จากเหตุการณ์ในข้อ A. เมื่อนักภาวนาเห็นคนที่ไม่ชอบใจ และเกิดจิตปรุงแต่งขึ้นมาดังที่ได้อธิบายไปแล้วในข้อ A. แต่เนื่องด้วย นักภาวนานี้ฝึกฝนสัมมาสมาธิ จนเกิด.จิตตั้งมั่น.
ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...
บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้
เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง
**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **
คิดถึงคำสอนที่ให้สลัดความคิดทิ้งไปและกลับมาอยู่กับกาย รีบทำตามนั้น มาอยู่กับกายเดินไปๆด้วยความรู้สึกตัว ไม่นานเลยจิตใจก็กลับมาปกติเหมือนเดิมค่ะ อาการหนักๆในจิตก็หายไปด้วย ขบวนการดับทุกข์ที่นำมาใช้นี้ถูกมั้ย
**************
มีคำถามเข้ามา เป็นคำถามที่ดีที่นักภาวนามือใหม่ สมควรทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ผมมีความเห็นดังนี้ครับ
..เมื่อนักภาวนากำลังมีสัมมาสติที่ดีอยู่ กล่าวคือ มีความรู้สึกตัวและจิตใจที่ดีอยู่ นี่คือสภาพที่นักภาวนาจะพร้อมในการรับรู้สภาวะธรรมแล้ว เมื่อมีอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมาในจิตใจ จิตใจมีการสั่นไหวกระเพื่อมด้วยเหตุที่เกิดนั้น ถ้านักภาวนารับรู้ได้ทันทีอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่รับรู้ได้เร็ว ขั้นตอนการดับทุกข์จะมีอยู่ 2 อย่างคือ
1..ถ้านักภาวนามีกำลังสัมมาสมาธิที่มั่นคง นักภาวนาจะเห็นการสั่นไหวของจิตใจได้ และ เมื่อนักภาวนาเห็นการสั่นไหวนี้ จิตใจที่สั่นไหวจะสลายตัวลงเป็นไตรลักษณ์อย่างรวดเร็วโดยที่นักภาวนายังไม่ได้คิดจะทำอะไรเลย มันก็สลายไปเองเสียแล้ว นี่คือภาวนามยปัญญาที่เห็นอาการสั่นไหวในจิตใจว่า ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา อันเกิดจากที่นักภาวนามีกำลังสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นแล้ว
2..ถ้านักภาวนามีกำลังสัมมาสมาธิพอสมควร แต่ยังไม่มั่นคงมากนัก ซึ่งอาการนี้เป็นกับนักภาวนามือใหม่ที่อยู่ในช่วงของการฝึกฝนอยู่ เมื่อนักภาวนารับรู้อาการสั่นไหวในจิตใจได้อย่างรวดเร็ว แต่อาการสั่นไหวนั้นมันไม่ดับลงไปทันทีเป็นไตรลักษณ์ การที่นักภาวนารีบกลับมารู้สึกที่กาย แล้วอาการสั่นไหวนั้นก็หายไป การปฏิบัติอย่างนี้ ถ้าเป็นมือใหม่ เป็นสิ่งที่สมควรทำ เพราะถ้าปล่อยทิ้งอาการสั่นไหวนี้ไว้ อาการสั่นไหวนี้อาจจะขยายตัวใหญ๋ขึ้นแล้วเข้าครอบงำจิตใจต่อไป ทำให้เกิดการขุ่นมัวไปยาวนานขึ้น เมื่อนักภาวนามือใหม่นั้น หมั่นฝึกฝนต่อไปเรื่อย ๆ อีก กำลังสัมมาสมาธิของเขาจะค่อย ๆ ตั้งมั่นมากขึ้น แล้วเมื่อตั้งมั่น เหตุการณ์ในแบบข้อ 1 จะเกิดขึ้นได้เอง
อนึ่ง มีคำสอนบางอย่างในการภาวนาที่ว่า ถ้าไปทำแบบที่เขียนไว้ในข้อ 2 นี้เป็นการแทรกแซงการทำงานของจิต คำกล่าวนี้ถูกต้องครับว่าเป็นการแทรกแซงการทำงานของจิต แต่นักภาวนาสมควรรู้กำลังตนเองว่า ไปได้แค่ไหน ถ้าจิตใจมันไม่หยุดเองอย่างข้อ 1 นี่แสดงว่ากำลังของนักภาวนายังไม่พอ ก็ต้องเข้าไปแทรกแซงก่อน คล้าย ๆ กับการหนีตั้งหลักก่อน เพราะถ้าไม่หนี กิเลสก็กินเข้าไปยึดครองที่จิตใจได้ และความทุกข์ก็จะตามมาทันที
อย่าลืมนะครับ ภาวนาแล้วใจต้องดี ...