แว่นกันแดด
เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม ฉันเก็บเอาไว้ให้เธอ และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ ฮืม...
ฟ้ากว้างกับริมทางสีเขียว ริมทางที่ฉันนั่งเท้ากระจกรถเหม่อมองออกไปด้านนอกเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้นกน้อยตัวนั้นในใจของฉันร้องเพลงนี้ออกมาให้ตัวเองได้ยิน มันก็ไม่บ่อยนักหรอก ที่ชีวิตในเมืองจะเอื้ออำนวยให้ฉันได้นั่งมองฟ้ากว้างๆ ที่ไม่มีตึกสูงมาระรานสายตาแบบนี้
มีคนที่ฉันรู้จักหลายคนทีเดียวที่ชื่นชอบการถ่ายรูปท้องฟ้า แต่ฉันเองกลับไม่ค่อยจะกดชัตเตอร์เก็บรูปเมฆบนฟ้าเหล่านั้นเอาไว้สักเท่าไหร่นัก ด้วยรักที่จะเฝ้ามองปุยขาวๆ นั่นค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ มากกว่า ถ้าความสามารถในการเปลี่ยนแปรไปแบบเนิบๆ แต่ไม่เคยหยุดนิ่ง คือเสน่ห์ของขนมสายไหมบนฟ้าพวกนี้แล้วล่ะก็ มันจำเป็นตรงไหนล่ะ ที่ฉันจะต้องหยุดมันเอาไว้ด้วยภาพถ่าย ฉันหยีตามองท้องฟ้ายามเที่ยงจนแสบตา พอนึกขึ้นมาได้ว่าฉันคาดแว่นตาสีชาไว้บนศีรษะ จึงดึงลงมาสวมใส่แล้วมองลอดแว่นออกไป ความร้อนแรงของแสงอาทิตย์ดูจางหายลงไปมากสมกับราคาของแว่นตา โลกเบื้องบนดูราวกับจะเปิดออกให้ฉันได้ชื่นชมความสวยงามของมันได้อย่างเต็มตา
มองดูเมฆสวยๆเหล่านั้นสิ ดูแสงของพระอาทิตย์ที่อยู่ข้างหลังพวกมันสิ แสงเงาแปลกตาจนอดคิดไม่ได้ว่า บนพื้นดินเบื้องล่างมีสิ่งใดจะสวยงามและบริสุทธิ์ได้มากกว่านั้น ข้างบนนั้นอาจจะมีสวรรค์ที่คนบนเครื่องบินมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
มันคือความสวยงามที่เอื้อมมือไขว่คว้าอย่างไรก็ไม่มีทางถึง มองอย่างไรก็ไม่มีทางเข้าใจ แต่ความไม่เข้าใจก็ใช่ว่าจะบั่นทอนความงดงามได้ การพยายามเข้าใจสิ่งมากจนเกินไป ผลสุดท้ายเราอาจพบว่าไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็นจริง ความงามของเมฆ ใครล่ะจะสัมผัสได้ยามขึ้นไปอยู่บนนั้นท่ามกลางกลุ่มไอน้ำ หากการเหม่อมองดูจากเบื้องล่างต่างหากเล่า ที่ทำให้ก้อนเมฆสวยงามควรแก่การชื่นชม อย่ามัวแต่หาคำตอบหรือพยายามจะเข้าใจนักเลย บางครั้งลองปล่อยให้หัวใจลอยไปอย่างไร้เหตุผล มันก็ค้นพบสัจธรรมบางอย่างได้ ปล่อยพื้นที่ว่างให้กับความไม่รู้เสียบ้าง เราอาจจะรู้ว่าตัวเรานั้นไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องก้ได้
มองฟ้าแล้วก็รู้ว่า มีความลับมากมายที่ซ่อนอยู่ภายในแสงเจิดจ้า แปลกดีเหมือนกัน บางสิ่งบางอย่างอยู่ในแสงสว่าง หากเราไม่เคยเห็นมันเต็มตา กลายเป็นความสวยงามที่เผยตัวเองท่ามกลางความพร่ามัว หากไร้เครื่องมือที่ช่วยปกป้อง เมื่อไหร่เล่าจะได้เห็น
คนบางคน พอได้ยินว่าข้างบนนั้นสวย ก็กระโจนเข้าใส่ทั้งๆที่เปล่าเปลือย เห็นบาดเจ็บน้ำตาไหลกันมานักต่อนัก บางคนไม่ใจถึงขนาดนั้น ก็ทำตาหยี กล้าๆ กลัวๆ ชำเลืองมองขึ้นไปแบบแอบๆ สุดท้ายก็ได้เห็นแค่นิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เห็นเต็มตาเท่ากับใส่แว่นกันแดดมองมัน แล้วก็มานั่งตีโพยตีพายว่าโลกนี้ไม่เห็นจะสวยงามและแสนจะโหดร้าย ทั้งๆที่เราเองแหละที่ไม่ได้เตรียมตัวเองให้พร้อม เอ๊ะ ฉันกำลังพูดถึงท้องฟ้าอยู่หรือเปล่านี่ น่าจะยังใช่อยู่นะ
ทำไมไปๆ มาๆ ฉันถึงไปนึกถึงเรื่องราวของความรักขึ้นมาได้เล่า
ว่าแต่ว่า...หาแว่นกันแดดไว้ใส่ได้กันแล้วหรือยัง
Create Date : 17 กันยายน 2551 |
|
6 comments |
Last Update : 17 กันยายน 2551 7:48:49 น. |
Counter : 627 Pageviews. |
|
|
|
นั่งอ่านเรื่องของคุณเสี้ยวสองรอบ พยายามทำความเข้าใจว่า metaphor ที่คุณต้องการสื่อเป็นอะไรได้บ้าง :)
เราเองก็ชอบมองท้องฟ้าเหมือนกันค่ะ ท้องฟ้าตอนกลางคืนก็ชอบนะคะ แต่ในกรุงเทพฯเดี๋ยวนี้ จะยังมีสักคืนไหมคะที่หมู่ดาวไม่ถูกแสงสีและฝุ่นควันบดบัง
ขอให้มีวันที่ดีค่ะ