คุณธรรม การเมือง และชายชราที่น่าสงสาร
หมดเวลาแสวงหาความรัก และความสมานฉันทน์แล้ว เพราะช่องว่างมันห่างออกจากกันเรื่อยๆ ไม่ใช่เพียงแต่เรื่องฐานะ อาชีพ หรือความนิยมชมชอบใคร แต่มันลึกลงไปถึงความเชื่อ ความศรัทธา ที่แยกออกจากกันไปเรื่อยๆ และที่ร้ายที่สุดคือ คุณธรรมความดีงาม ก็กำลังถูกนิยามต่างกันไปคนละขั้ว
เรื่องของคุณธรรม โดยเฉพาะเมื่อนำมาพูดคู่กับเรื่องกฎหมาย เป็นเรื่องที่เถียงกันมานาน นับแต่สมัยโรมันนั่นเลย คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าคนดีคือคนที่ทำตามกฎหมาย แต่บางคนก็ว่าสิ่งที่สำคัญคือ กฎหมายมันต้องอยู่บนฐานของคุณธรรมก่อน
ในยุคแรกๆของโรมัน ซึ่งเป็นรัฐที่เป็นต้นกำเนิดของกฎหมายในยุคต่อๆมานั้น ไม่มีความคิดเลยว่า กฎหมายนั้นจะสามารถสร้างหรือบัญญัติกันขึ้นมาได้ด้วย เพราะกฎหมายเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ซึ่งก็คือ กฎธรรมเนียม และประเพณีของเขา แต่ยิ่งวันคนก็ยิ่งเยอะขึ้น และ กฎหมาย นั้น ก็ยิ่งถูกให้ค่าต่างกันไป
มีหลายรัฐในโลกที่ตกอยู่ในสถานะ รัฐที่ล้มเหลว หรือ failed stated ที่มีกฎหมายไปก็เท่านั้น บังคับใช้ไม่ได้ เพราะคนไม่ยอมรับ เพราะต่างก็มีทัศนคติต่อ "คุณธรรม" ที่รองรับกฎหมายอยู่นั้นต่างๆกันไป รัฐเหล่านั้น มักจะมีลักษณะมีเด่นชัดอย่างหนึ่งก็คือ การเป็นรัฐที่มีคนหลายชาติ หลายภาษา หลายวัฒนธรรม และไม่สามารถจะแสวงหา หรือสถาปนา ความเป็นพวกเดียวกัน ขึ้นมาได้เลย เพราะฉะนั้นคุณธรรมความดีงามที่แต่ละฝ่ายยึดถืออยู่ก็เลยแตกต่างกันไป กฎหมายนั้นจึง "มีความชอบธรรม" ต่อกลุ่มต่างๆไม่เท่ากันด้วย
ที่ผ่านๆมา ประเทศไทยเราต่างออกไป เพราะเราไม่ใช่ รัฐที่ล้มเหลว คนไทยเรามี ความเป็นพวกเดียวกัน อยู่ไม่น้อยในหลายๆเรื่อง เรามีจิตที่ยึดมั่นอยู่ในคุณธรรมความดีงาม ประเภทเดียวกัน อยู่
เแต่พอเหตุการณ์ทางการเมืองล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ ม็อบต่อต้าน ม็อบสนับสนุน ม็อบต่อต้านม็อบ อะไรมากมายวุ่นวาย ประชาชนทุกคนต่างมีเหตุผล และเชื่อว่าตัวเองกำลังทำดี เพียงแต่ดีของฉันนั้น มันเป็นคนละแบบกับดีของเธอ และเธอนั้นก็แสนสถุล ที่มัวแต่ไปคิดว่าความคิดเธอน่ะมันดี มันเห็นได้ชัดเจนว่า คนไทยคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว "ความดี" ของเราต่างกัน
มันไม่ใช่แค่ว่าคนไทยเราคิดต่างกัน หรือว่ามีความต้องการที่ไม่เหมือนกันเท่านั้น แต่ลึกๆเข้าไปข้างในจิตใจ เรากำลังออกห่างจากกันเรื่อยๆ เราเข้าใจอีกฝ่ายน้อยลง เราคุยกันด้วยความเป็นคนธรรมดาๆน้อยลง ความเป็นพวกเดียวกัน กำลังถูกทำลายลงไปเรื่อยๆ สถานการณ์การเมืองตอนนี้ โคตรน่ากลัวเลย ... ตรงที่มันทำให้คนไทยจ้องจะทำลายกันและกันเอง
อ.อมรา พงศาพิชญ์ และ อ.ชัยวัฒน์ สถาอานันทน์ พูดเอาไว้ในทีวีไทยว่า ถึงวันนี้ความรัก ความสมานฉันทน์นั้นไม่ต้องพูดถึงแล้ว เอาแค่ว่า จะทำอย่างไรให้เราทนอีกฝ่ายหนึ่งได้ และอยู่ร่วมกันได้
แค่นี้ยังดูว่าเป็นไปแทบจะไม่ได้เลย เพราะฟังแต่ละฝ่ายออกมาพูดแล้ว มันช่างเผ็ดร้อนราวกับจะไปประหารกันให้ตายกันไปข้าง ไม่มีวี่แววว่าใครจะทนใครเลย
ภาพในจอโทรทัศน์ตัดไปเป็นภาพของคุณสมัคร ชายชราวัยเจ็ดสิบ สวมชุดสูท เขาคือชายชราที่มีความฝันว่าวันหนึ่งจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย และวันนี้ก็สมใจอยาก คือคนเดียวกับชายชราที่ไม่ยอมรับฟังใคร และมีวาจาทิ่มแทงผู้อื่นตลอดเวลา ภาพตรงหน้าไม่มีเสียง จึงไม่มีถ้อยผรุสวาท มีแต่ดวงหน้าอันเคร่งเครียด บางทีดูแล้ว ...น่าสงสาร...
Create Date : 20 มิถุนายน 2551 |
Last Update : 6 กรกฎาคม 2551 1:18:25 น. |
|
2 comments
|
Counter : 806 Pageviews. |
|
|
|
โดย: เอื้องศาลา วันที่: 20 มิถุนายน 2551 เวลา:4:59:43 น. |
|
|
|
โดย: 000 IP: 118.173.219.151 วันที่: 20 มิถุนายน 2551 เวลา:13:56:58 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]
|
Here... I'm on the rooftop
Between... pavement and stars.
Here's... hardly no day nor hardly no night
There're things... half in shadow and half way in light
It's where... I gather my thoughts and grow my dreams
which... are scattered all around
In my words, my songs, my dance.
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
เพราะเราเบื่อนักการเมืองทุกสังกัดและทุกพรรครวมไปถึงนักวิชาการด้วย
ขอบคุณที่แวะไปที่บล๊อกนะคะ