.
เวลา 21.40 น. ตามเวลาของ ดูไบ
*
*
ถึงดูไบ ซักที เล่าเรื่องแบบมาราธอนมากๆ เพราะอยากเก็บไว้เป็นความทรงจำ
และประสบการณ์ของการใช้ชีวิตในต่างแดน แบบละเอียดกันไปเลย...
*
*
หลังจากนั่งจนก้นบิด ก้นเบี้ยวจาก กรุงเทพฯ
ใช้เวลาเดินทางคนเดียวจนถึงสนามบินดูไบกินเวลาถึง 6.30 ชม. เชียว
สำหรับคนไม่ค่อยได้นั่งเครื่องไกลๆ แบบเรามันช่างนานมาก
นานจริงๆ แต่ยังงัยสุดท้ายก็มายืน ณ จุด จุดนี้จนได้
* ~ *
หลังจากลงเครื่อง ก่อนจะต้องตัวใครตัวมัน เราก็ไม่ลืมส่งยิ้มหวานๆ
ให้หนุ่มลูกครึ่งคนนั้นแล้วก็ต่างคนต่างไปขอนิ้ดส์นึงนะ 5555....
จากตัวเครื่องบินเรารู้สึกว่าต้องเดินไกลมากๆ
กว่าจะมาถึงด่านตรวจ วีช่า เมื่อเดินมาถึงจุดที่เค้าเรียกว่า
"Visa Control" คนเยอะมาก ละลานตา
จนเกือบตาลายมากๆอ่ะ และ
ด้วยความมั่นใจก็ไปต่อแถวเลย เราเลือกเข้าแถวรอที่
ช่อง Lady Lane (ช่องนี้มีไว้ สำหรับผู้หญิง เท่านั้นนะ)
เพราะเหมือนว่าจะเร็วกว่าช่องปกติ ระหว่างนั้นสายตาเรา
ก็ต้องคอยสังเกตไปด้วยว่า เค้าทำยังงัยกัน
ก็เห็นว่าแต่ละคนดูง่ายดีจัง คงไม่มีอะไรมั้ง...
จนมาถึงคิวของเราบ้างล่ะ เราก็ยื่น Passport + Visa (copy)
ให้ จนท. แต่ว่าเค้าบอกว่าต้องใช้ Original Visa not copy Visa
อ้าวตายละหว่าไม่มีง่ะ ทำยังงัยล่ะ
ก็ถามเค้าไปตรงๆ ตามประสาคนไม่รู้
* ~ *
"ยูๆ แล้วมันเอาจากตรงไหนอ่ะ" จนท. ก็ชี้มือไปที่ เค้าเตอร์ ว่า
"ยูต้องไปติดต่อขอรับ วีซ่าตัวจริงได้ที่ Visa Collection Counter
เราก็เดินไปที่เค้าเตอร์นั้นล่ะ
พร้อมทั้งยื่นสำเนาวีซ่าของเราให้เค้าไป เราเห็นว่าคนอื่นๆ
เค้าก็ทำแบบนี้กัน แล้วเค้าก็ได้วีซ่าตัวจริงกันไปอ่ะ
แต่.... เอ๊ะ ทำไมของเราเค้าไปหานานจัง
ตอนนั้นในใจก็ฉุกคิดขึ้นมาได้อย่างหนึ่งว่า สามีเราถือไว้ชุดนึงนี่นา
แต่เราไม่แน่ใจว่า เค้าเอามาฝากที่ Visa deposit counter
หรือยัง เพราะสามีเองก็ไม่เคยทำแบบนี้เหมือนกัน...
แล้วก็จริงๆ ด้วย จนท. เดินมาบอกเราว่า วีซ่า ตัวจริงยังไม่มีใครมาฝากไว้ให้นะ" .... อ้าวแล้วงัย เราก็ออกไปไม่ได้นะซิ
ตอนนั้นเริ่มเคว้งและกลัวนิดหน่อย เพราะความไม่รู้ว่าจะทำยังงัยต่อไป
ก็เลยไปถาม จนท. แบบดื้อๆ นั่นล่ะ
แล้วต้องทำอย่างไรต่อไปอ่ะ
(มาตอนนี้ รู้สึกว่า เหมือนถามคำถามโง่ๆ ชะมัด)
จนท. บอกว่า ยูต้องโทรหาสามียูให้เค้าเอาวีซ่าตัวจริงมาฝากไว้ที่
Visa Deposit Counter ด้านนอก
... เราก็เลยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรทันที..
แต่โชคไม่เข้าข้างเราเอาซะเลย โทรศัพท์ที่เปิดโรมมิ่งไว้ดันใช้ไม่ได้ซะอีก...
ทำงัยดีล่ะ ใช้ปากนี่ล่ะ... เดินไปถาม
จนท. อีกว่าใช้โทรศัพท์มือถือโทรหาสามีไม่ได้อ่ะ
จนท. เลยแนะนำให้ใช้โทรศัพท์ที่โทรฟรีลองโทรหาดูละกัน...
* ~ *
หลังจากที่คุยกับสามีว่าต้องทำงัยบ้าง
ทางสามีเองก็ไม่รู้อีกว่า แล้วไอ้กล่อง หรือ
สถานที่ที่ให้ฝากมันอยู่ตรงไหนอ่ะ เพราะเค้าก็ไม่รู้เหมือนกัน 5555
ไม่รู้กับไม่รู้ เราก็ต้องแหง่กอยู่ในนั้นล่ะนานเลย
แต่สุดท้ายก็แก้ปัญหากันได้ล่ะ เราก็นั่งรอให้ วีซ่าตัวจริงมาถึงที่
Visa Collection Counter ซึ่งใซ้เวลาประมาณ 30 นาที
* ~ *
*จึงจำไว้เลยว่า ถ้าได้ วีซ่าตัวจริงแล้ว
1. ควรจะให้กับเจ้าตัวเลย และถือเข้ามาพร้อมกับวันที่เข้าดูไบเลย หรือ
2. ควรจะมาฝากไว้ที่ Visa Deposit Box ก่อนวันเดินทางเข้า
หรืออย่างน้อย 1-2 ชม. ก่อนเที่ยวบินลง
เราก็กลับไปต่อแถว "Visa Control" อีกครั้ง
คราวนี้ผ่านฉลุย แหม จนท. แขกทักด้วย "สวัสดี" เสียด้วยนะ
พร้อมกับยิ้มหวานให้อีกแน่ะ เพราะเห็นเราถือ
Thai Passport โม้อีกว่าเมืองไทย สวยอย่างโน้น อย่างนี้
* ~ *
ทำเอาคนไทยอย่างเราเป็นปลื้มเลยล่ะ ....
แล้วก็ต้องไปผ่าน Passport Control อีก ก็ฉลุยเหมือนกัน
เดินตัวปลิวไม่มีปัญหา
.... เย้ๆ จะได้ไปรับกระเป๋าของเราซักที แอบกลัวนิดๆ ว่า
กระเป๋ายังอยู่ดีมั้ยเนี่ย
เพราะน่าจะเหลือเราคนเดียวของเที่ยวบินนี้อ่ะ
เสียเวลาไปหลาย ชม. กับด่านแรก...
พอมาถึงสายพานไม่เห็นมีกระเป๋าเหลือแล้ว ตกใจเลย
เพราะว่ากระเป๋าเราเค้าเอามากองคู่กันแล้ว
เพราะยัยนี่ไปทำอะไรมา ช้ามากๆ 5555
กระเป๋าก็ไบใหญ่ จนท. เข้ามาช่วยใส่รถให้ เลยดีหน่อย...
แล้วก็เดินต่อไปอีกนิดเดียวก็ได้ออกไปหาสามีแล้ว ...
....เฮ้อ วุ่นวายใจ และโดดเดี่ยวอยู่ในสนามบิน น้าน นาน
เพราะความไม่รู้ของเรานั่นเอง อิอิ
*
~ *
ถึงซะทีเนอะ "ดูไบ" เมืองที่ ใครๆ ก็ว่า ... ร้วย~รวย..
แล้วค่อยเล่าเรื่องราวต่างๆ ของดูไบ กันไปเรื่อยๆ ละกัน
*
*