Once upon a time ...
Group Blog
 
All blogs
 

อียิปต์ วันที่สอง

Sat 12 Apr 08 Day 2

กว่าจะถึง Aswan ก็เที่ยงกว่า แล้วพวกเรากินอะไรกันเหรอ มีขนมปังจากร้านมินิมาร์ท สุวรรณภูมิที่หญิงเล็กซื้อก่อนขึ้นเครื่องบิน เป็นไส้ทูน่าและไส้กรอกพอประทังความหิวไปได้ แล้วยังมีเส้นปลาเหมือนปลาทาโรที่เราพกมาครึ่งกิโล ถ้ารู้ว่าที่ ตม.เขาไม่ตรวจอะไรมาก เราพกหมูทุบมาด้วยก็ดีหรอก น้ำก็มีน้ำเปล่าที่ซื้อไว้ตั้งแต่เมื่อวันก่อน พวกเราไม่ได้ใช้บริการอาหารเช้าบนรถไฟเลย ไม่เหมือนชาวอเมริกันกลุ่มนั้น

พอถึงสถานี Aswan ชักกลุ้มใจว่าคงต้องเรียกแท๊กซี่ให้ไปส่งที่โรงแรม Memnon เพราะหญิงกลางบอกเขาว่าเราจะขึ้นรถไฟรอบ 9 pm แต่ดันเปลี่ยนแผนเพราะตั๋วหมด แต่ก็โชคดีเหลือเกินที่ Mohammhad Makub จาก Memnon Hotel มายืนถือป้ายรอพวกเราตรงทางออก เขาบอกว่าไม่เห็นเราส่งเมลล์บอกเลย แต่เดาว่าน่าจะมารอบนี้ ขอบคุณนะคะ

เราขึ้นรถแท๊กซี่ที่เขาเตรียมไว้ไปที่ Memnon Hotel เดินขึ้นไป 3 ชั้นถึงจะถึง Lobby ของโรงแรม ตอนนั้น พวกเราทุกคนเริ่มรู้แล้วว่าปิรามิดที่ดาชูร์ทำพิษเพราะแต่ละคนก้าวขาขึ้นลงบันไดลำบากเหลือเกิน คิดถึง counter pain จับใจ ถ้าได้ทาก่อนลงไปไต่ปิรามิดอาจจะบรรเทาอาการกล้ามเนื้อขัดยอกได้ดีกว่านี้ ตอนกลับมาเล่าให้เพื่อนที่นี่ฟัง เขาบอกว่า ริอ่านจะเป็น backpacker แล้วไม่พกยาทาแก้เคล็ดขัดยอกนี่นะ (ประมาณว่าเห็นใจปนสมน้ำหน้านิ๊ด นิด)

หญิงเล็กกับหญิงกลางไปดูสภาพห้องนอน ตกลงพักห้อง double มีห้องน้ำในตัว มีแอร์ รวม 2 คืน 2 ห้องเป็นราคา 344 L.E. ตกคนละ 43 L.E. ต่อคืน ต้องขึ้นไปอีก 2 ชั้นถึงจะถึงห้องที่เราพัก ถ้าต้นขาไม่เดี้ยงซะก่อนคงจะไม่มีปัญหาอะไรหรอก

เราถามตา Mohammhad Makub เกี่ยวกับทัวร์ที่ต่างๆ ลืมไปว่าคุณหนุ่มน้อยให้ไปถามราคาจากโรงแรมอื่นด้วย อาจเป็นเพราะความประทับใจที่พวกเราเห็นเขาไปรอรับพวกเราที่สถานีรถไฟและความสุภาพของเขาด้วยล่ะมั้ง เลยจองทัวร์ไปซะเลย ทัวร์ที่ต้องจ่ายในวันนั้นก็มี
เรือ Felucca คนละ 20 L.E.
แล้วก็ทัวร์ที่จะไป Abusimbel, วิหาร Philae, High Dam วันรุ่งขึ้นโดยเสียคนละ 65 L.E.
ค่ารถที่จะพาพวกเรานั่งรถจาก Aswan ไป Luxor ในวันที่ 14 Apr โดยระหว่างทางให้เขาแวะที่ Kom Ombo และ Edfu Temple เสียคนละ 85 L.E. (เจอพี่คนไทยอีกกลุ่มหนึ่ง เขาได้ในราคา 65 L.E. ล่ะ ถูกจัง)


จัดการจ่ายค่าทัวร์เรียบร้อยแล้วก็เดินออกจากโรงแรมไปซื้ออะไรกินมื้อกลางวันกัน เป็นเบอร์เกอร์ง่าย ๆ ชิ้นละ 2-3 L.E. ไม่รู้เป็นราคาที่บอกผ่านแล้วหรือยังถ้าผ่านก็คงยังผ่านไม่มาก เพราะอีกวันเจอเจ้าของร้าน เขาผ่านไปถึง 4 L.E. เฮ้อ จะหาราคามาตรฐานของนักท่องเที่ยวได้ที่ไหนนะ หรือเขาปรับตามราคาเงินเฟ้อก็ไม่รู้สิ



มองจากห้องนอนออกไป เห็นเรือกับทะเลทรายอยู่ตรงหน้า

เดินไปลงเรือ Felucca ที่หน้าโรงแรมแล้วก็...สบาย เป็นช่วงเวลาหนึ่งในการเดินทางที่พวกเราสบายอกสบายใจกันจริงๆ เด็กเรือมีสองคนและไม่พูดมาก ลมแม่น้ำพัดมาเรื่อยๆ มองไปฟากหนึ่งเห็นเป็นตึกรามบ้านช่อง อีกฟากหนึ่งเป็นทะเลทรายเนียนสวย น้ำในแม่น้ำก็เย็นและใส ใสจนเห็นสาหร่ายที่อยู่ใต้แม่น้ำ เรือที่เราล่องไปไม่ได้ใช้เครื่องยนต์ ก็มีบางช่วงที่ลมหยุด เรือก็หยุด ไม่เป็นไร พวกเราก็นั่งดูโน่นดูนี่ไปได้เรื่อยๆ

เขาไปหยุดพักที่ Botanical Garden เป็นเกาะที่ทำเป็นสวน มีคนท้องถิ่นมานั่งเล่นกันหลายจุด นัดเวลากับเด็กเรือ เสียค่าเข้าคนละ 10 L.E. แล้วก็เดินดูรอบๆเกาะ มองไปอีกฝั่ง เห็นภูเขาทะเลทรายเนียน เป็นทะเลทรายจริงๆนะนี่ หญิงเล็กพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าสวยจัง เดากันว่าที่มีคนเล่าว่านั่งเรือไปขี่อูฐเพื่อไปสำนักสงฆ์ เห็นจะเป็นทะเลทรายผืนที่ตั้งอยู่หน้าเรานั่นเอง

ออกจาก Botanical Garden แล้วก็ไปต่อกันที่ Elephant Island เสียค่าเข้าชม พวกเราไม่รู้ว่าที่นี่มีจุดข้างนอกน่าสนใจให้เดินชม เพราะมัวแต่เสียเวลาไปเดิน museum 2 ที่ แต่ museum ที่หนึ่งมีของน่าสนใจ หญิงเล็กบอกว่าเป็นเหมือนใบทะเบียนสมรส เขาจดไว้ในแผ่นหินว่าก่อนแต่งมีสมบัติอะไรบ้าง และจะทำอะไรให้กันบ้าง คล้ายๆสัญญาก่อนแต่งมั้ง



มุมหนึ่งบนเกาะ ระหว่างที่เดินหา Nilometer

พอออกมาจาก museum พวกเราก็พบว่าในสวนกว้างนั้นมีจุดต่างๆให้ดูถึง 28 จุด หญิงเล็กบอกว่าอยากดู Nilometer ก็เลยเดินหากัน ไม่มีใครเดินกันแล้วตอนนั้น เดินไปถ่ายรูปที่มุมๆหนึ่ง สวยล่ะแต่ลืมไปแล้วว่าคืออะไร มีคนมาเดินตามเรา เข้าใจว่าเป็นไกด์ ด้วยความมองโลกในแง่ร้ายของพวกเรา เขาจะพาเราเดินไปไหน เราก็ไม่ไปทั้งนั้น ต่อให้เขาเป็นเจ้าหน้าที่อุทยานก็เถอะ ทำไมถึงกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้นะพวกเรา อุทยานปิด 5 pm ล่ะ พวกเราเลยกลายเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เดินดูซากสถานที่อยู่บนเกาะ ถูกเด็กเรือว่ากระทบเล็กน้อยเพราะกลับไปช้ากว่าที่นัดกันไว้เกือบชั่วโมง จริงๆแล้วควรใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงล่ะแทนที่จะเป็นครึ่งชั่วโมง แล้วใช้เวลากับ museum แค่ 15-20 นาทีพอ ทีเหลือไปดูด้านนอก
จอดเรือเสร็จก็ทิปเด็กเรือไปคนละ 10 L.E. เขาไม่พูดมาก ไม่ต่อรองอะไรทั้งนั้น

แล้วเราก็เดินกันต่อไปที่ตลาด ดูข้าวของต่างๆ มีเหมือนถนนคนเดินที่มีร้านค้าอยู่สองข้างทาง ต่อราคาได้อย่างไม่น่าเชื่อ หญิงกลางต่อสร้อยเงินเส้นหนึ่ง จาก 65 L.E. เหลือ 16 L.E. เลยไม่แน่ใจว่ามันเงินจริงหรือเงินปลอมนะนั่น

เดินไปซื้อส้ม พ่อค้าบอกว่ากิโลละ 5 L.E. เรายืนมองแม่บ้านที่กำลังซื้ออยู่แล้วก็ถามเขาว่าราคาเท่าไหร่ คุณแม่บ้านบอกว่าโลละ 2.5 L.E. ก็เลยบอกพ่อค้าว่าขอราคาเดียวกัน เขาให้ล่ะเลยได้ส้มมา 2 กิโล ส้มที่นี่อร่อยมากๆ ค่ะ รสจัด หวานอมเปรี้ยว ถ้าได้กินตอนเหนื่อยๆนะจะชื่นใจมากเลย วันแรกที่เจอราคานักท่องเที่ยวแบบนี้ เราหัวเสียจังเลย

วันถัดไป กลับไปซื้อที่ร้านเดิมอีก เจอพ่อค้าอีกคน เขาบอกว่า Different Day Different price เราก็ไม่ว่าไงหรอก เราบอกว่า That’s fine ตูไปหาซื้อร้านอื่นก็ได้ฟะ แต่เขาก็เรียกเราให้กลับมาซื้อ เราดึงถุงมาเลือกเองล่ะ ไม่ไว้ใจสักอย่างคนที่นี่ เราบอกเขาว่าคุณทำให้ฉันไม่ประทับใจเลยกับการซื้อของที่นี่ ฉันพูดจริงๆนะ เดินออกจากร้านมาก็อารมณ์ดี หญิงกลางบอกว่าน่าโมโหจริงๆ แต่เราบอกหญิงกลางว่าเราขำ ขำคนประเทศนี้ ช่างมีข้ออ้างตลอด อาจเพราะความไม่มีหรือเปล่าที่ทำให้เขาทำอย่างนี้ หรือความอยาก...อยากรวย ทำให้คนโกหกได้ว่าเขาขายให้คนท้องถิ่นก็ราคานี้ เขาโกหกทั้งๆที่มัสยิดก็ตั้งอยู่หน้าร้านเขา เขาโกหกทั้งที่เสียงละหมาดดังลั่นวันละหลายเวลา หรือการโกหกต่อคนต่างศาสนานั้นไม่ผิด หรือมันเป็นประเพณีปฏิบัติ ใครๆเขาก็ทำกัน เหมือนการคอรัปชั่นบ้านเราไง บางคนอาจจะไม่อยากคอรัปชั่น แต่มองไปมองมา ใครๆเขาก็ทำกัน ขืนไม่ทำคงถูกมองว่าโง่หรือบ้าหรือไม่เข้าพวก ก็เลยต้องทำบ้าง ถ้าเมืองไทยยังเป็นอย่างนี้ได้แล้วนับประสาอะไรกับการขายของเกินราคาหน้าซื่อๆแบบนี้ล่ะ

เจอเด็กสาวๆกินโรตีในร้าน เราเดินเข้าไปถามว่าแผ่นเท่าไหร่ เจ้าของร้านรีบบอกดักคอว่าแผ่นละ 2 L.E. แพงจังราคาที่เราได้จาก blog มัน 0.50 L.E. เองนี่นา แต่ตอนนั้นหิวกันจัง เดินหาไม่มีอะไรให้กินเลย ก็เลยกินไอ้นี่แก้ขัดไปก่อนละกัน สั่งมากินกันแค่ 2 แผ่น โชคดีที่เขาเพิ่งเอาออกจากเตา กำลังร้อนๆ ตัดเป็นแผ่นชิ้นเล็กๆ ราดนม แล้วก็ใส่ถาด เวลากินก็หยิบมาจิ้มกับน้ำตาลไอซิ่งที่เป็นผงๆ อร่อยดีเหมือนกันแต่จะดีกว่านี้ถ้าเหลือแค่แผ่นละ 1 L.E.

เจอ supermarket ระหว่างทางเดินนั่น เดินเข้าไปดู เลยพบว่ามีน้ำขวดใหญ่ขายในราคา 1.25 L.E. โอย...ถูกๆๆๆๆ ปกติซื้อในราคา 2.5 L.E. เลยขนซื้อกันมาซะ 4 ขวด คนละขวด เจอน้ำอ้อยที่คั้นกันสดๆ จะกินก็เสียบอ้อยท่อนยาวๆเข้าไปในเครื่อง ก็จะได้น้ำอ้อยกินกันสดๆโดยไม่ต้องผสมอะไร แก้วละ 1 L.E. ส่วนน้ำส้มราคา 3 L.E. ราคานักท่องเที่ยวอีกแล้ว เพราะที่ไคโรขายน้ำอ้อย แก้วละ 0.5 L.E. ส่วนน้ำส้มราคา 2 L.E. พอเราบอกอีกร้านหนึ่งที่จะขายน้ำผลไม้ราคา 5 L.E. ให้พวกเราว่าไม่ควรจะถึง 2 L.E. เขาบอกว่าต้องเสียค่าเดินทางจากไคโรมาถึงที่นี่ เฮ้อ ตกคูแล้วค่ะคุณขา สุดท้ายเขาก็ให้แต่เราไม่เอาแล้ว ดูท่าทางไม่รู้ว่าสะอาดหรือเปล่า

จะซื้อนมในร้านที่มีตู้เย็นแช่นมและน้ำผลไม้กล่อง ถามเด็กในร้านให้ชี้ซิว่าของที่เราจิ้มเขาเขียนไว้ตรงไหน เพราะเราอ่านออกแต่เลขราคา ส่วนตัวหนังสืออ่านไม่ออก เด็กกำลังจะชี้ไปทางราคา 2 L.E มั้ง พ่อเด็กเดินเข้ามาผลักเด็กออกไปพร้อมกับบอกว่า 5 L.E. พวกเราเลยเดินออก จะอดตายก็ให้มันรู้ไปสิ

ตกลงคืนนั้น พวกเราไม่ได้กินอะไรมื้อเย็นล่ะ เดินชมของจนอิ่มแล้วก็กลับที่พัก ที่จริง ถ้าจะกินก็มีมาม่าอยู่นะ ให้เขาต้มน้ำร้อนให้เราก็ได้ เจ้าหน้าที่โรงแรมน่ารักมากๆ เขาบอกว่าอยากกินอะไรบอกเขาได้ เขาออกไปซื้อให้ เพราะเขารู้ว่าพวกเราซื้อเองก็จะโดนราคาขูดรีดแบบนี้ไปซะทุกที่




 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 9 พฤษภาคม 2551 22:48:49 น.
Counter : 630 Pageviews.  

อียิปต์ วันแรก / 2

คนขับชื่อ Amhet เราเดินทางออกไปตอน 10.30 am ขึ้นรถเขาแล้วมุ่งตรงไปที่เมือง Memphis เขาอธิบายตามข้างทางบ้าง พอไปถึงที่นั่น พวกเราไม่ได้เข้าไปดู Museum ข้างในล่ะ เขาบอกว่าเดี๋ยวเราไปที่ Aswan กับ Luxor ก็จะเจอรูปปั้น Ramses II อีกเยอะแยะ เราก็เลย...ว่าไงก็ตามกัน แต่มานึกอีกที เสียดายเหมือนกัน ถ้าเข้าไปดูจะเสียเวลาสักเท่าไหร่นะ เพราะวันนั้น เราใช้บริการเขาถึงเย็นเชียวล่ะ

ตกลงก็เลยผ่านเมืองเมมฟิสไป ไปต่อกันที่ปิรามิดแดง เขาบอกว่าตอนหกโมงเย็น พระอาทิตย์ส่องกระทบทำให้ดูเป็นสีแดง แต่เราอยู่ไม่ถึงน่ะ เราไปกันตอนประมาณเกือบเที่ยง ถ่าย Bent Pyramid ด้านหลังแล้วก็มามุดปิรามิดแดงกัน Dashur เสียค่ามุดคนละ 15 L.E. ลงบันไดเข้าไปข้างในก็จะเห็นห้องเป็นรูปสามเหลี่ยม หินข้างในตัดเรียบอย่างไม่น่าเชื่อ เข้าไปอีกห้อง ส่วนของเพดานก็เห็นเป็นเหมือนกัน พอเดินออกมาจากปิรามิด ทุกคนก็ขาสั่น แล้วก็เริ่มมีอาการกล้ามเนื้อขาไม่เป็นใจกันอย่างถ้วนหน้า (แอบคิดว่า นี่ขนาดฉันฟิตร่างกายมาเป็นเดือน ยังออกอาการตั้งแต่วันแรกเชียวหรือนี่ แล้วอีก 8 วันที่เหลือจะทำยังไง)

ออกจากปิรามิดแดง เราไปต่อกันที่ Step Pyramid ที่ Saqqara เสียค่าเข้าชมกันคนละ 25 L.E. มีค่ารถที่พาเราเข้าไปชมด้วยโดยเราต้องออกค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้กับรถคุณอาเหม็ด จำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่ 20 L.E. มั้ง เราเดินเข้าไปดู museum ของท่านอิมมูโฮเทปก่อน ด้วยความที่ข้างในติดแอร์ อากาศเย็น เลยอยู่กันนานเป็นชั่วโมง ลืมนัดเวลากับอาเหม็ดด้วย จนเขาต้องเดินเข้ามาตาม เพราะต้องไปต่อกันที่ step pyramid อีกโดยขับรถวนขึ้นไป ซึ่งที่นี่เขาให้เวลาพวกเราแค่ครึ่งชั่วโมงเอง รู้งี้ใช้เวลาที่พิพิทธภัณฑ์แค่ครึ่งชั่วโมงแล้วมาต่อที่นี่หนึ่งชั่วโมงก็ดีหรอก ใครจะไปรู้ล่ะ

สรุปว่าพวกเราก็รีบๆเดิน สำรวจที่ทางซึ่งมีบริเวณกว้างพอสมควร เพราะมีหลุมศพและมีห้องเล็ก ๆที่มีรูปสลักเรื่องราวทั้งหลายด้วย ซึ่งห้องพวกนี้ จะมีคนแถวนั้นเดินมาถามแล้วจะพาเราไปดู ถ้าไปดูแล้วเขาเริ่มอธิบายเมื่อไหร่ แปลว่ารายการเก็บเงินกำลังเริ่มขึ้นแล้ว แค่ครึ่งวันแรกในอียิปต์ พวกเราก็เริ่มรู้แล้วว่าเขาจะมาไม้ไหนกัน

แล้วก็กลับไปที่รถ ขับต่อไปที่กีซ่า แต่ระหว่างนั้นพวกเราหิวข้าว บอกตาคนขับ เขาก็พาเราไปที่ร้านอาหารหรู มีดนตรี มีการทำขนมปังให้ดู พอนั่งโต๊ะ ถามราคา พวกเราก็ลุก ก็ตกหัวละ 40 L.E. ราคานี้รับไม่ไหวค่ะ เขาดูจะหัวเสียหน่อยๆนะ เราเลยบอกว่าขอแบบถูกๆราคาไม่เกินคนละ 10 L.E. เพราะพวกเราไม่มีเงิน แต่เราว่าดูเขาไม่ค่อยเชื่อ เหมือนกับมาถึงที่นี่แล้ว ยังไงก็ต้องจ่ายได้ไม่ว่าราคาไหน ประมาณนั้นมั้ง ก็แล้วแต่จะคิด



ไม่ได้กิน แค่ถ่ายรูปคนทำขนมปังมาก็ยังดี

เขาพาพวกเราแวะกินอาหารท้องถิ่น หญิงกลางบอกว่าอยากกินคูชารีย์ เป็นมักกะโรนีผสมแป้งเส้นๆ คล้ายเส้นหมี่ ผสมข้าวและถั่วเขียว โรยหน้าด้วยซ๊อสมะเขือเทศและหอมเจียว ไม่มีใครกินหมดยกเว้นหญิงเล็ก เก่งจริงๆนะนี่เพื่อนเรา ราคาอาหารมื้อนั้นรวมแล้ว 20 L.E.

กินเสร็จแล้วก็ไปต่อกันที่กีซ่า เขาพาพวกเราไปที่ด้านหลัง มีบ้านคน ดูยังไงก็ไม่เห็นจะเป็นกีซ่า แต่เป็นบ้านในเมืองมากกว่า ตาเจ้าของบ้านบอกว่าได้รับอนุญาตจากรัฐบาลให้จัดหาอูฐและม้าพานักท่องเที่ยวไปจุดนั้น จุดนี้ รวมไปทั่วทั้งหมดในเวลาเกือบ 3 ชั่วโมง เขาคิดเรา 200 L.E. ถ้าไปดูแค่ปิรามิดกับสฟิงค์ แต่ไม่เดินวนรอบก็จะคิด 150 L.E. แพงโหด เราพูดภาษาไทยกันว่าไอ้คนขับรถกับไอ้เจ้าของอูฐต้องมี something wrong กันแน่ๆ เทียบจากราคาใน webblog ที่พวกเราดูกันมาก็แค่ 80 L.E. เราต่อเขาแต่เขาให้ 120 L.E. โวยวายว่าค่าธรรมเนียมอะไรขึ้นราคาทุกอย่าง สุดท้ายพวกเราได้ในราคา 120 L.E. ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในการขี่อูฐคนละตัวไป-กลับ

มีเด็กจูงอูฐ 1 คนและมีเด็กวัยรุ่นขี่ม้ากำกับไปด้วยอีก 1 คน อูฐ 4 ตัวเดินตามกันไปติดๆ เพราะมีเชือกคล้องระหว่างตัว พอเดินไปได้สักระยะหนึ่งก็จะเป็นประตูเข้า เด็กคุยอะไรกับตำรวจไม่รู้ เข้าใจว่าคงพูดถึงค่าผ่านทางหรือมาจากเจ้าของอูฐเจ้าไหน อะไรประมาณนั้น เดินผ่านประตูทางเข้าไปได้ไม่ถึง 20 เมตรก็มีคนเปิดน้ำอัดลมมายื่นให้ พวกเราก็ยื่นมือรับด้วยความขอบคุณ เข้าใจว่ามาพร้อมแพคเกจการขี่อูฐ แล้วคนที่ยื่นขวดน้ำอัดลมนั่นก็เอาผ้าโพกหัว (คาฟรา) มาคล้องหัวพวกเราให้ หลังจากนั้น เราก็ได้ยินเด็กจูงอูฐโต้เถียงอะไรกับชายคนนั้น เถียงกันเสียงดังชั่วขณะหนึ่ง เขาก็บอกว่าขอค่าน้ำกับค่าผ้าโพกหัว เจ็บใจชะมัด เสียดายที่ไม่มีเศษแบ๊งค์ แบ๊งค์เล็กสุดที่มีตอนนั้นคือแบ๊งค์ยี่สิบ ซึ่งเราคิดว่าถ้ามี 10 L.E. ก็คงให้เขาแค่นั้น เหตุการณ์นี้ยิ่งทำให้พวกเราระวังกันสุดๆ และไม่เคยรับของฟรีจากใคร จะว่ามองโลกในแง่ร้ายไปเลยก็ว่าได้

ขี่อูฐจนน้ำตาไหล ก็ลมทะเลทรายมันพัดเอาทรายเข้าตาด้วยนี่ แว่นกันแดดแต่ไม่ใช่แว่นกันฝุ่นทรายสักหน่อย นึกถึงว่าถ้าเอาที่หยอดตามาด้วยก็ดี นึกแบบนั้นไปอีกหลายวันเพราะเรามีปัญหากับเรื่องแสบตาตอนบ่ายทุกที คล้ายว่าฝุ่นต่างๆมันเข้าตาและทำให้แสบตา ซึ่งถ้ามีน้ำล้างตา (แบบน้ำหยอดตา) พกไปด้วยก็จะดีมากๆ



เราขี่เจ้าตัวนี้ล่ะ พยศนิดๆพอให้หวาดผวาว่าจะตกลงมาได้บ่อยๆ

ตอนขี่อูฐกันมุ่งตรงไปยังปิรามิดกีซ่า บางทีก็มีลมทะเลทรายมาเป็นระยะ นอกจากเข้าตาแล้ว หากเปิดปาก ทรายเม็ดละเอียดก็จะเข้าไปในปากด้วย เราขี่อูฐกันไปไกลพอสมควรถึงจะเป็นปิรามิดทั้ง 3 ซึ่งได้แก่ คูฟู คาฟา เมนคาเร เดินอ้อมไปดูด้านหน้าเพื่อดูหน้าสฟิงค์ก่อนขี่อูฐกลับ ก่อนที่จะผ่านประตูคุณตำรวจที่เดิม เด็กขี่ม้าก็สั่งให้อูฐหยุดเดินแล้วขอทิปจากพวกเรา เราให้ไป 20 L.E. เขาบอกไม่พอ เขาให้แบ๊งค์ 20 L.E. นั้นกับเด็กจูงอูฐ ส่วนตัวเขาขอเพิ่มอีก เราบอกว่าเราให้แค่นั้น เพราะตอนที่ผ่านประตู พวกเราก็เสียค่าโง่ตรงนั้นไปแล้ว เขายึกยักอยู่พักหนึ่ง เราเลยบอกว่า พาไปที่ที่เราจอดรถแล้วค่อยให้ ยังดีที่เขาไม่จับพวกเราหมกอยู่ตรงนั้น พวกเราไม่รู้เลยว่ามันอันตราย แค่ไหน อย่างไร ไม่เห็นมีอะไรจะรับประกันเราได้ จริงๆนะ

พอเอาอูฐไปเก็บที่บ้านเจ้าของ คนขับรถแท๊กซี่ของพวกเราหายไปไหนก็ไม่รู้ เฮ้อ...อับจนหนทาง ถ้าถูกทิ้ง คงต้องเดินออกไปไกลเพื่อหารถกลับโรงแรม แล้วถ้าคนพวกนี้เขาไว้ใจไม่ได้ล่ะ ตอนนั้น สี่สาวก็นั่งกันไม่เป็นสุขนักหรอก เขาเชื้อเชิญให้ไปเข้าห้องน้ำ พวกเรายังไม่เข้าเลย โชคดีที่หญิงใหญ่เตรียมกระดาษเช็ดก้นเด็ก ไป เลยอาศัยผ้านั้นเช็ดหน้าเช็ดดตัวกัน
รอสักพัก คนขับรถก็มา เขาถามว่าเรา happy มั้ย พวกเราบอกว่าไม่ เขาเลยถามต่อว่าเพราะอะไร เราบอกว่าเราถูกหลอกตรงประตูทางผ่านเข้าไป และยังมีเรื่องทิปอีกซึ่งเราคิดว่าทุกอย่างรวมอยู่ทั้งหมดแล้ว เอาเถอะ สุดท้ายก็ได้กลับโรงแรมสักที 6 โมงเย็นแล้วตอนนั้น

อาเหม็ดพาพวกเราไปที่ Papyrus Museum เพื่อดูการทำกระดาษปาปิรุส ของที่นั่นราคาแพงจังแต่เชื่อถือได้ว่าเป็นของจริง สีสันสวยงามเชียว กระดาษขนาดกว้างประมาณ 1 ฟุตติดราคาไว้ที่ 150 L.E. แต่พวกเราได้ลดครึ่งราคา ไม่รู้เป็นราคาบอกผ่านแต่แรกไว้หรือเปล่า เราซื้อเพราะมีคนฝากซื้อ ส่วนที่จะซื้อให้ตัวเองคงไม่เอา ไม่ชอบสะสมและไม่ชอบตกแต่งบ้านอยู่แล้ว

ช่วง 6 โมงจะมีเสียงสวดละหมาดดังตามที่ต่างๆ เขาเปิดใส่เครื่องกระจายเสียงด้วยล่ะ เลยได้ยินดังไปทั่ว กว่าจะถึงโรงแรมก็ประมาณ 1 ทุ่ม ไม่มีการคิดราคาเพิ่มแต่อย่างใด เราทิปคนขับไป 40 L.E.

พวกเราเอากระเป๋าที่ฝากไว้มารื้อเสื้อผ้าแล้วก็อาบน้ำ เสร็จแล้วก็เดินออกไปซื้อของกินสำหรับมื้อเย็นเพื่อไปกินที่สถานีรถไฟ (ราคา fastfood เช่น Mc Combo ตกประมาณ 18-19 L.E. แพงกว่าเมืองไทยหน่อยหนึ่งมั้ง) หอบข้าวของทั้งหมดออกจากโรงแรมแล้วเดินเข้าสถานีรถไฟใต้ดินเพื่อไปยัง Mubarak Station คนละ 0.50 L.E. (ทำไมขามาเสีย 1 L.E. ก็ไม่รู้เหมือนกัน) ออกจากสถานี Mubarak ก็เป็นสถานีรถไฟ Ramses เดิมเราวางแผนว่าจะไป 2nd class ซึ่งเป็นรอบ 9.00 pm แต่พอได้ตั๋ว 1st class ดันเป็นรอบ 10.00 pm คงจะเป็นรถไฟคนละขบวนกัน ไปนั่งรอที่ชานชาลาที่ 8 นั่งหลับๆตื่นๆ รอจนประมาณ 9.45 pm ก็ได้ขึ้น เจ้าหน้าที่รถไฟมาช่วยดูตั๋ว ดูที่นั่งและจัดแจงให้ว่าใครได้นั่งที่ไหน ก่อนหลับ เราบ่นกับหญิงเล็กว่า คุณป้าผิวดำคนหนึ่งที่นั่งด้านหน้าเสียงดังจัง ฉันจะต้องอยู่กับเสียงนี้ไปทั้งคืนมั้ยนี่ แอร์เย็นจนต้องงัดเสื้อแขนยาว ปลอกแขนกันแดด ผ้าคลุมไหล่มาห่อหุ้มตัว ความเหนื่อยและเพลียจากการเดินทางทำให้พวกเราสี่สาวหลับไปอย่างง่ายดาย

แต่มันไม่ได้มีอะไรง่ายซะทีเดียวนักหรอก พวกเราถูกกลุ่มคนอเมริกันปลุกตอนประมาณตี 2 โวยวายว่าเราไปแย่งที่นั่งเขา หญิงเล็กพยายามอธิบายว่าเราขอโทษ แต่เจ้าหน้าที่รถไฟเขาจัดการให้ ยายพวกนั้นไม่ฟัง ดึงตั๋วพวกเราไปดูแล้วไล่เราและข้าวของเราไปที่อื่นซะ แล้วก็คุยกันเสียงดังเชียว สามหญิงไปนั่งข้างหน้าส่วนเรากระเด็นไปข้างหลัง ข้างหน้าอยู่ใกล้ประตู หน้ารำคาญที่คนเปิดปิดประตูเพื่อออกไปเข้าห้องน้ำและยังใกล้กับคุณป้าเสียงดังช่างพูดนั่นด้วย หญิงเล็กบอกว่านอนไม่ค่อยหลับเพราะเสียงคุณป้านั่นล่ะ ส่วนเรามีปัญหาตรงกลิ่นบุหรี่ แม้เขาจะห้ามสูบบุหรี่ในรถไฟที่ติดแอร์ เข้าใจว่าผู้โดยสารข้างหลังที่เป็นผู้ชายออกไปสูบบุหรี่แล้วติดเอาควันเข้ามา ทั้งตอนที่เปิดปิดประตูและตัวเขาเอง กลิ่นบุหรี่จึงอบอวลจนเราหายใจแทบไม่ออก เอาผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่นั่นล่ะมาอุดจมูกซะจะได้หายใจคล่องขึ้น




 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 9 พฤษภาคม 2551 0:27:31 น.
Counter : 873 Pageviews.  

อียิปต์ วันแรก / 1

Fri 11 Apr 08

ถึงสนามบินไคโร เรารีบพุ่งตรงไปเข้าห้องน้ำหลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ห้องน้ำหญิงมีอยู่แค่ 2 ห้องและหนึ่งในนั้น มีแมลงสาบตัวโตไต่อยู่บนที่นั่งโถชักโครก พร้อมกับกระดาษชำระที่ยังไม่ได้ถูกชำระ หญิงเล็กมาจัดการปัดเจ้าแมลงสาบออกไปพร้อมดึงปุ่มเพื่อชะล้างส่วนที่คนอื่นทิ้งไว้ ลองนึกภาพแล้วจะดีใจที่สนามบินสุวรรณภูมิของเราดีกว่าหลายเท่านัก

พอจัดการเรื่องห้องน้ำห้องท่าเสร็จ หญิงกลางกับหญิงเล็กไปหาบู๊ทอัตราแลกเปลี่ยน มีอยู่ที่เดียวตรงหน้าสายพานกระเป๋านั่นล่ะ พวกเราแลกเงินดอลล่าห์เป็นเงินปอนด์อียิปต์ คนละประมาณ 500 เหรียญสหรัฐ แลกได้ในอัตรา 1 USD = 5.43 L.E. (เทียบกลับไปเป็นเงินบาท ณ 1 ดอลล่าห์ 31 บาทแล้วก็ตก 1 L.E = 5.7 บาท เวลาซื้ออะไรก็จะคูณหก)

เราได้กระเป๋าจากสายพานลำเลียงแล้วก็เดินออกจากสนามบิน อากาศกำลังเย็นสบาย สบายแบบว่าควรจะมีแจ๊คเก็ตอีกตัวน่ะเพราะถ้าเสื้อยืดตัวเดียวเห็นทีจะเย็นเกินไปหน่อย แล้วก็เคว้งๆ มีคนขับแท็กซี่เดินมาถามว่าจะไปไหน แต่เราบอกว่าเราจะไปรถเมล์กัน เดินถามทางไปเรื่อยๆ ออกไปทางซ้าย ผ่านที่จอดรถส่วนตัว จะเป็น Hall 1 ซึ่งเป็นป้ายรถเมล์ขนาดใหญ่ มีรถเมล์วิ่งมาจอดเป็นระยะต้องดูตัวเลขกันเองเพราะเขาไม่เขียนด้วยเลขอารบิคที่เราคุ้นเคย โชคดีที่เราพกโพยตัวเลขตั้งแต่ 1-10 ที่ได้มาจากคุณหนุ่มน้อยจาก Trekkingthai เลยรอดตัวไปได้

เรารอรถเมล์สาย 356 ประมาณ 10 นาทีรถก็มา ไม่มีใครขึ้นเลยยกเว้นพวกเรา 4 คน เสียค่ารถเมล์คนละ 2.50 L.E. แล้วบอกคนขับช่วยจอดที่สถานีรถไฟ Ramses ด้วย นั่งรถกินลมไปประมาณครึ่งชั่วโมง ดูบ้านเมืองในกรุงไคโรแล้วก็เห็นแต่สีน้ำตาลเพราะเขาไม่ทาสีกัน อิฐที่สร้างบ้านก็เห็นกันชัดๆ ไม่ต้องฉาบปูน หรือฉาบแล้วก็ไม่ต้องทาสี ส่วนการจราจรที่มีคนบอกว่ามันติดมากๆ คงเป็นเพราะตอนนั้นเพิ่ง 7 โมงเช้า รถเลยยังไม่ค่อยเยอะแต่คุณคนขับรถเมล์เธอขับตามใจฉันน่าดู ตอนแรกเราคิดว่าไม่เห็นมีไฟเขียวไฟแดง แต่ต่อให้คุณเธอเจอไฟแดงก็ยังขับฝ่าไฟแดงจนรถที่แล่นมาทางไฟเขียวต้องจอดหยุดให้ นี่มันอภิสิทธิ์ชนชัดๆ

แล้วก็ถึงสถานีรถไฟที่ว่า พวกเราเดินเข้าไปในสถานีแล้วถามทางตำรวจเพื่อไปที่ชานชาลาที่ 11 เพื่อจองตั๋วไป Aswan ในคืนนี้ (11 Apr) ห้องขายตั๋วมีอยู่ 2 ห้อง สำหรับ 1st class และ 2nd class เราเดินไปที่ 2nd class กันก่อน ถูกพวกคนที่มาซื้อตั๋วแซงคิวแล้วคิวเล่า จนต้องยืนปิดทางทั้งทางเข้าและทางออกกว่าจะได้มีโอกาสซื้อตั๋ว พอถึงคิว ปรากฎว่าตั๋วชั้น 2 เต็ม ชั้น 3 เขาไม่ให้คนต่างประเทศนั่งเสียด้วย เลยต้องกลับไปที่ห้องขายตั๋วชั้น 1 จากที่จะได้ราคาประมาณ 60 L.E. กลายเป็นได้ราคา 111 L.E. เขาไม่ให้ใช้ International Student Card ซื้อลดตั๋วโดยสารแล้วล่ะ เขาบอกว่าเพิ่งยกเลิกเมื่อปีนี้เอง ก็เลยต้องซื้อในราคาเต็ม

ซื้อตั๋วไปคืนนี้ไม่พอ ต้องซื้อตั๋วกลับจากเมือง Luxor กลับมา Cairo ในวันที่ 16 เมษา เพราะหากไม่ซื้อไว้ก่อน ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีตั๋วในวันนั้นหรือเปล่า ตั๋วเที่ยวนั้นราคา 48 L.E. เดินลอดอุโมงค์กลับมาทางเดิม แล้วถามทางตำรวจเพื่อไปซื้อตั๋วรถไฟไป Alexandria เราวางแผนกันไว้ว่าเมื่อนั่งรถไฟจากเมืองลักซอร์มาถึงไคโรเช้าวันที่ 17 เมษา เราก็จะนั่งรถไฟต่อไปที่เมืองอเล็กซานเดรีย เที่ยวที่เมืองอเล็กซานเดรียเต็มวันแล้วนั่งรถไฟกลับมาไคโรเช้าวันที่ 18 เมษา เลยจ่ายค่าตั๋วไป-กลับ อเล็กซานเดรียเที่ยวละ 30 L.E.

จบรายการซื้อตั๋วรถไฟตามที่วางแผนไว้ ก็ร่ำลาขอบคุณตำรวจที่อุตส่าห์พาเดินไปช่องขายตั๋วไปอเล็กซานเดรีย คุณตำรวจพูดว่า “บาชีค” เราก็งงว่ามันคืออะไร ไม่ได้ศึกษาศัพท์ท้องถิ่นเลยน่ะ มารู้ทีหลังว่าเขาขอทิป เอ๊ะ..นี่มันไม่ใช่หน้าที่ในการบริการประชาชนหรืออย่างไร

เราเดินออกไปขึ้นรถไฟใต้ดินที่มีป้าย Metro หน้าสถานีรถไฟ Ramses ไปที่สถานี Sadat โดยจ่ายค่ารถไฟคนละ 1 L.E. นั่งไป 3 สถานีก็ถึง เดินหาทางกันว่าจะออกไปทางไหนดี หญิงกลางบอกว่าเพื่อนของเธอเดินหลงแล้วออกไปผิดทาง ทำให้หาโรงแรม Ismalia House Hotel ไม่เจอ โชคดีที่พวกเราเดินออกไปทางป้าย American University แล้วตามด้วยถนน... ออกจาก Metro มาก็เจอร้านขายหนังสือพิมพ์ตามโพย เดินเข้าไปในตรอกหลังร้านก็พบทางขึ้นโรงแรมอยู่ 2 ทาง เป็นลิฟท์สมัยเก่า จะขึ้นฝั่งไหนก็ถึงโรงแรมเหมือนกัน ไปที่ชั้น 8

เจอ Reception ผู้ชายตัวโต เราขอดูห้องและถามราคาเพื่อที่จะจองห้องไว้ในวันที่ 17 ที่พวกเราเดินทางกลับมาจากเมืองอเล็กซานเดรีย ดูๆแล้วก็ตกลงจองห้องที่มี 4 เตียง ไม่มีห้องน้ำแต่แชร์ห้องน้ำร่วมกับคนอื่น ซึ่งห้องน้ำที่นี่สะอาด มีอยู่ 4 ห้อง ราคาที่พวกเราได้คือ 110 L.E. ต่อคืน จองแล้วก็จ่ายเงินตรงนั้นเลย

จากนั้นเราถามถึงแท็กซี่ที่จะพาพวกเราไปที่ปิรามิดต่างๆ เราจ่ายค่าเช่ารถผ่านทางโรงแรมโดยเขาคิดหัวละ 80 L.E. ไม่ได้คิดเหมาแฮะ ซึ่งถ้าพวกเราออกไปเรียกและต่อรองราคาเอง ก็น่าจะได้ราคาที่ดีกว่านี้ เพียงแต่เราไม่รู้ว่าจะเชื่อถือได้หรือเปล่า




 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 9 พฤษภาคม 2551 0:24:34 น.
Counter : 791 Pageviews.  

อียิปต์ วันเดินทาง

พอเมษา เราเอารถไปไว้ที่บ้านหญิงเล็ก ร่ำลาคุณแม่และคุณย่า ของหญิงเล็ก รดน้ำคุณย่าก่อนสงกรานต์แล้วให้คุณย่าเป่ากระหม่อมก่อนออกจากบ้าน ขึ้นรถแท็กซี่ปุ๊บ ริงโทนอิ่มอุ่นก็ดังขึ้น ประมาณว่าแม่เราก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกัน โทรมาอวยพรให้ลูกเดินทางปลอดภัย เราแวะรับหญิงใหญ่กลางทางแล้วไปสนามบินด้วยกัน

พวกเราออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ บินตรงไปที่ไคโร เที่ยวบิน MS 959 ออกจากที่นี่ประมาณเที่ยงคืน ถึงที่นั่นประมาณตี 5
แต่ละคนพกเสบียงไปพอสมควร แม้แต่หญิงเล็กที่กะไปเตรียมเอาข้างหน้า ยังคว้าคุ๊กกี้ในตู้เย็นจากที่บ้านไป 2 ห่อรวมทั้งซื้อขนมปังเพิ่มเติมจากที่สนามบินด้วย ร้านค้าที่สนามบินในส่วนด้านนอกขายในราคาเดียวกันกับร้าน minimart ดีจัง

ขึ้นเครื่องบินได้ไม่ถึงชั่วโมงก็งัวเงียขึ้นมากินข้าว กินเสร็จก็หลับต่อ สายการบินนี้เขามีของแจกให้ด้วย เป็นผ้าปิดตา (ดีมาก เอาไปใช้ตอนขึ้นรถไฟ) แปรงสีฟัน ถุงเท้าและหูฟัง ขาไปได้ 1 ชุด ขากลับอีก 1 ชุดค่ะ เวลาที่นั่นกับที่เมืองไทยต่างกัน 5 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นไปถึงที่นั่นตอนตี 5 เมืองไทยก็เป็น 10 โมงเช้าแล้ว แต่ก่อนที่เครื่องจะลงจอด ประมาณตี 3 กว่าก็ถูกปลุกให้มากินอาหารเช้า




 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2552 19:35:41 น.
Counter : 625 Pageviews.  

อียิปต์ ก่อนเดินทาง

ขอเกริ่นนิดหนึ่งว่าการเดินทาง 9 วันเต็มในอียิปต์ เดือนเมษาห้าหนึ่งนี้ ที่พวกเราวางแผนและจัดการเดินทางกันเอง พวกเราได้ข้อมูลจาก website หลายแหล่งมาก โดยเฉพาะจาก pantip และ Trekkingthai ทำให้เราคิดว่า บางที ข้อความบ่นของเราอาจจะมีประโยชน์กับผู้เดินทางคนต่อๆไปบ้างก็ได้

ก่อนเดินทาง พวกเราวางแผนกันตั้งแต่เดือนพฤศจิกา ห้าศูนย์เนื่องจากเกรงว่าตั๋วจะหมดเร็ว

สี่สาว... ขอตั้งนามสมมติแล้วกันนะ มีหญิงใหญ่ หญิงกลาง หญิงเล็กและตัวเรา

หญิงกลางเป็นคนเริ่ม อยู่ๆเธอก็บอกว่ามีรุ่นพี่คนหนึ่ง อายุ 40 ต้นๆเป็นมะเร็ง แล้วพี่ (ตัวเรา) ว่าเราจะมีอายุกันสักเท่าไหร่ แล้วระหว่างที่มีชีวิตอยู่ เราควรจะทำอะไรกันบ้าง คุยกันไปมา เธอก็บอกว่า หนูว่าเราไปเที่ยวไกลๆกันเถอะ ก่อนตาย ขอให้หนูได้เห็นโลกกว้างๆใบนี้ว่ามันมีอะไรอยู่บ้าง

หายไปหนึ่งวัน เธอกลับมาพร้อมข้อเสนอว่า เราไปอียิปต์กันมั้ยพี่ ไปกันเองนะ ซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วก็เดินตามทางที่มีคนนำไว้โดยอ่านจาก TrekkingThai.com บวกกับหาหนังสืออ่านกันเอง ไอ้เราก็นิ่งไปพักหนึ่ง ประทศนี้ไม่ได้อยู่ในความใฝ่ฝันว่าต้องไปเยือนสักนิดแต่ก็ไม่ได้ถึงกับเป็นประเทศ blacklist (ซึ่งคิดๆแล้วก็ยังไม่มีนะ) ใช้เวลาคิดอยู่ 1/2 วันก็ตอบตกลง จากนั้นก็หาสมาชิกเพิ่มเพราะคิดกันว่าสัก 4 คนน่าจะลงตัว ทั้งเรื่องที่พักและการเช่ารถไปตามที่ต่าง ๆ

เราได้หญิงเล็กมา ส่วนหญิงกลางได้หญิงใหญ่มาร่วมทริป ก็เป็นอันลงตัวเรื่องคน ส่วนตั๋วก็จองไว้ตั้งแต่เดือนพฤศจินั่นเลย ตั้งใจว่าจะไปกันวันศุกร์เย็นจะได้ไม่ต้องลางานแล้วมาลางานกันสัปดาห์ถัดไป แต่ตั๋วที่จะเดินทางวันศุกร์ดันเต็ม เลยต้องเลื่อนมาเป็นพฤหัสเย็นแทนแล้วกลับวันเสาร์ ซึ่งมาถึงกรุงเทพฯวันอาทิตย์ รวมแล้วก็เก้าวันเต็มในการอยู่ที่นั่น ค่าตั๋วเครื่องบินตกคนละ 27,405 บาท ไปกับ Egypt Air ส่วนค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวทั้งหมดไม่รวมค่าช้อบปิ้งตกคนละ 11,000 บาท

เรานัดเจอกันครบทีมเดือนกุมภาเพื่อวางแผนท่องเที่ยว หญิงกลางมีข้อมูลจาก website และจากหนังสือ 2 เล่มที่เธอซื้อมา Lonely Planet และหนังสือภาษาไทยอีกเล่ม ส่วนหญิงเล็กก็มีหนังสือท่องเที่ยวอียิปต์ฉบับภาษาอังกฤษเช่นกัน แผนการเดินทางแต่ละวันดูจะลงตัว ทำให้หญิงกลางไปจองโรงแรมที่นั่นผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้ โดยจะถูกหักค่าจองผ่านเครดิตการ์ดบางส่วน พอไปถึงที่นั่นก็จ่ายส่วนที่เหลือ

เดือนมีนาคม เราไปทำวีซ่ากัน ตึกที่ไปนั่นอยู่ใกล้อโศก ไปทำช่วงเช้าแล้วรอรับอีก 3 วันถัดไป ต้องเอารูปถ่าย เอาโปรแกรมการท่องเที่ยวพร้อมกับเอกสารในการจองโรงแรมไปให้เขาดูด้วย ค่าทำวีซ่าคนละ 1,500 บาท วีซ่าเขากำหนดเวลาให้ตามที่เรากรอกเอกสารเลย คือ 9 วันเป๊ะ พวกเรายังสงสัยกันว่า หากมีเหตุอะไรที่ทำให้ต้องอยู่ต่ออีกวัน จะทำยังไงดีล่ะนี่

ส่วนตัวของเรา เราตื่นมาออกกำลังกายทุกวัน ขี่จักรยาน 15 นาทีตามด้วยวิ่งสลับเดินอีก 30 นาที เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการเดินทางไกล เว่อร์ไปหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ รู้แต่ว่าสาวออฟฟิศอย่างเรา อยู่ๆให้ไปเดินท่องๆเป็น backpacker น่ะ เห็นทีจะพับเอาง่ายๆ ไม่รู้ว่าแข็งแรงขึ้นหรือเปล่าแต่ที่เห็นได้ชัดคือพุงยุบไปเลย




 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2552 19:34:42 น.
Counter : 708 Pageviews.  

1  2  3  4  

saifan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add saifan's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.