.จิตรู้.มีทั้งส่วนที่เที่ยง และ ส่วนที่ไม่เที่ยง
บทความนี้ เป็นความเห็นส่วนตัว ซึ่งไม่จำเป็นต้องเหมือนใครหรือว่าเหมือนตำราเล่มใด เนื่องจากไม่มีกฏหมานบัญญัิคิไว้ว่า ปฏิบัติแล้วต้องเหมือนเท่านั้น ถ้าไม่เหมือนคือความผิด
ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อประโยชน์ของนักปฏิบัติจริงเท่านั้น ส่วนนักปฏิยัติ ผมแนะนำให้ท่านอย่าได้อ่านเลยครับ เพราะไม่มีประโยชน์ใด ๆ แก่ท่านเลย มีแต่จะทำให่จิตใจท่านขุ่นมัวในข้อเขียนของผมเปล่า ๆ แล้วท่านอาจจะหลุดปากออกมาแบบควมคุมไม่ได้ว่า คนที่พูดว่า จิตเที่ยง คือ มิจฉาทิฐิ
ธรรมชาติของ.จิตรู้. คือ ความสามารถในการรู้ในสิ่งที่ถูกรู้ ซึ่งผมขอเปรียบเทียบเหมือนไฟ ที่ธรรมชาติของไฟคืออุณหภูมิ
1...ในปุถุชน จิตรู้ มักอยู่ในอำนาจของอวิชชา ทำให้โมหะครอบงำจิตอยู่เสมอ ๆ เมื่อโมหะครอบงำจิตไว้ จิตก็ทำหน้าที่ของเขาไม่ได้อย่างสดวก ในสภาวะเช่นนี้ จิตรู้จะทำหน้าที่.รู้.ได้บ้าง ไม่สามารถทำหน้าที่.รู้.ได้บ้าง แต่ส่วนมากมักจะไม่สามารถทำหน้าที่รู้ได้
2..ในกัลยาณชนที่เป็นนักภาวนาเพื่อการพ้นทุกข์ เนื่องด้วยกำลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิ จิตรู้นี้จะแยกตัวออกมาได้แล้ว แต่เนื่องจากกำลังของสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ยังไม่ตั้งมั่นอย่างที่สุดอย่างแท้จริง เขาจึงยังมีอาการของ.จิตปรุงแต่ง.เกิดขึ้นอยู่เสมอ ๆ โดยที่เขายังควบคุมในส่วนนี้ยังไม่ได้
เมื่อในยามที่เกิดจิตปรุงแต่งขึ้นมาเมื่อใด จิตรู้ ที่มีกำลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิมากพอที่สามารถต่อสู้กับแรงดึงของตัณหาได้ จะทำให้จิตรู้แยกตัวออกเป็นอิสระอยู่ได้จากจิตปรุงแต่ง ทำให้ิจิตรู้เห็นจิตปรุงแต่งอยู่อีกส่วนหนึ่ง และในอาการแบบนี้ จิตรู้ จะมีลักษณะของพลังงานที่เป็นดวง หรือ เป็นก้อน ที่กัลยาณชนจะเห็นเองได้
ผมจะอธิบายเปรียบเทียบให้เข้าใจได้ง่ายเข้า ในสภาวะแบบนี้ จิตรู้จะมี 2 สถานะคือ 1.เป็นดวง 2.มีสภาพรู้ได้อยู่
ซึ่งถ้าเทียบกับไฟ จะเหมือนว่า ตอนนี้ 1.มีเปลวไฟให้เห็นได้ 2.มีอุณหภูมิที่รู้สึกถึงได้
กัลยาณชนจะอยู่ในสภาวะแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แต่ถ้ากัลยาณชนถ้ามีการฝึกฝนเพื่อเพิ่มกำลังของสัมมาสติ สัมมาสมาธิต่อไปอีกจนตั้งมั่น จิตรู้ก็จะกลายเป็นแบบที่ 3
3..ในกัลยาณชนที่มีกำลังแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นอย่างสุด ๆ เขาจะมีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนเดิม คือ ตอนนี้เขาจะควบคุมความคิดตนเองได้ คือ จะคิดก็ได้ ไม่คิดก็ได้ ในยามที่เขาไม่คิด ในขณะนั้น จิตปรุงแต่ง จะไม่เกิดขึ้น มันจะว่างเปล่าเป็นความว่าง ที่เขาก็เห็นไ้ด้อยู่ในความว่างเปล่าว่าไร้จิตปรุงแต่ง เมื่อจิตปรุงแต่งเป็นความว่างเปล่า .จิตรู้.ก็จะไม่เป็นดวงเหมือนอย่างข้อ 2 แต่จิตรู้จะมีสภาพเพียงรู้ เท่านั้น
ซึงผมจะเปรียบเทียบกับไฟ ถ้าไฟดับไป ท่านจะไม่เห็นเปลวไฟ แต่ท่านจะสมารถรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่ยังคงมีอยู่
*************
ผมเขียนถึงคน 3 จำพวก 1/2/3 ข้างต้น และในสภาพจิตรู้ในคนทั้ง 3 จำพวกแล้ว ท่านจะเห็นได้ว่า ส่วนที่ไม่เที่ยงของจิตรู้ คือ สภาพของพลังงานที่เป็นดวงเป็นก้อน ส่วนนี้จะไม่เที่ยง มันแปรเปลี่ยนได้ แต่ส่วนที่เทียงของจิตรู้ คือ สภาพแห่งการรู้ ที่ยังมีอยู่ในบุคคลที่ 2 และ ที่ 3
ดังเช่นไฟ ที่ผมยกมาเปรียบเทียบ เปลวไฟที่ท่านเห็นได้ รูปร่างของเปลวไฟมัีนไม่เที่ยง มันเแปรเปลี่ยนไปมาเสมอ แต่สภาพของอุหภูมิมันก็มีอยู่ของมันอย่างนั้น นี่คือสิ่งทีเที่ยง ไม่แปรเปลี่ยนตามรูปร่างของเปลวไฟแต่อย่างใด (หมายเหตุ ตัวอย่างเรื่องเปลวไฟนี้ก็ยังไม่ดีนัก ไม่เหมือนนักกับ.จิตรู้. เพราะอุหภูมิเองก็มีการเปลี่ยนแปลงได้ คือร้อนขึ้นหรือเย็นลง แต่ขอให้ท่านนึกถึงอุหภูมิก็พอ ไม่ต้องไปนึกถึงว่า กี่องศา ถ้านึกว่า กี่องศา อย่างนี้ก็จะทำให้ไม่เข้าใจได้ )
*** ขอให้นักภาวนาทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ดี เพราะเท่าที่ผมอยู่ในวงการกรรมฐานมา ไม่เคยมีใครพูดถึงรายละเอียดแห่งตัวจิตรู้ มีแต่พูดว่า ใครว่าจิตรู้เที่ยงคือมิจฉาทิฐิ ซึ่งคำพูดแบบนี้ ไม่ก่อประโยชน์ใด ๆ แต่นักภาวนาเลย เพราะนำไปใช้ในการฝึกฝนไม่ได้
ขอให้นักภาวนาได้เข้าใจว่า สภาวะของจิตรู้ นั้นจะแปรเปลี่ยนไปตามจิตปรุงแต่ง กล่าวคือ
AA..ถ้ามีจิตปรุงแต่งเกิดขึ้น จิตรู้จะเป็นดวง BB..ถ้าจิตปรุงแต่งไม่เกิดขึ้น จิตรู้จะไม่เป็นดวงแต่เป็นความว่างเปล่า แต่คงสภาพแห่งการรู้ได้ที่ยังอยู่ ส่วนที่เป็นสภาพรู้นี้จะเที่ยง ถ้าภาวนาได้ถึงความตั้งมั่นแห่งสัมมาสมาธิแล้ว
เนื่องจากนักภาวนายังเป็นคน ยังต้องมีความคิด มีการทำงานอยู่ ดังนั้น พอเกิดจิตปรุงแต่งขึ้น จิตรู้ก็จะเป็นดวง ถ้าไม่เกิดจิตปรุงแต่ง จิตรู้ก็จะว่างเปล่า นักภาวนาอย่าได้คิดว่า เมื่อภาวนาแล้วจิตรู้จะว่างเปล่าตลอดเวลา ซึ่งไม่ใช่แบบนั้น เพียงแต่ว่า นักภาวนาที่มีกำลังสัมมาสมาธิตั้งมั่นสุด ๆ จะควบความจิตปรุงแต่งได้ซึ่งคนธรรมดาจะควบคุมแบบนี้ไม่ได้ นี่คือความแตกต่าง
ในการเดินทางเพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์นั้น คือการควบคุมจิตปรุงแต่งนี่เอง ถ้านักภาวนาควบคุมได้อย่างอยู่หมัด เขาก็จะไม่เป็นทุกข์เลยตลอดไป
ขอให้ทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ดี เพราะทั้งหมดนั้นมาจากกำลังความตั้งมั่นแห่งสัมมาสมาธิทั้งสิ้นดังพุทธพจน์ที่ผมยกมาบ่อย ๆ ว่า .... ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเจริญสมาธิเถิด เมื่อจิตตั้งมั่น เธอจักเห็นธรรมตามความเป็นจริง...
การไร้ซึ่งจิตปรุงแต่ง จะทำให้จิตรู้ไม่เป็นดวง นี่คือสภาวะแห่งความว่างเปล่าอันเป็นสุญญตา มีแต่สภาะรู้ และ การทำงานของอายตนะปรากฏอยู่เท่านั้นครับ
***********************
สภาวะแห่งการไร้จิตปรุงแต่ง นักภาวนาจะรู้สึกเฉยๆ ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ แต่ถ้านักภาวนาภาวนาแล้ว รู้สึกว่า มีความสุข นั้นเป็นจิตปรุงแต่งครับ ถ้าเป็นจิตปรุงแต่ง มันก็เป็นไตรลักษณ์ มันไม่เที่ยง มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของ ๆ เรา นักภาวนาจึงไม่สมควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่นกับอาการสุขจากการภาวนา เพราะมันคือของเก็ ไม่ใช่ของจริงครับ
Create Date : 17 มกราคม 2554 |
|
14 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:09:09 น. |
Counter : 1143 Pageviews. |
|
|
|