ตุลาคม 2555

 
1
2
3
4
10
12
17
19
20
21
22
23
27
30
 
 
All Blog
เสพติดรัก mydarling บทที่4

Chapter 4

สองพี่น้องเดินทางถึงบ้าน.. น้ำข้าวจัดแจงแกะกับข้าวที่แวะซื้อมาจากในตลาดใส่จานชามเป็นอาหารมื้อเย็นที่ดูเรียบง่ายไม่หรูหราเกินไป ระหว่างรับประทานอาหารเย็น ต้นกล้าเหลือบสายตามองน้องสาวคิดถึงสิ่งที่เก็บไว้ในใจตั้งแต่กลางวัน

“น้ำข้าววันนี้ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่าเรื่องไอวี่”

“ไม่นิค่ะ พี่ต้นมีอะไรหรือเปล่า”น้ำข้าวละสายตาจากกับข้าวเบื้องหน้ามองตรงยังพี่ชายที่ส่งสายตาแสดงออกว่าไม่สบายใจชัดเจน

“เปล่า คือพี่กลัวเราคิดมากกับการกระทำของเพื่อนพี่”

“ไม่หรอกค่ะ น้ำข้าวเข้าใจนะเพื่อนพี่ต้นคงชอบพี่ต้นมากเธอถึงหมั่นไส้น้ำข้าว”

“ทำไมคิดว่าเขาชอบพี่”ต้นกล้ามองน้ำข้าวที่อธิบายมุมมองแปลกๆ ของเธอให้ฟัง

“แหม๋พี่ต้นผู้หญิงด้วยกันดูออกค่ะ เขาคงไม่ชอบให้พี่ต้นไปยุ่งวุ่นวายกับสาวอื่นนอกจากตัวเองล่ะสิน้ำข้าวคิดไม่ผิดหรอกนะคะ” รอยยิ้มหวานๆส่งให้พี่ชายอย่างสดใสไม่ติดใจเอาความใดๆ กับเพื่อนสาวของพี่ชายที่เจอกันเมื่อเช้า

“...”

“เอาน่า.. อย่าคิดมากเลยน้ำข้าวไม่รู้สึกอะไรหรอกค่ะ”

“ถ้าไม่สบายใจหรือไม่พอใจก็พูดกับพี่นะน้ำข้าวพี่กลัวเราไม่สบายใจแล้วกดดันกับเหตุการณ์แบบวันนี้อีก”

“เรื่องแค่นี้เองน้ำข้าวรับไหวสบายมากไม่ต้องเป็นห่วง” น้ำข้าวส่งยิ้มหวานให้พี่ชายอีกครั้งและเลื่อนสายตาให้ความสนใจกับอาหารตรงหน้าต่อ

“เราเป็นแบบนี้พี่ก็สบายใจ”ต้นกล้ายิ้มบางๆ ออกมาคล้ายรู้สึกดีขึ้น

“เอ่อ.. น้ำข้าวมีเรื่องปรึกษาพี่ต้นด้วยล่ะ”น้ำข้าวมองพี่ชายอย่างกลัวๆ กล้าๆ ที่จะพูดอะไรบางอย่าง

“เรื่องอะไร ฮืม”สายตาส่งหาสาวหน้าหวานพร้อมรอฟังเรื่องราวที่น้องสาวกำลังจะอธิบาย

“คือ.. พี่เกล้าขอน้ำข้าวคบเป็นแฟนแล้วเขารอคำตอบด้วยล่ะ น้ำข้าวไม่รู้จะตอบเขายังไงดีอ่ะพี่ต้น” ต้นกล้าได้ยินเช่นนั้นในใจก็สั่นสะเทือน ความรู้สึกกังวลปั่นป่วนอยู่ในอกข้างซ้าย

“แล้วเรารู้สึกยังไงกับเขาล่ะ”เสียงนิ่งเรียบพยายามสะกดความรู้สึกเอาไว้

“ไม่รู้อ่ะ น้ำข้าวก็งงตัวเองเหมือนกันนะบางครั้งก็รู้สึกดีเวลาที่เขาทำดีกับน้ำข้าว บางครั้งก็รู้สึกเฉยๆเพราะน้ำข้าวยังไม่พร้อมจะมีแฟน”

“ถ้างั้นเราต้องสำรวจใจตัวเองแล้วล่ะว่าความรู้สึกดีที่เกิดขึ้นมันคืออะไร พอรู้แล้วเราก็จะตอบตัวเองได้ว่าเราคิดยังไงกับเขา”ต้นกล้าพยายามข่มใจเอาไว้ไม่ให้รู้สึกเจ็บปวดจนผิดสังเกตุ

“...”

“พี่ขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหมสาวหน้าหวานวางช้อนส้อมลงบนจานข้าวเบาๆ จ้องหน้าพี่ชายอย่างรอคำตอบ “มีอะไรห้ามปิดบัง ต้องบอกพี่หมดทุกเรื่องได้ไหมคำพูดถูกส่งไว้เหมือนเป็นสัญญาที่เขาต้องการได้รับรู้จากน้องสาวแสนรัก

“โอเคค่ะพี่ชาย น้ำข้าวสัญญาว่ามีอะไรจะบอกพี่ต้นเป็นคนแรกเลย”

“ไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวพี่จัดการเก็บล้างจานพวกนี้ให้เอง”ต้นกล้าลุกยืนจัดแจงเก็บจานชามบนโต๊ะเตรียมยกไปทำความสะอาด

“ไม่เป็นไรหรอกน้ำข้าวทำเองพี่ต้นไปนั่งเล่นที่ห้องรับแขกเถอะ ล้างจานหน้าที่ผู้หญิงเขาทำกัน” น้ำข้าวไม่ยอมแพ้รีบเดินไปยืนข้างพี่ชายแย่งหน้าที่รีบหยิบยกจานชามแล้วดิ่งเข้าห้องครัวทันที

ต้นกล้าก้าวเดินไปนั่งยังโซฟาแต่สมองกลับคิดทบทวนคำพูดของน้องสาวที่คุยกันเมื่อครู่เพราะเธอคงเริ่มมีความสนใจในตัวชายหนุ่มถึงทำให้ใจเธอหวั่นไหวไปกับคำขอคบเป็นแฟนแบบนี้เขารู้สึกหวั่นใจกลัวว่าสิ่งที่รักและหวงแหนกำลังจะตกไปเป็นของคนอื่น ถ้าถึงเวลานั้นเขาเองจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดรอยร้าวขึ้นระหว่างพี่น้องและคนรอบข้าง..

หลังจากน้ำข้าวทำภาระกิจส่วนตัวเป็นที่เรียบร้อยเธอก้าวเดินย่างกายลงมาและตรงเข้าห้องรับแขกเพื่อหาพี่ชายที่นั่งคอยอยู่สายตามองไปยังพี่ชายที่นั่งเหม่อลอย

“พี่ต้นทำไมไม่เปิดทีวีดูล่ะ”

“พี่อยากนั่งเงียบๆหน่ะ พอดีคิดอะไรเพลินๆ” ต้นกล้าขยับตัวเอนกายพิงพนักโซฟามองหน้าน้องสาวที่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ

“คิดอะไรค่ะคุณหมอเครียดมากเรื่องสาวๆ หรือเปล่าน๊า”

“ไม่หรอก” ต้นกล้าเงียบนิ่งชั่วขณะหันมองสบตาน้องสาวที่ทำตาใสซื่อสู้สายตา

“งั้นเรื่องอะไรเหรอพี่ต้น”

“เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า..ไหนเล่าเรื่องตอนเด็กๆ ให้ฟังหน่อย พี่อยากฟัง”

“เรื่องเก่าอีกล่ะน้ำข้าวเล่าให้พี่ต้นฟังมาเป็นร้อยรอบแล้วมั้งไม่เบื่อบ้างหรือไง” สีหน้าเบื่อหน่ายเล็กน้อยส่งตรงยังพี่ชายที่ยิ้มให้บางๆ

“เรื่องของน้องสาวพี่ไม่เคยเบื่อ”

“ก็ได้ อยากฟังน้ำข้าวจะเล่าให้ฟังครบพันรอบเมื่อไหร่ต้องให้รางวัลน้ำข้าวด้วยนะ” ต้นกล้าหัวเราะเบาๆน้ำข้าวหันหลังขยับเลื่อนกายลงนอนหนุนตักพี่ชาย เริ่มต้นเล่าเรื่องสมัยเด็กๆครั้งเมื่อตอนที่ต้องจากกับพี่ชายตลอดสิบปีที่ผ่านมา ต้นกล้ามองดูน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูรักใคร่และห่วงใยอยากทะนุถนอมไว้แบบนี้ตลอดไป

น้ำข้าวเล่าเรื่องตัวเองให้พี่ชายฟังจนเผลอหลับไปต้นกล้าค่อยๆ ขยับกายออกและจัดแจงหาหมอนมาหนุนให้น้องสาว เอาผ้ามาห่มคลุมกายสร้างความอบอุ่นต้นกล้านั่งลงบนพื้นข้างๆ โซฟาที่มีน้ำข้าวนอนหลับอยู่อย่างสบายใจเขามองหน้าเธอเอามือลูบไล้ผมที่ปกคลุมไม่ให้บดบังใบหน้าที่กำลังหลับเหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาต้นกล้าพยายามระงับจิตใจตัวเองไม่ให้เต้นแรง

“พี่รักน้ำข้าว” เสียงกระซิบแผ่วเบาพร้อมฝากประทับรอยจูบอ่อนโยนลงบนหน้าผาก

ต้นกล้านั่งมองน้องสาวที่หลับตาพริ้มไม่ละสายตาโทรศัพท์ที่วางอยู่ห่างๆ ส่งเสียงดังทำลายความเงียบ เขากดปิดเสียงเพื่อไม่ให้รบกวนคนกำลังหลับเกรงว่าจะตกใจตื่นขึ้นทั้งๆ ที่อยากรู้เหลือเกินว่าสายที่โทรเข้ามาเป็นใคร แต่เพราะไม่อยากกลายเป็นคนเสียมารยาทก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของน้องสาวมากเกินไปจึงสงบจิตใจไว้แล้ววางโทรศัพท์ลงที่เดิม ไม่นานญาติผู้ใหญ่ของเขาก็กลับมา ต้นกล้าปลุกน้ำข้าวแล้วพาเธอขึ้นไปส่งยังห้องนอนวันเวลาที่ได้อยู่ใกล้ชิดคอยดูแลคนที่เขาหลงรักก็หมดไปอีกวัน..

เช้าวันต่อมา.. น้ำข้าวลืมตาตื่นขึ้นเพราะเสียงนาฬิกาที่ตั้งปลุกไว้ทุกวันบอกเวลาหกโมงเช้าเธอกดปิดเสียงปลุกและเอื้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พบว่ามีสายที่ไม่ได้รับและข้อความที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน

(หลับแล้วสิ กู๊ดไนท์..พี่เกล้า)ถึงจะไม่ได้เจอกันแต่โทรศัพท์ยังคงมีมาหาเธอทุกวัน ข้อความก็ไม่เคยขาดแม้แต่วันเดียวตลอดสองปีที่รู้จักกันมาเขายังคงใส่ใจเธอเสมอและวันนี้ก็เป็นอีกวันที่รัฐเกล้าคงต้องทำคะแนนเพิ่มให้กับตัวเองบ้าง..

“น้ำข้าวอาบน้ำแต่งตัวเสร็จหรือยังลูกพี่เกล้ามารับแหน่ะ” ผู้เป็นแม่ส่งเสียงเรียกลูกสาวเมื่อมีแขกคุ้นเคยมารอพบ“รอน้องแป๊บนะจ๊ะ” เจ้าของบ้านหันบอกแขกผู้มาเยือนให้รอลูกสาวที่ยังคงแต่งตัวอยู่ในห้องส่วนตัว

“ครับ” รัฐเกล้าพยักหน้ารับก่อนเดินไปนั่งยังโซฟา ไม่นานนักน้ำข้าวก็ย่างกายเดินลงมาจากชั้นบน

“พี่เกล้ารอนานหรือเปล่าค่ะรัฐเกล้าส่ายหน้าเป็นการตอบคำถาม “แม่ น้ำข้าวไปเรียนก่อนนะ”น้ำข้าวไม่ลืมกล่าวลาผู้เป็นแม่ก่อนออกจากบ้าน

“ลาเลยนะครับ” รัฐเกล้ายกมือไหว้อำลาอย่างมีมารยาท

“จ๊ะ ขับรถดีๆ นะลูกนะ”

ตลอดการเดินทางระหว่างที่นั่งอยู่ภายในรถความเงียบปกคลุมไปทั่วบริเวณไม่มีการพูดจาใดๆ ความกดดันเริ่มก่อตัว น้ำข้าวพยายามควบคุมสถานการณ์เพื่อไม่ให้บรรยากาศดูแย่จนอึดอัดเธอจึงเป็นคนเริ่มส่งเสียงสร้างบทสนทนาก่อน

“วันนี้พี่เกล้ามีเรียนช่วงบ่ายเหรอค่ะถึงมารับน้ำข้าว”

“อืม.. วันนี้วันเกิดพริกหรือเปล่า”น้ำเสียงนิ่งเรียบถามโดยที่สายตายังคงมองถนนเบื้องหน้ามือยังคงจับพวงมาลัยมั่น

“ใช่แล้วค่ะ พี่เกล้าสนิทกับพี่ชายยัยพริกนิไปงานวันเกิดหรือเปล่าค่ะ”

“เกล้าต้องทำงาน”

“เอ๊ะ พี่เกล้าทำงานด้วยเหรองานพิเศษหรือเปล่าค่ะ” สายตาสงสัยหันมองคนข้างๆที่ยังคงวางสีหน้านิ่งเฉยแต่ไว้ซึ่งความคมคาย

“อืม.. ทำแค่คืนวันศุกร์ เสาร์อาทิตย์”

“...”

“ไม่อยากรู้เหรอว่างานอะไร” รัฐเกล้าถามต่อเมื่อไม่มีเสียงตอบกลับ เขารู้ดีว่าน้ำข้าวไม่เคยวุ่นวายหรือซอกแซกเรื่องส่วนตัวของใคร

“ไม่ถามดีกว่า เผื่อพี่เกล้าไม่อยากบอกน้ำข้าว”

“อยากรู้ก็ถาม เกล้าไม่ปิดบังข้าวหรอกเว้นแต่..”

“เว้นแต่อะไรค่ะ

“เว้นแต่ข้าวไม่อยากจะรับรู้”

“...”น้ำข้าวนิ่งชะงัก คำพูดของเธอสร้างความรู้สึกไม่ดีให้เขาหรือเปล่าสาวหน้าหวานคิดอยู่ในใจเธอแคร์ความรู้สึกคนข้างๆ ในตอนนี้เป็นอย่างมาก “น้ำข้าวไม่ได้คิดแบบนั้นน้ำข้าวไม่อยากวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของพี่เกล้าเท่านั้นเอง”

“อืม”รัฐเกล้ายิ้มบางที่มุมปากแอบดีใจลึกๆ ที่เธอข้างๆ มีปฎิกิริยาโต้ตอบในทางที่ดีขึ้นไม่นิ่งเฉยเหมือนตอนเพิ่งรู้จักกัน แต่น้ำข้าวก็ยังไม่มีท่าทีอะไรมากมาย เขาเลยไม่แน่ใจความรู้สึกที่แท้จริงของเธอ...

ณ ห้องเรียนคณะบริหาร..

“ยัยข้าวตกลงงานวันนี้ต้องไปให้ได้นะแกห้ามเบี้ยวหญิงสาวผมบ๊อบสั้นแค่คอ ตาตี่ด้วยตาชั้นเดียวบ่งบอกถึงเชื้อชาติเพื่อนสนิทอีกคนของน้ำข้าวเดินตรงมาเชิญไปงานวันเกิดคล้ายบังคับห้ามปฎิเสธ น้ำข้าวพยักหน้ารับพร้อมส่งยิ้มหวานให้เพื่อน“ฝากบอกต๊อกแต๊กด้วยนะ พริกขอกลับไปเตรียมงานคืนนี้ก่อน”

“ได้เลย ไว้น้ำข้าวบอกต๊อกแต๊กให้”

“พริกไปแล้วนะ จุ๊บๆ”สาวตาชั้นเดียวก้มหน้าลงมาข้างแก้มน้ำข้าวแล้วทำปากจูบอากาศ

“จ้า”>o< เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเมื่อพริกเดินหันหลังไป หน้าจอบ่งบอกชื่อผู้โทร(พี่ต้น)

(น้ำข้าวเลิกเรียนแล้วใช่ไหม?)

“ใช่ค่ะน้ำข้าวกำลังจะกลับบ้าน”

(วันนี้พี่ไปรับไม่ได้นะพอดีทางโรงพยาบาลเรียกตัวหน่ะ)

“ค่ะพี่ต้นไม่ต้องเป็นห่วงน้ำข้าว พี่ต้นทำงานเถอะ”

(กลับบ้านดีๆ ล่ะ)

“ได้ค่ะคุณหมอ” โทรศัพท์ถูกกดวางสาย พร้อมเสียงฝีเท้าก้าวถี่ตรงดิ่งมาหยุดยืนเบื้องหน้า

“ยัยข้าว..” ต๊อกแต๊กทักทายเพื่อนสนิทเมื่อเดินเข้ามายังห้องเรียนด้วยรอยยิ้มหวานพร้อมยกถุงที่ถืออยู่ในมือขึ้นวางบนโต๊ะ

“หายไปไหนมาต๊อกแต๊ก หมดเวลาเรียนแล้วนะ”

“ฉันไปหาซื้อชุดสิย่ะ นี่ไงสวยไหม”ต๊อกแต๊กหยิบชุดราตรีสีแดงขึ้นมาโชว์เพื่อนพร้อมทาบชุดทับลงบนร่างกายแล้วบิดซ้ายขวายิ้มระรื่น

“อลังการมากเลยวันนี้คงได้หนุ่มๆกลับมาเป็นกะบุงแน่ๆ” น้ำข้าวแซวเพื่อนสาวที่ยืนมองเธอด้วยหางตาตวัดส่งค้อนให้เล็กน้อย

“นี่หนุ่มของเธอ คนหรือหมาย่ะยัยข้าวถึงต้องใส่กะบุงอะ”

“เปรียบเทียบให้ฟังคิดมากอีกแล้วนะ”น้ำข้าวหัวเราะเพื่อนที่ทำหน้างอใส่

“กลับบ้านกันดีกว่าฉันจะต้องใช้เวลาเสริมสวยสำหรับคืนนี้ให้เริ่ดที่สุดในงานเลย”

“คุณนายจะเริ่ดไปไหน ป่ะๆกลับก็กลับ”ยังไม่ทันที่น้ำข้าวจะเก็บของเสร็จเพื่อนตัวแสบก็ช่วยโกยของลงกระเป๋า พร้อมกระชากมือให้รีบเดินตัวปลิวออกจากห้องเรียนอย่างด่วนจี๋เพราะกลัวจะเสียเวลาอันมีค่าในการเสริมสวยเพื่องานคืนนี้

“ใจเย็นๆ ก็ได้ต๊อกแต๊กน้ำข้าวเดินไม่ทันแล้วนะ”

“ฉันตื่นเต้นนิย่ะอยากถึงร้านเสริมสวยใจจะขาดอยู่แล้ว”

“เอางี้เราแยกกันตรงนี้ดีกว่าต๊อกแต๊กรีบไปแต่งสวย ส่วนน้ำข้าวกลับบ้านก่อนแล้วค่ำๆ ค่อยเจอกัน”

“โอเคๆ งั้นเดี๋ยวฉันแต่งตัวเสร็จจะแวะไปรับเธอที่บ้านนะยัยข้าวว่าแต่วันนี้เธอควงหนุ่มหล๊อหล่อคนไหนไปด้วยหรือเปล่า”

“ไม่มีทั้งนั้นล่ะ”

“ดีเลย.. เราไปหาคนหล่อข้างหน้ากันดีกว่างานนี้คงมีเยอะไปหมดว่าไหม โฮะๆ” เสียงหัวเราะเฉกเช่นราชินีในนิยายพร้อมส่งสายตาแพรวพรายให้เพื่อนข้างๆที่มองอย่างเอือมระอา

“...”

“ไว้เจอกันนะยัยข้าว”ทั้งสองแยกย้ายกันไปคนละทางเพื่อไปทำหน้าที่ของตัวเอง ระหว่างที่น้ำข้าวเดินออกทางหน้าตึกของคณะเสียงแตรรถดังขึ้นทำให้เธอหันไปมองตามเสียงที่มาจากทางด้านหลัง

“ขึ้นรถ..” ชายหนุ่มเปิดกระจกลงต่ำมองสาวหน้าหวานให้ก้าวขึ้นรถตามคำเชิญ

“อ้าว.. พี่เกล้า” น้ำข้าวเปิดประตูด้านข้างคนขับอย่างไม่รอช้าตามคำสั่งเจ้าของรถ

“กลับเองทำไมไม่โทรหาคนข้างๆ ตั้งคำถามรอคำตอบและเหยียบคันเร่งออกรถเมื่อน้ำข้าวนั่งในรถเรียบร้อย

“น้ำข้าวไม่อยากรบกวน วันนี้วันศุกร์พี่เกล้าต้องไปทำงานนิ”

“แล้วไปงานวันเกิดพริกหรือเปล่าคำถามส่งต่อเป็นประโยคเหมือนตั้งโปรแกรมไว้

“ไปค่ะ”

“ให้มารับไหมใบหน้าคมคายเลิกคิ้วถามคนข้างๆ

“ไม่เป็นไรค่ะ พี่เกล้าไปทำงานเถอะพอดีน้ำข้าวนัดกับต๊อกแต๊กไว้แล้ว”

“อืม.. งั้นไว้เจอกัน”

“พี่เกล้าไปงานวันเกิดยัยพริกด้วยเหรอ

“...”ไม่มีเสียงตอบกลับจากชายหนุ่มเธอเลยไม่ซักไซร้ต่อ พยายามเปลี่ยนเรื่องการสนทนาไปเรื่องอื่น

“ปีนี้พี่เกล้าเรียนจบแล้วนิพี่เกล้าอยากทำงานเกี่ยวกับอะไรค่ะหรือไปช่วยงานบริษัทที่บ้าน”

“...” เขารู้สึกแปลกใจกับคำถามที่ไม่เคยมีใครถามมาก่อนและเขาก็ไม่เคยได้บอกใครเกี่ยวกับสิ่งที่เขาอยากทำในอนาคต “เกล้าอยากเป็นนักแปลภาษาเดินทางรอบโลก”

“แบบนี้พี่เกล้าก็ต้องเก่งหลายภาษาเลยสิน่าสนุกเนอะเป็นล่ามอ่ะ ได้รู้ภาษาที่คนอื่นฟังไม่รู้เรื่องด้วย”

“ข้าวล่ะคำถามถูกส่งกลับอีกครั้ง

“น้ำข้าวอยากทำงานเป็นพวกนักสังคมสงเคราะห์”

“เพราะอะไร

“อืมไม่รู้สิ น้ำข้าวรู้สึกว่าสมัยนี้พวกช่วยเหลือสังคมมีน้อยลงทุกวันแล้วคนในปัจจุบันก็เป็นโรคเครียดกันมากขึ้น ถ้าเราสามารถแบ่งปันความสุขและสร้างรอยยิ้มให้คนอื่นได้มันก็ทำให้เรามีความสุขไปอีกแบบนะ”

“ข้าวคงทำได้ เพราะเวลาได้อยู่ใกล้ข้าวจะรู้สึกอบอุ่นมีความสุข”

“พี่เกล้าคิดแบบนั้นเหรอ

“อืม..” คำพูดที่บอกออกไปมันเป็นความรู้สึกที่เขาได้รับจากเธอไม่ว่าจะความอบอุ่นหรือความสุขเมื่อได้อยู่ใกล้เธอคนนี้..




Create Date : 09 ตุลาคม 2555
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2555 21:32:17 น.
Counter : 458 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments