Once upon a time ...
Group Blog
 
All blogs
 

ปล่อย




มีภาพของอึ่งอ่างตัวนั้นวนเวียนเข้ามาในใจเป็นครั้งคราว

เกิดจากเช้าวันหนึ่ง ตอนเดินเข้าห้องน้ำสาธารณะ เหลือบเห็นอึ่งอ่างตัวนั้น นอนนิ่งหน้าประตูห้องน้ำ เราเข้าไปฝั่งตรงข้าม ตอนเดินออกมา มันก็ยังนิ่งอยู่ที่เดิม แล้วยังไงนะ มันรู้สึกแปลกๆในใจ จะเดินออกไปแล้ว  แต่มองเข้าไปข้างใน มันนิ่งอยู่อย่างนั้น 


เดินกลับไปหามัน มอง แล้วก็หันไปหยิบไม้ถูพื้นมาเขี่ยตัวมันออกไป นึกแค่ว่า คนอื่นมาเข้าห้องน้ำจะได้ไม่เหยียบมันจนลื่นล้ม แต่เขี่ยแล้วมันก็ดิ้นๆอยู่ที่เดิม เลย..เอ๊ะ ทำไมไม่กระโดดหนีไป ขาอีกข้างของมันทำไมไม่เคลื่อนไหว ลองเปิดประตูห้องน้ำให้กว้างขึ้น ขามันถูกประตูหนีบ เอาไม้ช่วยเขี่ยขามันออกมา พอหลุดได้ก็กระโดดได้ ต้อนมันลงไปที่อื่น

เหมือนได้ปลดปล่อยมัน ไม่รู้ว่ามันติดอยู่มานานแค่ไหน อาจจะทั้งคืน 
ไม่รู้ว่าทำไมการหันไปมองมันแล้วทำให้เดินกลับไปหา แทนที่จะเดินออกไป ...

ความรู้สึกในใจเรายามที่มีภาพมันขึ้นมา คือ อึดอัดแล้วก็ โล่ง 
ปล่อย แล้วก็โล่ง... นะ 




 

Create Date : 13 มีนาคม 2560    
Last Update : 16 มีนาคม 2560 20:46:48 น.
Counter : 652 Pageviews.  

บ้านนอก


เป็นบ้านนอกเข้ากรุงมาครบปี สุดท้าย คนเราปรับตัวได้ทั้งนั้นล่ะ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน สภาพไหน

นึกถึงสัปดาห์แรกที่ย้ายมานอนในเมือง นอนไม่หลับ เสียงรถและความวุ่นวาย นานๆทีมีเสียงไซเรนจากมุมโน้น มุมนี้ของตัวเมืองให้ตกใจบ้าง

คนบ้านนอกจะซื่อๆ คนในเมืองดู...แปลก ไม่เป็นมิตร นี่เป็นสัปดาห์แรกของการทำงาน ความรู้สึกที่มีต่อเพื่อนที่ทำงานใหม่หลายคนเป็นอย่างนั้น แต่ผู้บริหารระดับสูงที่เป็นผู้บังคับบัญชาให้ความเป็นกันเองมากๆๆ ก็เลยพอชดเชยกันได้

ผู้คนที่ต้องเจอกันทุกวันคือคนที่โดยสารรถไฟฟ้า จำได้แม่นในสัปดาห์แรกว่าเจอผู้หญิงสวยจัดสองนาง ขึ้นมาในช่วงที่คนแน่นๆ แล้วก็ผลัดกันพูดลอยๆ กระทบใครไม่รู้ว่าสงสัยเกิดมาไม่เคยขึ้นรถไฟฟ้า ไม่รู้จักเดินเข้าด้านใน..และอีกสารพัด หน้าตากับคำพูดที่ออกมา สำหรับเรา มันขัดกันอย่างแรง แล้วก็งง พวกเธอว่าใคร รถมันแน่นปานนั้น ว่ากระทบใครไม่รู้แต่เธอ 2 คนก็ยืนอออยู่ตรงประตู แล้วทำไมต้องกระทบ ทำไมไม่บอกกันดีดีล่ะ

หลังจากใช้บริการรถไฟฟ้ามาร่วมปี ก็ได้แต่ทำความเข้าใจว่า น้อยคนที่จะพูดกันตรงๆ เจอผู้หญิงคนหนึ่งที่เบียดตัวเข้ามา พร้อมกับส่งเสียงว่า รอมาหลายขบวนแล้ว เดินชิดในกันหน่อยค่ะ ขอกลับบ้านด้วยคน ยังจำได้อยู่เลย เราชอบแบบนั้นอ่ะ

รถไฟฟ้าเป็นพาหนะที่สะดวกมากสำหรับเรา แต่ก็..ทำความขัดเคืองใจให้บ่อยเหมือนกัน พวกแย่งคิวที่ต่อแถว นี่ทำความขุ่นใจได้ทุกครั้ง ยังมีคนที่ใส่หูฟังเพลงแต่เพลงในหูฟังตัวเองส่งเสียงดังมากๆ ทั้งการไอจามที่ไม่มีมาสก์หรือไม่มีผ้าปิดปาก แถมมีเสียงน้ำมูกประกอบ มีการป้ายมือไปกับเสาหรือผนังรถ นี่น่ากลัวมากๆ เราได้แต่พกแอลกอฮอร์เจลกับมาสก์ (กันไม่ได้เท่าไหร่แต่ก็ขอนิดเถอะ) และพกความรู้สึกของการทำใจ รับสภาพ 

ในเมืองมีของกินเยอะมากแต่ก็แพงอยู่ สัปดาห์แรกซื้อข้าวกิน ข้าวไรซ์ที่ชอบกิน ถุงนิดเดียว 20 บาท กินได้แค่มื้อเดียว นี่ยังไม่รวมกับข้าว ราคาอย่างละ 40-50 บาท ค่าครองชีพในเมืองนี่สูงจริงๆ จ่ายราคานี้ได้ไม่กี่วันก็หุงข้าวเอง และทำกับข้าวเองบ้าง เพราะนอกจากราคาแล้ว ส่วนประกอบทั้งหลายที่เขาทำมาก็ไม่รู้ไว้ใจ ได้แค่ไหน กินฝีมือจืดๆของตัวเองด้วยความสบายใจดีกว่า ที่ทำงานน่ารักมากที่จัดห้องแอร์ให้พนักงานกินข้าว คนที่ห่อข้าวมาก็เลยสะดวก หรือคนที่ไม่อยากไปทนร้อนข้างล่างก็จะซื้อมากินข้างบนแทน

แต่ขนมนมเนยก็มากมาย ชวนให้น้ำหนักขึ้นดีเหลือเกิน ยังไงก็ตาม ผ่านไปหนึ่งขวบปี น้ำหนักที่เคยลดไปก็กลับมายืนที่เดิมแล้วเพราะหลงไปกับขนมหลากหลายแถวนั้น


พ่อค้าแม่ค้าในเมืองบางคน พูดจาหวานมาก มารยาทดีงามสุดๆ จะมาจากใจรึเปล่าไม่รู้ล่ะแต่ไม่เคยเห็นแบบนี้ที่บ้านนอก พ่อค้าบางคนหน้าตาโหด ขัดกับเสียงนุ่มๆ อย่างแรง เขาค่อยๆบรรจงวางของใส่ถุง แม้จะรับเงินทอนเงินก็ยังนอบน้อมปานนั้น บางคนเรียกเราว่าคุณหนู บางคนส่งมอบอาหารเสร็จ นอกจากขอบคุณแล้วยังอวยพรให้มีสุขภาพแข็งแรง  CS น่ะ มีได้กับทุก product และไม่เลือกสถานที่ด้วย Smiley การเดินซื้อของกินทุกเช้าจึงเป็นความรื่นรมย์อยู่ไม่น้อย รวมถึงการได้สังเกตว่าคนแจกหนังสือพิมพ์บางคนมีกลยุทธยังไงที่จะแจกให้หมดไวๆ

คนในเมืองเขาช่างแต่งเนื้อแต่งตัวพร้อมกับกลิ่นกายที่หลากหลาย อยู่ไปหลายเดือนจึงจะพบว่าผู้หญิงสมัยนี้เขาไม่ใส่กระโปรงสั้นคลุมหัวเข่ากันแล้ว บ้านนอกอย่างเรานี่เชยมากๆๆ แต่ผู้หญิงหัวเข่าด้านอย่างเรา แถมไม่ทาครีมบำรุงเป็นประจำอีก ไม่ได้เดือดร้อนกับความเชยที่ว่านักหรอก

เรื่องดีดีของการมาอยู่ในเมืองคือ การเดิน การเดินทางแบบนี้ทำให้เราต้องเดิน เดินไปขึ้นรถไฟฟ้า เดินไปที่ไหนๆ (เมื่อก่อน ไปไหนก็ขับรถ ทำให้เดินน้อย) การได้เดินมากขึ้น การได้เคลื่อนไหวนี่เหมาะกับเรามากๆๆๆ Smiley

การเดิน ตั้งแต่เช้ามืด เดินไปทำงาน เดินเล่นหลังมื้อกลางวัน และเดินกลับบ้านตอนเย็น ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีของการได้มาอยู่เมือง มีความสุขกับการได้เดิน Smiley เรื่องดีระหว่างทางเดินอีกอย่างคือ ช่วงปลายปี อากาศชื้นๆ ระหว่างทางจะเจอหอยทากกับกิ้งกือบนทางเท้า มักจะหยิบมันไปไว้ข้างที่มีดิน จัดการไปหลายสิบตัวแล้ว

จะไม่ดีก็ตอนที่เดินข้ามถนน แล้วต้องระวังมอเตอร์ไซค์ที่มากันได้ทุกทิศทาง รวมทั้งมอเตอร์ไซค์บนทางเท้า หรือรถยนต์ที่เจอทางม้าลายแต่ไม่จอดให้ หรือรถที่ฝ่าไฟแดงที่มีให้เห็นเป็นประจำ นี่ก็ต้องระวังตัวอยู่ทุกวัน และบางครั้งสำลักควันรถ หายใจไม่ทัน อันนี้..แย่จัง

ก่อนครบรอบปี มีเรื่องดีจากการเดินไปทำงาน คือ คุณยายที่เตรียมข้าวปลาอาหารมานั่งรอใส่บาตรพระ เคยไปใส่ร่วมกับคุณยาย ผู้หญิงบ้านนอกอย่างเราจะชินกับการใส่บาตรพระที่มาเดินบิณฑบาตที่หน้าบ้านมากกว่าการเดินไปใส่บาตรพระที่ยืนประจำที่ และเมื่อสังเกตเห็นว่าคุณยายนั่งอยู่ที่นั่นประจำทุกวันในช่วงเวลาไหน สังเกตความสำรวมของพระแล้วมีศรัทธา ก็เลยได้ร่วมใส่บาตรกับคุณยายบ้างหรือส่วนใหญ่จะฝากของคุณยายใส่บาตรทุกวันไป นี่เป็นเรื่องดีดีที่เกิดขึ้นทุกเช้าระหว่างเรากับคุณยาย

เรื่องดีอีกเรื่องคือ เดินทางไปฟังธรรมสะดวกขึ้น หรือจะไปช่วยงานบุญที่เคยไปประจำก็ขับรถไปใกล้กว่าเดิม 

อ้อ.. ได้ออกกำลังกายด้วย อยู่บ้านนอกเล่นแบต อยู่ในเมืองเล่นปิงปอง แล้วก็ขี่จักรยานในร่ม เวทเทรนนิ่งบ้าง ที่ทำงานมีห้องยิม เป็นสวัสดิการที่ถูกใจจัง


ความรู้สึกกับคนรอบข้างดีขึ้นทุกวัน นายทำทานได้บ่อยๆ เกิดภัยพิบัติที่ไหนก็จะมีการบริจาค แล้วก็ทำอยู่เรื่อยๆ รวมถึงเทศกาลต่างๆ ทำโดยไม่ออกสื่อก็มี ทั้งนายและเพื่อนร่วมงานหลายคนเป็นแบบนี้ นี่ก็เป็นความชุ่มชื่นใจที่ได้อยู่ใกล้คนกลุ่มนี้

ถ้าจะเคยมองว่าเมืองเป็นความแห้งแล้ง เป็นกระแสของความอึดอัด ความแออัด ความร้อนรุ่ม การแก่งแย่ง ความเฉยเมย ตัวใครตัวมัน ...เมืองส่วนที่เราอยู่ก็ยังไม่แล้งเกินไปนัก มีความเย็นสายเล็กๆให้ได้สัมผัสเพื่อคลายร้อนลงไปบ้าง 


ผู้หญิงบ้านนอก ยังไม่ได้ถูกเมืองกลืนเธอไปหรอกนะ Smiley





 

Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2560    
Last Update : 6 มีนาคม 2560 20:21:23 น.
Counter : 406 Pageviews.  

Quote







Absolute power corrupts absolutely


By Lord Acton

เห็นประโยคนี้จากพื้นเฟสของนักการเมืองคนหนึ่ง เลยเอามาแปะ เป็นถ้อยคำที่วนเวียนอยู่ในใจมาเนิ่นนาน

วันก่อน เพื่อนคนหนึ่งติงมา เรื่องการหักค่าลดหย่อนช่วงสงกรานต์ว่ายังไม่ได้ประกาศในราชกิจจาเลย เราเลยบอกว่า กฎหมายมีผลย้อนหลัง

บอกด้วยความเชื่อมั่นในรัฐบาล น่าจะพูดคำไหนคำนั้น ส่วนจะเอาอะไรที่เป็นหลักเกณฑ์ คงไม่จำเป็นเร่งด่วนกระมัง Smiley

แต่ที่เคยคุ้น กม.ไม่มีผลย้อนหลัง .. เป็นอย่างนี้นี่นา

มีประโยคลาตินที่เคยท่องตอนเรียนว่า

 Nullum crimen sine lege
ไม่มีความผิด ถ้าไม่มีกม.กำหนด

  Nulla poena sine lege
ไม่มีโทษ ถ้าไม่มีกม.กำหนด

มีข้อยกเว้นในการใช้กฎหมาย ซึ่งลืมไปแล้ว และส่วนที่ลืมนี่ล่ะมั้งที่เขาเอามายกเว้นเพื่อให้เป็นความผิดหรือเป็นโทษ

อ.นิธิเพิ่งเกริ่นในบทความหนึ่งว่า ใครเป็นคนกำหนดข้อยกเว้นได้ คนนั้นมีอำนาจที่สุด


Justice delayed is justice denied
 ประโยคนี้ก็ชอบเหมือนกัน

แต่บางที่ ไม่ใช่ delay   แต่ deny ตั้งแต่แรกต่างหาก 
ถ้าขึ้นต้นว่า Justice denied แล้วจะต่อว่า ดี..อะไรดี  อดีตสาวโรงงานรู้จักศัพท์สวยไม่กี่คำ ดีเฟค? จะเข้ากันมั้ย

(แอบคิดถึง Lady Justice ...
วันนี้นั่งอ่านกระทู้เก่า ตุลาการในระบอบประชาธิปไตย ทำอย่างไรจึงจะยุติธรรม)

...จะลาตินหรือ อังกฤษ  ก็เป็นแค่คำสวยๆ เอาไว้ผ่านหูผ่านตาสักช่วงหนึ่ง แล้วก็ลืมๆมันไป


แต่คำบาลีบางคำที่ชอบ ไม่ควรลืม และต้องจำให้ติดใจ

อาตาปี สัมปชาโน สติมา

ยังกิญจิ สมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะ ธัมมันติ

Smiley






 

Create Date : 18 เมษายน 2559    
Last Update : 20 เมษายน 2559 22:00:08 น.
Counter : 554 Pageviews.  

ผู้หญิง พกถุง



เราเริ่มกลายเป็นผู้หญิงพกถุงอย่างจริงจัง ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว จริงๆ เมื่อก่อนนี้ก็พยายามจะใช้ตะกร้าบ้าง แต่ไม่จริงจัง ไม่สม่ำเสมอ ตอนนี้ทำได้มากกว่าเดิมเพราะพกถุงติดตัวแทบตลอด พับเป็นทบเล็กใส่ไว้ข้างกระเป๋าเป้บ้าง ไว้ที่ก้นย่ามบ้าง ยัดใส่ที่ท้ายรถบ้าง

ถ้าไปจ่ายตลาดที่บ้านเกิด บางทีหิ้วตะกร้าพร้อมพกถุงติดไปด้วย ของบางอย่างต้องมีถุงแยก แต่ถ้าไปที่อื่น ถุงพลาสติกที่พกไปมักจะได้ใช้เสมอ มีขนาดใหญ่พอที่จะใส่ของหลายชิ้นและเป็นถุงค่อนข้างเหนียวที่จะไม่ขาดง่ายถ้าเจอของหนักหรือมีมุมแหลมคม ก็ไม่ขาดง่าย มีถุงหลายใบ เอาไว้หิ้วสองข้าง ถ้าถุงผ้าใบเดียว เจอของหนักอาจต้องอุ้มเอา

วันนี้เจอลูกค้าร้านข้าวโพดต้ม เธอบอกว่าไม่เอาถุงเพราะมีหลายใบแล้ว ดีจังค่ะ 

แม่ก็ชอบเก็บถุงไว้ใช้ต่อเหมือนกัน รวมกับถุงที่พี่สาวได้มาจากการซื้อของเข้าบ้าน ถุงเหล่านี้เอามาเวียนใช้ได้อีกหลายปี แม่ซึ่งไม่ได้สนใจกับเรื่องสิ่งแวดล้อม ยังบอกเลยว่า ถุงพลาสติกมันช่างเยอะ จริงค่ะแม่ มันเยอะขึ้นทุกวันๆ

บางที พกถุงไปไม่พอกับของที่ซื้อ จะรู้สึกผิดนะ คล้ายมีภาระทางใจ และถ้าได้ใช้ถุงที่ตัวเองพกไป จะสบายใจมาก

พกถุง หรือ ไม่พกถุง ก็มีผลทางใจทั้งนั้นเลย Smiley

……

คุณตวงพร เอาสถิติการใช้น้ำมาให้ดู นึกถึงตอนน้ำท่วมเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เจ้าของหอใจดีต่อน้ำประปาที่บ้านมาให้ใช้ แต่เราต้องแบกแกลลอนน้ำขึ้นไปที่ชั้น 2 ก็เลยใช้น้ำในการแปรงฟัน ชำระล้างตัวเองด้วยปริมาณที่ไม่ถึง 12-15 ลิตรต่อครั้ง วันหนึ่งสองครั้ง รวมแล้วไม่เกิน 30 ลิตร ถ้ารวมกับการเข้าห้องน้ำ ล้างมือ ดื่มน้ำระหว่างวัน ก็อาจจะเพิ่มอีกสัก 10 ลิตร รวมแล้ว ตอนนั้น ใช้น้ำไม่เกิน 40 ลิตรต่อวัน อยู่ได้สบายๆ ถ้ายังคงความระมัดระวัง รวมกับการซักผ้าด้วย โดยเฉลี่ยก็ไม่น่าเกิน 70 ลิตรต่อวัน

พอกลับมาสู่สภาวะปกติ เราระมัดระวังกับการใช้น้ำน้อยลง เราฟุ่มเฟือยกับการใช้น้ำมากขึ้น ตั้งแต่แปรงฟันแล้วเปิดน้ำทิ้ง บางทีก็เป็น อาบน้ำฝักบัวอย่างต่อเนื่องนานเกินเหตุเพราะเพลิน ส่วนการเข้าห้องน้ำ ที่อื่นเราคุมไม่ได้ ที่บ้านใช้การราดน้ำแทนการกดชักโครก นี่เป็นการใช้น้ำที่ดีมากเลย ถ้าอยู่บ้าน น้ำซักผ้าของเราจะไปลงที่ต้นไม้

[เดือนที่ผ่านมา (เม.ย. 59) ซักผ้าแทบทุกวันเพราะออกกำลังกายและเหงื่อออกมากจนต้องซักชุดกีฬาค่ำวันนั้น พยายามใช้ให้พอดี ซักผ้าทีละตัว น้ำก่อนสุดท้ายเอาไว้ขัดพื้นระเบียง น้ำสุดท้ายของการซักผ้าเอามาถูห้อง ต่อด้วยรดน้ำต้นไม้ และเหลือนิดหน่อยให้นกมากิน หลังจากย้ายมาที่ใหม่ได้สักเดือน ก็เห็นนกหลากหลายพันธุ์แวะมาที่ระเบียง วางข้าวสารให้ก็กิน เดาว่ากินแล้วอาจจะติดคอคงกินน้ำด้วย ดีที่มีน้ำติดถังให้ Smiley ดีใจที่หมุนน้ำไปใช้ได้หลายทาง]

ถ้าวัดจากการจ่ายค่าน้ำ จากหอพักที่เคยอยู่ ใช้น้ำไม่เคยเกิน 3 ลบ.เมตรต่อเดือน (3,000 ลิตร ตกวันละ 100 ลิตร) ก็ถือว่าฟุ่มเฟือยแล้วนะ เมื่อเห็นความเดือดร้อนของหลายๆที่ ควรจะต้องใส่ใจกับการใช้น้ำให้มากขึ้น

เราเยอะไปรึเปล่ากับเรื่องพวกนี้ ไม่รู้สิ.. อาจจะเพราะมีคำบางคำที่เคยติดใจ พี่ที่ทำงานที่แรกคนหนึ่ง เขาเคยเขียนไว้ว่า ทรัพยากรมีจำกัด แต่ความต้องการของคนมีไม่จำกัด ยังเป็นข้อความที่นึกถึงได้เสมอ

เพราะเรายังต้องส่งผ่านทรัพยากรที่มีจำกัดไปให้คนรุ่นต่อๆไป อย่างนั้นกระมัง Smiley


ข้อมูลการประปา : การใช้น้ำภาคครัวเรือน 
แปรงฟันแบบปล่อยน้ำ 27 ลิตร
ล้างหน้า 18 ลิตร
อาบน้ำ 90 ลิตร
ล้างจาน 90 ลิตร 
ซักผ้า 180 ลิตร
นี่ยังไม่นับการไปใช้น้ำนอกบ้าน ทั้งที่ทำงานและตามห้างสรรพสินค้า





 

Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2559    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2559 19:34:46 น.
Counter : 569 Pageviews.  

สุขภาพดี ตามวิถีแห่งดาว

  ตามอ่านมาจาก FB ของคุณดังตฤณ แล้วก็อยากเก็บไว้เพราะมีหลายตอน


.................

เภสัชศาสตร์ ธาตุกสิณ (1)
ข้อพิจารณาของ ฟอสฟอรัส
====================

นอกจากจะศึกษาความเป็นไปของมหาภูตรูป 4 ที่ปรากฏในกายเนื้อของผู้ป่วยแล้ว ผู้จะเป็นแพทย์ผู้รักษาคนป่วยตามแนวทางการแพทย์แผนไทยยังต้องฝึกเพ่งพิศพิจารณาดูว่าในเครื่องยาต่างๆ ที่จะนำมาประกอบขึ้นเป็นตำรับยาสำหรับรักษาผู้ป่วยนั้นมีคุณสมบัติของธาตุอะไรบ้าง...

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ประสบการณ์ของเรายังอ่อนหัดอยู่นั้น เรามักจะมองคุณสมบัติของเครื่องยาว่ามีธาตุอะไรอย่างที่ได้ยินได้ฟังมาจากตำรา ซึ่งเป็น Information แบบ สุตมยปัญญา หรือ จินตามยปัญญา เท่านั้น ซึ่งความรู้เหล่านั้นก็เพียงพอต่อการนำไปรักษาคนป่วยได้มากในระดับที่จำกัด ถ้าเป็นการดูก็เสมือนดูภาพถ่ายที่เป็นภาพนิ่งๆ

แต่สำหรับอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้ว การพิจารณาธาตุของสมุนไพร ไม่ว่าจะทำมาจากแร่ธาตุ (ธาตุวัตถุ), ส่วนของพืช (พืชวัตถุ), ชิ้นส่วนอวัยวะของสัตว์ (สัตว์วัตถุ) จะเป็นการพิจารณาถึง “สภาวะ” ที่ดำเนินไป หรือแนวโน้มที่เครื่องยานั้นจะเคลื่อนไปสู่สภาพสุดท้ายอีกชั้นหนึ่ง ถ้าเป็นการดูก็จะต้องเกิดภาพในจินตนาการเหมือนภาพฉายวีดิโอที่เป็นภาพเคลื่อนไหวของ อุปนิสัยของพืช หรือสัตว์นั้นๆ ซึ่งบุคคลหนึ่งที่น่าจะทำเช่นนั้นได้ก็เห็นจะได้แก่ อ. หมอชีวกโกมารภัจจ์ เพราะมีประวัติบันทึกเอาไว้ว่า เมื่อท่านขึ้นเขาเพื่อจะไปหาเครื่องยาท่านจะมีประสบการณ์เสมือนว่าพืชและต้นไม้ทุกต้นกำลังพูดบอกให้ท่านทราบได้ว่าตนมีสรรพคุณเยี่ยงไร

จากบันทึกประวัติสั้นๆ ท่อนนี้ ทำให้เราเชื่อว่าองค์ความรู้ด้านเภสัชศาสตร์ของพ่อปู่ฤาษีของเรานั้นจะต้องได้มาจากปัญญาในระดับ “ภาวนามยปัญญา” เลยทีเดียว และบูรพาจารย์แพทย์ที่เก่งๆ ในสมัยก่อนก็มักจะผ่านการบวชเรียนมาก่อน ยิ่งถ้าหากท่านใดได้ฝึกการเพ่งวัตถุ เอาวัตถุมาเป็นอารมณ์ในการฝึกสมาธิ ก็จะเชื่อมโยงได้ว่า ธาตุดิน, ธาตุน้ำ, ธาตุลม และธาตุไฟ ที่เห็นจากวัตถุภายนอกนั้น ก็มีส่วนหนึ่งที่มาดำเนินการในกายของตนเช่นกัน การเข้าใจสรรพคุณของสมุนไพรก็จะเฉียบคมมากยิ่งขึ้นไปอีก เราเรียกว่าการฝึก “ภูตกศิน”

ตัวอย่างธาตุวัตถุที่เราจะลองนำมาพิจารณากันในวันนี้ได้แก่ แร่ธาตุที่ชื่อว่า ฟอสฟอรัส (Phosphorus) ซึ่งเป็นหนึ่งในธาตุที่อยู่ใน Valency ที่ 5 ในตารางเคมี Periodic

ลักษณะสำคัญที่เราจดจำได้มากที่สุดของฟอสฟอรัสก็คือ การติดไฟ ถ้าอยากจะรู้ว่ามีฟอสฟอรัสที่ไหนบ้าง ของใกล้ตัวที่สุดก็คือ หัวไม้ขีด และพรายน้ำเรืองแสงของหน้าปัดนาฬิกานั่นเอง

หากเราเอาฟอสฟอรัสมาเผาไฟ (ไม่ควรทดลองเองหากไม่มีความรู้ด้านเคมีพอ) ฟอสฟอรัสจะติดไฟอย่างรวดเร็ว และควันไฟจากฟอสฟอรัสจะเป็นควันไฟที่ระคายเคืองอย่างมาก ว่าที่จริงมีระเบิดอยู่ชนิดหนึ่งที่ปัจจุบันประเทศสมาชิกของสหประชาชาติห้ามใช้ นั่นคือระเบิดฟอสฟอรัสขาว สะเก็ดของฟอสฟอรัสที่ไหม้ไฟจะกลายเป็นกรดฟอสฟอริก กัดกร่อนเหยื่อที่โดนมันเข้าไปจนถึงกระดูกและตายอย่างทรมาน กองทัพใดที่นำมาใช้จึงมักถูกประณามว่าทำการอำมหิตผิดมนุษย์ อ่านถึงตอนนี้ท่านคิดว่าฟอสฟอรัสเป็นธาตุอะไร หลายคนคงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ฟอสฟอรัสและความเป็นกรดน่าจะเป็นธาตุไฟใช่หรือไม่?

แต่หากฟอสฟอรัสเป็นสารประกอบกลับเป็นสารที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพของพืชและสัตว์อย่างมาก เราจะคุ้นชินกับการสูตรของปุ๋ยที่มี N (Nitrogen), P (Phosphorus) และ K (Potassium) ทั้งนี้เพราะหากพืชใดขาดฟอสฟอรัส พืชนั้นจะมีลักษณะแคระแกร็น ใบแห้งเหี่ยว ฟอสฟอรัสในลักษณะสารประกอบจึงกลับช่วยเรื่องของการแบ่งเซลล์ เพื่อการเจริญเติบโต อันเป็นคุณสมบัติของธาตุน้ำไปเสียนี่

สำหรับสุขภาพของมนุษย์ฟอสฟอรัสมีส่วนสำคัญร่วมกับแคลเซียม ประกอบกันเป็น Calcium Phosphate โครงสร้างของกระดูก เนื้อเยื่อที่แข็งแรงที่สุดในร่างกาย!!! ฟอสฟอรัสในที่นี้กลับมีลักษณาการของธาตุดินอย่างเด่นชั
นอกจากนี้ฟอสฟอรัสยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า Polyenylphosphatidylcholine หรือที่เราคุ้นหูกว่าในชื่อ Lecithin สารประกอบประเภทไขมัน (Phospholipid) ที่เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของผนังเซลล์ หากเซลล์ตับของใครอักเสบ การกินอาหารเสริมกลุ่มนี้เข้าไปก็เป็นการช่วยปกป้องและบำรุงเซลล์ตับให้อักเสบน้อยลง ถ้าเป็นศัพท์การแพทย์แผนไทย เราเรียกว่า ช่วยดับพิษไฟในตับที่เกิดจากพัทธะปิตตะ อพัทธะปิตตะ ที่ไม่ปกติ Phosphorus ใน Lecithin กลับออกฤทธิ์เป็นน้ำในการดับไฟ

กำลังจะปลงใจเชื่อ หากเราอ่านงานวิจัยต่อ เราจะพบว่า Lecithin ตัวเดียวกันนี้ เมื่อไปทำงานกับเซลล์สมอง ช่วยให้เยื่อหุ้มเซลล์สมองทำงานในลักษณะฉนวน ช่วยให้กระแสประสาทสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยในเรื่องความจำ ซึ่งแท้จริงก็คือโรคลมในความหมายของการแพทย์แผนไทย ดังนั้นฟอสฟอรัสก็น่าจะมีสมบัติของธาตุลมด้วยเช่นกัน

ก่อนที่จะสิ้นสุดการพิจารณา เรายังพบว่าฟอสฟอรัสยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของสารพลังงานในระดับเซลล์ที่เรียกว่า Adenosine Triphosphate ทำหน้าที่เก็บพลังงานให้เซลล์ต่างๆ เอาไว้ใช้ หากใครที่มีสารตัวนี้น้อย ก็จะมีอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง หนาวง่าย และภูมิต้านทานไม่ดี แต่ทางตรงกันข้ามหากมีฟอสฟอรัสมากเกินไป ก็อาจก่อให้เกิดการอักเสบและแก่เร็ว ซึ่งส่วนเกินของฟอสฟอรัสมักจะมากับ Phosphate ในอาหารประเภทน้ำอัดลม และเนื้อสัตว์ที่กินอย่างล้นเกิน เมื่อกินมากๆ เข้าจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เสี่ยงต่ออาการกระดูกผุกระดูกพรุน ซึ่งเทียบเคียงได้กับผลสุดท้ายของระเบิดฟอสฟอรัสขาวที่กัดกร่อนกระดูก (เพียงแต่มีลักษณะที่เรื้อรังและค่อยเป็นค่อยไปกว่า)

ที่เขียนวกวนกลับไปกลับมานี้ ผมมีเจตนาจะชี้ให้เห็นว่า เพียงธาตุวัตถุตัวเดียวกันนี้ เมื่อเข้าสู่ร่างกายมนุษย์กลับมีสรรพคุณของธาตุที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าร่างกายจะนำธาตุนั้นไปทำอะไร ดังนั้นสรรพคุณของสมุนไพรจึงขึ้นอยู่กับธาตุของผู้ป่วยเองด้วยว่าจะนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องหรือไม่

จากบทความก่อนหน้านี้ “ธาตุ และกายทั้ง 4” ผมได้กล่าวไปแล้วว่าเรามีทั้งรูปกายที่เป็นธาตุดิน และกายทิพย์ที่เป็นธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ ที่จะคอยกำกับควบคุมให้ธาตุต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกายสำแดงคุณลักษณะที่แตกต่างกันออกมา

หากฟอสฟอรัสตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของธาตุดินที่อยู่ในร่างกายคนธาตุดิน เราก็มักจะพบว่าฟอสฟอรัสจะถูกนำไปสร้างกระดูกซะส่วนใหญ่ แต่หากฟอสฟอรัสเข้าสู่ร่างกายของคนธาตุน้ำ เราก็มักพบว่าตับของคนธาตุน้ำมักจะไม่ค่อยอักเสบสืบเนื่องจากกายทิพย์แห่งธาตุน้ำ (Etheric body) สามารถนำพลังงานของฟอสฟอรัสไปใช้ในกระบวนการซ่อมแซมเซลล์ตับจะทำได้ดีกว่าคนธาตุอื่น ในขณะที่ระบบการทำงานของสมองคนธาตุลมดูเหมือนว่าจะทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่าคนธาตุอื่นเพราะกระบวนการของฟอสฟอรัสถูกกายทิพย์แห่งธาตุลม (Astral body) นำไปเสริมสร้างสมอง แต่คนธาตุไฟกำเริบก็อาจจะมีอาการร้อนรุ่ม กระสับกระส่าย และเกิดการอักเสบได้ง่าย เพราะธาตุฟอสฟอรัสตกอยู่ภายใต้กายทิพย์แห่งธาตุไฟ (Ego body) และปลดปล่อยทุกอย่างออกมาเป็นความร้อนและการเผาไหม้ดุจหัวไม้ขีด

กรณีเช่นนี้เป็นกรณีของการดำเนินไปของสรีระวิทยาในตัวคุณ Parany Duang-im ผู้แจ้งมาว่าเกิดในวันที่ 17 สิงหาคม 2527 เวลา ตี 2:14 นาที ตรงนี้หากเราคิดคำนวณหาธาตุเจ้าเรือนเกิดวันปฏิสนธิ ก็จะพบว่าคุณ Parany เกิดในฤดูกาลของธาตุน้ำ จึงสมควรที่จะมีความชุ่มชื้นของร่างกายมากหน่อย

แต่เมื่อพิจารณาร่วมกับระบบจักระของกายวิภาคราศี เรากลับพบว่า จักระตรงตำแหน่งก้นกบ (หมายเลข 3) หรือ Root chakra มีเงาของโลกหรือราหูบังอยู่ในตอนที่สร้างจักระนี้ Root chakra หรือจักระมูลธาร เป็นจักระสำคัญในการสร้างพลังให้ชีวิต สัมพันธ์กับสีแดงและการสร้างเม็ดเลือด จึงทำให้เป็นคนที่โลหิตจาง หรือเม็ดเลือดไม่สมบูรณ์ เมื่อเลือดไม่สมบูรณ์ธาตุน้ำก็มักจะอ่อนแอลงกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ซีดเซียวอ่อนแรงได้ง่า

ในขณะที่ตำแหน่งจักระหมายเลข 2 หลอดลมมีการอั้นของธาตุลมเยอะ และเป็นจักระหลักที่อุปนิสัยของคุณ Parany ชอบใช้ จึงทำให้เกิดอาการหอบหืด และหลอดลมตีบได้ง่าย แค่ตื่นเต้นดีใจหรือเสียใจมากๆ บางทีก็ทำให้หอบกำเริบได้ด้วย

ในขณะที่พลังชีวิตธาตุไฟกลับไปกองอยู่ที่ศีรษะเกือบทั้งหมด (หมายเลข 1) การอักเสบบริเวณศีรษะจึงรุนแรง เลือดกำเดาไหล ความดันขึ้น ปวดศีรษะไมเกรน สิวอักเสบ ล้วนอยู่ในข่ายนี้ทั้งหมด และถ้าเราพิจารณาอาการ Hyperthyroid ที่ Catabolism สูงจนผอมเอาๆ ก็คืออาการธาตุไฟของจักระที่ลำคอกำเริบดีๆ นี่เอง

หากเราเอาฟอสฟอรัสมาทำการเขย่าและเจือจางหลายๆ ครั้ง ด้วยกระบวนการเตรียมยาที่เรียกว่า Homeopathy เราจะเปลี่ยนจากโมเลกุลทางวัตถุเหลือแต่ของเหลวที่ไม่มีโมเลกุลของฟอสฟอรัสหลงเหลืออีกต่อไป แต่เมือไปอ่านตำรับยา Materia medica ของ Phosphoricum acidum หรือ Homeopathy ที่เตรียมมาจากธาตุฟอสฟอรัสแล้วล่ะก็ จะพบว่ายาตำรับนี้ช่วยแก้อาการธาตุไฟเกินของคุณ Parany ได้แทบทั้งหมดเลยทีเดียว เพราะเราได้นำเอาส่วนที่เรียกว่า วิญญาณธาตุของฟอสฟอรัสนำมาใช้ในการรักษานั่นเอง

หมอปอง




 

Create Date : 05 กันยายน 2558    
Last Update : 5 กันยายน 2558 14:39:35 น.
Counter : 833 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

saifan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add saifan's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.