รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
26 ธันวาคม 2553
 
All Blogs
 

ดูผู้รู้

มีคำสอนในบางสำนักที่สอนให้นักภาวนา.ดูผู้รู้. เพราะในคำสอนมีบอกไว้ว่าการ.ดูผู้รู้. ใช้ได้ทุกอย่าง แล้วดูผู้รู้ เขามีวิธีการดูกันอย่างไร

บทความนี้ ผมจะเขียนตามมุมมองของผม ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปเหมือนกับสำนักที่เขาสอนดูผู้รู้กัน
มาอ่านมุมมองของผมกันครับ

********************************

ในการภาวนานั้น ถ้านักภาวนาที่ฝึกฝนยังไม่ชำนาญพอ มีกำลังสติสัมปชัญญะไม่ตั้งมั่นพอ จะไม่มีทางเห็น.ตัวผู้รู้.ได้เลย ดังนั้น นักภาวนาที่จะดูผู้รู้ก็จะพยายามเข้าไปจ้องหา เข้าไปเพ่งย้อนเข้าหาตัวเอง เกิดอาการผู้รู้ซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ไป กล่าวคือ ผู้รู้ตัวแรก จะไปดูผู้รู้ตัวที่สอง ผู้รู้ตัวที่สอง จะไปดูผู้รู้ตัวที่สาม และ ต่อไปเรื่อย ๆ ผลที่ตามมาก็คือ เกิดการปวดหัวอย่างหนักของนักภาวนา

การภาวนาแบบอยากจะได้ อยากจะเป็นแบบนี้ ไม่สามารถทำให้นักภาวนาเกิดการปล่อยวางจนเข้าสู่ในโลกแห่งโลกุตระได้

แล้วนักภาวนาจะดูผู้รู้ได้อย่างไร เพื่อให้เกิดการปล่อยวางเพื่อเข้าสู่โลกแห่งโลกุตระ....

ในการฝึกฝนภาวนาเพื่อเข้าสู่โลกุตระนั้น นักภาวนาจะต้องหัดฝึกฝนด้วยความรู้สึกตัวที่ปล่อยวาง ไม่เอาอะไร ไม่จ้องอะไร จิตใจผ่อนคลาย สบาย ๆ ในสภาวะแบบนี้ จะเป็นการปล่อยวางแล้ว แต่จิตยังไม่มีกำลังความตั้งมั่นแห่งสติสัมปชัญญะ จึงต้องอาศัยฝึกไปเรื่อยๆ ในลักษณะปล่อยวางอย่างนี้

เมื่อนักภาวนาฝึกฝนด้วยอาการปล่อยวางที่ถึงพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะไปเรื่อย ๆ
จิตจะมีกำลังเพิ่มมากขึ้นทีละน้อย ทีละน้อยเอง เมื่อจิตมีกำลังถึงระดับหนึ่ง จะเกิดการแยกตัวออกของ .ตัวผู้รู้. ที่หลุดออกมาจาก .มโนทวาร.

เมื่อ ตัวผู้รู้ มีการแยกตัวออกมาได้ นักภาวนาจะเห็นได้ว่า มีสภาวะ.ของคู่.เกิดขึ้น กล่าวคือ มีตัวผู้รู้ และสิ่งที่.ตัวผู้รู้.ไปรู้เข้า (หมายเหตุ สิ่งที่ตัวผู้รู้ไปรู้เข้าที่นักภาวนาจะเห็นได้ก่อน เห็นได้ง่าย ๆ ก็คือ อาการทางกาย เช่นเวทนา และ อาการทางใจ เช่น โกรธ ดีใจ เสียใจ เป็นต้น ส่วนการเห็นอายตนะ นั้นจะเห็นได้ยากกว่า และจะเห็นได้ในภายหลัง)

เมื่อใดที่นักภาวนาเกิดอาการทางกาย หรือ อาการทางใจ ขึ้นในนักภาวนา นักภาวนาจะเห็นตัวผู้รู้และสิ่งที่ตัวผู้รู้ไปรู้เข้า อันเป็นสภาวะของ.ของคู่. ซึ่งในแง่การปฏิบัติแล้ว นักภาวนาไม่จำเป็นต้องไปดูตัวผู้รู้เลย แต่นักภาวนาจะเห็นตัวผู้รู้ได้เอง เพราะกำลังแห่งการมีสติสัมปชัญญะที่ตั้งมั่นและมีกำลังพอแล้ว และ ผู้ตัวรู้ เขาจะไปดูสิ่งทีถูกรู้เองเช่นกัน โดยที่นักภาวนาก็ไม่ต้องไปทำอะไรด้วย นักภาวนาเพียงแต่มีสติสัมปชัญญะและเฉย ๆ อยู่ตามเดิมเท่านั้น นักภาวนาเพียงปล่อยให้ตัวผู้รู้ดำเนินการดูสิ่งที่ถูกรู้ของเขาเอง จนกระทั้งสิ่งที่ถูกรู้ได้สลายไปตามกฏแห่งธรรมชาติอันเป็นไตรลักษณ์ แล้วตัวผู้รู้ เขาก็จะสลายตัวพร้อมกันไปด้วย

นักภาวนาเพียงฝึกฝนเหมือนเดิมไปเรื่อย ๆ กล่าวคือ รู้สึกตัวที่ผ่อนคลาย สบาย ๆ อย่าเครียด อย่าได้อยากรู้อะไร แล้วกำลังจิตจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ตัวผู้รู้ก็จะยิ่งตั้งมั่นมากขึ้นได้เอง เมื่อตั้งมากขึ้นอีก นักภาวนาจะเห็นตัวผู้รู้ เกิดเด่นตระหง่าน ไม่ยอมหายไปง่าย ๆ เหมือนเดิมอีก แต่ก็ยังมีการหายไปบ้างเป็นครั้งคราวไป แต่จะเกิดตัวผู้รู้ได้นานขึ้น ได้ถึ่ขึ้น ซึ่งถ้านักภาวนาเดินมาได้ถึงจุดนี้ ก็ขอให้ภาวนาเหมือนเดิมกล่าวคือ รู้สึกตัวที่ผ่อนคลาย สบาย ๆ อย่าเครียด อย่าได้อยากรู้อะไร แล้วก็อย่าไปจ้องดูตัวผู้รู้ด้วย เพราะนักภาวนาจะเห็นตัวผู้รู้ได้เองโดยไม่ต้องจ้องแล้วเพราะมีกำลังแห่งสติสัมปชัญญะที่ดีมากพอแล้ว

การฝึกฝนแบบเดิมต่อไปเรื่อย ๆ อีก กำลังจิตยิ่งตั้งมั่นมากขึ้น ต่อไป นักภาวนาจะเกิดขบวนการทางจิตที่ยากจะอธิบายได้เป็นคำพูด นักภาวนาจะเห็นได้ว่า ตัวผู้รู้ ที่เคยเกิดมีอยู่นั้น บัดนี้จะไม่เหมือนเดิม แต่จะกลายเป็นความว่างเปล่า แต่คงไว้เพียงสภาพแห่งการรู้ปรากฏอยู่เท่านั้น นี่คือขบวนการทางจิตที่เขาดำเนินเอง นักภาวนาไม่ต้องไปทำอะไร อาการนี้ นักภาวนาก็จะเห็นได้เองเช่นกัน โดยไม่ต้องไปจ้องดูตัวผู้รู้เลย

ท่านจะเห็นว่า ขบวนการเข้าสู่โลกแห่งโลกุตระเพื่อการปล่อยวางนั้น นักภาวนาเพียงเห็นทุกข์ อันเป็นสภาวะแห่งอาการทางกาย อาการทางใจ ซึ่งก็ืคือ อริยสัจจ์ข้อที่ 1 แล้ว.ละ.แล้วซึ่งอาการอยากรู้ อยากเห็น โดยการพยายามเข้าไปกระทำใด ๆ การพยายามเข้าไปจ้องเพ่งควานหา อันเป็น อริยสัจจ์ข้อที่ 2 เมื่อเกิดความเพียรในการสร้างสติสัมปชัญญะอยู่เสมอ อันเป็น อริยสัจจ์ข้อที่ 4 ผลที่ออกมาคือ นิโรธ เกิดการปล่อยวาง อันเป็น อริยสัจจ์ข้อที่ 3

นี่คือการสร้างเหตุ เพื่อผลทางโลกกุตระ ที่สอดคล้องและตรงตามคำสอนแห่งพระบรมศาสนาในอริยสัจจ์ 4

ความเข้าใจในโลกได้เกิดขึ้นที่ว่า โลกคือหมู่สัตว์ โลกคืออายตนะ แล้วการปล่อยวางก็เกิดขึ้น ซึ่งก็คืออาการพ้นไปจากโลก ไม่ยึดมั่นถือมั่นในโลกอีกต่อไป

ด้วยการสร้างเหตุที่ตรงกับคำสอนเท่านั้น จึงจะเป็นอย่างนี้ได้

ไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การกล่าวคำบูชาถึงพระพุทธเจ้าที่ว่า

ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

***************

สวัสดีปีใหม่ 2554 ขอให้ท่านผู้อ่านมีความเพียรในองค์มรรคยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ถึงพร้อมด้วยการมีสุขภาพทางกาย ใจ ที่ดี สมบูรณ์

****************




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2553
9 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:10:13 น.
Counter : 1729 Pageviews.

 

ดูผู้รู้น่าจะใช้ "ใจ" เป็นประธานกระมั้งครับ

 

โดย: Mr.Chanpanakrit 26 ธันวาคม 2553 9:59:54 น.  

 

สวัสดีจร้า ชื่อหนิงน่ะจ๊ะ

 

โดย: ning.ple 26 ธันวาคม 2553 11:16:19 น.  

 




แวะมาทักทายค่ะ

 

โดย: deeplove 26 ธันวาคม 2553 15:32:28 น.  

 

โมทนาสาธุอย่างที่สุดค่ะ เขียนได้ชัดเจนมากๆ

 

โดย: ธัมมทีโป IP: 182.53.87.26 26 ธันวาคม 2553 22:04:33 น.  

 

อนุโมทนาสาธุครับ



สวัสดีปีใหม่ครับ

 

โดย: ทำไม่เป็น IP: 115.87.143.217 27 ธันวาคม 2553 21:11:29 น.  

 

สาธุค่ะ... สวัสดีปีใหม่ค่ะ

 

โดย: ตั้งไข่ IP: 223.205.27.74 29 ธันวาคม 2553 7:39:33 น.  

 

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน มนาปทายีสูตร ว่า

"มนาปทายี ลภเต มนาปํ อคฺคสฺส ทาตา ลภเต ปุนคฺคํ
วรสฺส ทาตา วรลาภี จ โหติ เสฏฺฐนฺทโท เสฏฺฐมุเปติ ฐานํ

ผู้ให้ของชอบใจ ย่อมได้ของชอบใจ, ผู้ให้ของเลิศ ย่อมได้ของเลิศ, ผู้ให้ของดี ย่อมได้ของดี, ผู้ให้สิ่งที่
ประเสริฐ ย่อมเข้าถึงฐานะอันประเสริฐ"
-----------------------------------
อนุโมทนาสาธุครับ

 

โดย: ลุง 'บุรีราช' IP: 113.53.196.9 30 ธันวาคม 2553 7:02:55 น.  

 



ในวารดิถีขึ้นปีใหม่ พระพุทธศักราช ๒๕๕๔
ขออาราธนาคุณพระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
ได้โปรดบันดาลประทานพร
ให้คุณนมสิการ จงประสบแต่ความสุข สดชื่น
เกษมสำราญ มีพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์
สมปรารถนาตลอดปีใหม่ และตลอดไป

 

โดย: Dingtech 30 ธันวาคม 2553 18:19:20 น.  

 

ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน

 

โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 15:25:48 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.