไปทั้งหมดนั่นล่ะที่เราเจอ ไม่รู้ว่ามากหรือเปล่าแต่ก็เป็นบันทึกเผื่อให้คนที่ผ่านมาเจอได้เก็บไปเป็นข้อมูลบ้าง เหมือนกับที่พวกเราไปค้นข้อมูลของคนอื่นมาตั้งเยอะไงล่ะ

หญิงเล็กคิดว่าจะกลับไปอีกครั้งถ้ามีโอกาส คราวนี้เธอจะลงรายละเอียดให้มากขึ้น เจาะดูที่ที่อยากดู คล้ายกับว่าที่ไปมาคราวนี้ เป็นการมองในภาพกว้างมากกว่า (ขอบ่นและนินอีกครั้ง ตอนแรกเธอบอกว่าเที่ยวแบบมีคุณภาพดีกว่า คือ ใช้เวลากับแต่ละที่ให้มาก ไม่ต้องไปให้ครบทุกที่หรอก แต่ถึงเวลาจริงๆ อันนี้ก็ต้องไป อันนั้นก็ต้องไป เรานี่ล่ะที่งอแงสุดๆแล้วบอกว่า ฉันไม่อยากไป) ส่วนเราน่ะเหรอ....คงเลือกไปที่ที่ยังไม่เคยไปมากกว่า

ปล. ราคาค่าเข้าสถานที่ต่างๆนั้นเป็นราคาของ ISC นะคะ ถ้าราคามาตรฐานต้องคูณสองค่ะ




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2551 22:12:31 น.
Counter : 692 Pageviews.  

อียิปต์ วันที่แปด

Fri 18 Apr 08 Day 8

เก็บของออกจากโรงแรมไปที่สถานีรถไฟ ขึ้นรถไฟรอบ 8 โมงกลับไคโร เรากับหญิงเล็กหลับได้หลับดีตลอดทางเพราะยุงที่โรงแรม Union เมื่อคืนนี้ พอถึงไคโรก็ต่อรถไฟใต้ดินไปที่ Sadat Station ไปถึง Ismalia House ก็เช็คอิน เอาของวางเสร็จก็ถามเรื่อง Belly Dancing เพราะพวกเราอยากดูระบำหน้าท้องกัน หญิงเล็กขอยืมโทรศัพท์โรงแรมโทรไปตามที่ต่างๆที่ให้เบอร์โทรไว้ในหนังสือท่องเที่ยว แต่โทรไปสัก 2 ที่ก็ไม่ได้เรื่อง เลยต้องจองผ่านทางโรงแรม ตกคนละ 120 L.E. โดยจะรวมค่ารถที่จะพาพวกเราไปที่เรือ ค่าอาหาร (แต่ไม่รวมค่าน้ำดื่ม ไม่มีแม้แต่น้ำเปล่าให้ ตลกมากๆ ซึ่งพวกเราไปรู้ก็ตอนอยู่บนเรือแล้ว) รวมไปถึงการแสดงด้วย ก็เลยตัดสินใจจองไป 4 ที่



รูปถ่ายแขวนอยู่ในย่าน Coptic Cairo

กินพิซซ่าร้านใกล้ๆโรงแรมเป็นมื้อกลางวันแล้วก็นั่งรถไฟไปย่าน Old Coptic Ciro ดูสุเหร่า ดูโบสถ์แล้วนั่งรถไฟไปแถบที่ใกล้ตลาดข่าน Khan Al Khalili แล้วค่อยไปแท็กซี่เพื่อไปดูสุเหร่าแถวนั้น พ่อค้าบอกว่าควรจะมีผ้าโพกหัวเหมือนคนมุสลิมก่อนเข้าไปในสุเหร่า แต่ว่าเราไม่มี หญิงกลางกับหญิงเล็กก็เลยเข้าไปสำรวจส่วนเรากับหญิงใหญ่ไปเดินตลาด

แวะเข้าร้านขายน้ำหอมที่หนึ่งแล้วเลยไม่ต้องออกไปไหนอีก ลืมไปว่าควรจะออกไปสำรวจราคาร้านอื่นๆบ้าง เขาขายหัวน้ำหอมให้พวกเราในราคา 1 g /1 L.E. แต่พอเจอกลุ่มพี่ผู้ชายกลุ่มเดิมที่สนามบิน พี่เขาบอกว่าเขาซื้อได้ในราคา 1 g / 0.50 L.E. เฮ้อ ถูกดีจัง น้ำหอมที่นี่มีหลายกลิ่นมาก ดมกันจนไม่รู้กลิ่นไหนต่อกลิ่นไหน ลักษณะเป็นหัวน้ำหอม คล้ายๆน้ำมัน หยดเดียวก็หอมไปนานเชียว หญิงกลางเลือกแต่ละกลิ่นที่เป็นชื่อพระนามทั้งนั้น อย่างฮัตเชปซุต คลีโอพัตรา เป็นต้น

เราลองดูขวดแก้วตัวอูฐแล้ว ดูยังไงก็ไม่สวยเท่าที่เจอตอนอยู่ที่ Aswan แต่ก็เป็นได้ที่ยังไม่ได้ไปสำรวจที่ร้านอื่น ยังมีของอื่นๆในตลาดอีกมาก เดินๆไปก็คิดถึงสำเพ็งบ้านเรา แออัดแบบนั้นเลย

มีปิรามิดเรียงกัน 3 อัน แบบใสและแบบทึบ เขาบอกตอนเราเดินผ่านว่า 35 L.E. มั้ง หญิงกลางต่อแบบใสเหลือ 20 L.E. เขาให้ หลังจากนั้น หญิงเล็กก็ต่อไปเล่นๆ แบบทึบว่า 10 L.E. เขาก็ดันให้อีก พอให้แล้วเราเลยชักไม่แน่ใจว่ามันควรจะถูกไปกว่านี้หรือเปล่า จะต่อให้เหลือ 5 L.E. ก็ไม่ได้แล้วสิ เลยยอมซื้อไปชุดหนึ่ง

เดินดูของกันจน 5 โมงกว่าแล้วก็นั่งแท็กซี่กลับโรงแรมในราคา 8 L.E. พอ 6.45 pm อาเหม็ดคนเดิมที่เคยพาพวกเราไปดูปิรามิดที่ต่างๆในวันแรกก็มารับพวกเราไปส่งที่เรือ ตัวเขาเองขึ้นเรือไปกับพวกเราด้วย ที่นั่งที่ทางเรือจัดให้นั้นเป็นมุมอับ มองเห็นเวทีไม่ชัดเลย เขาบอกว่าเราจองช้า แต่เราบอกว่าเราจองตั้งแต่เช้า เขาบอกว่าคนอื่นจองมานานกว่านั้น ส่วนใหญ่เป็นพวกมากับทัวร์ น้อยคนที่จะมาแบบเรา แย่จัง นี่เป็นจุดหนึ่งที่พวกเราผิดหวังกับงานนี้ ยังไม่นับกับการต้องซื้อน้ำเปล่าในราคาขวดละ 10 L.E. เพราะเขาไม่มีน้ำฟรีให้กิน พวกเราเลยสั่งมา 1 ขวดแล้วพยายามจิบแทนดื่ม เรือสำราญชักไม่ค่อยสำราญแล้วสิ พอเรือแล่นออกจากท่าตอน 7.30 pm ผ่านไปสักพักก็มีผู้หญิงมาเต้นระบำหน้าท้อง แม้ว่าการแต่งกายของเขาจะเปิดให้เห็นหน้าท้องแต่ไม่ยักจะเห็นว่าเขาใช้หน้าท้องในการแสดงสักเท่าไหร่ ดูเป็นการเต้น
ปกติมากกว่าแล้วก็เชิญแขก (ส่วนใหญ่ผู้ชาย) ตามโต๊ะต่างๆออกมาเต้นคู่กับเขาที่หน้าเวที รายการนี้น่าจะเป็นรายการเด่นแต่สำหรับพวกเราแล้วกลับไม่ใช่

หมดรายการนี้ มีผู้ชายออกมาแสดงการใช้ผ้าผืนเดียวแต่ทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะทำเป็นเด็กทารกแล้วทำท่าเลี้ยงเด็ก ทำเป็นหมวก นุ่งเป็นกระโปรง และอีกมากมาย พวกเราเห็นว่ารายการนี้กลับใช้ความสามารถเฉพาะตัวอย่างแท้จริง จบรายการนี้ ผู้หญิงคนเดิมออกมาเต้นอีกรอบ ชุดที่สวมใส่ปิดหน้าท้องไปเรียบร้อยแล้ว ก็เลยยิ่งดูเหมือนมาเต้นประกอบจังหวะดนตรี พวกเราเริ่มเซ็งๆแล้วสิ หวังเต็มที่จะมาเห็น Belly Dancing อุตส่าห์ยอมทำตัวหรูจ่ายไป 120 L.E. มานั่งเรือสำราญ แล้วก็มาหิ้วท้องรอเพราะหิวข้าว เห็นคนตรึมแล้วก็วางแผนกันว่าแบ่งข้างละ 2 ไปตักกับข้าวคาวและหวานเพราะไม่แน่ใจว่าเขาเตรียมกับข้าวให้พอหรือเปล่า แม้จะบอกว่าเป็น buffet ก็ตาม พอระบำจบปุ๊บ พวกเราก็รีบเดินไปตักกับข้าว ทันเวลาพอดีไม่ต้องต่อแถวนานเพราะแถวยาวมากๆๆ

กับข้าวก็ธรรมดา มีปลา มีไก่ มีผัก มีข้าว มีซุบและสลัดที่ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ ตักมากินกันรอบแรก พอทุกคนได้อาหารกันครบก็เดินไปตักรอบสอง อาหารมีให้ตลอด ไม่มีจำกัด ค่อยยังชั่ว แต่คุณอาเหม็ดที่ขับรถให้พวกเราทำเนียนมาทักทายที่โต๊ะเราแล้วหยิบช้อนจากโต๊ะเราไปเฉยเลย เขาเอาจานที่โน่นแต่มาเอาช้อนที่เราไง เลยต้องขอช้อนคันใหม่ ตานี่นี่ร้ายไม่ใช่เล่น
หลังจากนั้น ก็นั่งมองแม่น้ำไนล์ในความมืด ปลดปล่อยอารมณ์และนึกย้อนถึงเรื่องต่างๆ ทั้งเรื่องที่เมืองไทยและเรื่องที่ผ่านพบมาในประเทศนี้ วิว 2 ข้างทางก็เงียบดี ไม่ได้มีแสงสีน่าตื่นตาตื่นใจเท่าบ้านเรา

เรือเข้าเทียบท่าตอน 9.30 pm แล้วตาอาเหม็ดก็พาพวกเรากลับโรงแรม อาบน้ำเสร็จ ยังไม่ถึง สี่ทุ่มครึ่งก็หลับสนิทกันแล้ว




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2551 22:10:29 น.
Counter : 787 Pageviews.  

อียิปต์ วันที่เจ็ด

Thu 17 Apr 08 Day 7

ถึงไคโรตอน 7 โมงเช้า ดีจังที่ไม่ช้าเหมือนรถไฟไทย (ไปเชียงใหม่ทีไร ช้าทั้งตอนขึ้นและตอนที่ไปถึง) เพราะถ้าช้า พวกเราจะมีปัญหาเรื่องตั๋วที่จองไป Alexandria อากาศที่ไคโรตอนเช้าเย็นจนต้องเอาเสื้อแขนยาวมาสวมทับอีกตัว ตามด้วยผ้าพันคออีกผืน พวกเราเข้าไปหาที่พักในร้านกาแฟของสถานีรถไฟ สั่งกาแฟ (ที่ไม่อร่อย) มากินกับขนมปังของพวกเราแล้วก็รอจนรถไฟรอบ 8 โมงมา ขึ้นรถไฟกันตอน 7.40 am แล้วก็นั่งไปถึงสถานี Masr Station ที่ Alexandria

ผู้โดยสารในรถไฟขบวนที่ไป Alexandria นี่ดูมีระดับจัง คือลักษณะการแต่งตัวที่ใส่สูทเหมือนพวกนักธุรกิจ การพูดจาจะไม่เสียงดัง อ่านหนังสือพิมพ์กันไปเงียบๆ ทำเอาพวกเรารู้สึกว่าปอนๆไปเลย

ไปถึงที่ Alexandria ก็เรียกแท็กซี่ไปที่ Union Hotel อันนี้หญิงกลางไม่ได้จองไว้แต่โชคดีที่ไปถึงก็มีห้องพักแบบ share bathroom เหลืออยู่ เป็นห้อง double ราคารวมภาษีแล้วก็ตกห้องละ 70 L.E. พวกเราไม่เอาอาหารเช้าน่ะ เพราะถ้ารวมอาหารเช้าแล้ว คงจะตกห้องละ 90 L.E. ห้องน้ำที่นี่สะอาดและใหญ่ดี ใหญ่กว่าที่ Ismalia House ที่ไคโรอีกแต่ว่า...ไม่มีน้ำอุ่นเพราะเขากำลังซ่อมท่อแก๊สอยู่ แล้วอากาศที่นี่น่ะเย็นมากๆ เลยล่ะ ช่วงกลางวันประมาณ 20 องศาส่วนตอนเย็นนี่น่าจะต่ำกว่า 15 องศา



วันนั้นฟ้าใสจัง มองจากวิวโรงแรมออกไปก็เห็นอ่าวโค้งเป็นรูปตัว C จากมุมซ้ายไปทางขวา สวยจริงๆเลย ที่นี่รถติดมากๆ คงเหมือนไคโรนั่นล่ะ แม้จะมีรถรางแต่รถรางเหมือนกับรถหวานเย็นเพราะพวกเราเห็นคนขายของตามทางเท้าวางของกีดขวางทางรถราง พอรถรางมาที เขาก็เก็บของ เลื่อนของกันที กว่าจะรอให้เลื่อนของเสร็จ รถรางถึงจะวิ่งผ่านไปได้ พวกเราเลยเลือกที่จะไปไหนๆโดยแท็กซี่ซึ่งไม่แพงเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ จริงๆแล้วที่นี่เป็นที่ที่พวกเราซื้อของได้อย่างสบายอกสบายใจ ไปซื้อน้ำร้านไหนก็บอกราคาขวดละ 2 L.E. ไม่มีบอกผ่าน ซื้อนมซื้อขนมกินได้อย่างไม่ต้องระแวดระวังเหมือนเมืองอื่นๆ ผู้คนเมืองนี้ก็ดูไม่ตื๊อนักท่องเที่ยวสักเท่าไหร่ บรรยากาศของเมืองออกไปทางประเทศตะวันตกซะมากกว่า ผู้หญิงผู้ชายเดินจูงมือกันหรือโอบไหล่กันตามท้องถนนอย่างเป็นเรื่องปกติ ซึ่งจะไม่มีภาพแบบนี้ให้เห็นที่ Aswan / Luxor

อากาศเย็นเชียวล่ะ ต้องมีแจ๊คเก็ตกันลมกันคนละตัวเวลาออกไปเดินข้างนอก แล้วพวกเราก็ออกไปเริ่มต้นกันที่ Catacomb เสียค่าเข้าชมคนละ 15 L.E. ที่นี่เป็นสุสานในยุคของโรมันเข้ามาปกครองอียิปต์ เขาไม่ให้ถ่ายรูปข้างใน แม้ว่าเราไม่ได้ฝากกล้องกันทุกคนและแม้อยากจะถ่ายรูปข้างใน แต่เราก็..ไม่ดีกว่า เดินวนบันไดลงไปข้างล่างก็พบกับห้องที่มีช่องใส่โลงศพเยอะมากๆ เป็นร้อยๆช่องเลยก็ว่าได้ เห็นรูปสลักของอานูบิสแล้วก็ขำจังเพราะอานูบิสอ้วนกลมซะ อานูบิสยุคโรมันคงจะถูกเลี้ยงดูอย่างดีนั่นล่ะ มีห้องโถงห้องหนึ่งที่เอาไว้ให้ญาติที่มาร่วมงานศพจัดงานเลี้ยงกัน คงคล้ายๆกับพวกญาติๆนั่งกินข้าวด้วยกันหน้าหลุมศพตอนเช็งเม้งในบ้านเมืองเราน่ะ เรากับหญิงใหญ่เทียบเคียงกันอย่างนั้น

เราเดินกันออกมาเรื่อยๆ เพื่อที่จะไปเซราเพียม เจอร้านขายสตรอเบอรี่ลูกใหญ่น่ากินมากๆ เขาขายกิโลกรัมละ 10 L.E. เทียบเป็นเงินไทยก็ถูกแล้วล่ะ แต่เผอิญเห็นอีกร้านหนึ่งขายในราคา 4 L.E. แต่ไม่สวยน่ากินเท่าร้านเดิม ต่อที่ร้านเดิมเขาไม่ให้ เลยคิดว่าข้างหน้าคงจะมีแต่ไม่เห็นมีอีกเลย เป็นความเสียดายที่อดกินสตรอเบอรี่เพราะคิดว่าคนที่นี่คงจะบอกผ่านเหมือนคนที่อื่นๆน่ะ

เราแวะกันที่เซราเพียม ดูเสาหินพอมพีย์ซึ่งเป็นเสาหินแกรนิตกับสฟิงซ์ จากนั้นก็นั่งแท็กซี่ไปที่ Roman Amphitheatre โดยเสียค่าเข้าคนละ 10 L.E. นั่งเล่นกลางแดดจัดแต่ลมเย็นกันตรงอัฒจรรย์ก่อนที่จะย้ายตัวเองไปที่ Fort Quaybay แต่ไม่ได้เข้าเพราะที่นั่นปิดตอน 4 pm พวกเราไปถึงก็เกือบจะได้เวลาปิดแล้ว ก็เลยเดินเล่นตามความโค้งของอ่าว ระหว่างนั้นมีหนุ่มวัยประมาณม.ปลายมาเดินตามหญิงเล็ก เป็นหนุ่มน้อยขี้อายที่ไม่กล้าคุยแต่อยากทำความรู้จักกับสาว มีเพื่อนสนิทเดินประกบมาด้วยและพยายามเจรจาให้ เห็นแล้วก็น่ารักดี เขาคงไม่รู้หรอกว่าถ้าหญิงเล็กมีลูกในช่วงที่เรียนปริญญาตรี ลูกของเธอคงจะมีวัยไล่เลี่ยกับเด็กหนุ่มพวกนั้น นี่ริอ่านจีบข้ามรุ่นเชียวนะนั่น



ใกล้กับหอสมุด Alexandria

เด็กหนุ่มคู่นั้นเดินตามพวกเราไปจนถึงสุเหร่าแห่งหนึ่ง พอหญิงเล็กเดินเข้าไปถ่ายรูปข้างใน เขาคงจะทนรอไม่ไหวหรือไม่ก็คงรู้ว่าสาวเจ้าไม่เล่นด้วยเลยลาจากไปตรงนั้น หลังจากนั้นพวกเราเรียกแท็กซี่ไปที่หอสมุด Alexandria เดินถ่ายรูปรอบหอสมุดกันจนเย็น ที่นี่ มีเด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาแนะนำตัวว่าเรียนวิศวโยธา Civil Engineer มาขอถ่ายรูปกับหญิงกลาง เออ...คราวนี้ อายุเพิ่มขึ้นมาสัก 3-4 ปีจากที่เจอกรณีของหญิงเล็ก ยังไงก็มวยคนละรุ่นอยู่ดีนั่นล่ะ เขาแค่ขอให้หญิงกลางถ่ายรูปเขากับหญิงกลางในกล้องของหญิงกลาง อะไรของเขานะ อยากให้เก็บรูปเขาไปเป็นที่ระลึกหรือยังไง พอดี Guard ของห้องสมุดเดินผ่านมาเลยไล่เด็กพวกนี้ออกไป จริงๆเขาก็มาดีล่ะ ไม่ได้แสดงกิริยาไม่สุภาพอะไรออกมาเลย เด็กพวกนี้ทำเอาเราอมยิ้มอารมณ์ดีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปซะนาน

พวกเราไม่มีเวลาได้เขาไปดูในห้องสมุด ถ้าจะเข้าต้องเสียค่าเข้าคนละ 10 L.E. แต่บูทที่ขายตั๋วปิดตอน 6 pm และห้องสมุดปิดตอน 7 pm ตอนที่เราตัดสินใจจะเข้าไปดูนั่นคือเวลา 6.30 pm เป็นที่น่าเสียดาย ถ้าเรามีเวลาสัก 1-1.30 ชั่วโมงก็คงดี จะได้เห็นว่าการออกแบบข้างในเป็นอย่างไร

อากาศเย็นมากๆในตอนเย็น พอพระอาทิตย์ตกพวกเราก็กลับโรงแรม ไปสวมเสื้อสัก 2 ชั้นกันหนาวตามด้วยปลอกแขนกันแดดที่เอามาใช้กันหนาวและสวมเสื้อแขนยาวทับอีกชั้น ก่อนจะเดินฝ่าลมหนาวไปกินข้าวข้างนอก ได้กิน Kebab เนื้อไก่ราคาตามที่ติดป้ายไว้ คูชารีย์ที่ดูสะอาดราคา 2.50 L.E. เป็นมื้อเย็นที่ราคาถูกและอร่อยจัง เดินเล่นดูแสงสีตามถนนหนทาง ก่อนเดินกลับโรงแรม ผ่านตรอกๆหนึ่งที่ผู้คนมากมายมุงดูโทรศัพท์มือถือกัน เทียบราคาหลายๆรุ่นก็ไม่ต่างจากบ้านเรามากนักแต่ทำไมเขามุงกันจัง ไม่เข้าใจเหมือนกัน มุงกันราวกับเป็นยุคที่กำลังเห่อโทรศัพท์มือถือน่ะ

กลับมาที่โรงแรม กว่าจะอาบน้ำได้ก็ผลัดแล้วผลัดอีก อากาศมันเย็นสบายจนไม่อยากไปทรมานตัวเองในน้ำเย็นนั่นเลย คืนนั้นเราหลับไปจนตอนประมาณตี 2 ก็คล้ายได้ยินเสียงคนข้างห้องเคาะผนังตรงหัวเรา ตกใจตื่นขึ้นมาพบว่าหญิงเล็กเดินตบยุงทั่วห้อง เผื่อแผ่มาตบตรงหัวเตียงเราด้วย หญิงเล็กบอกนอนไม่หลับเพราะโดนยุงกัด ตบไปได้สิบกว่าตัวแล้ว เราบอกว่าโดนกัดอยู่จุดเดียวคือที่หลังมือ ไม่เห็นรู้สึกอะไร หลังจากนั้นหญิงเล็กก็ทาโลชั่นกันยุง ถามเราว่าจะเอาด้วยมั้ยแต่เราไม่เอา แล้วเราเลยผลัดเวรกับหญิงเล็ก กลายเป็นมันนอนหลับปุ๋ยไปแต่เรานอนไม่หลับแล้ว เฮ้อ...




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2551 22:10:06 น.
Counter : 651 Pageviews.  

อียิปต์ วันที่หก

Wed 16 Apr 08 Day 6

ตื่นกันแต่เช้า จัดแจงกระเป๋าเสร็จก็วิ่งไปขอน้ำร้อนมากินกับมาม่าและไข่ต้มของเขา ดีที่บอกพนักงานโรงแรมตั้งแต่คืนก่อนว่าอาหารเช้าขอให้จัดใส่กล่องไว้เพราะไม่มีเวลากิน จริงๆคือมีเวลากินมาม่าแต่จะเอาอาหารเช้าไปกินมื้อกลางวันต่างหาก อาหารเช้าเขามีไข่ต้มให้ 1 ลูก ขนมปังแท่ง ๆ 3 อัน แยม เนย กล้วย 1 ลูก ปกติเขาจะเริ่มทำตอน 7 โมงแต่พวกเราจะออกเดินทางตั้งแต่ 7 โมงเลยขอให้เขาเริ่มงานก่อนเวลาสักครึ่งชั่วโมงเพื่อขอน้ำร้อน
หมดเรื่องอาหารเช้าก็เอากระเป๋าไปทิ้งไว้ตรง front desk แล้วก็ check out ออกไปขึ้นรถแท็กซี่ มีคนขับกับคุณโมฮัมหมัด (ชื่อโหลจัง) ที่บอกว่าเป็น tour guide รออยู่ แล้วเราก็ข้ามสะพานไปฝั่ง West bank คือ เขาเชื่อว่าฝั่งตะวันตกเป็นฝั่งของความตาย สุสานทั้งหลายจึงอยู่ที่ฝั่งนั้น

ไปถึง Valley of the King ตอน 8 โมง นักท่องเที่ยวมากันเยอะแล้วล่ะ แค่ 8 โมงอากาศก็ร้อนแล้ว นี่ขนาดเราออกกันแต่เช้านะ เดินไปซื้อตั๋วที่ office จ่ายไปคนละ 25 L.E. แล้วก็จ่ายค่ารถที่พาพวกเราไปถึงสุสานอีกคนละ 4 L.E. เขามีป้ายบอกว่าวันนี้สุสานไหนที่เปิดให้ชมบ้าง ตอนแรกพวกเราว่าจะดู Ramses VI ตามที่อ่านมาจาก website ที่คนอื่นเคยมาเที่ยว แต่พอไปถึงพบว่า Ramses VI ต้องเสียค่าดูต่างหากซึ่งต้องกลับไปซื้อตั๋วที่ office อีกรอบ หญิงเล็กเลยรับอาสาไปซื้อเองแล้วให้พวกเรารอกันตรงนั้นจะได้ไม่เสียค่าตั๋วคนละ 4 L.E. อีก ปรากฏว่าหญิงเล็กซื้อตั๋วเข้าสุสานของ Tutankhamen มาด้วย งานนี้เลยจ่ายค่าเข้าสุสาน Ramses VI ไป 25 L.E. และค่าเข้าสุสานของ Tutankhamen อีก 40 L.E. ซึ่งพอมานั่งคิดๆดูแล้ว พวกเราก็เห็นว่า 3 หลุมที่เขาให้ดูในราคา 25 L.E. ก็พอแล้วล่ะ ซึ่งพวกเราเลือกที่จะดู Thutmosis III, Ramses III, Tausert / Setnakht



หลุมพิเศษของ Ramses VI ต้องเสียเงินเพิ่ม

ข้างในสุสานเขาห้ามถ่ายรูปน่ะ หลุมของ Ramses VI นั้นระยะทางสั้น ข้างในหลุมมีรูปภาพสลักนูนเป็นสี ข้างในเห็นเป็นหน้าโลงรูปฟาโรห์ ก็แค่นั้น

ส่วนของ Tutankhamen นั้นข้างในมีพระศพนอนอยู่และมีโลงชั้นแรกวางอยู่ คือ โลงศพของ Tutankhamen มีอยู่ 4 ชั้น ที่เราเห็นกันเป็นชั้นแรก ส่วนอีก 3 ชั้นเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์อียิปต์ สมบัติทั้งหลายก็เก็บไว้ที่นั่น แต่ด้วยความรู้สึกผิดของคนขุดที่เหมือนมารุกล้ำเจ้าของสุสาน เขาจึงเอาพระศพใส่ไว้ในโลงแก้ว ความยาวของพระศพก็ไม่มากนะ คาดว่าไม่ถึง 175 cm. น่ะ เห็นแต่หัวและเล็บเท้า ส่วนตัวพระศพมีผ้าพันไว้ ห้องที่เปิดให้ดูก็มี 2 ห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งวางพระศพ ส่วนอีกห้องวางโลงศพ เก็บเงินไว้ไปดูที่พิพิธภัณฑ์อียิปต์จะคุ้มกว่า

ส่วนอีก 3 หลุมตามโควต้านั้น เริ่มกันที่หลุมแรกคือ Thutmosis III ต้องปีนขึ้นบันไดไปและลงบันได ทางสลับซับซ้อนดี ปากทางมีคนตรวจตั๋วโดยเอาตัว punching มาเจาะรูตั๋วเราน่ะ เจาะครบ 3 รูเมื่อไหร่ก็หมดโควต้าเมื่อนั้น หลุมฟรีนี่คุณโมฮัมเหม็ดไปกับเราด้วยโดยไม่ต้องเสียค่าเข้า แค่แสดงบัตรว่าเป็น tour guide แต่หลุมพิเศษนั่นเขาเข้าไม่ได้

เข้าไปข้างในมืดเชียวแต่เขาติดไฟเอาไว้ เดินสวนกันตรงบันไดแทบไม่ได้ ต้องรอให้ฝั่งโน้นมาจนหมดแล้วฝั่งเราค่อยไป คุณโม (ชื่อย่อ) บอกว่าที่หลุมนี้มีกับดักด้วย คือมีหลุมใหญ่มากดักไว้ ใครเดินเข้ามาไม่ดูตาม้าตาเรือก็ตกลงไปตายได้ แต่ตอนนี้เขาทำเป็นทางสะพานเดินข้ามไป พวกเราเลยปลอดภัยไง ไปถึงก็เจอห้องกว้างๆห้องหนึ่ง มีรูปสลักตามผนังแล้วก็ไต่บันไดไปห้องเก็บพระศพ ที่ห้องเก็บพระศพ รูปสลักไม่สวยเลย พวกเราแซวกันว่าฝีมือคนทำระดับเด็กอนุบาล คุณโมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เขาอธิบายว่าตรงโลงศพที่หญิงเล็กเอาไฟฉายส่องดูนั้นมีรูปของเทพนุทหรือเทพแห่งท้องฟ้านอนอยู่ ห้องข้างในร้อนมากๆจนนึกว่าถ้าใส่กางเกงผ้าเนื้อเบา ระบายความร้อนง่ายคงจะดีกว่ายีนตัวหนาเป็นแน่ ออกมาข้างนอกได้ก็เหงื่อโทรมตัวกันทั่วหน้า ดีที่แม่หญิงเล็กให้พัดมาก่อนออกจากบ้าน ก็ได้อาศัยตอนอยู่ในหลุมนั่นล่ะ


ออกมาแล้วก็ตรงไปที่หลุมของ Tausert / Setnakht หญิงกลางอธิบายว่าเหมือนมีฟาโรห์ 2 องค์ที่หลุมนี้ คือ คล้ายกับการครองราชย์คู่กัน ระหว่างทางไปข้างในจะมีห้องข้างๆ เป็นห้องเล็กๆที่มีรูปสลักบอกเรื่องราวไว้ มีเทพหลายองค์ ทั้งเทพอนูบิส เทพนุทและเทพฮอรัสที่พวกเราพอจะจำได้ ชอบรูปของเทพนุทจังเลย เป็นตัวสีฟ้าทอดยาวไปทั้งเพดาน เหมือนท้องฟ้าที่โอบอุ้มเราอยู่อย่างนั้นเลย บนโลงเป็นหินรูปสลักหน้าฟาโรห์ล่ะ

หลุมสุดท้ายเป็น Ramses III เข้าไปข้างในก็มีห้องที่ถูกกั้นเชือกไว้ เหมือนกับยังขุดไม่เสร็จ ทางเดินทอดยาวเชียวล่ะ ระหว่างทางก็มีรูปสลักเป็นสีสันเหมือนกัน สังเกตได้ว่ารูปสลักตามสุสานนี่จะลงสีไว้ ไม่เหมือนกับที่เห็นตามวิหาร หรือจริงๆแล้วสีตามวิหารมันเลือนไปแล้วก็ไม่รู้นะ




เทพอานูบิสรับของไหว้เพียบเลย





รูปปั้นหน้าพระนางฮัตเชปสุต (ราชินีมีเครา)

ออกจาก Valley of the King แล้วก็เริ่มตัวแห้ง คือ อากาศที่ร้อนซึ่งวันนั้นร้อนถึง 45 องศาบวกกับรถที่ไม่ได้ติดแอร์ และการต้องเดินท่ามกลางแดดจัดๆ มันทำให้เรารู้สึกตัวได้เลยว่าตัวแห้ง แห้งแบบขาดน้ำ Dehydrate ซึ่งเคยเป็นแบบนี้ครั้งหนึ่งตอนเดินที่คาร์นัคแต่นั่นเป็นช่วงสั้นๆ คราวนี้เป็นทั้งวัน กินน้ำกันหลายครั้งแต่จะกินมากก็กลัวว่าต้องเข้าห้องน้ำซึ่งไม่ได้มีทั่วไป

ต่อจากนี่ก็ไปต่อกันที่ Hatshepsut temple ร้อนอีกแล้ว เสียค่าเข้าคนละ 15 L.E. กับค่ารถที่พาเราไปถึงบันไดวิหารอีก 2 L.E. ดูรูปสลักของเทพฮาเธอร์ด้านข้าง แล้วก็รูปปั้นหน้าของฟาโรห์หญิงองค์นี้ ตามตำนานบอกว่าทุตโมสิสที่ 3 ไม่ค่อยพอใจแม่เลี้ยงองค์นี้สักเท่าไหร่เพราะคล้ายว่าแย่งอำนาจไปจากพระองค์ พอพระองค์ขึ้นครองราชย์ ก็เลยทำลายทุกอย่างของพระนางฮัตเชปซุตซะรวมทั้งคาทูชด้วย คุณโมอธิบายรูปสลักในวิหาร แล้วหญิงเล็กก็ยื่นเลเซอร์ให้คุณโมใช้ประกอบฉาก ตอนแรกเขาใช้ไม่เป็นหรอก แต่พอได้ใช้ก็ติดใจเพราะมันทำให้การอธิบายรูปสลักได้อรรถรสมากขึ้น ซึ่งมองๆไปก็ไม่เห็นไกด์คนไหนเขาใช้เลเซอร์ชี้รูปกันนะ ไม่รู้ว่ามีการห้ามหรือเปล่าหรือหญิงเล็กจะไปสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้ซะแล้ว

เรามองขึ้นไปด้านบนแล้วก็สงสัยจังว่าทำไมคุณหนุ่มน้อยที่เขียนไว้ใน TrekkingThai ถึงมีแรงเดินขึ้นไปมองภาพในมุมสูงได้ ก็คงไปอาศัยดูภาพของคุณหนุ่มน้อยในมุมนั้นแทนที่เราจะปีนขึ้นไปเอง เพราะอากาศทั้งร้อนและตัวแห้งไปซะขนาดนั้น อีกอย่าง เราไม่ได้อยู่ในอาการ temple sickness ซะด้วย

คุณโมพาพวกเราไปดู top secret ซึ่งเราก็สงสัยว่าอะไร เป็นรูปสลักตรงผนังด้านหนึ่ง คล้ายการเล่นโยคะน่ะ มีท่าทางต่อเนื่องกันตั้งแต่ต้นจนจบ เขาบอกว่านี่เป็นต้นกำเนิดของ Belly Dancing เชียวนะ

จบจากที่นี่ ก็ไปต่อกันที่ Valley of the Queen ที่นี่มีอยู่ 3 หลุม เสียค่าเข้าคนละ 15 L.E. แต่ความสวยงามและการออกแบบสู้ทาง Valley of the King ไม่ได้ จริงๆแล้วที่นี่ไม่ได้เก็บเฉพาะ Queen หรอกนะเพราะที่เราเห็นกันมีหลุมเจ้าชายอะไรก็ไม่รู้ ส่วนหลุมของพระนางเนเฟอตารีไม่เปิด เลยไม่มีอะไรดึงดูดใจมาก

เจอฝรั่งสามีภรรยาคู่หนึ่งตอนเข้าไปดูข้างในสุสาน คนเฝ้าสุสานบอกให้เดินอ้อมไปที่จุดจุดหนึ่งเหมือนจะต้อนพวกเราเข้ามุม ฝรั่งคู่นั้นเดินออกแล้วบอกว่า เขาจะต้อนไปเพื่อ get money อืม...ทุกชาติเจอเหมือนกันและรู้สึกในทางเดียวกัน คือ คนที่นั่นทำหลายๆทางเพื่อเอาเงินจากนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะยอมปล่อยเชือกให้เราเข้าไปดูหรือจะต้อนไปที่มุมๆหนึ่งเพื่อมาอธิบายและขอเงิน หรือแม้กระทั่งเตรียมกระดาษแข็งแทนพัดเพื่อขอทิปตอนเราใช้กันเสร็จ ที่น่าสนุกกว่านั้นคือ ฝรั่งผู้หญิงคนหนึ่งเธอเอาผ้าพันคอมาเสนอขายเราแล้วบอกว่า 5 L.E. เท่านั้น เราบอกว่าแพงไป ขอเป็น 3 ชิ้น 5 L.E. ได้มั้ย แล้วเราก็เสนอขายพัดที่เราพกไปว่า 5 L.E. เหมือนกัน เล่นขายของกันแก้เครียดน่ะค่ะ จริงๆคือแซวเจ้าบ้านเพราะทั้งเขาและเราก็ได้พบเจอกับชาวอียิปต์ที่เสนอขายของให้นักท่องเที่ยวไปซะทุกที่ แถมโก่งราคาน่าดู

จบจาก Valley of the Queen ตอนเที่ยงครึ่งแล้วก็ไปต่อกันที่ Noble Tomb และ Ramaseum เสียค่าเขาชมที่ละ 15 L.E. ที่ Noble Tomb ดูไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่า Ramaseum ได้ไปนั่งพักร้อนกันที่ Ramaseum รู้สึกไม่อยากไปไหนกันต่อเลย จริงๆพวกเราลืมที่ค้นมาจาก internet เสียสนิท เพราะยังมีที่น่าไปที่เขาแนะนำกันคือ หมู่บ้านคนงานที่ Deir Al-Mddinah ซึ่งเขาบอกว่าที่นี่มีภาพวาดที่น่าสนใจไม่แพ้ที่หุบเขากษัตริย์ และที่ Temple of Ramses III – Madinat Habu ซึ่งเป็นวิหารที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากมหาวิหารคาร์นัค แต่อากาศร้อนจนตัวแห้ง อารมณ์แห้งไปขนาดนั้นทำให้พวกเราคิดอะไรกันไม่ออกจริงๆค่ะ ขนาดวันนั้น พกร่มแบบมียูวีกางกันทั้งวัน ถ้าใส่หมวกอย่างเดียว ตัวคงจะเกรียมแน่



พอสักบ่ายสองก็เดินทางกลับ ระหว่างทางแวะถ่ายรูปกับรูปปั้น Memnon ซึ่งมีอยู่ 2 ตัว เขาว่าเป็นประตูไปสู่ความตาย แล้วก็กลับมาที่โรงแรม ให้ทิปคนขับไป 10 L.E. ส่วนคุณโมให้ไป 20 L.E. คุณโมไม่ได้เรียกร้องอะไรมาก เขาสุภาพจังแต่เขาอยากได้ Laser Pointer ล่ะ เขาถามหญิงเล็กว่ามีอีกมั้ย เผอิญว่าเราไม่มีสำรองให้เสียด้วยนะจ๊ะ เห็นมั้ยล่ะ พอได้ใช้ประกอบการบรรยายแล้วคุณจะติดใจ

กลับมานั่งพักที่ lobby โรงแรม กินขนมปัง กินขนม กินน้ำกันแล้วก็อยากจะล้มตัวลงนอนแถวนั้นซะเลย คุยโน่นคุยนี่กันร่วมชั่วโมงก่อนจะออกไปเดินตลาดตอนบ่ายกัน ต่อราคาของปะทะคารมกับเจ้าบ้านกันก่อนที่จะเดินไปที่ Mummification Museum ที่อยู่ใกล้กับวิหารลักซอร์โดยอยู่ฝั่งตรงข้าม ริมแม่น้ำไนล์ เสียค่าเข้าชมคนละ 20 L.E. แต่พอไปที่พิพิธภัณฑ์อียิปต์ที่ไคโรแล้ว พวกเราลงความเห็นว่าไม่ควรเสียเวลาและเสียเงินกับที่พิพิธภัณฑ์มัมมี่ที่ลักซอร์ เพราะที่นี่เล็ก มีให้ดูแค่ห้องเดียวและการจัดแสดงไม่มีอะไรดึงดูดใจ แต่เราก็จดจำภาพการทำมัมมี่มาคือ นักบวชจะทำความสะอาดตัวฟาโรห์ที่ตายแล้ว จากนั้นก็พันพระศพ มีเทพอานูบิสมาพาตัวไปหาเทพไอซิส เพื่อนและญาติผู้ตายจะช่วยกันขนข้าวของเครื่องใช้ไป มีนางร้องไห้เดินตามพระศพด้วย ก่อนฝัง ภรรยาต้องมาร้องไห้ต่อหน้าศพแล้วเทพ Thot ที่มีหัวนกกระเรียนจะมาจดความเห็นของเทพ เทพโอซิริสจะชั่งน้ำหนักความดี ความชั่วของวิญญาณ โดยชั่งน้ำหนักหัวใจกับขนนก ถ้าหัวใจหนักกว่าก็ไม่ต้องเกิดใหม่ ถ้าหัวใจเบากว่า (ใจใครหนอจะเบากว่าขนนก) วิญญาณก็จะกลับไปเข้าร่างในมัมมี่แล้วกลับคืนชีวิตมาอีกครั้ง

ส่วนโถคาโนปิคที่ใช้เก็บเครื่องในของมัมมี่จะมีเทพ 4 องค์ซึ่งเป็นลูกของเทพฮอรัสดูแลอยู่ อันได้แก่
Imesti เป็นรูป Human Head จะเก็บในส่วนของตับ
Qebehenuef เป็นรูป Falcon Head หรือหัวเหยี่ยว จะเก็บในส่วนของลำไส้
Duamutef เป็นรูป Jackal Head หรือหัวหมาไน จะเก็บในส่วนของท้อง
Hapy เป็นรูป Baboon Head จะเก็บในส่วนของปอด


ใช้เวลาเดินอยู่ในนั้นประมาณครึ่งชั่วโมงก็ออกมาเดินเล่นรับลมเย็นๆที่ริมแม่น้ำไนล์ก่อนจะเดินเข้าไปในวิหารลักซอร์ ที่นี่เสียค่าเข้าคนละ 20 L.E. อย่างที่บอกไปว่ามีแต่ light แต่ไม่มี sound เลยต้องเดินดูแล้วอ่านหนังสืออธิบายกันเอง พวกเราอยู่ที่นี่ถึง 1 ทุ่มกว่าๆแล้วก็เดินกลับโรงแรม ระหว่างทางหาอะไรกิน (อาหารหญิงเล็กชิ้นละ 1 L.E. ตามเคย) กลับไปอาบน้ำที่โรงแรม อย่างที่เจรจาไว้คือเขาให้พวกเราขนกระเป๋าขึ้นไปใช้ห้องนอนที่มีห้องอาบน้ำได้ 1 ห้อง เสร็จแล้วก็ไปที่สถานีรถไฟกัน จะเดินไปก็ได้แต่เสียค่าแท็กซี่รวมแล้ว 5 L.E. ก็เลยไปแท็กซี่กันดีกว่า ได้ขึ้นรถไฟตอนใกล้ๆ 9 pm

คราวนี้เป็นรถไฟชั้น 2 เสียงไม่ดังเท่าคุณป้าคนนั้นแต่มีคนขึ้นลงเป็นระยะและไม่เงียบเท่าใดนัก จำได้ว่าเงยหน้าตื่นมาทีไรก็จะมีคนทักทายเราตลอด พวกคนอียิปต์ที่ขึ้นมาใหม่น่ะ มีคนเดินขายอะไรก็ไม่รู้เป็นช่วงๆ ค่อนข้างพลุกพล่านเชียวล่ะ เอามือถือมาเสียบหูฟังเพลงกลบเสียงผู้โดยสาร แต่รถไฟเที่ยวนี้แอร์ไม่เย็นทรมานเท่าตอนขาไป Aswan ก็เลยหลับสบายกว่าเดิม




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2551 22:09:37 น.
Counter : 1458 Pageviews.  

1  2  3  4  

saifan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add saifan's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.