สิทธิที่จะตาย (Right to die)
สิทธิที่จะตายเป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ประการหนึ่ง ตรงข้ามกับสิทธิที่จะมีชีวิต ( Right to life ) สิทธิที่จะตายเป็นสิทธิที่จะปฏิเสธการรักษาประเภทหนึ่ง เป็นสิทธิที่มนุษย์คนหนึ่งมีอำนาจที่จะแสดงตนว่าตนเองไม่ประสงค์จะมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยต้องใช้เครื่องช่วยหายใจหรือเครื่องช่วยยึดชีวิต ( Prolong life ) เพราะเห็นว่าการมีชีวิตอยู่ต่อไปทำให้ลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของตน ( Dehumanization ) หากตนเองเลือกที่จะตายแล้วเป็นการเรียกฟื้นคืนศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของตนขึ้นมาได้ ( Rehumanization of the dying process ) แม้จะต้องตายก็เป็นการตายอย่างมีศักดิ์ศรี ( Death with dignity ) การตายอย่างสงบ ( Euthanasia ) คำว่า Euthanasia มาจากภาษากรีก แปลว่าการตายอย่างสงบ ( Good death ) หรือการุณยฆาต ( Mercy killing ) หมายถึงการที่ผู้ป่วยอาการหนักไม่สามารถรักษาหายได้ เลือกที่จะตายโดยอาศัยความร่วมมือจากแพทย์ ( Physician assitsted suicide ) อาจจะเป็นการอาศัยแพทย์ช่วยเร่งการตาย ( Active Euthanasia ) หรือผู้ป่วยขอตายอย่างสงบโดยไม่ให้หมอใช้เครื่องช่วยชีวิตใด ๆ ( Passive Euthanasia ) มีกรณีคล้าย ๆ กันกรณีหนึ่งคือ การที่ผู้ป่วยในขณะที่มีสติสัมปชัญญะดีได้แสดงเจตน์จำนง (Living will) หรือคำสั่งไม่ขอรับการฟื้นชีวิต (Do not Resuscitate Orders) ซึ่งได้ทำเป็นหนังสือไว้ล่วงหน้าว่าจะไม่ขอรับการรักษาตามอาการแบบประคับประคอง (Palliative) หรือ hospice care หมอมีหน้าที่ต้องเคารพเจตนาของผู้ป่วยซึ่งได้เลือกที่จะตายตามวิธีที่ตนต้องการ การที่หมอปล่อยให้ผู้ป่วยตายตามวิธีการที่ผู้ป่วยได้แสดงเจตน์จำนงไว้ล่วงหน้าไม่เรียกว่าเป็น Euthanasia โดยเหตุที่ในสหรัฐและยุโรป มีกฎหมายบัญญัติความผิดกับผู้ที่ช่วยให้ผู้อื่นฆ่าตัวตาย ดังนั้นหากหมอมีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยฆ่าตัวตายจึงจำเป็นต้องออกกฎหมายมาคุ้มครอง (Physician assisted suicide act) Oregon เป็นรัฐแรกของสหรัฐที่มีกฎหมายเกี่ยวกับ Euthanasia ที่อนุญาตให้หมอมีส่วนช่วยการตายอย่างถูกกฎหมาย (Physician assisted suicide) ชื่อว่า Oregons Death with Dignity Act 1997กฎหมายดังกล่าวมีข้อถกเถียงอย่างมาก ฝ่ายที่สนับสนุนเห็นว่าถือเป็นสิทธิโดยชอบที่บุคคลจะกำหนดชะตากรรมของตนเอง รวมถึงสิทธิที่จะเลือกจบชีวิตเพื่อจะได้พ้นจากความทุกข์ทรมาน และเห็นด้วยว่าหมอมีหน้าที่ช่วยผู้ป่วยให้จบชีวิตเร็วขึ้น หากผู้ป่วยอยู่ในสภาพใกล้สมองตายไม่มีโอกาสรอดชีวิตได้แล้ว ฝ่ายที่คัดค้าน เห็นว่าการฆ่ามนุษย์ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลใด ๆ ก็ถือเป็นความผิดทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังถือว่าหมอมีหน้าที่เพียงแต่รักษาผู้ป่วยเท่านั้น ไม่มีหน้าที่ช่วยทำให้ผู้ป่วยตาย รัฐ Texas ได้ออกกฎหมายที่น่าสนใจในเรื่องนี้ชื่อ Texas Advance Directive Act หรือ Texas Futile Care Law เป็นกฎหมายที่อนุญาตให้แพทย์ตัดสินใจสิ้นสุดการรักษาผู้ป่วยเพียงเพื่อช่วยยึดชีวิต (discontinue life-sustaining treatment) หากเห็นว่าป่วยการที่จะรักษาต่อไป (futile) ไม่ว่าผู้ป่วยจะยากดีมีจนอย่างไร หรือประสงค์จะรักษาตัวไปจนกว่าจะตายก็ตาม โดยแพทย์จะต้อง:- : แจ้งให้ผู้ป่วยหรือผู้แทนโดยชอบธรรมทราบล่วงหน้าเป็นเวลา 10 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยหรือญาติหาที่รักษาพยาบาลแห่งใหม่ก่อน : เปิดโอกาสให้ญาติร่วมปรึกษาหารือกับคณะกรรมการจริยธรรมของโรงพยาบาลถึงเหตุผลและความจำเป็น : หากญาติไม่เห็นด้วย อาจยื่นคำร้องต่อศาลขออนุญาตให้ขยายระยะเวลาออกไปก่อน : หากญาติไม่ยื่นคำร้อง หรือศาลปฏิเสธคำร้อง หมอมีสิทธิถอดเครื่องช่วยชีวิตได้เองฝ่ายเดียวโดยชอบด้วยกฎหมาย เหตุผลที่มีกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าผู้ป่วยที่อาการหนักรักษาไม่หาย (Futile) ไม่คุ้มค่าที่จะระดมทรัพยากรอันมีค่าให้ต่อไป ควรสงวนทรัพยากรอันมีอยู่อย่างจำกัดนั้นให้แก่ผู้ป่วยที่มีโอกาสมีชีวิตอยู่ต่อไปจะดีกว่า กลุ่ม Dignitas หรือกลุ่มทัวร์ฆ่าตัวตายในสวิส กฎหมายอาญาฐานฆ่าผู้อื่นของสวิสระบุเป็นความผิดเมื่อผู้กระทำ กระทำเพื่อแสวงหาประโยชน์สำหรับตนเอง (Self-interest) จึงเกิดองค์กรการกุศลที่ไม่แสวงหากำไร ดำเนินกิจการช่วยเหลือผู้ป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจให้จบชีวิตอย่างสงบในลักษณะ Active Euthanasia โดยแพทย์จะเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่นก๊าซฮีเลียมช่วยในการฆ่าตัวตายของผู้ป่วย ค่าบริการรวมทั้งค่าจัดเตรียมอุปกรณ์ ค่าแพทย์และพยาบาล ตลอดจนพิธีการฝังศพตกประมาณคนละ 4,000 7,000 ยูโร เหตุที่เรียกว่าเป็นกลุ่มทัวร์ฆ่าตัวตายก็เพราะผู้ป่วยที่เข้ามารับบริการส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวเยอรมัน บริการของกลุ่ม Dignitas ต้องพบกับคู่แข่งชื่อว่ากลุ่ม Exit ที่เน้นให้บริการเฉพาะลูกค้าชาวสวิสเท่านั้น สำหรับประเทศไทยกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องหมอช่วยจบชีวิตผู้ป่วยยังไม่ก้าวหน้าเหมือนอย่างสหรัฐหรือยุโรป คงมีแต่สิ่งที่เรียกว่าการแสดงเจตน์จำนงไว้ล่วงหน้าในขณะมีสติสัมปชัญญะ ( Living Will ) ซึ่งกล่าวมาแล้วว่าไม่ใช่เรื่อง Euthanasia ตามพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 12 บุคคลมีสิทธิทำหนังสือ แสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยึดการตายในวาระสุดท้ายของตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้ .... เป็นเรื่องที่ผู้ป่วยแสดงเจตนาเลือกที่จะตายอย่างธรรมชาติโดยปฏิเสธเครื่องมือแพทย์ หากผู้ป่วยแสดงเจตนาเป็นหนังสือโดยถูกต้อง แพทย์ก็ต้องเคารพเจตนาของผู้ป่วย การกระทำดังกล่าวของแพทย์ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย มีปัญหาว่า หากผู้ป่วยอยู่ในสภาวะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้รักษาไปก็ไม่มีทางหาย แต่ผู้ป่วยไม่ได้แสดงเจตนาเป็นหนังสือในเรื่องดังกล่าว ผู้แทนโดยชอบธรรมจะแสดงเจตนาปฏิเสธการรักษาได้หรือไม่ เจตนาปฏิเสธการรักษาได้หรือไม่ ทำนองเดียวกันหากผู้ป่วยเป็นเด็กหรือผู้ป่วยที่วิกลจริต ผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้อนุบาลจะแสดงเจตนาปฏิเสธการรักษาได้หรือไม่ พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 12 ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวไว้ แต่ดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้นว่าในกรณีจำเป็น หมอมีทั้งหน้าที่ตามกฎหมายและตามจริยธรรมที่จะต้องรักษาผู้ป่วย แต่หากหมดความจำเป็น และผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้อนุบาลแสดงเจตนาเป็นหนังสือที่จะปฏิเสธไม่รับการรักษาอีกทั้งมีเครื่องบ่งชี้ว่าผู้ไร้ความสามารถ ผู้เยาว์ หรือผู้วิกลจริตให้ความเห็นชอบกับการตัดสินใจดังกล่าว หมอจึงจะมีสิทธิยุติการรักษาได้ กรณีดังกล่าวในต่างประเทศอาจจะต้องยื่นคำร้องขออำนาจศาลแทน คดี Ruzan V Director , Missouri Department of Health ,497 U.S. 261 (1990) Ruzar เป็นหญิงสาวที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อยู่ในสภาพโคม่ามานาน 8 ปี ต่อมาบิดามารดาของเธอได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ถอดท่อให้อาหารที่เป็นเครื่องช่วยชีวิตให้หล่อน ศาลมิสซูรี่ปฏิเสธคำร้องเพราะผู้ร้องไม่มีหลักฐานแสดงว่าหล่อนตั้งใจที่จะจบชีวิต ศาลสูงสหรัฐเห็นด้วยกับคำวินิจฉัย แต่ยังยืนยันสิทธิที่จะตายเป็นสิทธิโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ต่อมาผู้ร้องแสดงหลักฐานพิสูจน์ได้ ศาลจึงอนุญาตให้ถอดท่อให้อาหาร ต่อมา Ruzan ตายเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 1990 สำหรับเรื่องการยุติการรักษาโดยแพทย์ตัดสินใจถอดเครื่องช่วยชีวิตผู้ป่วยตามลำพังเพราะเห็นว่าผู้ป่วยไม่มีโอกาสรอดชีวิต (Futile) รักษาไปก็รังแต่จะสิ้นเปลืองทรัพยากรอันมีอยู่อย่างจำกัด สมควรสงวนทรัพยากรที่มีอยู่นั้นไว้สำหรับผู้ป่วยที่ยังมีโอกาสรอดชีวิตจะดีกว่าได้หรือไม่ เห็นว่าขณะนี้กฎหมายไทยยังไม่อนุญาตให้ทำได้ การกระทำดังกล่าวยังถึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ปัญหาดังกล่าวคงจะต้องมีการถกเถียงกันอีกนานเพราะเป็นเรื่องคาบเกี่ยวกับจริยธรรม การรักษาผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง (Palliative Care) เมื่อผู้ป่วยมีอาการบ่งชี้ว่าอาการของโรคที่เป็นอยู่ไม่อาจรักษาให้หายได้และจะต้องตายในไม่ช้า การรักษาผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองน่าจะดีกว่าการรักษาแบบมุ่งหวังให้หาย (Curative Care) การรักษาแบบประคับประคองเป็นการรักษาตามอาการเพื่อทำให้ผู้ป่วยได้รับความเจ็บปวดทรมานน้อยที่สุดในห้วงสุดท้ายของชีวิต สถานบำบัดผู้ป่วยระยะสุดท้าย (Hospice Care) สถานบำบัดผู้ป่วยระยะสุดท้ายซึ่งอาจเป็นโรงพยาบาลศูนย์สงเคราะห์หรือบ้านที่รับดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับความเจ็บปวดทรมานน้อยที่สุดไม่ได้มุ่งหวังให้หายจากโรค ปรัชญาของสถานบำบัดผู้ป่วยระยะสุดท้าย คือการช่วยเหลือและการดูแลเอาใจใส่ให้ผู้ป่วยได้จากไปอย่างสงบ ข้อมูลจาก Lannalaw
Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2553 |
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2553 11:50:19 น. |
|
1 comments
|
Counter : 2507 Pageviews. |
|
|
และของเอาไปใช้เป็นรายงานส่งอาจารย์นะคะ....คุณหมอ