อิสรภาพทางการความคิดไม่มี เสรีภาพทางวิชาการไม่เหลือ
ความวัวยังไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรกสำนวนนี้พอเหมาะพอสมกับสถานการณ์ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส) เสียจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นปีชงของผู้บริหารท่านใดที่ทำให้เกิดเรื่องเกิดราวใหญ่โตสนั่นโซเชียลได้ภายในเดือนเดียวหากเป็นเรื่องดีๆ ก็คงไม่มีใครแชร์ แต่หากเป็นเรื่องแย่ๆ พร้อมแชร์ทันที หลังจากกรณีผู้บริหารเลือกข้างผิดทิ้งนิสิตคนดีไว้แล้วไปช่วยอาจารย์สั่งกราบแทนจนโลกออนไลน์ก็พากันรุมสะกรำจนอ่วมทั้งอาจารย์และผู้บริหารแล้วล่าสุดยังมาเจอป้ายบิลบอร์ดปริศนาสีดำกลางสามแยกไฟแดงหน้าป้ายทางเข้ามมส ที่สร้างความฮือฮาไม่น้อยกับข้อความที่ว่า พวกเราชาวคณะวิทยาศาสตร์ มมส ไม่เอาคณบดีคนนอกคณะวิทย์เราต้องการคนของเรา เพื่อคณะของเรา แน่นอนว่าไม่ใช่ป้ายที่ม.สั่งทำและไม่ใช่ป้ายขายสินค้าหรือบริการแต่อย่างใด แต่เป็นป้ายที่เช่าพื้นที่เอกชนภายนอกม.เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่ามีความขัดแย้งภายในคณะวิทยาศาสตร์มมส จนเหลืออดถึงขนาดลงทุนเช่าป้ายขนาดใหญ่ติดประท้วง หากวิเคราะห์กันทีละคำ ก็จะพบว่าพวกเราชาวคณะวิทยาศาสตร์ ย่อมไม่ใช่บุคลากรแค่ 1-2 คนที่ไม่เอาแต่ต้องเป็นคนส่วนใหญ่ ซึ่งมากถึง 102 คนที่ร่วมลงชื่อคัดค้านการเอาคนนอกมาเป็นคณบดีจาก152 คน ส่วน คณบดีคนนอก แม้จะไม่ระบุชื่อเพื่อไม่ให้เกิดการถูกฟ้องร้องกันขึ้น แต่เมื่อภาพถูกแชร์ทุกอย่างก็เปิดเผยว่าคนนอกก็คือคนเดิมที่บริหารมาแล้ว 4ปีที่กำลังหมดวาระในปีนี้ และยังเป็นคนนอกคนเดียวที่ผ่านเข้าไปเสนอวิสัยทัศน์เพื่อต่ออายุให้ตนเองอีกรอบโดยไม่ฟังอีร้าค่าอีรมหรือเสียงทัดทานจากผู้ใดโดยดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้สูงที่กลับมานั่งเก้าอี้ตัวเดิมเสียด้วย สำหรับเรื่องของ สี คงไม่ใช่เรื่องดีแน่กับการใช้พื้นดำแสดงถึงการไว้อาลัยให้กับอำนาจมืดที่ปกคลุมในคณะ ขณะที่ตัวอักษรสีแดงก็คือความรุนแรง ความอันตราย การต่อต้าน และการเตือนให้ระวัง!! แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่พีคเท่ากับบิลบอร์ดที่ติดได้เพียงสองวันแล้วมีใครสักคนที่แสลงใจสั่งรปภ.มมส ปลดป้ายดังกล่าวลง ทั้งที่เป็นพื้นที่นอกม.และเป็นของเอกชน ทำให้โลกออนไลน์ที่ยังไม่เห็นป้ายนี้ ก็ได้เห็นเร็วขึ้น ใครกันสามารถสั่งรปภ.ได้?นี่เข้าข่ายลักทรัพย์ และทำลายทรัพย์ ใช่หรือไม่? การปลดหรือไม่ปลดป้ายอะไรจะเสียหายกว่ากัน? หากไม่ปลดป้ายสังคมก็แค่ตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับคณะวิทยาศาสตร์ เหตุใดจึงต่อต้านคณบดีคนนอกคนเดิมในช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมาการบริหารงานเป็นอย่างไรแล้วทำไมถึงอยากอยู่ต่ออีกสมัย แต่เมื่อสั่งปลดป้ายแล้ว จากเรื่องไซส์ Mกลายเป็นเรื่องไซส์ XL ทันทีจากคนนอกม.ที่ยังไม่เห็นก็เลยได้เห็น จากคนที่ไม่รู้เรื่องก็ได้รู้เรื่องมากขึ้นและเกิดคำถามเพิ่มขึ้นว่า ใครทนไม่ได้ที่เห็นป้ายนี้ นี่จะเป็นการเลือกข้างผิดอีกรอบใช่หรือไม่โดยเลือกเอาคนๆ เดียวไว้แลกกับความไม่พอใจของบุคลากรนับร้อยกว่าคนทั้งคณะ น้ำผึ้งหยดเดียวแท้ๆ จากที่ไม่น่าจะรุนแรงกลับรุนแรงขึ้นเมื่อเกิดการโต้กลับในทางมิชอบและไปยุ่งเกี่ยวกับกฎหมายลักทรัพย์ด้วยสะท้อนให้เห็นว่าผู้มีอำนาจนอกจากไม่รับฟังเหตุผลและความเห็นที่แตกต่างแล้วยังดื้อดึงทำสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยอีกต่างหากจากหนังสั้นกลายเป็นหนังยาวทันที เพราะมันคือการลิดรอนอิสรภาพทางความคิดในฐานะวิญญูชนอย่างชัดเจนรวมถึงการลิดรอนเสรีภาพทางวิชาการในฐานะนักวิชาการด้วยเมื่อขาดสิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลเสียต่อม.อย่างแน่นอน คำว่าเสรีภาพทางวิชาการไม่ใช่เพียงแต่การสอนการทำวิจัยเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการปฏิบัติหน้าที่ในทางวิชาการอื่นๆด้วย ดังที่ดร.ชัยอนันต์ สมุทรวณิช เคยกล่าวไว้ว่าเสรีภาพทางวิชาการมีความหมายใหญ่ๆ 3 ประเด็นประเด็นแรกหมายถึงเสรีภาพที่อาจารย์ในมหาวิทยาลัยต้องการจะมีในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือการเขียนก็ตาม โดยที่เขาไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะถูกผู้บังคับบัญชาในมหาวิทยาลัยหรือผู้มีอำนาจทางการเมืองนอกมหาวิทยาลัยขัดขวาง ความหมายรองลงมาเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยในฐานะที่เป็นสถาบันการศึกษาชั้นสูงในสังคมกับสถาบันการปกครองหมายถึงการที่สถาบันการศึกษาต้องการและเรียกร้องที่จะมีสิทธิที่จะวางนโยบายและระเบียบปฏิบัติการเองโดยไม่ถูกควบคุมจากองค์การภายนอก สุดท้ายคือการเรียกร้องที่จะมีเสรีภาพในการสอนโดยปราศจากข้อจำกัดตามกฎหมายหรือระเบียบของสถาบันที่ปราศจากเหตุผล ชัดเจนว่าสิ่งที่ 102 คนแสดงออกนั้น เป็นอิสรภาพทางความคิดและเสรีภาพทางวิชาการที่ถูกต้องแต่กลับถูกสกัดกั้น จึงถามกลับไปยังผู้บริหารและคณะกรรมการสภามมส ว่าเข้าใจคำๆ นี้ลึกซึ้งมากน้อยเพียงใดถ้าไม่เข้าใจ ก็ควรพิจารณาตัวเองว่าเหมาะสมกับตำแหน่งที่ดำรงอยู่หรือไม่ ความขัดแย้งนี้ไม่ใช่เป็นเพียงปัญหาระดับคณะแล้วแต่บานปลายไปยังระดับมหาวิทยาลัย และกำลังเป็นวิกฤติการศึกษาไทยเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่ใช่แค่คณะวิทยาศาสตร์เท่านั้นแต่คณะอื่นในมมส ก็มีปัญหาคล้ายคลึงกันเพียงแต่ไม่มีบุคลากรที่กล้าหาญเท่ากับคณะวิทยาศาสตร์ลุกขึ้นมาพร้อมใจกันเช่าป้ายบิลบอร์ดประท้วงอย่างที่เห็นและเชื่อเหลือเกินว่าคงไม่ได้มีแค่มมส ที่ประสบปัญหานี้ แต่เป็นเช่นนี้เกือบทุกมหาวิทยาลัยของรัฐที่อำนาจมืดๆเทาๆ ยังคงวนเวียนอยู่เหมือนเงาทะมึนที่ครอบงำวงการการศึกษาไทย อีกไม่ช้า จากน้องแบมโมเดลอาจจะมีคณะวิทยาศาสตร์โมเดลก็เป็นได้ ใครจะไปรู้ โลกนี้ต้องการแค่คนกล้า! เจอสถานการณ์นี้แล้วก็ชวนให้นึกถึงหนังฝรั่งเรื่องThree Billboards Outside Ebbing, Missouri แต่สำหรับที่นี่คือ One Billboard Outside MSU, MahaSarakham และหนังที่สร้างจากเรื่องจริงเรื่องนี้จะจบแบบไหนให้คุกกี้ทำนายกัน! คลิก Link อ่านบทความ หลังบทความเผยแพร่ อาจารย์คณะนั้นชมใหญ่ จนต้องไปกลับไปอ่านเองอีกรอบว่าเขียนอะไรไป 555
Create Date : 24 มีนาคม 2561 |
|
0 comments |
Last Update : 24 มีนาคม 2561 20:53:08 น. |
Counter : 827 Pageviews. |
|
|