ตุลาคม 2555

 
1
2
3
4
10
12
17
19
20
21
22
23
27
30
 
 
All Blog
เสพติดรัก mydarling บทที่13

Chapter 13

เริ่มวันใหม่ของสัปดาห์ทุกอย่างกลับมาอยู่ในสภาวะปกตินักศึกษายังคงนั่งรวมกันเป็นกลุ่มที่หน้าคณะเรียนส่งเสียงดังเป็นระยะๆ เมื่อบรรดาเหล่าเพื่อนพ้องเจอหน้ากันความสนุกสนานตอนไปแคมป์จบลงแล้วแต่ยังคงเป็นเรื่องเด่นที่หยิบยกเอามาพูดคุยในวงสนทนา

“นี่แกดูสิผิวเกรียมหมดเลยขนาดไม่ค่อยได้เจอแดดนะเนี้ย”

“ยัยพริกเธอเป็นแค่นั้นเองทำบ่นดูฉันซะก่อนซิย่ะเป็นผื่นไปทั้งตัวคันก็คัน อ๊ายยยเซ็งได้ใจจริงๆ”

“ไปโดนอะไรมาแก

“ฉันก็ไม่รู้หรอกย่ะ สงสัยตอนเข้าป่านั่นแหล่ะไม่รู้มีหมามุ่ยหรือเปล่า”

“บ้าเหรอต๊อกแต๊กถ้าโดนหมามุ่ยก็คันตั้งแต่ที่แคมป์แล้วสิ” น้ำข้าวหัวเราะขำขันแซวเพื่อนสาวเมื่อเดินถึงโต๊ะประจำมองเห็นต๊อกแต๊กยกมือเกาตามร่างกายจนมีผื่นแดงเต็มตัว

“ยัยข้าวทำไมมาช้าล่ะย่ะ”

“พอดีพี่ต้นแวะไปทำธุระมาอ่ะ”

“ดีจังเลยเนอะมีพี่ชายคอยเป็นห่วงนี่ขนาดหยุดงานพักผ่อนยังมาเป็นบอดี้การ์ดให้น้องสาวทำไมพี่ชายพริกไม่เห็นสนใจพริกแบบพี่ต้นมั้งน๊า รายนั้นดีแต่ไปมั่วอยู่กับยัยปีศาจร้าย”

“อะไรยัยพริก!พี่แจ๊คยังไม่เลิกกับยัยแมลงวี่อีกเหรอย่ะ”

“ก็ใช่สิแกไม่รู้ติดใจอะไรนักหนา”

“น้ำข้าวว่าปล่อยไปดีกว่าเรื่องส่วนตัวของเขานะพริก”

“โอ๊ย! พริกก็ไม่อยากยุ่งหรอกแค่หมั่นไส้อ่ะแก”

“นี่ยัยข้าว.. เธอกับพี่ต้นไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆซะหน่อย ทำไมเธอไม่ลองเปิดใจให้พี่ต้นดูบ้างล่ะ ฉันว่าเขาดูดีจะตายไปนะยะ”

“นี่ต๊อกแต๊กจะเชียร์ใครกันแน่เดี๋ยวพี่เกล้าเดี๋ยวพี่ต้น”

“เอ้าก็เชียร์หมดแหล่ะย่ะถ้าเป็นคนหล่อ โฮะๆๆ”

“แล้วได้บอกพี่ต้นไปยังแกว่าตัดสินใจคบกับพี่เกล้าเป็นแฟนแล้วอ่ะ”

“น้ำข้าวกะจะบอกวันนี้แต่พอดีเมื่อเช้ารีบอ่ะเลยยังไม่ได้คุยเลย”

“ฉันอยากเป็นเธอจริงๆเลยยัยข้าวถูกห้อมล้อมไปด้วยคนหล่อเพอร์เฟคถามจริงเหอะเธอทำบุญด้วยอะไรย่ะไว้ฉันจะได้ไปทำบ้าง”

“เอาอีกล่ะต๊อกแต๊กชอบพูดโอเวอร์อยู่เรื่อยเลยนะน้ำข้าวว่าเราขึ้นเรียนกันดีกว่า”

“นั่นสิใกล้ได้เวลาแล้ว ไปย่ะ” ต๊อกแต๊กกวาดเก็บเครื่องสำอางค์ลงกระเป๋าสามสาวหยิบข้าวของพากันเดินขึ้นตึกเรียน

ระหว่างเดินเข้าห้องสายตาทุกคู่ที่อยู่บริเวณนั้นหันเหความสนใจมายังน้ำข้าวที่เดินเข้าห้องเพื่อหาที่นั่งจนสร้างความประหลาดใจให้กับสามสาวอย่างมากคล้ายเป็นตัวประหลาดหลุดมาจากดาวอังคาร

“นี่น้ำข้าวเฟริส์ถามไรหน่อยสิจะโกรธหรือเปล่า” หญิงสาวในห้องคนหนึ่งตัดสินใจเดินตรงมาหยุดยืนเบื้องหน้าน้ำข้าวพร้อมคำถามคาใจที่เก็บไว้ตั้งแต่ไปเข้าแคมป์เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์

“น้ำข้าวจะโกรธเรื่องไรล่ะว่าแต่มีไรจะถามเหรอ”

“คือมีแต่คนสงสัยเรื่องพี่เกล้ากับพี่ปีสี่คนนั้นอ่ะเขาเป็นอะไรกันเหรอ”

“นี่ยัยเฟริส์จะมาขุดเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ทำไมย่ะ” ต๊อกแต๊กแขวะใส่คนตั้งคำถามด้วยอารมณ์ฉุนเชียวทันทีสายตาจ้องอย่างเกรียวกราดราวกับจะฉีกร่างคนถามออกเป็นชิ้นๆ

“เฟริส์ก็แค่อยากรู้ว่าเขาเป็นอะไรกันก็เท่านั้นเอง”

“พี่เกล้ากับพี่นิ่มเขาเป็นเพื่อนกันไม่ได้เป็นอะไรแบบที่ได้ข่าวมาหรอก” น้ำข้าวส่งยิ้มสดใสให้เมื่อพูดจบในใจเธอยังคงเชื่อใจและไว้ใจชายหนุ่มอันเป็นที่รัก

“ใช่คงจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้หรอกเพราะพี่เกล้าเขาเป็นแฟนกับยัยข้าว” พริกช่วยสมทบอีกคน

“เฟริส์ก็ว่างั้นล่ะเห็นพี่เกล้าจีบแต่น้ำข้าวนิแล้วจะไปยุ่งกับคนอื่นได้ไง ขอบใจมากนะจ๊ะที่ช่วยไขปัญหาข้องใจให้เพื่อนหลายคน”

“นี่ไปบอกพวกเธอด้วยนะยัยเฟริส์เลิกทำตัวเป็นพวกชอบมีปัญหาได้แล้วนะยะชอบสร้างความร้าวฉานให้ครอบครัวเขาแตกแยกกันมากนักหรือไง”

“จ้าๆ ตอนนี้เลิกสงสัยแล้วล่ะเฟิร์สไปก่อนนะ” น้ำเสียงเกรงกลัวรีบตัดบทและเดินไปยังกลุ่มของตนเพื่อส่งข่าวซุกซิบต่ออีกทอด

“ต๊อกแต๊กทำไมชอบไปดุคนอื่นจังนะ”เสียงเปรยคล้ายต่อว่าเป็นนัยๆ

“ฉันไม่ได้ดุนะยัยข้าวก็เล่นมาถามแบบนี้เธอไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือไง”

“ต๊อกแต๊กบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอย่าไปฟังคนอื่นให้เชื่อพี่เกล้า แล้วจะใส่ใจอะไรล่ะคนอื่นก็แค่สงสัยล่ะมั้ง”

“ฉันก็แค่เป็นห่วง แต่ถ้าเธอไม่แคร์ก็ดีไป”น้ำเสียงแข็งๆ สะบัดหน้าหนีไปทางอื่นพยายามควบคุมอารมณ์โกรธเคืองให้สงบลงความห่วงใยของต๊อกแต๊กมีมากมายจนน้ำข้าวรู้ดีว่าเพื่อนแคร์เธอแค่ไหนมือบอบบางเอื้อมกุมมือเพื่อนสนิทบีบไว้แน่นพยายามบอกให้เข้าใจว่าเธอเองเข้มแข็งพอกับความเคลือบแคลงใจที่ใครต่อใครพยายามสร้างรอยร้าวให้เกิดขึ้น

“น้ำข้าวไม่คิดอะไรหรอกขอบใจนะที่เป็นห่วง”

“วันนี้ไปเที่ยวกันไหมแก ไปร้องคาราโอเกะก็ได้”พริกพยายามเปลี่ยนสถานการณ์ให้ดีขึ้นเพื่อจะดึงเพื่อนสาวให้หันมาสนใจสิ่งที่ตัวเองนำเสนอ

“จะไปไหนย่ะยัยพริก

“ไปผับพี่แจ๊คก็ได้ร้องเพลงทั้งคืนฟรี”

“ไปไหมยัยข้าวต๊อกแต๊กหันไปชวนเพื่อนสาวข้างๆ

“วันนี้น้ำข้าวขอตัวนะ พี่ต้นหยุดงานสองวันไม่รู้จะพาไปเที่ยวไหนหรือเปล่าแล้วอีกอย่างตอนนี้กำลังกลุ้มใจวิชาภาษาต่างประเทศด้วยสิ ทำไมมันยากจัง”

“นี่แกจะไปยากอะไรก็ให้พี่เกล้าติวสิพี่เขาเรียนตั้งหลายภาษาน่ะยัยข้าว”

“เออ ยัยพริกวันนี้ความคิดดีนะยะใช่ยัยข้าวไปอ้อนพี่เกล้าติวให้พวกฉันจะได้ไปติวด้วย โฮะๆๆ”

“น้ำข้าวเกรงใจพี่เกล้าอ่ะ”

“เป็นแฟนกันแล้วยังต้องเกรงใจอีกเหรอแก”

“ก็...”

“เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะยะเลิกคุยอาจารย์มาแล้ว” ต๊อกแต๊กตัดบทพูดจาเมื่อเห็นอาจารย์ผู้สอนเดินเข้าห้องจนเสียงจอแจในชั้นเรียนเงียบสนิทลง

หลังเลิกเรียน.. รัฐเกล้าโทรศัพท์หาน้ำข้าวตามเวลาปกติ

“ค่ะพี่เกล้าน้ำข้าวเลิกเรียนแล้วเดี๋ยวน้ำข้าวลงไปหาหน้าคณะนะคะ” น้ำข้าววางโทรศัพท์เมื่อนัดหมายกับปลายสายเป็นที่เรียบร้อย

“ตกลงไม่ไปร้องเกะกับพวกฉันเหรอย่ะยัยข้าว”

“วันนี้ขอตัวนะไว้คราวหน้าน้ำข้าวจะไม่เบี้ยวเลย”

“โอเคงั้นพวกฉันไปก่อนนะรอพี่เกล้าใช่ไหมย่ะ”

“อือ”

“ไว้เจอกันนะแก บายยยย”สองสาวโบกมือร่ำลาก่อนแยกย้าย

ทันทีที่น้ำข้าวเดินแยกจากเพื่อนสนิทสายตามองเห็นร่างสูงยืนเท่พิงกำแพง ชายเสื้อเชิตหลุดออกนอกกางเกง กระดุมถูกปลดออกเผยเห็นแผ่นอกกว้างนิดหน่อยยืนรออยู่หน้าคณะเรียนสองเท้าย่างเดินยังคนรอคอย

“น้ำข้าวลงมาช้าไปหรือเปล่าค่ะ

“เปล่า” รัฐเกล้าหันมามองใบหน้าหนาวพร้อมส่งยิ้มจางๆ ให้

“แล้วดูสิยังไม่ทันออกนอกมหาลัยเลยนะเสื้อผ้าก็ไม่เรียบร้อยซะล่ะ”มือบอบบางเอื้อมติดกระดุมเสื้อและจัดชายเชิตให้เข้าที่ดูเรียบร้อยรัฐเกล้ายืนมองใบหน้าใสๆ ที่มีแก้มแดงระเรื่อและรอยยิ้มบางๆออกเขินเล็กน้อยด้วยสายตาอ่อนโยน เขายกมือขึ้นโยกศรีษะเธอเบาๆ ก่อนจะคว้ามือเล็กๆมากุมไว้แล้วพาเดินไปยังรถที่จอดอยู่ด้านหน้าตึกเรียน

“วันนี้จะพาไปกินของอร่อย”ประตูด้านข้างคนขับถูกเปิดออกพร้อมสาวหน้าหวานก้าวขึ้นนั่งบทสนทนายังคงมีต่อเนื่องเพราะสงสัยยังสิ่งที่รัฐเกล้าเกริ่นไว้

“อะไรค่ะที่พี่เกล้าว่าอร่อย”

“คอยดูล่ะกัน” สายตาเคลือบแคลงสงสัยมองยังใบหน้าคมคายที่ส่งยิ้มมุมปากประตูรถถูกผลักปิดพร้อมคนขับย่างกก้าวนั่งประจำตำแหน่ง รถค่อยๆ ทยานออกตัวช้าๆจนเร่งความเร็วคงที่

“งั้นน้ำข้าวโทรบอกแม่ก่อนดีกว่าว่ากลับดึก”

“เกล้าโทรขออนุญาตให้แล้วล่ะบอกจะพาไปทานข้าวแล้วจะพาไปส่ง”

“งั้นก็โทรบอกพี่ต้นด้วยเผื่อพี่เขามารอน้ำข้าวที่บ้าน”

“อืม”มือบอบบางควานหาเครื่องมือสื่อสารหยิบกดเบอร์โทรหาพี่ชายคนสนิท

“ฮัลโหล พี่ต้นวันนี้น้ำข้าวกลับดึกค่ะคงไม่ได้เจอพี่ต้นแล้วนะไว้พรุ่งนี้ค่อยเจอกันนะคะ..ส่วนเรื่องที่น้ำข้าวจะบอกรอฟังพรุ่งนี้ล่ะกันนะคะคุณหมอ บายค่ะ” โทรศัพท์ถูกตัดสายเมื่อหมดธุระเจรจา

“มีธุระกันหรือเปล่า”

“ไม่ใช่ธุระหรอกค่ะพอดีน้ำข้าวจะบอกพี่ต้นเรื่องที่เราสองคนคบกันไง”น้ำข้าวส่งยิ้มหวานให้ชายหนุ่มข้างๆ ที่หันมาสบตาและยิ้มตอบกลับอย่างรู้สึกยินดี

“เทอมนี้มีเรียนวิชาต่างประเทศเหรอ”

“พี่เกล้ารู้ได้ไงอะ...”คำถามสร้างความประหลาดใจจนต้องเอี้ยวกายหันมองยังคนข้างๆ

“...”

“ร้ายกาจจริงๆนะมีสายรายงานแบบนี้”

“ช่วยติวให้เอาไหม”

“พี่เกล้ามีเวลาเหรอค่ะ”

“อืม”

“รายงานก็เยอะ วิชาเรียนก็ยากน้ำข้าวปวดหัวกลุ้มใจ จะสอบตกหรือเปล่าไม่รู้” สายตานิ่งเรียบเหลียวมองยังใบหน้าหวานๆที่ขมวดคิ้วชนกันจนดูเคร่งเครียด

“ไม่ยากหรอกรับรองได้”

“ก็พี่เกล้าเก่งนิน้ำข้าวไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”

“ข้าวต้องทำได้น่า”

“โอเคค่ะลองดูซักตั้ง”รัฐเกล้าแอบมองรอยยิ้มสดใสของคนที่เขารักด้วยความรู้สึกเป็นสุขเต็มหัวใจ

ณ คอนโดหรูใจกลางเมือง...

ประตูลิฟต์เปิดออกพร้อมคู่รักเดินจูงมือกันกระหนุงกระหนิงก้าวเดินตามทางหยุดยืนหน้าห้อง คีย์การ์ดเสียบช่องปลดล็อค ประตูห้องเปิดออกมองเห็นด้านในชัดเจน ห้องหรูกว้างขวางน้ำข้าวมองไปรอบบริเวณคอนโดสวยงาม ภายในดูสะอาดตามองแทบไม่เห็นฝุ่น ชั้นวางหนังสือสูงเทียบเพดานห้องยาวเต็มกำแพงมีหนังสือท่าทางอ่านยากเพราะเป็นภาษาต่างประเทศเต็มเกือบทุกชั้นดูน่าทึ่ง

“พี่เกล้าอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอเสียงใสตั้งคำถามเมื่อเดินเข้ามาหยุดยืนกลางห้องกว้าง

“อืม”

“ห้องกว้างขนาดนี้ไม่เหงาหรือไงเนี้ย”น้ำข้าวมองตามร่างสูงที่ดึงประตูห้องปิดก่อนเดินตรงเข้ายังห้องครัวล้างไม้ล้างมือพร้อมปลดกระดุมเสื้อออกสองเม็ดคลายความอึดอัด

“ไม่ค่อยได้อยู่”

“อ้าว แล้วไปอยูไหนล่ะคะ”

“ห้องดนตรีที่ผับ เกล้าเป็นหุ้นส่วนครึ่งหนึ่งอยากเล่นดนตรี อยากทำงาน ก็เลยทำซะทุกอย่างที่อยากทำบางครั้งมันต่อเนื่องเลยนอนที่นั่น ห้องนี้เลยไม่ค่อยได้อยู่” บทสนทนายังคงมีต่อเนื่อง แต่ล้วนสร้างความตื่นเต้นระคนประหลาดใจให้กับผู้รับฟังอย่างมากมาย

“เป็นทั้งบาร์เทนเดอร์เก่งหลายภาษา เล่นดนตรีก็เป็น แล้วทำอะไรได้อีกค่ะเนี้ย”

“นี่ไงกำลังจะทำ” รัฐเกล้าหยุดยืนหน้าตู้แช่ทรงสูง เปิดตู้เย็นหยิบของหลายอย่างขึ้นมาวางเรียงไว้บนโต๊ะเตรียมพร้อมแสดงฝีมือ

“ทำอาหารก็เป็นด้วยเหรอ” สายตาตกใจในความสามารถหลายด้านของเขา รัฐเกล้ายืนมองใบหน้าหวานพร้อมหลุดขำเมื่อเห็นสีหน้าตื่นเต้นของเธอ

“...”

“ให้น้ำข้าวช่วยไหมค่ะ”

“นั่งรอก็พอ”

“โอเคงั้นน้ำข้าวยืนเป็นกำลังใจให้นะ”น้ำข้าวยืนมองแผ่นหลังของรัฐเกล้าที่กำลังทำอาหารด้วยความชำนาญกลิ่นหอมปะทะจมูกทำให้ท้องเริ่มส่งเสียงร้องเรียกอาหาร

“หอมอ่ะ น้ำข้าวหิวแล้วนะพี่เกล้า”

“จะเสร็จแล้ว”

“พี่เกล้าอยู่คนเดียวก็เลยต้องหัดทำอาหารทานเองใช่หรือเปล่าค่ะ”เสียงใสๆ เริ่มชวนสร้างบทสนทนาเพื่อไม่ให้ดูเงียบจนเกินไป

“อืม”

“แล้วทำไมไม่กลับไปอยู่บ้านล่ะค่ะ”คำถามไร้ซึ่งคำตอบสร้างความเงียบชั่วครู่จนคนตั้งคำถามเย็นสันหลังวาบไม่แน่ใจว่าสมควรพูดต่อไปอย่างไร

“ไม่ถูกกับพ่อก็เลยออกมาอยู่คนเดียว”เสียงนิ่งเรียบทำลายบรรยากาศความกดดันทำให้น้ำข้าวหายใจทั่วท้องถอนใจออกมาเบาๆ แต่ยังคงรู้สึกผิดที่ละลาบละล้วงถามเรื่องส่วนตัว

“ค่ะ”

“ดีใจนะที่อยากรู้” รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าคมคายบางๆ จานใบใหญ่ถูกถือไว้ทั้งสองมือ กลิ่นหอมชวนท้องร้องสีสันของอาหารน่ารับประทานเมื่อมองเห็น

“นึกว่าพี่เกล้าจะโกรธซะอีกเห็นเงียบไปตกใจหมดเลย...โอ้โห้น่ากินมากเลย”

“สปาเก็ตตี้สูตรรัฐเกล้า” เสียงหัวเราะใสๆ ดังขึ้น รัฐเกล้าระบายยิ้มให้พร้อมวางจานสปาเก็ตตี้ลงบนโต๊ะอาหารยั่วน้ำลายส่อ

“น้ำข้าวชอบเวลาพี่เกล้ายิ้มดูมีชีวิตชีวามากกว่าทำหน้าเย็นชาอีก”เขายังคงยิ้มให้เธอและมองตากลมโตคู่นั้นไม่วางตา

“มาเร็วเดี๋ยวเย็นหมด”

“อร่อยหรือเปล่าเนี้ย...”

“ลองดูสิ”

“...” น้ำข้าวตักเข้าปากคำแรก ทำหน้านิ่งเงียบไปชั่วครู่

“เป็นไงบ้างคำถามส่งตรงเมื่อเห็นสาวหน้าหวานทำหน้าตาท่าทางแปลกๆ

“อร่อยมากเลย โรงแรมระดับสิบดาวชิดซ้าย” รัฐเกล้าหัวเราะตามน้ำข้าวอย่างมีความสุข

“งั้นก็ห้ามเหลือ”

“โอเคเดี๋ยวน้ำข้าวจะจัดการให้เรียบเลย” สายตานิ่งเรียบมองดูน้ำข้าวที่ยิ้มร่าเริงสดใสระหว่างอาหารมื้อเย็นวันนี้คงเป็นวันที่เขารู้สึกดีมีความสุขที่สุดแล้วในชีวิตโต๊ะอาหารกว้างที่เคยมีเขานั่งโดดเดียวเพียงลำพังวันนี้มีใบหน้าหวานๆ มานั่งให้เห็นยังเบื้องหน้าเสียงหัวเราะสดใสที่ได้ยินแล้วความอบอุ่นวิ่งวนที่หัวใจเสียงคุยสนทนาทำให้ความเงียบเหงาหายไปหมดสิ้น

“อิ่มมากเลยค่ะ”

“เอาอีกไหม”

“ไม่ไหวแล้วค่ะ พี่เกล้าส่งจานมาค่ะเดี๋ยวน้ำข้าวเก็บไปล้างให้เอง” จานถูกยกซ้อนพร้อมหยิบแก้วน้ำยกไปล้างทำความสะอาด โต๊ะอาหารถูกเช็ดเก็บทำอย่างเรียบร้อยโดยมีรัฐเกล้านั่งมองดูไม่ละสายตาเมื่อเสร็จสิ้นภาระกิจทั้งสองพากันเดินออกจากห้องครัว

“ลองติวภาษาหน่อยดีป่ะ”

“ดีค่ะ แต่วันนี้น้ำข้าวไม่ได้เอาหนังสือมานะ”

“ลองดูนี้” รัฐเกล้าเอื้อมหยิบหนังสือเล่มหนาจากชั้นวางขนาดใหญ่ก่อนเดินมายืนเบื้องหน้าน้ำข้าวที่มองดูหนังสืออย่างตื่นเต้นในแววตา

“พี่เกล้าทำไมมีหนังสือเยอะไปหมดเลยล่ะดูท่าทางจะยากทั้งนั้นด้วย”

“เก็บไว้อ่านเวลาว่าง”

“เยอะขนาดนี้ต้องอ่านทั้งวันทั้งคืนแล้วมั้งคงไม่ใช่แค่ช่วงว่างหรอกค่ะ” รัฐเกล้าคว้ามือบอบบางกุมไว้พาจูงให้เดินตามไปยังส่วนของห้องรับแขกที่มีพรมขนาดใหญ่ปูบนพื้น รอบๆ เต็มไปด้วยหมอนใบเล็กใบใหญ่วางเรียงราย

“เปลี่ยนกระโปรงไหม”

“พี่เกล้ามีกางเกงผู้หญิงด้วยเหรอ”เสียงใสตั้งคำถามข้องใจ

“ไม่มี”

“อ้าวแล้วจะให้น้ำข้าวเปลี่ยนใส่อะไร”

“ไม่ต้องใส่”

“...” น้ำข้าวนิ่งชะงักทันทีคล้ายโดนแช่แข็งหยุดเสียงเจรจากระทันหัน ใบหน้าค่อยๆ แดงระเรื่อ

“ล้อเล่น” รัฐเกล้าหลุดขำเมื่อเห็นใบหน้าเขินของเธอแดงเป็นลูกตำลึง

“พี่เกล้าอ่ะ! แกล้งน้ำข้าวนะจำไว้สายตาส่งค้อนให้ใบหน้านิ่งเฉยที่ระบายยิ้มละมุนบนใบหน้ารัฐเกล้าลุกยืนเต็มความสูง เดินเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนชั่วครู่ก่อนออกมาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนใหญ่สีขาว

“เอานี่ปิดไว้จะได้นั่งสะดวก” น้ำข้าวยื่นมือรับผ้าขนหนูผืนใหญ่กางปิดลงบนตัก มือบอบบางคว้าหมอนข้างๆ มาทับไว้อีกทอดหนึ่ง

“ไว้คราวหน้าจะหากางเกงเตรียมไว้ให้”

“ค่ะ” รอยยิ้มใสๆ มีสีแดงฝาดที่แก้มนวลเนียน

การติวหนังสือเริ่มต้นขึ้น รัฐเกล้าดูตั้งใจสอนเต็มที่สายตาจับจ้องมองยังหนังสือในมือค่อยๆ เล่าอธิบายความหมายของศัพท์ในแต่ละคำ น้ำข้าวพยายามจดความหมายของแต่ละคำที่รัฐเกล้าสอนอย่างละเอียดถี่ถ้วนและพยายามทำความเข้าใจจนเวลาผ่านไปสายตาน้ำข้าวละเลยจากหนังสือหันมองยังใบหน้าเรียบเฉยรู้สึกหวั่นไหวในใจผู้ชายเบื้องหน้าทำให้เธอตกหลุมรักเขาทีละน้อยจนรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆยิ่งได้ใกล้ชิดก็ยิ่งทำให้รู้สึกอยากอยู่ใกล้กับเขาคนนี้ไปนานๆ

“มองอะไร” เสียงละมุนของรัฐเกล้าดังขึ้นทำให้น้ำข้าวตกใจตื่นจากภวังค์

“ปล่ะ เปล่าค่ะ” ใบหน้าหวานๆ รีบก้มหน้าหลบสายตาที่มองมาทันที

“ไม่ตั้งใจเรียนมัวแต่เหม่อลอยเดี๋ยวก็ทำโทษซะเลย”

“เปล่าซะหน่อย...” น้ำข้าวแก้ตัวหันเหความสนใจไปยังหนังสือตรงหน้าทำให้รัฐเกล้าแอบยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน

“วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ” รัฐเกล้าปิดหนังสือเมื่อเห็นเวลาอันสมควรที่ต้องพาน้ำข้าวส่งกลับบ้านตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับผู้เป็นแม่ของสาวหน้าหวาน

“ค่ะน้ำข้าวเข้าใจขึ้นเยอะเลย ขอบคุณนะคะ”

“ที่นี่มายากไหม”

“คอนโดชื่อดังแบบนี้ไม่ยากหรอกค่ะใครๆก็รู้จัก”

“ถ้ามาเองมาถูกป่ะเธอพยักหน้าให้เป็นคำตอบ

“...”

“งั้นรอแป๊บ” รัฐเกล้าเดินหายเข้าไปในห้องส่วนตัวอีกครั้งก่อนเดินออกมาพร้อมกับพวงกุญแจและคีย์การ์ด “...”

“เก็บไว้” พวงกุญแจถูกส่งใส่ลงในมือบอบบางของน้ำข้าว

“พี่เกล้าเอาคีย์การ์ดให้น้ำข้าวทำไมค่ะ”สายตาเคลือบแคลงมองยังผู้ส่งกุญแจ

“เผื่อมาเวลาเกล้าไม่อยู่จะได้เข้ามาได้”

“ทำสำรองไว้แจกสาวหรือเปล่าเนี้ย”

“มีแค่สอง... อันหนึ่งอยู่ที่ข้าวส่วนอีกอันอยู่นี่” รัฐเกล้ายกชูพวงกุญแจอีกพวงที่อยู่ในมือให้ดูยืนยันคำพูด

“ไม่กลัวน้ำข้าวพาคนมายกเคล้าเหรอ”

“อยากได้อะไรก็เอาไป”

“ดีเลยเดี๋ยวน้ำข้าวพาเพื่อนมาขนให้หมด” รัฐเกล้าส่งยิ้ม หลังมือยาวเรียวเคาะลงบนหน้าผากน้ำข้าวเบาๆ ความรู้สึกของเขาตอนนี้มีน้ำข้าวเข้ามายืนอยู่เต็มหัวใจและคงเป็นเธอคนเดียวที่ละลายความเย็นชาของเขาให้หลอมละลายทีละน้อย




Create Date : 24 ตุลาคม 2555
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2555 21:38:22 น.
Counter : 529 Pageviews.

2 comments
  
สวัสดีครับ ปลายฝนต้นหนาว ข้าวเริ่มตั้งท้องแล้ว ลมหนาวพัดมาเบาๆ




โดย: ต้นกล้า อาราดิน วันที่: 24 ตุลาคม 2555 เวลา:10:08:25 น.
  
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณที่แวะไปทักทายกัน
มีความสุขกับการทำงานนะคะ



โดย: pantawan วันที่: 24 ตุลาคม 2555 เวลา:12:11:17 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments