ใช่เลย อยู่ดูไบสิ่งที่อดไม่ได้ต้องมาเล่าแน่นอน คือเรื่องรถไฟฟ้า ของพี่แขกเค้า....
ย้อนไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว (2008) ที่มีโอกาสมาเที่ยวดูไบ หน้าบ้านยังรกๆ และเกะกะไปด้วยการก่อสร้างรถไฟฟ้าอยู่เลย ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า ดูไบไม่น่าอยู่เลยอ่ะ ร้อนๆ ฝุ่นก็เยอะแยะ แห้งแล้ง...
แต่... วันนี้ 4 ปีผ่านไป (2012) โอ้ว เมืองดูไบ เปลี่ยนไปเยอะมาก อย่างแรกที่เปลี่ยนคือ รถไฟฟ้าสร้างเสร็จแล้ว และเปิดให้บริการทุกเส้นทาง
รถไฟฟ้าที่นี่เค้าเรียก Dubaimetro เปิดให้บริการ 2 เส้นทาง หรือ 2 สาย คือ
1. สายสีเขียว (Green Line)
2. สายสีแดง (Red Line)
เปิดให้บริการทุกวัน... แต่ให้วางแผนการเดินทางดีดี ในวันศุกร์ล่ะ จะเปิดบริการตอน 13.00 น. นะ อย่าไปนัดแฟนว่า... "แล้วเจอกันเช้าวันศุกร์ที่สถานี...." มีหวัง รีบกันหูตาแหก เพราะไม่มีรถไฟวิ่ง แล้วรถเมล์เอง ก็จะมาช้าไม่เหมือนวัน อ.-พฤ. เดี๋ยวแฟนจะงอนเอาได้นะ อิอิ
*
*
Opening hours:
Saturday to Wednesday 5.50 am to midnight
Thursdays 5.50 am to 1.00 am (Fri)
Fridays 1.00 pm to 1.00 am (Sat)
สายสีเขียว (เราเริ่มจากทางบ้านเรานะ คือบ้านเราอยู่ Al Qusais) สถานี Etisalat (เอทิซะแล็ต) ไปจนถึงสถานีสุดท้าย คือ Dubai Health Care City
ส่วน สายสีแดง เริ่มจาก Rashidiya (รัชดิยา) สถานี ไปจนถึง Jebel Ali (เจเบล อาลี)
*
*
ทั้งสองสายจะมีสถานีร่วมเพื่อสามารถเปลี่ยนเส้นทางได้ 2 สถานีร่วม (เหมือนสถานีสยามของบ้านเรานั่นล่ะค่ะ)
1. สถานี Union (อะลิธทิฮาต) เราคุ้นเคยกับสถานีนี้มาก เพราะต้องมาเปลี่ยนจากสายสีเขียวที่นี่ทุกเช้า... เพื่อต่อสายสีแดงไปที่ทำงานแล้วลงสถานี Diera City Centre ... Exit 2
2. สถานี Khalid Bin Al Waleed (คาลิด บิน อัล วาลีด) ถือเป็นสถานีที่มีคนมาใช้บริการอันดับ 1 ของทุกๆ วันเพราะเป็นสถานีที่ค่อนข้างใหญ่ การตกแต่งสวยงาม เหมือนอยู่ใต้ท้องทะเลลึก
*
*
ภายในสถานีของแต่ละสถานีดูโอ่อ่า กว้างขวาง สะอาดสอ้านมากๆ เท่าที่เรามารถไฟฟ้า ไม่ว่าเช้า..สาย..บ่าย..เย็น เราก็เห็นมีพนักงานเช็ดถูตลอดเวลา ในสถานีจนถึงสถานที่รอรถไฟฟ้า หรือชานชลา (platform) นั้นเปิดแอร์ได้เย็นฉ่ำมากๆ ไม่แปลกใจที่จะเห็นสาวๆ หยิบผ้าพันคอขึ้นมาใช้เวลาที่นั่งในรถไฟฟ้า ...เพราะมันหนาวๆๆๆ มาก จริงๆ
รถไฟฟ้าดูไบ ไม่มีคนขับ น่าจะใช้การบังคับโดยคอมพิวเตอร์ทั้งหมด วิ่งข้างบนและมุดลงดิน ซึ่งต่างจากบ้านเราที่แยกกัน แถมยังต้องซื้อตั๋วอีกรอบถ้าต้องการขึ้นรถไฟฟ้า แล้วไปต่อรถไฟใต้ดิน
เวลาโดยเฉลี่ยของรถไฟฟ้าที่มาจอดในแต่ละชานชลา จะอยู่ที่ 5 นาทีโดยประมาณ
*
*
สำหรับตู้โดยสาร พี่แขกเค้าแบ่งเป็น 2 ประเภทใน 1 ขบวนอีกแน่ะ 99% เป็นตู้โดยสารของบัตรโดยสารแบบธรรมดา (เรื่องบัตรโดยสารรถไฟฟ้า ขอเล่าในตอนถัดไป อยากเล่าแบบละเอียดๆ หน่อยน่ะ) และอีก 1% สำหรับเป็นห้องโดยสารที่มีบัตรทอง... อะไรๆ ก็เป็นทอง "The City of Gold" จริงๆ แต่ใครๆ ก็ขึ้นได้นะ ไอ้ตู้ทองเนี่ย ขอให้ท่านมีเงินซื้อบัตรทองเป็นใช้ได้... เค้าเรียกว่า "โกล์ด คลาส" เลยล่ะ จริงๆ นะไม่ได้โม้ เราเองด้วยความอยากรู้ ก็ต้องลองซื้อมานั่งเป็นบุญตรูดซะหน่อย จะได้มีประสบการณ์เล่าให้ใครๆ ฟังได้ว่า "ชั้นเนี่ย เคยนั่ง โกล์ดคลาส มาแล้วนะยะ" อยู่นี่เราซื้อบัตร 2 ใบเลย ถ้าวันไหนรู้สึกเหนื่อย ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ตอนกลับบ้านมากกว่า เพราะคนเยอะ และแน่นมาก เราก็จะใช้บัตร Gold Card เพื่อได้นั่งในตู้โกลด์คลาส นั่นล่ะ เป็นการพักผ่อน และได้นั่งพักเหนื่อยไปด้วย...
*
*
*
*
มาบรรยาย ตู้โดยสาร Gold Class กันซักนิด ตู้นี้มีที่นั่งประมาณ 19-20 ที่นั่งเท่านั้น เก้าอี้นั่งเบานุ่มกว่า ใหญ่กว่า นั่งสบายกว่ามีที่วาง ไอแพด หรือ แทปเลตซะด้วย นั่งเพลินๆ เล่นไปเพลินๆ เพราะถ้าใครใช้ระบบโทรศัพท์ของ ดู (Du) ก็ใช้สัญญานไวไฟได้อีกด้วย หน้าต่างก็บานใหญ่กว่าตู้ธรรมดามาก ทำให้วิว 2 ข้างเห็นได้กว้างและมีอรรถรถในการนั่งชมวิวตลอดการเดินทาง... และสิ่งที่เราคิดว่ามันต่างกันมากกับตู้โดยสารธรรมดาคือ เรื่อง "เสียง" ตู้วีไอพี นี่มันเงียบดีชะมัด ไม่รู้เค้าใช้วัสดุอะไรในการช่วยเก็บเสียง เราลองนั่งแล้ว ส่วนตัวเราว่าคุ้มกับราคาที่จ่ายไปนะ เพราะว่ามันสะดวกสบายจริงๆ แล้วอีกอย่างเราเองไม่ได้นั่งทุกครั้ง เราจะกะเอาเองว่าช่วงไหนคนเยอะ เราก็จะใช้บัตรโกล์ดคลาสในการเดินทางของทริปนั้นๆ
*
*
Waiting area for Gold Class Card ~ passenger
*
*
แทรกนิดหน่อย เวลาที่เรานั่งรถไฟฟ้า เราจะเขียนบล๊อคของเรา โดยเราจะร่างไว้ในมือถือของเราเองก่อน เวลามองไปนอกหน้าต่าง สมองมันแล่นดี คิดเรื่องราวได้เยอะ นึกเรื่องไหนก็ร่างเรื่องนั้นไว้ก่อน เรื่องไหนเขียนเสร็จก่อน ก็เอาไปลงบล็อกก่อน... เรียกว่า จินตนาการบังเกิด บนรถไฟฟ้านี่เอง
กลับมาต่อ... วนไปวนมาอยู่นี่ล่ะ บอกแล้วนึกอะไรได้ก็เขียนก่อนเดี๋ยวลืม ด้านล่างของสถานีส่วนใหญ่จะมี จอทีวี บอกข้อมูลเวลารถเมล์แต่ละสายที่จะมาจอดที่ป้ายรถเมล์นั้น ทำให้เราสามารถนั่งคอยแบบเย็นใจได้ พอใกล้เวลารถเมล์สายที่เราต้องการ เราก็ค่อยเดินออกไปรอ ช่วยคลายร้อนได้เยอะทีเดียว
*
*
เรื่องอื่นๆ ภายในสถานีรถไฟฟ้า "ร้านสะดวกซื้อ" เท่าที่เห็นหลักๆ เลย
คือร้าน โลโก้สีแดง หน้าตาแบบนี้
Zoom Zoom
*
เกือบ 90% ร้านนี้จะตั้งอยู่ภายในสถานีรถไฟฟ้า สินค้าที่ขาย คอนเซ็ปเดียวกันกับบ้านเรา "7/11" เหมือนกันเชียว แต่เราเห็นมี กาแฟเย็น Starbuck ใส่ขวดแก้วหรูหรา สนนราคาขวดละประมาณ 12 เดอร์แฮม ก็ราคาไม่ต่างจากบ้านเราเท่าไหร่ถ้าคูณเป็นเงินไทยก็ประมาณ ขวดละ 100 บาท
เรื่องอื่นๆ ภายในสถานีรถไฟฟ้าที่เก็บมาฝากก่อนจบอเรื่องของวันนี้ คือ "Read" free magazine ที่มีมาให้อ่านกันเป็นประจำทุกๆ เช้าของวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันทำงานวันแรกของที่ดูไบ ทุกคนเลยได้บริโภคข้อมูลข่าวสารผ่าน ฟรีแมกกาซีนเล่มนี้ในทุกๆ สัปดาห์ เราเองก็เป็นแฟนประจำเลยล่ะ ก็มันฟรี.. เอ๊ยไม่ใช่ แต่มันเป็นตัวช่วยอย่างเลิศที่จะทำให้เรารู้ว่า มีอะไร ยังงัยบ้างที่มันเกิดขึ้นในดูไบ เป็นการอัพเดตข้อมูล และข่าวสารในดูไบที่ไม่ต้องซื้อหาที่ไหน ได้อย่างดีเยี่ยมเชียวล่ะ เท่าที่เราเห็น จะมีเกือบทุกสถานี แต่ถ้าไม่รีบหยิบอาจจะอดอ่านได้จ้า... แต่ถ้าเราพลาดจริงๆ ก็ยังตามอ่านกันได้ที่
www.readme.ae
www.facebook.com/readmeae
www.twitter.com/readmeae
*
*
Read Magazine เค้าออกเป็นรายสัปดาห์ นะคะ วางแผงทุกๆ เช้าของวันอาทิตย์ ในสถานีรถไฟฟ้า ค่ะ
*
*
ข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูได้ตามลิงค์ของรถไฟฟ้า ดูไบ ด้านล่างนี้ค่ะ
Customer Service: 800 90 90
Online General Information
www.rta.ae
Journey Planner: wojhati.rta.ae
*
*
สำหรับวันนี้ ขอจบเรื่องราว รถด่วนเมืองดูไบ ไว้เพียงแค่นี้นะคะ ครั้งหน้าอยากพูดถึง การซื้อตั๋วรถไฟฟ้า.... จะบอกว่า บัตรเดียว ขึ้นได้ลอยฟ้า ลงมาบนบก แถมไปลอยบนน้ำได้ อีก เอากับเค้าซิ พี่แขกเมืองดูไบ ไว้จะมาเล่าให้ฟังเร็วๆ นี้จ้า
เรื่อง และ ภาพประกอบ "ยัยพรลี่" ล้วนๆ จ้า
*
*
*
ข้อมูล จาก เว็ปของรถไฟฟ้าดูไบ และประสบการณ์ตรงของ "ยัยพรลี่" นะจ๊ะ
ไลน์น่ารักๆ ต้องขอบคุณ "น้องญามี่" คนเดิมที่ทำให้ บล๊อคของพี่ดูดี ทันตาเห็น
ไปแล้วค่ะ เจอกัน บล็อคหน้า จ้า