|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
โคม
(ค้นต้นฉบับเก่า ๆ พบเรื่องนี้ ทำให้คิดพ่อครูสิงห์แก้ว มโนเพ็ชร ครูสอนโคม จึงนำมาลงเพื่อระลึกถึงท่าน)
ภาพพ่อสิงห์แก้ว มโนเพ็ชร จาก //www.thaimisc.com
ฉันคิดว่าการทำโคมต้องมีคุณค่าและความหมายมากกว่าความงดงาม และเป็นเช่นนั้นจริง โคมเป็นเครื่องหมายของจิตใจ วิญญาณแห่งความรัก การบูชา เพราะนอกเหนือจากห้อยแขวนไว้หน้าบ้านแล้ว เขายังทำโคมเพื่อนำไปถวายวัดด้วย
เป็นความเชื่อที่มีมาช้านานว่า โคมเป็นเครื่องหมายแห่งสติปัญญา แสงสว่างจะนำทางจิตใจ และหากผู้ใดจุดโคมในเทศกาลยี่เป็ง วันเพ็ญเดือนสิบสอง เกิดชาติหน้าจะได้เกิดในตระกูลดี มีทรัพย์สมบัติ และรูปสมบัติคือมีความงาม มีผิวพรรณดี เรียกว่าทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ
ฉันมาอยู่เมืองเหนือเป็นปีที่สอง ในปีนี้ฉันหวังว่าจะมีโคมแขวนที่หน้าบ้านและมีโคมไปถวายวัด แต่จะต้องเป็นฝีมือการทำของตัวเอง เช่นเดียวกับบ้านใกล้เรือนเคียง
หน้าบ้านมีไผ่ต้นใหญ่ตัดมาเหลาทำโคมได้ กระดาษสาที่จะหุ่มโคมก็มีคนทำในหมู่บ้าน
หมู่บ้านที่ฉันอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านทำกระดาษสาและร่มคือบ้านบ่อสร้าง ผู้คนในหมู่บ้านเป็นช่างฝีมือส่วนใหญ่
ส่วนหมู่บ้านที่ได้ชื่อว่าหมู่บ้านทำโคมนั้นคือหมู่บ้านที่ไกลออกไปชื่อบ้านเมืองสาตร หนองหอย ที่นั่นป็นแหลงทำโคมที่ใหญ่ที่สุด มีการผลิตเพื่อขายด้วย
การทำโคมเป็นงานประดิษฐ์ เป็นงานศิลปะ ศิลปะของการหักไม้ไผ่และตัดกระดาษให้เป็นลวดลายต่าง ๆ ไปตามจินตนาการแต่มีความหมายในลายนั้น ๆ นับว่าเป็นงานยาก ฉันเริ่มต้นที่โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา (โฮงเฮียน--ภาษาเหนือ) ซึ่งเปิดสอน การทำโคมและตง การฟ้อน ดนตรีพื้นบ้าน เขียนตัวเมือง ( ตัวเมืองคือตัวหนังสือล้านนา)
ฉันไปสมัครเรียนการทำโคม ครูสอนโคมเป็นศิลปินพื้นบ้าน เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่า บุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม สาขาหัตถกรรมศิลป์ ของจังหวัดเชียงใหม่ ในปี 2533 คือพ่อครูสิงห์แก้ว มโนเพ็ชร
ในหนังสือบุคคลดีเด่นทางวัฒนธรรม ได้บันทึกผลงานและเกียรติประวัติของครูสิงห์แก้วว่า เป็นชาวล้านนาผู้มีความรอบรู้ในศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านและคงวิถีชีวิตล้านนา เป็นศิลปินพื้นบ้านผู้มีความสามารถประดิษฐ์ตุง(ธง)และโคมชนิดต่าง ๆ ทังโคมชัก โคมแขวน โคมผัด หลายรูปแบบซึ่งเป็นที่นิยมจุดเป็นพุทธบูชาในเทศกาลสำคัญและประดับตกแต่งมณฑลพิธีต่าง ๆ
การเริ่มเรียนวันแรก สิ่งที่ละเลยไม่ได้เลยคือพิธีกรรม ว่ากันถึงพิธีกรรมต่าง ๆ แล้วทางเมืองเหนือมีพิธีกรรมความเชื่อมากมาย
ฉันไม่ค่อยจะรู้เรื่องราวพิธีกรรมจึงไม่ได้เตรียมอะไรไปแม้แต่ดอกไม้ธูปเทียน เจ้าหน้าที่โรงเรียนต้องวิ่งหาให้ ทำกระทงเล็ก ๆ ที่ประกอบด้วยดอกไม้ ธูปสามดอก เทียน 2 เล่ม เพื่อใช้ในพิธีไหว้ครู
ที่เรียนเป็นศาลาเล็กศาลาน้อย อยู่ตามใต้ต้นไม้ มุมหนึ่งของลานกว้างมีเสื่อปูไว้สำหรับนักเรียนนั่งรอทำพิธีไหว้ครู บรรดาพ่อครูแม่ครูนั่งอยู่บนร้าน การไหว้ครูในขั้นแรกเป็นการไหว้ครูรวม นักเรียนต้องเอาดอกไม้ธูปเทียนไปวางในพานใหญ่ ซึ่งถือเป็นการไหว้รวม ๆ ไปยังครูตั้งแต่อดีตที่เราไม่อาจรู้เห็นได้ด้วยความเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ต้องมีครูซึ่งเป็นคนแรกที่คิดที่สร้างขึ้นมาก่อนและคนต่อมาสร้างขึ้นเพิ่มเติมดัดแปลงปรับปรุงรับต่อเป็นช่วง ๆ ต่อมาก็เป็นการไหว้เฉพาะใครเรียนอะไรก็ไปไหว้ครูของตัวเอง
ผู้ที่เรียนการทำโคมมีครูสองคนคือครูสิงห์แก้ว มโนเพ็ชร และครูเบญจพล สิทธิประณีต ซึ่งเป็นลูกศิษย์ รุ่นแรก ๆ ของครู
เราเรียนกันที่ศาลาเล็ก ๆ มีครูสอนสองคน ผู้เรียน 10 คน ครูเริ่มจากเอาแฟ้มรูปโคมต่าง ๆ ให้ดู อุปกรณ์ต่อไปคือมีดพร้าสองเล่ม เล่มหนึ่งสำหรับผ่าไม้ไผ่เล่มหนึ่งสำหรับเหลา กรรไกรสำหรับตัดกระดาษ และแบบลวดลาย ๆ
วันนี้เริ่มด้วยการพับกระดาษและการตัดลาย เริ่มที่ลายประจำยาม ลายดอก ซึ่งถือเป็นลายพื้นฐานหรือเรียกว่าดอกมาตราฐาน และลายหยดน้ำง่ามโก๋ง ที่ติดส่วนหางของตุง ท่านบอกว่าลายแต่ละลายมีความหมาย เช่นหยดน้ำก็หมายถึงการได้อยู่ในที่ที่มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ส่วนง่ามโก๋งก็หมายถึงการมีคนค้ำจุน เพราะง่ามโก๋งก็คือง่ามไม้นั่นเอง
การเรียนกับครูสิงห์แก้วไม่ได้เรียนรู้แค่ศิลปะการหักไม้และตัดลายกระดาษเท่านั้นแต่ยังได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตเพราะตลอดเวลาที่ครูตัดกระดาษครูก็จะพูดไปด้วย เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง ด้วยอารมณ์ขัน แถมด้วยการร้องเพลงและท่องบทกลอนต่าง ๆ ให้ฟัง
ท่านเล่าถึงเรื่องราวของท่านในวัยเด็ก เรียนจากคนเฒ่าที่มีผีมือในการทำปราสาทศพ เป็นการงานที่ทำด้วยใจรักเพราะไม่มีค่าจ้างมีแต่คำขอบคุณ (ยินดีนัก ๆ ) วัยหนุ่มของครูรับราชการเป็นช่างฝีมือของกรมทางหลวง
ในช่วงที่ครูสอนฉัน ครูอยู่ในวัย 82 ยังแข็งแรงนั่งตัดลาย นั่งพูดคุยเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ได้นานวันละหลายชั่วโมงและยังผ่าไม้ทั้งลำ เหลาบาง ๆ เพื่อให้ผู้เรียน ได้หักสร้างโครง ใช้ลวดมัด ก่อนใช้กระดาษสาหรือผ้าดิบหุ้ม หลังจากนั้นตกแต่งติดลาย เว้นช่องหรือทำประตูเอาไว้สำหรับใส่เทียนหรือจะใช้ดวงไพ (ปัจจุบันนิยมใช้หลอดไปแทนเทียน)
ครูพูดบ่อย ๆ ว่า ครูไม่อยากเอาความรู้ไปป่าเห่วด้วย( ป่าเห่วหมายถึงป่าช้า ) การได้มาเรียนโคมด้วยกันก็ถือว่าเป็นการทำบุญร่วมกันมาเมื่ออดีต
ความพิเศษอย่างหนึ่งก็คือความสุข ความสนุกสนานในการเรียนการสอน ทั้งผู้เรียนผู้สอนต่างสนุกสนาน เรียกว่าเบิกบานใจตลอดเวลาที่เรียน ใครอยากรู้เรื่องอะไรก็ถามท่านได้ ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ วรรณกรรม ประเพณีวัฒนธรรม
นอกจากมีเรื่องราวมาเล่าให้ฟังทุกวันแล้วยังมีเอกสารมาแจกอีก ส่วนมากเป็นเรื่องราวที่ครูเก็บรวบรวมไว้ เช่นตำนานต่าง ๆ ภาษิตคำเมือง บทกลอนที่ครูเขียนขึ้นเอง
เรียกว่า อู่ม่วน หรือว่าพูดสนุกนั่นเอง
เอกสารทุกชิ้นจะเขียนด้วยลายมือ ตัวอักษรสวยงามเป็นระเบียบ "ใครอยากได้ก็ไปถ่ายเอกสารเอา" ท่านว่า
ตลอดเวลา 7 วันที่เรียนการทำโคม เราได้เรียนรู้การตัดกระดาษ การหักไม้ไผ่ หักไม้ไผ่อย่างไรไม่ให้หัก เรียนการทำโคมได้ 3 แบบ มีโคมกระบอก โคมเพชร หรือโคมไห โคมดาว ความจริงครูอยากจะสอนมากกว่านั้นแต่เวลาน้อยและผู้เรียนรับได้ไม่หมด ครูบอกว่าเรียนไปช้า ๆ ดีกว่าเพื่อจะได้ซึมซับงานศิลปะ หลังจากรู้พื้นฐานแล้วไปฝึกเอง หรือถ้าใครอยากมีความรู้เพิ่มเติมก็ไปเรียนต่อที่บ้านของท่านได้
เริ่มแรกเรียนทำโคมกระบอก เป็นโคมพื้นฐานที่ง่ายที่สุด เรียกว่าโคมลูกก็ได้ โคมที่เอามาประดับโคมใหญ่
เริ่มจากการดัดไม้ไผ่ให้เป็นวงกลมและมัดด้วยลวด แต่ก็มีผู้ดัดไม้ไผ่หักหลายต่อหลายคน ผู้ที่เรียนกลับไปถึงบ้านก็ต้องไปทำการบ้านต่อ หากไม่ทำการบ้านก็เรียนไม่ทัน การตัดลายนั้นต้องตัดกันเป็นร้อย ๆ ครั้งถึงจะได้ดอกลายที่สวยงาม เป็นงานที่ต้องมีใจรักและศรัทธาจริง ๆ ในระหว่างเรียนฉันก็คิดว่าจะทำให้ใครบ้างพี่หรือเพื่อนคนไหนที่จะได้โคมงานยี่เป็ง และทำไปถวายวัด เพื่อเป็นสิริมงคล
ครูสิงห์แก้ว บอกว่า เมื่อมีงานขึ้นบ้านใหม่ เปิดร้านใหม่ งานแต่งงาน ท่านจะนำโคมไปให้เป็นของขวัญ เป็นการมอบแสงสว่างให้
ท่านกล่าวด้วยอารมณ์ขันว่า พวกที่แต่งงานใหม่ ๆ และอยากมีลูกก็เอาโคมแขวนไว้หน้าห้องคนที่มาเกิดใหม่จะเป็นคนดีเพราะวิญญาณที่ไม่ดีมันกลัวแสงสว่างไม่กล้าเข้ามา
การหักไม้ และการมัดลวดในครั้งแรก เลือดตกยางออก เพราะลวดที่มัดและคมไม้ไผ่บาดเอา
ครูเล่ากันว่า คนสมัยก่อนขอให้ได้เห็นโคมก่อนตาย แสงสว่างจะนำไปสู่สวรรค์
"ต้องตั้งใจและฝึกฝนให้มาก ๆ อย่าทำแบบสุกเอาเผากินแต่ถ้าตั้งใจแล้วทำได้แค่นี้ก็ไม่เป็นไรแต่ต้องตั้งใจ ถ้ายังไม่สวยยังไม่ถูกต้องก็ต้องแก้ วางจังหวะรูปทรงให้พอดี ทำไม่สวยเขาถามว่าเรียนมากับใคร บอกว่าพ่อสิงห์แก้ว จะอายเขา"
ฉันกลัวครูจะอายจึงตั้งใจเป็นพิเศษและในที่สุดความเชื่อของฉันก็เป็นจริง ความเชื่อมั่นและศรัทธาทำให้ฉันมีโคมแฃวนหน้าบ้านด้วยฝีมือตัวเองในเทศกาลยี่เป็งและปีใหม่
เพื่อให้ผู้อ่านได้รู้อ่านได้รู้ที่มาที่ไปของการทำโคมมากกว่านี้ จึงขอนำข้อมูลจากเอกสารที่ครูแจกให้มาเล่าสู่กันฟังอีกสักนิด
ตำนานโคมนั้นมีกล่าวไว้ว่า การยกโคมแต่เดิมเป็นพิธีทางศาสนาพราหมณ์ กระทำขึ้นเพื่อบูชาพระเจ้าทั้ง 3 พระนารายณ์ พระพรหม พระอิศวร
คติความเชื่อเกี่ยวกับการจุดประทีปบูชามาจาก ชาดกนอกนิบาตร เรื่องแม่กาเผือกแต่งโดยชาวล้านนา ในปัจจุบันนี้ ในตอนเย็นของเดือนยี่เป็งพระสงฆ์ตามวัดต่าง ๆ นำเอาพระธรรมเทศนาเรื่องแม่กาเผือกมาเทศน์และมีการจุดประทีปสว่างไสว ในตอนกลางวันมีการปล่อยโคมลอยเพื่อสะเดาะเคราะห์ และบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีในสวรรค์รวามทั้งการแขวนโคมไว้ตามประตูบ้านและปักเสาสูงชัดโคมไฟขึ้นแขวนบนอากาศเป็นพุทธบูชา
จุดมุ่งหมายของการจุดโคมในปัจจุบันเปลี่ยนไปบ้าง นอกจากเพื่อเป็นพุทธบูชา แล้ว ยังเพื่อความสวยงาม เพื่อให้แสงสว่าง และเพื่อเป็นศิริมงคลแก่เจ้าของบ้าน และตามสถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ตามโรงแรมใหญ่ ๆ เดี๋ยวนี้ก็นิยมแขวนโคมไว้ตามจุดต่าง ๆ รูปแบบก็ดัดแปลงไปตามยุคสมัย *****************
ปล. ปี 2551 ฉันหยิบงานเขียนชิ้นนี้ขึ้นมาจากแฟ้มเก่า พร้อมกับ กระดาษลายต่าง ๆ ที่ถูกตัดไว้ แต่ก็พอดูรู้ว่า ชิ้นไหน พ่อครู ชิ้นไหนเป็นฝีมือลูกศิษย์
งานเขียนชิ้นนี้เพื่อระลึกถึง พ่อครูสิงห์แก้ว มโนเพ็ชร ผู้สอนตุงและเล่าเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับเมืองเหนือ พ่อครูได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อสามปีผ่าน
โคมของ "พ่อสิงห์แก้ว มโนเพ็ชร" ที่ร้านสายหมอกกับดอกไม้ ภาพโดย มาลานชา เข้าชมงานมาลานชาได้ที่ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=malarncha
Create Date : 16 มิถุนายน 2551 |
|
34 comments |
Last Update : 22 มิถุนายน 2551 15:43:15 น. |
Counter : 2740 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: แพรจารุ 16 มิถุนายน 2551 13:41:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: ธารดาว IP: 202.149.25.225 17 มิถุนายน 2551 3:12:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพรจารุ IP: 222.123.83.188 17 มิถุนายน 2551 17:00:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: เขาพนม 17 มิถุนายน 2551 22:13:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: ธารดาว IP: 202.149.25.233 18 มิถุนายน 2551 7:50:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพรจารุ 19 มิถุนายน 2551 6:34:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าแอ๊ค่ะ (Naaee58 ) 19 มิถุนายน 2551 11:33:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: ธารดาว IP: 202.149.25.225 19 มิถุนายน 2551 12:46:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพรจารุ 19 มิถุนายน 2551 19:32:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพรจารุ 19 มิถุนายน 2551 19:37:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปลายแปรง 19 มิถุนายน 2551 21:19:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพรจารุ 21 มิถุนายน 2551 9:53:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพรจารุ 21 มิถุนายน 2551 10:00:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: เบญจวรรณ IP: 61.7.231.130 21 มิถุนายน 2551 17:46:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพรจารุ 22 มิถุนายน 2551 15:47:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: ก.ก๋า (กะว่าก๋า ) 27 มิถุนายน 2551 9:07:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: หินทิเบตก้อนสุดท้าย IP: 203.170.208.171 27 มิถุนายน 2551 15:11:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพรจารุ 30 มิถุนายน 2551 14:31:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: คนในฝัน 30 มิถุนายน 2551 16:49:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพรจารุ IP: 222.123.84.129 5 กรกฎาคม 2551 16:33:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: หินทิเบตก้อนสุดท้าย / Last Tibetstone IP: 203.170.208.171 6 กรกฎาคม 2551 6:56:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: ครูหมี IP: 202.57.149.175 2 สิงหาคม 2551 22:43:30 น. |
|
|
|
|
|
|
|