การดูจิต เป็นการปฏิบัติที่ตรง
บทความนี้ ผมเขียนขึ้นจากประสบการณ์ส่วนตัวที่พบเห็นเองจากการปฏิบัติที่ผ่านมา จึงขอให้ท่านอ่านด้วยวิจารญาณ อย่าได้เชื่อโดยไม่ได้พิสูจน์
มีคำสอนของครูบาอาจารย์หลาย ๆ ท่านที่ผมได้เคยอ่านมา ที่กล่าวว่า การปฏิบัติด้วยการดูจิตเป็นวิธีการที่ลัดสั้น ซึ่งผมก็เคยสงสัยว่า มันลัดสั้นอย่างไร และ ถ้าลัดสั้นจริง ทำไมในสติปัฏฐาน 4 ถึงมีหมวด กาย หมวดเวทนา ด้วย ทำไมไม่มีเฉพาะหมวด จิต และหมวดธรรม อันเป็นหมวดที่ตรงกว่า
ลองมาอ่านดูความเห็นของผมกันครับ
ถ้าท่านได้เคยปฏิบัติ หรือ เคยอ่าน สติปัฏฐาน 4 ในหมวด จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในนั้นได้กล่าวโดยย่อว่า จิตมีราคะ ก็ให้รู้ว่า จิตมีราคะ จิตมีโมหะ ก็ให้รู้ว่า จิตมีโมหะ จิตมีโทสะ ก็ให้รู้ว่า จิตมีโทสะ และอื่น ๆ อีกของจิต ท่านจะเห็นว่า ครูบาอาจารย์ที่สอนการดูจิต ก็สอนอย่างนี้ที่ตรงกับสิ่งที่กล่าวไว้ในสติปัฏฐานสูตร
แต่ว่า ........ อันว่า จิตมีโมหะ จิตมีโทสะ จิตมีโลภะ นี่เป็นจิตตสังขาร หรือ เรียกตามตำราว่า เจตสิก ซึ่งไม่ใช่จิต
ถ้าดูอย่างนี้ มันจะลัดสั้นได้อย่างไร เพราะไม่ใช่การดูจิต แต่เป็นการดูเจตสิก
ลองมาอ่านกันต่อไปครับ
ปัญหาความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์นั้น มาจากความรู้สึกถึงความมีอยู่ของตัวตน ความเป็นตัวตน สิ่งของต่าง ๆ ( เช่น พ่อแม่ลูกเมีย บ้าน รถ ตำแหน่งหน้าทีการงาน ชื่อเสียงหน้าตาในสังคม อารมณ์โกรธ อารมณ์ดีใจ อารมณ์เสียใจ และอื่น ๆ ) นั้นเป็นของเรา เป็นเรา
เมื่อเป็นเช่นนี้ การรู้ว่าจิตมีโทสะ จิตมีโลภะ จิตมีโมหะ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงการดับทุกข์ได้ เพราะรู้ทีไร มันก็เป็นเรา เป็นของเราทุกที
การเข้าถึงการดับทุกข์ได้นั้น ต้องเข้าไปที่ต้นเหตุ ก็คือ การเข้าไปทำลายความรู้สึกถึงความเป็นตัวตนให้หมดลง เมื่อทำลายความรู้สึกนี้ได้แล้ว เมื่อไม่มีตัวตน ทุกข์ก็จบสิ้นลงไปทันที
อันความรู้สึกว่ามีตัวตน นี่คือ อาการของจิตอย่างหนึ่ง ซึ่งในตำราไม่ได้กล่าวไว้ การดูจิตที่ทำให้ทุกข์สิ้นสุดลงในความเห็นของผม ก็คือ การรู้ในสิ่งนี้ ดังนั้นในสติปัฏฐาน 4 ทั้ง 4 หมวด (กาย เวทนา จิต ธรรม ) ก็คือ ขบวนการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงจิตเพื่อให้จิตรู้ในความไม่มีตัวตนนั้นเอง การดูจิตที่ลัดสั้นนั้น ก็คือ การปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 เพื่อให้จิตรู้ถึงความไม่มีตัวตน
จิตนั้นมองไม่เห็น แต่อาการของจิตนั้นเห็นได้เมื่อปฏิบัติและเข้าใจวิธีการเห็น
ธรรมชาติของจิตนั้น รู้อารมณ์ ( คำว่า อารมณ์คือสิ่งต่าง ๆ ที่จิตไปรู้ถึงได้ ไม่ใช่หมายถึงแต่เฉพาะ อาการปรุงแต่งของจิตเช่น ความโกรธ ความเกลียด ดีใจ เสียใจ เป็นต้น) เมื่อปฏิบัติ การรู้สึกถึงสิ่งที่รู้สึกได้ในขณะหนึ่งที่เกิดเดียวนี้สด ๆ ก็คือ การเห็นจิตทางอ้อม ที่ไม่ได้ดูจิตตรง ๆ (หมายเหตุ ที่ต้องดูจิตทางอ้อม เพราะ จิตเป็นสุญญตา จะดูจิตตรง ๆ ไม่ได้ครับ)
เมื่อมือท่านจับสิ่งของ ท่านรู้สึกถึงการสัมผัสได้ นี่คือการรู้สึกถึงจิตที่กำลังรู้อารมณ์การสัมผัสอยู่ ในขณะที่ท่านกำลังอ่านบทความของผมนี้ ตาท่านมองเห็น หูท่านได้ยิน จมูกท่านได้กลิ่น กายรู้การสัมผัส เมื่อจิตใจมีการนึกคิดท่านก็รู้ นี่คือการที่จิตรู้กำลังรู้อารมณ์ที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้อย่างสด ๆ ถ้าท่านสังเกตก็จะเข้าใจได้ไม่ยากเลยว่า การรู้หลายๆ อย่างดังทีผมกล่าวไว้ข้างต้นนี้ จะเป็นการรู้ที่เกิดขึ้นอย่างถี่ยิบ นี่คือจิตแปรเปลี่ยนอย่างถี่ยิบนั้นเอง และการรู้นี้ ก็รู้ได้เอง ห้ามไม่ให้รู้ก็ไม่ได้เสียด้วย นี่คือความเป็นไตรลักษณ์ของจิต ความไม่เที่ยงของจิต ความไม่มีตัวตนของจิต ท่านลองพิจารณาตามและสังเกตของจริงที่กำลังเกิดขึ้น ณ บัดนี้ ท่านก็จะเห็นได้จริงด้งที่ผมกล่าวไว้ นี่ครับ คือ วิธีการปฏิบัติด้วยการดูจิต เพื่อให้เห็นความไม่มีตัวตน ความไม่ใช่ตัวตน เพื่อให้หลุดจากทุกข์ใจ
บทความหลาย blog ที่ผมเขียนเกี่ยวกับ กายานุปัสสนาสติปฺฏิฐาน ที่แท้ ก็คือ การรู้ความรูสึกที่กาย ซึ่งก็คือ การดูจิตนันเอง
ผมขอสรุปเอาเอง อือเองว่า การปฏิบัติกายานุปัสสนาสติปัฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฐาฐาน ด้วยการรู้ความรู้สึกของกาย ความรู้สึกของเวทนา ความรู้สึกของจิตใจ ย่อมนำลงสู่ไตรลักษณ์อันเป็นธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ด้วยกันหมดทั้งสิ้น นี่คือ การรู้ความรู้สึกของกาย ของเวทนา ของจิตใจ ก็คือ การดูจิตนั้นเองแต่ไม่ใช่การดูโดยตรง เป็นการดูแบบอ้อม ๆ สำหรับการเริ่มต้นฝึกฝน ต่อเมื่อการฝึกฝนถึงทางแห่งปัญญา ผู้ปฏิบัติย่อมเห็น จิต อันเป็น สุญญตาได้ต่อไป
การดูจิตจึงเป็นการปฏิบัติที่ตรง ด้วยเหตุนี้ครับ
ลองพิจารณาดูครับ
แนะนำอ่านเพิ่มเติม ภาพเปรียบเทียบสภาวะจิต 3 แบบ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=06-2009&date=07&group=1&gblog=31
หมายเหตุ 1.บทความนี้เป็นเรื่องกึ่งปัญญา ท่านอาจอ่านแล้วไม่เข้าใจ ผมก็ขออภัยต่อท่านที่เข้ามาอ่านด้วยครับ .
2. บทความนี้ ไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่ท่านสอนการดูจิต ผมเพียงแต่เสนอความเห็นส่วนตัวให้แก่สาธารณชน ถ้าท่านไม่เห็นด้วย ก็ขออย่าได้ใส่ใจในข้อเขียนของผม ถ้าท่านโกรธผมในสิ่งที่ผมเขียน ผมก็แนะนำให้ท่านดูจิตของท่านในขณะที่กำลังโกรธอยู่ครับ ถ้าโกรธท่านยังไม่ดับ ก็แสดงว่า ท่านยังต้องเดินอีกไกลเลยครับ หรือ อาจเป็นว่า ท่านยังไม่รู้ทางเดินเสียด้วยซ้ำไป
Create Date : 02 ตุลาคม 2552 |
|
5 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 19:06:56 น. |
Counter : 1673 Pageviews. |
|
|
|
ตั้งใจ
เข้าใจเอง