รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
25 ธันวาคม 2553
 
All Blogs
 
การอยู่กับปัจจุบัน รู้อยู่ทุกขณะจิต คือ อะไร

นี่คือคำถามที่เกิดขึ้นบ่อยในหมู่นักภาวนา โดยเฉพาะกับผู้ที่เริ่มสนใจใหม่ ๆ แล้วก็ไปได้ยิน ได้ัฟังเหล่ารุ่นพี่พูดคุยกันในเรื่องการปฏิบัติที่ว่า ให้อยู่กับปัจจุบันบ้าง ให้อยู่กับรู้บ้าง ให้รู้สึกตัวตลอดเวลา อย่าให้เผลอบ้าง ให้รู้อยู่ทุกขณะจิตบ้าง ซึงคำกล่าวเหล่านั้น ก็คือสิ่งเดียวกัน สุดแล้วแต่ว่า ใครจะพูดอย่างไร

แต่สิ่งสำคัญในการภาวนาก็คือ ความเข้าใจในความหมายในคำพูดและการฝึกฝนเพื่อจะให้ไปให้ถึงจุดนั้น

***********************

ต่อไปนี้เป็นมุมมองของผม ผมจะไม่ขอเข้าไปก้าวก่าวในคำพูดของใครทั้งสิ้นที่มีมุมมองต่างออกไป

ในการทำงานของสภาพจิตใจนั้น ในตำรามีกล่าวไว้มากมายหลายอย่าง แต่นั้นคือตำรา ผมไม่ข้อเ้ข้าไปยุ่งด้วย

แต่สิ่งที่นักภาวนาจะรู้ได้ด้วยตนเอง เมื่อนัำกภาวนาได้ภาวนาถึงแล้วว่า จิตนั้นจะทำงานอยู่ 2 สถานะ คือ สถาานะแห่งการนึกคิด อันเป็นสัญญาัขันธ์ และสังขารขันธ์ และ สถานะของ.การรู้. (หมายเหตุ การรู้นี้คือ จิตรู้ ไม่ใช่วิญญาณรู้ ซึ่งก็คือ จิต ไม่ใช่ วิญญาณ )

ในสถานะของการนึกคิด คนทั่ว ๆ ไปมักเข้าใจแต่.ไม่ลึกซึ้ง. ที่ว่าไม่ลึกซึ้ง เพราะคนทั่ว ๆ ไปมองไม่เห็นความคิด

ถ้าท่านกำลังอ่านบทความของผมอยู่ แล้วอ่านรู้เรื่อง นี่เพราะว่า จิตกำลังทำงานในการเป็นความคิดอยู่ ท่านเรียนหนังสือไทยมา เข้าใจภาษาไทย ก็เป็นสัญญา อ่านแล้วรู้เรื่องราวติดต่อกัน นี่เป็นสังขาร แต่คนทั่ว ๆ ไปมองไม่เห็นการทำงานอย่างนี้ จึงไม่เข้าใจว่า การที่อ่านหนังสือออกและรู้เรื่องในเรื่องราวเป็นความคิด

ในสถานะของ.การรู้. นี่เป็นสถาานะการทำงานอีกอย่างหนึ่งของจิต เมื่อจิตทำงานในสถานะ.การรู้.อยู่ จิตจะรับรู้การกระทบสัมผัสต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในระบบประสาท

เมื่อจิตทำงานในสถานะใดอยู่ อีกสถานะหนึ่งจะไม่ทำงาน มันจะสลับกันเป็นอย่างนี้
เหมือนมืดกับสว่าง ถ้ามืดก็ไม่สว่าง ถ้าสว่างก็ไม่มืด
ซึ่งในแง่ของจิต หมายความว่า เมื่อจิตทำหน้าที่นึกคิด การทำหน้าทีของจิตในเรื่องการรู้ ก็จะไม่เกิดขึ้น

คนทั่ง ๆ ไปมักชำนาญในเรื่องของการใช้จิตนึกคิด เพราะหน้าที่การงานรับผิดชอบต่าง ๆ ทำให้ต้องเป็นอย่างนี้ และคนก็มีปัญหาอยู่เสมอ จึงนึกคิดในการแก้ปัญหาอยู่ตลอดเวลา เมื่อคนนึกคิดมาก ๆ เข้า การให้จิตทำงานในเรื่องการรู้จึงน้อยมาก หรือ แทบไม่มีเกิดขึ้นเลยในคนทั่ว ๆ ไป

ซึ่งสรุปได้ว่า ในคนทั่ว ๆ ไป คนมักอยู่กับสภาพการนึกคิด และไม่อยู่ในสภาพของการรู้

ในการฝึกฝนปฏิบัติธรรมนั้น นักภาวนาสมควรฝึกจิตให้อยู่กับสภาพของการรู้แทนการนึกคิด แต่คนมักชินกับการนึุกคิด ดังนั้นการฝึกจิตให้เกิดความคุ้นเคยกับสภาพของการรู้จึงเป็นสิ่งที่ยากลำบากมาก ยิ่งถ้าไปพบกับคำสอนที่สอนให้ใช้การนึกคิดเข้าไปกับการภาวนาอีก ก็ยิ่งทำให้การฝึกรู้ไม่ได้อย่างเต็มที่ เพราะยังมีการใช้จิตนึกคิดอยู่ในการฝึกฝนการภาวนา

ท่านผู้อ่านจะเห็นว่า สำนวนคำพูดทีว่า ให้อยู่กับรู้ อยู่กับปัจจุบัน นี่เป็นคำพูดที่ง่ายแต่การปฏิบัติจริงเป็นสิ่งที่ยากลำบากมาก เพราะคนทั่ว ๆ ไปเคยชินกับการนึกคิดอยู่

อาจมีคำถามขึ้นมาว่า แล้วการที่อยู่กับรู้ อยู่กับปัจจุบัน นั้นจะเกิดได้จริงหรือไม่ แล้วเกิดได้เมื่อไร

ซึ่งในความเห็นของผม การอยู่กับรู้ อยู่กับปัจจุบันขณะ นั้นเป็นสภาพของการไร้ความนึกคิดอย่างสิ้นเชิง ซึ่งสภาพแบบนี้จะเกิดได้จริงกับผู้ที่ภาวนาถึงแล้วเท่านั้น

ที่ว่าภาวนาถึงหมายความว่า นักภาวนาจะต้องเห็นความว่างของมโนทวารได้แล้ว เห็นความคิดอันเป็นสัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ ได้แล้ว และมีสติสัมปชัญญะชั้นเยี่ยมยอดในการควบคุมจิตให้อยู่กับการู้โดยไม่นึกคิดเลย ซึ่งเป็นการภาวนาในระดับสูงสุดเท่านั้นจึงจะเป็นอย่างนี้ได้จริง

ถ้าท่านภาวนาถึงแบบนั้นได้ แล้วท่านมองย้อนกลับไปในตำรา ไม่ว่าจะเป็นอาณาปานสติสูตร ที่สอนว่า หายใจเข้าก็รู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกก้รู้ว่าหายใจออก ลมสั้นก็รู้่ว่าสั้น ลมยาวก็รู้ว่ายาว นี่เป็นคำสอนที่ใช้การนึกคิดทั้งสิ้น เพราะรู้ว่า เข้าหรือออก สั้นหรือยาว แต่ถ้าไม่ใช้การนึกคิด จะไม่รู้ว่า สั้นหรือยาว จะไม่รู้ว่า เข้าหรือออก

แต่จะรู้เพียงว่า มีการสั่้นไหวอันเนื่องจากวาโยธาตุ (ธาตุลม)

การทำสังขยานา 4 ครั้งของพระไตรปิฏก จะมีอยู่ครั้งไหนหรือไม่ตั้งแต่ครั้งที่ 2 เป็นต้นไป ที่มีการสอดแทรกอะไรเข้ามาด้วยกับความคิดเห็นของผู้ทำการแก้ใขที่ยัีงภาวนาไม่ถึงระดับดีพอ ดังนั้นจึงอาจมีผู้ที่เข้าถึงธรรมอย่างแท้จริง ที่ไม่อาจโต้แย้งในเรื่องนี้ได้ ได้เพิ่ม กาลามสูตร ขึ้นในตำราอีกเช่นกัน เพื่อเตือนใจคนรุ่นหลังต่อมาว่า อย่าเชื่อใน 10 อย่าง

ในกาลามสูตร ตำราและอาจารย์ก็ไม่สอนให้เชื่อ แล้วจะเชื่ออะไรดีเล่าครับ ชาวพุทธไทยนักภาวนาทั้งหลาย




Create Date : 25 ธันวาคม 2553
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:10:21 น. 3 comments
Counter : 2397 Pageviews.

 


โดย: deeplove วันที่: 25 ธันวาคม 2553 เวลา:9:50:32 น.  

 
สวัสดีจร้าชื่อหนิงน่ะจ๊ะ


โดย: ning.ple วันที่: 25 ธันวาคม 2553 เวลา:14:00:31 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:15:26:00 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.