อวิชชาคือโมหะ ใช่หรือไม่
ถ้าท่านถามผมว่า อวิชชาคือโมหะ ใช่หรือไม่ คำตอบจากผม คือ ไม่ใช่ครับ แต่ท่านอาจได้ยินได้อ่านจากที่อื่น จากครูบาอาจารย์อื่น ที่กล่าวว่า อวิชชาคือโมหะ ซึ่งผมจะไม่ขอไปยุ่งเกี่ยวด้วย ท่านอื่นจะว่าอย่างไร เป็นเรื่องของเขา ที่ผมว่า อวิชชาไม่ใช่โมหะ เพราะมันเป็นคนละตัวกัน และ หน้าที่ของมันก็ต่างกันครับ *** ผมจะกล่าวถึง.โมหะ.ก่อน ถ้าท่านลงมือฝึกฝนการเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิได้ดีพอระดับหนึ่ง ท่านจะเห็นได้ว่า โมหะคือความดำมืดที่เข้าครอบงำจิต ผลก็คือ ท่านจะกลายเป็นคนที่สูญเสียความรู้สึกตัวไป ดังนั้น การทำลายโมหะ ก็เพียงแต่ขอให้ท่านมีความรู้สึกตัวอยู่เท่านั้น โมหะก็เข้ามาไม่ได้ เขียนอย่างนี้เหมือนง่ายจังนะครับ แต่ในการปฏิบัติจริงไม่ง่ายเลย ที่ใครสักคนจะให้มีความรู้สึกตัวอยู่ได้เสมอๆ ได้บ่อย ๆ ได้ตลอดเวลา ถ้าจะเปรียบให้เข้าใจ โมหะ จะเหมือนกับอาการที่ท่านอยู่ในที่มืด ท่านมองไม่เห็นอะไรเลย เพราะมันไม่มีแสงสว่างให้ท่านมองเห็นอะไรได้ ในชีวิตจริง อาการโมหะนี้จะเกิดได้จาก 2 ลักษณะคือ 1.. เกิดจากจิตถูกตัณหาดึงให้ไหลไปยึดกับอายตนะใด อายตนะหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น ชายหนุ่มเห็นสาวสวยหุ่นดี หน้าตาดี จิตถูกตัณหาดึงให้ไหลออกผ่านทางประสาทตาไปยึดติดกับภาพของสาวสวยหุ่้นดีนั้น ทำให้เกิดการสูญเสียความรู้สึกตัวไป 2.. เกิดจากการหลงคิด จิตไหลเข้าไปเกาะยึดกับความคิด ***** ทีนี้ท่านอาจจะมีคำถามในใจต่อไปอีกว่า ถ้าอย่างนั้น ถ้าไม่มีโมหะ มีความรู้สึกตัวอยู่ แค่นี้ก็ไม่มีกิเลสแล้วใช่หรือไม่ ผมก็ขอตอบว่า ไม่ใช่ครับ ผมจะยกตัวอย่างให้เห็น ในคนที่อกหัก เขาเป็นทุกข์มาก เขาก็รู้ว่าเขาเป็นทุกข์มาก แต่เขาไม่สามารถสลัดหลุดออกจากอาการอกหักได้ การที่เขารู้ว่ากำลังเป็นทุกข์ นี่เขากำลังมีความรู้สึกตัวอยู่แล้ว แต่จิตใจเขามีกิเลสคือความกลุ้มใจทีเกิดขึ้นในความรักทีไม่สมหวัง โดยตัณหานี้จะถูกมัดจิตของเขาให้จมอยู่กับความคิดทีเป็นทุกข์ในเรื่องความรัก ถ้าท่านกำลังมีจิตใจดีอยู่ มีความร้สึกตัวดีอยู่ ตัณหาไม่กำเริบในจิตใจ ถ้าท่านอยู่ในสภาพอย่างนี้ ในขณะนั้น ท่านไม่มีกิเลสครับ แต่เป็นการไม่มีกิเลสอย่างชั่วคราว เพราะว่า อาการไม่รู้สึกตัว หรือ อาการตัณหากำเริบ จะโผล่มาเมื่อไรก็ได้ ถ้ามันโผล่มาเมื่อไร นั้นคืออาการที่กิเลสมาเยือนถึงบ้านแล้ว ผมได้กล่าวถึงกฏ 3 ข้อในการปฏิบัติไว้ คือ 1.รู้สึกตัว 2.ผ่อนคลาย เฉยๆ สบาย ๆ อย่าตึงเครียด 3.ไม่ต้องอยากรู้อะไร แต่ให้จิตเขารู้เอง ขอให้ท่านสังเกตกฏ 3 ข้อนี้ ถ้าท่านอยู่ในสภาพอย่างนี้เมื่อไร จิตท่านตอนนั้นไม่มีกิเลสอยู่ครับ และถ้าท่านอยู่ในกฏ 3 ข้อนี้ได้เสมอๆ จิตท่านก็ไม่มีกิเลสอยู่เสมอ ๆ ถ้าการปฏิบัติของท่านคือการทำลายกิเลส กฏ 3 ข้อนี้ก็คือการทำลายกิเลสตามจุดมุ่งหมายแล้ว ถ้าวันใดในขณะที่ท่านกำลังอยู่ในกฏ 3 ข้อนี้ แล้วท่านเกิดเป็นลมล้มฟุบขาดใจลงไปทันทีทันใด ก็เป็นอันหวังได้ว่า ท่านมีสุขคติอันมีที่ไปอย่างแน่นอนครับ **************** ผมจะเขียนถึง อวิชชา ต่อไป อวิชชา คือ การไม่รู้จริงในกลไกอาการของ จิต เมื่อไม่รู้จริง จะเกิดผลดังนี้ 1..ไม่รู้ว่า ในขณะนี้ จิตถูกครอบงำอยู่หรือไม่ 2...ความไม่รู้แจ้งถึงความเป็นอนัตตาของจิต 3.. ไม่รู้แจ้งถึงความเป็นสุญญตา ที่ว่าไม่รู้แจ้ง หมายความว่า ยังมองไม่ออกว่า ที่แท้แล้ว ตัวตนนั้นมันไม่มี แต่มันเป็นอนัตตา มันเป็นสุญญาตา เหตุทีไม่รู้แจ้ง เพราะจิตถูกครอบงำอยู่ การรู้แจ้งในอาการดังกล่าว คือ การทำลายล้างอวิชชา เป็นการรู้แจ้งในความจริงของธรรมชาติอย่างแท้จริง การรู้แจ้งอย่างนี้ได้นั้น จะต้องมาจาก.ปัญญาญาณ.ของนักภาวนา ที่.เห็น.สภาวะของสุญญาตาได้ เห็นอาการเปลี่ยนแปลงของจิตได้แล้ว เมื่อนักภาวนาลงมือฝึกฝนการเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิ อย่างถูกต้อง โดยเริ่มต้นจากการที่จิตไม่มีกำลังความตั้งมั่นเลย ใหม่ ๆ สิ่งที่นักภาวนาจะได้จากการฝึกฝน คือ การมีสัมมาสติ และ การมีสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่้นเพิ่มขึ้น พอกำลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิเพิ่มมากขึ้นจากเดิมได้ถึงระดับหนึ่ง นักภาวนาจะเริ่มเห็นอาการของขันธ์ 5 ที่เป็นไตรลักษณ์ได้ นักภาวนาจะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ตามที่สอนปัญจวัคคีย์ไว้ว่า ที่ว่าขันธ์ 5 ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของ ๆ เรา เป็นอย่างนี้เอง เมื่อนักภาวนาภาวนาต่อไปอีก ความตั้งมั่นของกำลังจิตมีมากขึ้น นักภาวนาจะเริ่มมีความสามารถเห็นดวงจิตของตนเองได้เพิ่มขึ้นจากที่เคยเห็นอาการของขันธ์ 5 มาแล้ว ในระยะแรกเริ่มนี้ นักภาวนาจะเห็นดวงจิตของตนเอง เป็นดวงหรือเป็นเม็ด และการที่ดวงจิตไปเห็นอาการของขันธ์ 5 ด้วย ก็จะเกิดเป็นสภาวะของคู่ขึ้น คือ มีผู้เห็น ซึ่งก็คือ ดวงจิต และ มีสิ่งที่ถูกเห็น คืออาการของขันธ์ 5 เมื่อนักภาวนาฝึกฝนต่อไป กำลังสัมมาสมาธิตั้งมั่นมากขึ้น จะมีการเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจ ที่ยากที่จะเขียนอธิบายได้ แต่นักภาวนาจะเห็นอาการอย่างหนึ่งในจิตใจที่มีการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงนี้ จะทำในนักภาวนาเห็นสภาพดวงจิตที่เคยเป็นดวงหรือเป็นเม็ดอยู่ ได้แตกสลายออก กลายเป็นสภาพของความว่างเปล่า แต่ยังคงมีสภาพแห่งอาการรู้ที่ปรากฏอยู่เท่านั้น (หมายเหตุ 1 ...คล้าย ๆ กับลูกโป่งที่แตกออก แล้วตัวแก๊สในลูกโป่งก็พุ่งออกมาจากลูกโป่งนั้น แต่ตัวแก๊สเป็นความว่างเปล่ายังคงอยู่ แต่ตัวลูกโป่งได้แตกทำลายไปแล้ว ) (หมายเหตุ 2.. ก่อนหน้านี้ เมื่อดวงจิตเป็นดวงอยู่ จะเป็นว่า มีดวงจิตเป็นดวงหรือเป็นเม็ดและมีสภาพรู้ แต่เมื่อดวงจิตแตกสลายออก จะกลายเป็นว่า ดวงจิตไม่เป็นดวงแล้วแต่เป็นความว่างเปล่า แต่ยังมีสภาพรู้ปรากฏอยู่เช่นเดิม นี่คือความแตกต่างระหว่าง 2 สถานะ) การเปลี่ยนแปลงนี้ที่จิตกลายสภาพเป็นความว่างเปล่า จะส่งผลให้ความว่างเปล่าครอบคลุมเป็นวงกว้างออกไปและสภาวะแห่งของคู่ก็สิ้นสุดลง จะเหลืออยู่แต่ความว่างเปล่าและการทำงานของอายตนะที่ปรากฏอยู่ในความว่างเปล่าเท่านั้น นี่คือสภาวะแห่งวิชขาที่ทำลายล้างอวิชชา ที่นักภาวนาจะได้พบเห็นเองเมื่อภาวนาถึงจุดนี้ นักภาวนาจะเข้าใจความไม่มีตัวตนเมื่อถึงจุดนี้ **** ท่านจะเห็นได้ใช่ใหมครับว่า โมหะ และ อวิชชา นั้น เป็นคนละอย่างกัน ไม่เหมือนกัน ทำหน้าทีต่างกัน โมหะ ถูกทำลายเพราะมีความรู้สึกตัว อวิชชา ถูกทำลายเพราะมีปัญญาญาณ ในคนที่กำลังไม่มีโมหะครอบงำจิต เขายังมีอวิชชาอยู่ แต่คนที่ไม่มีอวิชชาแล้ว เขาไม่มีโมหะอย่างแน่นอนครับ *****
Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2554
14 comments
Last Update : 22 ตุลาคม 2561 8:09:35 น.
Counter : 1959 Pageviews.
โดย: shadee829 27 กุมภาพันธ์ 2554 10:44:04 น.
โดย: คนไม่ธรรมดา IP: 223.205.6.120 27 กุมภาพันธ์ 2554 17:43:33 น.
โดย: ทำไม่เป็น IP: 115.87.189.246 27 กุมภาพันธ์ 2554 18:26:10 น.
โดย: นมสิการ 27 กุมภาพันธ์ 2554 18:45:43 น.
โดย: เนื้อนาบุญ IP: 125.26.83.225 27 กุมภาพันธ์ 2554 21:29:01 น.
โดย: นมสิการ 28 กุมภาพันธ์ 2554 6:37:44 น.
โดย: เนื้อนาบุญ IP: 101.108.193.139 28 กุมภาพันธ์ 2554 18:48:31 น.
โดย: นมสิการ 28 กุมภาพันธ์ 2554 19:14:11 น.
โดย: ทำไม่เป็น IP: 61.90.107.176 28 กุมภาพันธ์ 2554 20:28:12 น.
โดย: ลุง 'บุรีราช' IP: 125.27.179.188 1 มีนาคม 2554 8:52:32 น.
โดย: คนไม่ธรรมดา IP: 223.204.172.130 1 มีนาคม 2554 19:11:38 น.
โดย: นมสิการ 1 มีนาคม 2554 19:38:31 น.
โดย: คนไม่ธรรมดา IP: 223.204.172.130 1 มีนาคม 2554 19:47:09 น.
โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 15:20:44 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****