เหตุผลของกฏข้อที่ 3
ตามที่ผมได้แนะนำกฏ 3 ข้อ อันเป็นหลักการปฏิบัติเพื่อให้เดินทางเข้าสู่เส้นทางแห่งการดับทุกข์ได้นั้น สำหรับกฏข้อที่ 3 ที่ผมกล่าวว่า ..อย่าได้อยากรู้อะไร แต่ให้รู้ได้เอง .... ผมจะอธิบายในเหตุผลแห่งกฏข้อที่ 3 ให้ท่านที่ติดตามอ่าน blog ได้เข้าใจมากขึ้น ถ้าท่านอยู่ในวงการกรรมฐานของประเทศไทย และท่านได้ศึกษาการอบรมกรรมฐานมาพอสมควรจากอาจารย์ต่าง ๆ ในประเทศไทย เมื่อท่านมาอ่านพบกฏ 3 ข้อที่ผมนำเสนอ โดยเฉพาะข้อที่ 3 นั้น ท่านจะเห็นได้ชัดว่า กฏข้อที่ 3 ที่ผมนำเสนอนั้น จะแตกต่างกับท่านที่สอนกรรมฐานในประเทศไทยหลาย ๆ ท่านแบบหักกลับ 180 องศา ชนิดที่เรียกว่า ไปด้วยกันไม่ได้เลย เพราะอาจารย์ส่วนมากในประเทศไทยมักจะสอนว่า ..ต้องรู้นะ... ต้องรู้ให้ชัด... เอาไปจ้องที่ปลายจมูกนะ เพื่อจะได้รู้ลมชัด ๆ เพราะลมมันเบา... เอาจิตไปจ่อทีเท้านะ เพื่อจะได้รู้กระทบที่เท้า เวลาเดินจงกรม จะได้รู้ชัด ๆ ... ท่านคงเห็นความแตกต่างระหว่างการสอนที่ผมยกมาแสดงไว้ และ ในกฏข้อที่ 3 ที่ผมนำเสนอ ก่อนอื่น ผมจะบอกท่านก่อนว่า ผมไม่ได้บอกว่า อาจารย์เหล่านั้นสอนผิดนะครับ มันเป็นเทคนิคการสอนของเขา ซึ่งผมไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยครับ แต่สิ่งที่ผมบอกท่านในกฏ 3 ข้อ โดยเฉพาะกฏข้อที่ 3 นั้น ผมได้บอกท่านแล้วว่า นี่คือหนทางแห่งการดับทุกข์อย่างสิ้นเชิงเพื่อการพ้นไปจากสังสารวัฏ นี่คือเป้าหมายหลักใน blog ของผม ที่ไม่ใช่ไปหยุดอยู่ที่สวรรค์ หรือ พรหมโลก ในขบวนการทางจิตนั้น คนที่เขาปฏิบัติได้ถึง เขาจะพบกันทุกคนที่เหมือนกันว่า ถ้าคนเราอยากจะรู้อะไร จะมีการปรุงแต่งเกิดขึ้น ที่ภาษาพระเรียกว่า จิตตสังชาร หรือ เรียกว่า สังขารขันธ์ ก็ได้ และความอยากนี้คือ ตัณหา ครับ ซึ่ง ตัณหา นี้ก็คือ กาวตราช้างที่มีพลังแห่งการเกาะติดได้ เมื่อท่านเกิดความอยากรู้ลมกระทบที่ปลายจมูกขึ้นมา เพราะลมมันเบา เมื่อท่านเป็นมือใหม่ ท่านรู้ลมไม่ได้ ท่านก็พยายามจะรู้ลมโดยการไปรับความรู้สึกที่ปลายจมูก นี่คือสภาวะแห่งตัณหาเกิดแล้ว และตัณหานั้น จะนำพา.จิตรู้.ให้วิ่งไปเกาะติดที่ปลายจมูกทันทีเพื่อที่จะรู้ลมกระทบที่นั้น อาการที่จิตรู้วิ่งไปเกาะติดที่ปลายจมูกนี้ นี่คือสภาวะแห่ง .จิตไม่ตั้งมั่น. เพราะมันไหล มันวิ่งออกจากฐานของจิตไปเกาะติดที่ปลายจมูกนั้นเอง ในทำนองเดียวกัน เมื่อท่านเดินจงกรม ท่านต้องการรู้การกระทบที่เท้า ท่านก็มีตัณหามีความอยากจะรู้ จิตก็จะถูกตัณหานั้นดึงไปเกาะที่เท้าอีก นี่ก็คือจิตไม่ตั้งมั่นอีก ที่วิ่งจากฐานแล้วไปเกาะที่เท้า สรุปก็คือว่า เมื่อเกิดความอยากรู้เกิดขึ้น ซึ่งก็คือตัณหา จิตจะถูกตัณหานั้นดึงไปยังแห่งที่ท่านต้องการอยากจะรู้ เช่น ท่านอยากรู้ที่ปลายจมูก จิตก็จะวิ่งไปที่นั่น ถ้าท่านอยากรู้ที่เท้า จิตก็จะวิ่งไปที่นั้น ถ้าท่านอยากรู้ที่ท้อง จิตก็จะวิ่งไปที่นั้น ถ้าท่านอยากรู้ทีมือ จิตก็จะวิ่งไปที่นั้น ซึ่งทั้งหมดคืออาการที่จิตไม่ตั้งมั่นทั้งสิ้น ในพระไตรปิฏก สมาธิสูตร พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้ว่า ..ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเจริญสมาธิเถิด เมื่อจิตตั้งมั่น เธอจักเห็นธรรมตามความเป็นจริง.. ท่านอ่านคำสอนของพระพุทธองค์แล้วท่านมองออกไหมครับว่า ความอยากคือตัณหา ทำให้จิตไม่ตั้งมั่น เมื่อจิตไม่ตั้งมั่น ก็ไม่อาจเห็นธรรมตามความเป็นจริงได้เลย และในอริยสัจจ์ข้อที่ 2 พระพุทธองค์ยังสอนว่า เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา ท่านสอนให้ละเสีย แต่ถ้าท่านมีความอยากรู้ ท่านไม่ได้ละตัณหาตามคำสอน แต่ท่านกลับเดินสวนคำสอนโดยการให้มีตัณหาแทน มันเป็นซะอย่างนี้ ท่านเห็นไหมครับ ทีนี้กลับดูกฏข้อที่ 3 ที่ผมนำเสนอ เมื่อท่านไม่มีความอยากรู้ ตัณหามันก็ไม่มี เมื่อตัณหามันไม่มี ก็ไม่มีอะไรดึงจิตให้วิ่งออกจากฐานไป เมื่อจิตไม่ได้วิ่งออกจากฐานไป จิตก็อยู่ในฐาน เมื่อจิตอยู่ในฐานได้เสมอ ๆ นี่คืออาการของจิตตั้งมั่น ซึ่งตรงตามคำสอนเปะกับบรมครูเช่นพระพุทธเจ้า เมื่อท่านอยู่ในกฏข้อที่ 1 คือ เพียงรู้สึกตัว และอยู่ในกฏข้อที่ 2 คือ เฉย ๆ ผ่อนคลาย สบาย ๆ ไม่เครียด ไม่เกร็ง ท่านอยู่เพียง 2 ข้อเท่านั้น จิตท่านก็มีความสามารถในการรับรู้ได้เองแล้ว ส่วนกฏข้อที่ 3 นั้น ผมเพียงย้ำว่า ท่านอย่าได้สร้างตัณหาขึ้นในจิตใจ ก็เท่านั้น เมื่อท่านฝึกฝนโดยการอยู่ในกฏ 3 ข้อเนื่อง ๆ จิตท่านจะคุ้นเคยกับอาการอย่างนี้มากขึ้น ซึ่งก็คือจิตจะค่อย ๆตั้งมั่นมากขึ้นทีละน้อย ทีละน้อย อย่างช้า ๆ และเมื่อท่านคุ้นเคยกับอาการนี้อย่างที่สุดแล้ว จิตก็จะตั้งมั่นอย่างที่สุด แล้วเมื่อนั้น จิตก็จะพบเห็นธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งในพระพุทธศาสนานั้น ธรรมตามความเป็นจริงนั้น จะมีว่า ขันธ์ 5 ไม่เที่ยง เป็นไตรลักษณ์ เป็นอนัตตา มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา สรรสิ่งเกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับ สิ่งนั้นก็ดับ ผมขยายความแล้ว ท่านคงมองภาพได้ชัดขึ้นครับ
Create Date : 16 มกราคม 2554
7 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:09:03 น.
Counter : 1124 Pageviews.
โดย: คนใหม่ IP: 117.47.148.146 16 มกราคม 2554 17:11:22 น.
โดย: ภัท IP: 58.136.65.96 16 มกราคม 2554 18:38:13 น.
โดย: bugleg IP: 124.121.114.185 16 มกราคม 2554 20:06:40 น.
โดย: บนเส้นทางกลับบ้าน IP: 118.175.86.113 17 มกราคม 2554 17:16:06 น.
โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 15:24:05 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****