รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
มกราคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
31 มกราคม 2554
 
All Blogs
 
การปฏิบัติเพื่อให้รู้จักและสามารถรักษา.ความเป็นธรรมดาของคน.ไว้ได้

ผมเชื่อว่า ทุกท่านที่เข้าสู่วงการปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์ ต่างก็สงสัยเป็นอันมากว่า จุดสุดท้ายของการปฏิบัตินั้นจะเป็นอย่างไร เพราะเหล่ารุ่นพี่หรือครูบาอาจารย์ต่างก็พูดถึงสภาวะธรรมออกมากันหลากหลาย แต่ก็อยากจะเข้าใจได้ว่ามันคืออะไร

ผมขอบอกท่านได้เลยว่า การปฏิบัติธรรมจุดสุดท้ายนั้น คือ การเป็นคนที่แสนจะธรรมดา นั่้นเองครับ

ทีนี้ท่านจะสงสัยแล้วครับว่า ในเมื่อทุกคนก็เป็นคนอยู่แล้ว แล้วจะปฏิบัติกันไปทำไม

จุดต่างมันอยู่ตรงนี้ครับ..

คนที่เขาไม่ปฏิบัติเขาไม่รู้จักความเป็นธรรมดา และไม่สามารถควบคุมให้ความเป็นธรรมดาได้ต่อเนื่องกัน แต่คนที่เขาปฏิบัติได้ถึงอย่างชำนาญ เขาจะรู้จักความเป็นธรรมดา และ สามารถควบคุมมันได้ครับ

แล้วอาการความเป็นธรรมดานั้นเป็นอย่างไร...

อาการความเป็นธรรมดา พูดง่าย ๆ ก็คือ จิตอย่าไปยุ่งกะอะไรครับ

คนทั่ว ๆ ไป จิตมักชอบยุ่ง ชอบแส่หาเรื่องเสมอ ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพ

ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวสวยหุ่นดี จิตก็วิ่งออกไปจับยังหญิงสาว เกิดราคะหน้ามืดขึ้นมาก

เมื่อไปเห็นข่าวในทีวีของครอบครัวที่น่าสงสาร ตกทุกข์ได้ยาก ก็เกิดสงสารจับในจิตใจขึ้น
เกิดความอยากจะช่วยเหลือ (สิ่งนี้เข้าใจได้ยากในคนไทย เพราะส่วนมากคิดว่าเป็นสิ่งดี แต่นี่คืออาการจิตหาเรื่อง)

และอื่น ๆ อีกมาก ผมไม่เขียน ท่านคงมองภาพออกในอาการจิตหาเรื่องเป็นอย่างไร

คนทั่ว ๆ ไป เมื่อจิตหาเรื่อง ก็ไม่รู้จัก จิตก็เลยหาเรื่องอยู่เรื่อย เพราะไม่รู้จักอาการจิตหาเรื่อง
เมื่อจิตหาเรื่อง จิตก็จะวิ่งออกไปยังอายตนะทั้งหกอยู่เสมอ ๆ

ในอริยสัจจ์ 4 ข้อที่ 1 พระพุทธองค์สอนให้รู้จักทุกข์ ก็คือ สอนให้รู้จักว่า จิตหาเรื่องหรือไม่หาเรื่อง

การลงมือฝึกฝนสติปัฏฐาน 4 .อย่างถูกต้อง. ตามอริยสัจจ์ 4 ข้อที่ 4 จะทำให้นักภาวนาเริ่มเห็นอาการของจิตหาเรื่องได้ ซึ่งก็คือ เริ่มรู้จักทุกข์ในอริยสัจจ์ 4 ข้อ 1 ได้นั้่นเอง

การนั่งดูลมหายใจ แล้วจิตวิ่งไปจับที่ปลายจมูก นี่คือจิตหาเรื่อง
การเดินจงกรม แล้วจิตวิ่งไปจับการกระทบที่เท้า นี่คือจิตหาเรื่อง
การเคลื่อนมือแบบหลวงพ่อเทียน แล้วจิตวิ่งไปจับที่มือที่กำลังเคลื่อน นี่คือจิตหาเรื่อง


เมื่อลงมือฝึกฝนสติปัฏฐาน 4 อย่างถูกต้องในอาการที่จิตไม่หาเรื่อง จะส่งผลให้กำลังของสัมมาสติสัมมาสมาธิจะเพิ่มขึ้นทีละนิด ทีละนิด เมื่อกำลังสัมมาสติสัมมาสมาธิเพิ่มขึ้น กำลังแห่งสัมมาสติสัมมาสมาธินี้เองจะทำให้นักภาวนาเริ่มสามารถจะรักษาสภาพของจิตที่ชอบหาเรื่องได้ นี่คืออาการที่เรียกว่า จิตมีกำลังหรือจิตตั้งมั่นหรือจิตมีสมาธิ

ผลแห่งการมีจิตมีสมาธิก็คือความสามารถที่จะต่อต้านแรงดึง แรงยึดเกาะของตัณหาได้
เมื่อสามารถต่อต้านแรงของตัณหาได้ นี่ืคือการละตัณหาได้ ตามอริยสัจจ์4 ข้อที่ 2

ผลแห่งการมีกำลังสัมมาสติสัมมาสมาธิจะทำให้นักภาวนาเกิดญาณหยั่งรู้สภาวะแห่งจิตที่ไม่หาเรื่องหรือจิตปรกติได้ นี่คือการเข้าถึงนิโรธให้แจ้ง ซึ่งก็คือ อริยสัจจ์4 ข้อที่ 3

เมื่อนักภาวนาเข้าใจในอริยสัจจ์ 4 ทั้ง 4 ข้อ ทำนิโรธให้แจ้งได้แล้ว เขาก็จะกลายเป็นคนทีแสนธรรมดาและสามารถรักษาสภาพแห่งความเป็นธรรมดาได้ตลอดไป ซึ่งที่เข้าไม่ถึงจะเป็นอย่างนี้ไม่ได้เลย

ผลแห่งการปฏิบัติธรรมนั้นมันจะเป็นอย่างนี้

ในคนธรรมดาก็มีอยู่แล้วความเป็นธรรมดา เพียงแต่คนธรรมดาไม่รู้จักและรักษามันไม่ได้ก็เท่านั้น

เมื่อผลการปฏิบัติเพื่อการเป็นคนธรรมดา ก็ขอให้ปฏิบัติฝึกฝนแบบธรรมดา อย่าได้ทำอะไรพิศดาร ในการฝึกฝน เพราะความพิศดารน้นมันไม่ใช่คนธรรมดาเขาทำกันครับ




Create Date : 31 มกราคม 2554
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:08:22 น. 13 comments
Counter : 1199 Pageviews.

 
เพียงท่านรู้สึกตัวที่เป็นธรรมชาติ เฉยๆ อย่ามีความอยากในจิตใจใด ๆ ตามองเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้รู้สัมผัส จิตใจได้รู้อาการจิตใจได้ นี่คือความเป็นความดาอยู่แล้ว เพียงท่านรักษาอาการธรรมดานี่ไว้

ถ้าท่านรักษาได้ 5 นาที ท่านก็เป็นธรรมดาได้ 5 นาที แต่ใหม่ๆ จะรักษามันไม่ได้นาน อาจรักษาได้สัก 1 นาที แต่ต่อไปเมื่อฝึกรักษาอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ก็จะทำให้สามารถรักษาได้นานมากขึ้นเอง

เมื่อรักษาได้นานขึ้น ก็แสดงว่า ความมีสัมมาสติสัมมาสมาธิเริ่มมีกำลังมากขึ้น แล้วผลของสัมมาสติสัมมาสมาธิก็จะทำให้ท่านรักษาความเป็นธรรมดาได้นานมากขึ้นไปอีก และ เกิดญาณหยั่งรู้ในโอกาสต่อไป

ความเข้าใจผิดในการปฏิบัติจะไม่ทำให้ท่านเข้าถึงสิ่งที่ธรรมดานี้ได้เอง



โดย: นมสิการ วันที่: 31 มกราคม 2554 เวลา:7:04:29 น.  

 
พระพุทธเจ้าสอนแบบนี้เหรอ
อย่าเก่งเกินบรมครู เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ศึกษาพระธรรมด้วย

ลองพริจารนา คำว่าสังโยชน์เครื่องร้อยรัด กับอาสวะกิเลส สิ่งที่จะต้องถอดถอน เพื่อดับเชื้อแห่งการเกิด เพื่อชำระจิตใจให้บริสุทธิ์

จิตเดิมผ่องใส
แต่พระพุทธเจ้าไม่เคยบอกจิตเดิมบริสุทธิ์

การไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส
นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า  สังขารทั้งหลายมีความเสื่อม
ไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด. 
นี้เป็นพระ - ปัจฉิมวาจาของพระตถาคต.





โดย: ศิษย์ตถาคต IP: 1.47.134.202 วันที่: 31 มกราคม 2554 เวลา:8:49:01 น.  

 
ู^
นี่เป็นตัวอย่างที่ดีอันหนึ่งของการปฏิบัติ ถ้าเป็นท่านที่กำลังปฏิบัติอยู่
เมื่อท่านรับการกระทบสัมผัสทางอายตนะ จิตท่านหาเรื่องหรือไม่ ถ้าิจิตท่านหาเรื่อง ท่านเห็นมันหรือไม่ และท่านดึงจิตกลับมาเป็นปรกติธรรมดาได้เร็วหรือไม่

ในชีิวิตจริง จะมีเรื่องประเภทนี้เ้ข้ามาเป็นอันมาก ถ้าท่านไม่เคยพบ ไม่เคยสัมผัส ท่านจะไม่เห็นของจริง เมื่อท่านเห็นของจริงแล้วท่านแพ้มัน ตัณหาดึงจิตท่านเข้าไปเกาะ ก็แสดงว่า ท่านยังปฏิบัติไม่ชำนาญพอ

ถ้าจิตท่านหาเรื่อง แต่ท่านเห็นมันและดึงจิตกลับมาได้เร็ว นี่แสดงว่า ท่านปฏิบัติมาใช้ได้ดีระดับหนึ่งแล้ว

หมายเหตุ...

ผมไม่ได้เขียนตอบข้อเขียนข้างต้น เพราะคิดว่าเดินกันคนละทาง คงไม่มีประโยชน์อะไรจะเขียนตอบ

แต่ที่เขียนเพื่อท่านที่ติดตามอ่าน blog ผมอยู่ ท่านจะไ้ด้เห็นสภาวะจริง ๆ ของจิตใจได้จากตัวอย่างของจริงที่ได้สัมผัสจริง เมื่อท่านปฏิบัติ ท่านจงพยายามหาของจริงอย่างนี้เสมอๆ และอย่าได้เสียใจ ถ้าท่านเิกิดพลาดท่าตัณหาเพราะกำลังสัมมาสติของท่านยังอ่อน แต่ของจริงเหล่านี้ จะทำให้ท่านมีความเพียรในการภาวนาครับ

ถ้าท่านมัวหลบอยู่ในวัด ในป่า ในบ้าน ในสถานที่ปฏิบัติธรรม ท่านจะไม่พบสภาวะจริง ท่านจะไม่ทราบกำลังตนเองว่าไปถึงไหนแล้ว


โดย: นมสิการ วันที่: 31 มกราคม 2554 เวลา:9:39:36 น.  

 
จริงอย่างที่อาจารย์เขียนจริงๆครับ นับถือ ๆ
มี comment ของจริงมาให้ลองฝึกเลยครับ
อย่างไงผมขอเป็นกำลังใจให้อาจารย์อีกหนึ่งเสียงอย่าท้อนะครับ รออ่านบทความอาจารย์อยู่เรื่อยๆครับ
อนุโมทนาสาธุ


โดย: เนื้อนาบุญ IP: 180.180.162.82 วันที่: 31 มกราคม 2554 เวลา:10:16:25 น.  

 
ตอบคุณเนื้อนาุบุญ

เรื่องใน blog ผมเขียนมาค่อนข้างจะครอบคลุมในการปฏิบัติแล้ว
ถ้าผมเงียบไป ไม่เขียนเรื่องเพิ่ม ไม่ใช่ว่า ผมท้อแท้ แต่เป็นเพราะว่า ผมไม่รู้จะเขียนอะไรอีกต่างหาก

ที่ผมเขียนเพิ่มมาเรื่อย ๆ ก็จะมาจากคนที่เขาถามมาทั้งทางตรงในเวป และแอบถามไม่ให้คนอื่นทราบ แต่ผมเห็นเป็นประโยชน์สำหรับนักภาวนาท่านอื่น ผมจึงนำมาเขียนเพิ่มเติมให้อ่านกัน

ต้องขอบคุณคนที่เขาถามมาด้วยครับ

คนไทยก็อย่างนี้แหละครับ ถ้า No name ผลก็ออกมาแบบนี้
มีการต่อต้าน กระแนะกระแหน ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็ไม่รู้เรื่องอย่างแท้จริง
เพียงแต่อ่าน ๆ มาแต่ไม่เคยพบของจริง
ถ้าคนมีชื่อเสียงมีเขียนมาพูด เขาก็จะน้อมใจเชื่อโดยไม่พิสูจน์ก่อน
ถ้าใครปฏิบัติถึง ก็รู้เองครับว่า คนที่มีชื่อเสียงออกมาพูดเปา ๆ นั้น มันถูกหรือผิดทางกันอย่างไร แต่น่าเสียดายที่ว่า คนที่เขารู้ เขามักจะเงียบเสียด้วย ไม่พูดไม่จาอะไร ทำให้คนที่ไม่รู้เรื่องชาวไทย ก็เลยเป็นอย่างนี้ไปเสียมากต่อมาก

ผมทำเท่าที่ทำได้ในสิ่งที่ผมเห็นว่าอะไรที่เ่ป็นประโยชน์ ถ้าท่านที่หลงเข้ามาอ่าน เห็นว่าข้อเขียนของผมนี้ไร้ประโยชน์ เพ้อเเจ้อ ผิดทาง ก็ให้เขาเดินทางที่เขาศรัทธาไป ผมคงไม่ยุ่งอะไรกับเขา ทางใครทางเขา
สักวันเมื่อเขาได้พิสูจน์อะไรบางอย่างได้แล้ว ถึงเวลานั้น เขาจะเข้าใจเอง


โดย: นมสิการ วันที่: 31 มกราคม 2554 เวลา:10:37:37 น.  

 
พระสารีบุตร เป็นผู้มีปัญญามาก แม้แต่พระพุทธเจ้ายังสอนตรงๆไม่ได้ ต้องสอนแบบอ้อมๆ วีธีบรรลุมีมากมาย หลากหลายวิธี สาวก 1,500.รูปบรรลุคนละ 1 วิธี 1,500.วิธีแล้ว ท่านยังบอกว่า เป็นแค่ใบไม้กำมือเดียว พระพุทธะ ท่านไม่เคยบังคับให้เชื่อท่าน และไม่ให้ยึดติดตัวท่าน จะอ้างแต่ชื่อท่านไว้ว่ากล่าวคน ที่ไม่แน่ว่าจะผิดแผก ได้หรือ หลักใหญ่ก็จะแบ่ง เป็น ฝ่ายฤิทธิ์ และ ปัญญา หรือ ศรัทธา กับ ปัญญา ฝ่ายฤิทธื์ มาจาก สมาธิ(กสิณ ต่างๆ) จะต้องผ่านกายหยาบ กายละเอียด(วิญญาณรูป) เมื่อเห็นจริงจนเบื่อก็จะเลิกยึดติด ฝ่ายปัญญามาจากฝึกสติ กาย เวทนา จิต ธรรม ล้างกายหยาบ กายละเอียด ขั้นตอนและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นถ้านำถกกันก็มีแต่ ถกเถียงกัน เท่านั้น ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรม
ขออภัยถ้าทำให้เกิดความหงุดหงิดขึ้น
ขออภัยต่อท่าน นมสิการ



โดย: ตามพันธสัญญา IP: 119.46.43.78 วันที่: 31 มกราคม 2554 เวลา:11:47:59 น.  

 
สิ่งที่คุณนมสิการเจอ พระยังเจอเลยค่ะ.. เวลาครูบาอาจารย์ท่านบรรลุธรรม บรรลุตั้งแต่หนุ่มๆ ท่านก็ต้องเข้าป่ามั่งวิเวกมั่ง รอเวลาให้แก่ก่อน ถึงจะออกมาสอน (ไม่งั้นคนไทยไม่เชื่อ)

มีเรื่องที่อยากถามแล้วค่ะ

ขั้นตอนก่อนที่จะเป็นคนธรรมดา หรือเป็นคนธรรมดาแล้ว ท่านพี่มีเวทนาไหมคะ เวทนาที่เกิดจากภายนอกน่ะค่ะ ถ้ามีเวทนาเช่นนี้ต้องแก้ไขหรือไม่แก้ไขอย่างไรคะ


โดย: Chaosy IP: 182.53.94.209 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:8:24:16 น.  

 
ถ้ายังไม่ตาย อย่างไรก็้ต้องมีเวทนาอย่างแน่นอน

แต่เวทนานั้น จะเกิดแยกต่างหาก และ เกิดในมโนทวารเช่นกัน

จิตรู้ที่ไม่เป็นดวงแล้วนั้น รู้อยู่ แต่ไม่มีการเกาะติดในเวทนา

ดังนั้น จึงไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรในเวทนานั้น

ผมจะยกตัวอย่างให้เข้าใจ เช่น เราไปยืนดูบ้านคนอื่นที่เราไมรู้จักกำลังไฟไหม้อย่างหนัก เราจะไม่รู้สึกเดือนร้อนอะไรเลย เพียงดูอยู่เฉยๆ อาการจะเป็นอย่างนั้น

รู้อยู่ แต่ไม่มีอะไรไปยึดอีก


โดย: นมสิการ วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:8:44:43 น.  

 
ขอบคุณค่ะ ตรงนี้ขั้นตอนก็คือ เรารู้เวทนานั้น แล้วก็ละได้ ไม่เดือดร้อน ไม่ปรุงต่อ

แต่ส่วนที่สงสัยคือ เมื่อฝึกตามวิธีที่พี่ทำมานี้จนเกิดความเป็นธรรมดาตามระดับต่างๆ จนธรรมดาที่สุดแล้ว

นอกจากอาการที่พี่เล่าในหัวข้อจักระนั้น (สิ่งเป็นเฉพาะเพศชายที่พี่เล่ามา)

มันมีอาการอื่นๆ อีกไหม เช่นความไวในการรับสัมผัสต่างๆ
เวทนาทางธาตุขันธ์จากการไปสถานที่อโคจร ผัสสะจากผู้คน มันมีไหมคะ ถ้ามีเราผ่านขั้นตอนไปสู่ความเข้าใจในเวทนาแล้ว แต่ร่างกายยังรับมากอยู่นั้น สิ่งที่ต้องฝึกต่อเพื่อบรรเทาเวทนาเหล่านั้นต้องทำอย่างไรบ้างน่ะค่ะ

ขอบพระคุณพี่มากๆ ค่ะ ย้ำอีกครั้งว่าข้อเขียนต่างๆ ของพี่เป็นประโยชน์กับน้องมาก แม้วิธีการฝึกบางอย่างน้องไม่ได้ทำมาอย่างนั้น แต่ว่าสภาวะธรรมที่พูดมาไม่มีผิดค่ะ เป็นตามธรรมทั้งหมด จึงเป็นประโยชน์มากจริงๆ สำหรับผู้ปฏิบัติที่ต้องดำเนินต่อไป และต้องเรียนรู้จากสมมติบัญญัติเพื่อความเข้าใจที่แตกฉานขึ้น

สำหรับเราธรรมของฆาราวาสนั้นเป็นประโยชน์มากๆ ไม่แพ้ธรรมจากเพศภิกษุค่ะ


โดย: chaosy วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:10:06:47 น.  

 
เมื่อเราฝึกไปมาก ๆ ความไวในการรับรู้การสัมผัสสิ่งแวดล้อมจะไวมากขึ้น ทั้งนี้เป็นเพราะว่า เมื่อผู้ภาวนาได้รู้จัก.มโนทวาร.อันเป็นความว่างเปล่าแล้ว อาการทุกอย่างของขันธ์ 5 ล้วนโผล่มาในมโนทวารทั้งสิ้น

เมื่อนักภาวนาเห็นมโนทวารทีว่างเปล่า พอมีการสัมผัสโผล่มาเพียงเบา ๆ นักภาวนาก็จะรู้ได้ เห็นได้ ถ้าเปรียบให้เข้าใจ สมมุุติว่า เราไปเที่ยวป่า เที่ยวเขา ถ้าเราเอาอาหารไปรับประทานตามพื้นป่าเขาซึ่งรกรุงรัง เราก็จะมองไม่่เห็นสิ่งแปลกปลอม เช่นแมลงเล็ก ๆ หรือ มดได้

แต่ถ้าเราปูผ้าสีขาวทีสะอาดไว้ พอเรานั่งรับประทานอาหารบนผ้านั้น ถ้ามีสิ่งสกปรกแม้เพียงเล็กน้อย ปรากฏอยู่่บ้านผ้า เราจะเห็นมันได้ทันที
ที่เป็นดังนี้ เพราะระดับ contrast มันชัดขึ้นครับ (คงมองภาพออกนะครับว่า ที่ไวได้เพราะเหตุใด )

สำหรับการฝึกฝนนั้น เราไม่อาจเลี่ยงเวทนาได้ครับ เราต้องพบเสมอ แต่ที่เราต้องฝึก คือ ฝึกจิตให้ตั้งมั่นให้มาก ๆ เพราะเมื่อจิตตั้งมั่น จิตจะไม่วิ่งไปเกาะที่เวทนาเอง ถ้าเราฝึกได้อย่างนี้ เวทนาทุกชนิด ทำอะไรเราไม่ได้เลย

เวทนาสักว่ามี แต่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา และมันทำอะไรเราไม่ได้
ด้วย


โดย: นมสิการ วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:12:27:51 น.  

 
ขอบพระคุณค่ะ ชัดเจนค่ะ


โดย: Chaosy IP: 101.108.167.49 วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:23:17:15 น.  

 
ดิชั้นขออนุญาตคุยต่อเรืื่องการบรรลุนะคะ ตอนเด็กคุณยายบอกว่าที่พระพุทธเจ้าองค์นี้มาโปรดที่โลกเราเพราะว่าท่านมีวิธีปฏิบัติที่ง่ายที่สุดที่จะบรรลุธรรม ตอนนั้นเป็นเด็กๆ ไม่เข้าใจอ่ะคะเลยไม่ได้สนใจ จนมาได้ปฏิบัติจึงได้get คะ แสดงว่าการบรรลุนั้นมีหลายวิธีเหมือนที่คุณตามพันธสัญญาว่าไว้แระคะ ดูได้จากการที่มีฤาษีบรรลุญาณ แต่ละขั้นจนบรรลุธรรมได้เนี่ย แต่วิธีนี้มันยากมากเลยค่ะสำหรับดิชั้น เพราะไม่ชอบนัั่่่งสมาธิเลยคะ เมื่อก่อนก้อเข้าใจว่าการบรรลุธรรมมีวิธีนี้วิธีเดียวอ่ะคะ คือต้องเป็นพระแล้วมีเวลานั่งสมาธิอ่ะคะ หรือเรียกว่าเจโตวิมุตติ ส่วนพวกชาวบ้านที่บรรลุธรรมแบบไม่ต้องนั่นสมาธินี่เรียกปัญญาวิมุตติคะ เคยอ่านในหนังสือของอาจารย์พระพุทธทาสนะคะ อ่อ ถ้าเขียนชื่อผิดลูกขอขมานะคะ พุทธองค์เคยเด็ดใบไม้ในมือแล้วแบให้สาวกดูแล้วถามว่าคิดว่าท่านรู้แค่ใบไม้ในหรือรู้ใบมากว่าในมือ ภิกษุก้อพากันตอบว่ามากกว่าในมือ พุทธองค์ก้อตรัสบอกว่านั่นแระที่เราบอกไปนั้นแค่ในมือ ส่วนที่เราไม่บอกเนี่ยเพราะไม่จำเป็นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ท่านจึงไม่บอกอ่ะคะ จริงๆมันจะเป็นคำเขียนแบบในพระไตรปิฏก แต่ดิชั้นอ่านแล้วเข้าใจประมาณนี้อ่ะคะ ใครเห็นว่าผิดตรงไหนแก้ไขได้นะคะ


โดย: แม่ลูกสอง IP: 180.183.242.135 วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:13:56:36 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:15:22:47 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.