การพิสูจน์แพทย์โดยแพทย์ในคดีกระทำการโดยประมาท
ตามปกติผู้เสียหายที่ฟ้องแพทย์ฐานกระทำการโดยประมาท จะต้องเป็นฝ่ายพิสูจน์ว่าการกระทำของแพทย์เป็นการกระทำโดยประมาท แต่เนื่องจากการรักษาพยาบาลดังกล่าวอยู่ภายใต้การรับรู้ของแพทย์แต่ผู้เดียว จะให้ชาวบ้านไปพิสูจน์การกระทำของแพทย์ได้อย่างไร จึงได้มีการผ่อนคลายกฎโดยกลับโยนภาระการพิสูจน์กลับไปให้แพทย์ โดยแพทย์ต้องพิสูจน์ว่าตนเองมิได้กระทำโดยประมาท เรียกหลักโยนภาระการพิสูจน์นี้ว่า Res Ipsa Loguitur ผู้เสียหายจะโยนภาระการพิสูจน์กลับไปให้แพทย์ได้ต่อเมื่อพิสูจน์ได้ว่า 1. การกระทำนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ 2. ผู้ป่วยต้องมิได้กระทำการใดที่เป็นการเพิ่มเติมเหตุละเมิด 3. หากแพทย์ใช้ความระมัดระวังเพียงพอ ความเสียหายย่อมไม่เกิด คดี Kerber V Saries : ผู้ป่วยรายหนึ่งเข้ารับการผ่าตัดแก้ไขนิ้วเท้าที่ผิดปกติ เมื่อฟื้นจากสลบอยู่ในห้องพักฟื้น ผู้ป่วยพบว่าฟันซี่หน้าของเธอหายไป แพทย์ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่า สาเหตุเกิดจากวิสัญญีพยาบาลใช้แรงมากเกินไปในขณะดมยา เป็นเหตุให้เครื่องมือไปกระแทกถูกฟันผู้ป่วยศาลรัฐนิวยอร์ก วินิจฉัยว่าคดีนี้ต้องโยนภาระการพิสูจน์กลับไปให้แพทย์เพราะ 1. อยู่ดี ๆ ฟันของผู้ป่วยที่มารับการผ่าตัดเท้าจะหลุดเองได้อย่างไร 2. การกระทำดังกล่าวอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ฝ่ายเดียว 3. ผู้เสียหายมิได้มีส่วนร่วมในการกระทำละเมิด มีตัวอย่างคดีที่ศาลไทยยอมรับหลัก Res Ipsa Loguitur หรือหลักโยนภาระการพิสูจน์ให้ฝ่ายจำเลยเช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 292/2542 : แม้พยานโจทก์ไม่สามารถนำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 2ประมาทเลินเล่อในการผ่าตัดและรักษาพยานโจทก์อย่างไร แต่การที่แพทย์อีกคนหนึ่งต้องผ่าตัดแก้อีก 3 ครั้ง แสดงว่าจำเลยที่ 2 ผ่าตัดมีข้อบกพร่องจึงต้องแก้ไข ... เหตุที่ศาลยอมรับหลักเรื่องโยนภาระการพิสูจน์เพราะการผ่าตัดอยู่ภายใต้การควบคุมดุและของหมอผ่าตัดเพียงฝ่ายเดียว และผู้เสียหายมิได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด เป็นการยากที่จะให้โจทก์ซึ่งไม่ใช่แพทย์ จะนำสืบถึงความบกพร่องในการกระทำของแพทย์ได้ นับว่าเป็นหลักที่ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เสียหาย หน้าที่นำสืบในคดีอาญา (Burden of Proof) จากตัวอย่างคดีที่กล่าวถึงทั้งหมดทั้งของต่างประเทศและของไทยล้วนแต่เป็นคดีแพ่ง แต่มาในระยะหลัง ๆ กลับปรากฏว่าผู้เสียหายได้ฟ้องว่าเป็นคดีอาญาซึ่งมีโทษถึงจำคุกเข้ามาด้วย และปรากฏว่าหลายคดีศาลชั้นต้นหมอให้รับผิดฐานกระทำโดยประมาท พิพากษาลงโทษจำคุกหมอโดยไม่รอลงอาญา ทำให้หมอเกิดความวิตกอย่างยิ่ง ในคดีอาญา โจทก์มีหน้าที่นำสืบพิสูจน์การกระทำความผิดของจำเลย หน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาเป็นแบบเข้มข้นเคร่งครัดกว่าคดีแพ่ง กล่าวคือโจทก์จะต้องนำสืบให้ปราศจากข้อสงสัย (Proof beyond reasonable doubt) ว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้น และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด หากมีข้อสงสัย ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย โดยไม่ต้องคำนึงถึงพยานจำเลย เราลองมาดูคำพิพากษาที่หมอให้ความสนใจกัน คดีแรกเป็นคดีเกิดขึ้นที่ศาลจังหวัดทุ่งสง ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าที่โรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่งไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวิสัญญี ผู้ป่วยมาโรงพยาบาลด้วยอาการไส้ติ่ง จำเลยซึ่งเป็นแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปได้ทำหน้าที่วิสัญญีโดยให้ผู้ป่วยดมยา แต่ผู้ป่วยเกิดมีอาการแทรกซ้อนขณะผ่าตัดและเสียชีวิตในเวลาต่อมา จากหลักกฎหมายจะเห็นได้ว่าในกรณีนี้การที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยซึ่งเป็นแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปประมาทหรือไม่ จะต้องเปรียบเทียบกับแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปที่ต้องมาทำหน้าที่วิสัญญีแพทย์ และอาการแทรกซ้อนของผู้ป่วยเป็นผลจากการกระทำของจำเลยหรือไม่ คดีนี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยประมาท และพิพากษาจำคุกจำเลย 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา โชคดีที่ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยพิพากษากลับคำพิพากษาชั้นต้น แสดงว่าศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์พิสูจน์ไม่ได้ว่าจำเลยประมาท ภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาเป็นเรื่องหนึ่ง การคาดหมายการกระทำของจำเลยมิได้เป็นผลโดยตรงที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการแทรกซ้อน (Direct Cause)
Create Date : 20 มิถุนายน 2553 |
Last Update : 20 มิถุนายน 2553 13:23:19 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1768 Pageviews. |
|
|