ปั่นน่องโป่ง ชมสถาปัตยกรรมฝีมือช่างอิตาเลียน : Part II
ความเดิมในตอนที่แล้ว
จากลานพระบรมรูปทรงม้า เราก็ปั่นจักรยานตามผู้นำมาเรื่อย พยายามปั่นให้ชิดซ้าย ใกล้ฟุตบาธเข้าไว้ เพราะกลัวถูกรถเก๋งในเลนขวา เฉียวเอา กลัวๆ กล้าๆ อยู่อย่างนั้น จนเลี้ยวเข้าถนนพิษณุโลก และเลี้ยวเข้าไปจอดยังลาดจอดรถ แล้วเดินตามวิทยากรไปยัง "บัานพิษณุโลก" เืพื่อฟังบรรยาย
บ้านพิษณุโลก คือ บ้านพักประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย เป็นบ้านที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ออกแบบและสร้างโดย มาริโอ ตามานโญ สถาปนิกประจำราชสำนักสยามชาวอิตาลี ( พ.ศ. 2443-2468 ) มีเนื้อที่ 25 ไร่ 3 งาน เดิมชื่อ บ้านบรรทมสินธุ์
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงสร้างบ้านบรรทมสินธุ์หลังนี้ พระราชทานให้กับมหาดเล็กส่วนพระองค์ คือ พลตรี พระยาอนิรุทธเทวา ( ม.ล.ฟื้น พึ่งบุญ ) ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ซื้อบ้านหลังนี้จากเจ้าของเดิม เพื่อไม่ให้ญี่ปุ่นซื้อไปเป็นสถานทูต เนื่องจากบ้านนี้ตั้งอยู่ใกล้กับกองพันทหารราบที่ 3 ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ รัฐบาลสมัยนั้น
บ้านพิษณุโลกหลังนี้ เคยใช้เป็นฉากของ "บ้านทรายทอง" รุ่นพอเจตน์-จารุณี
ในช่วงแรก ถูกเปลี่ยนชื่อ เป็น "บ้านไทยพันธมิตร" ต่อมาจึงได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้ง เป็น "บ้านพิษณุโลก" ( สาเหตุที่ได้ชื่อนี้ เพราะตั้งอยู่บนถนนพิษณุโลก ข้างโรงพยาบาลมิชชั่น ) ได้ใช้เป็นที่ต้อนรับแขกเมืองสำคัญของรัฐบาลมาจนปัจจุบัน
โรงเก็บรถ คล้ายสถานีรถไฟหัวลำโพงเนอะ
รัฐบาลยุคต่อมาได้ปรับปรุงบ้านพิษณุโลกเพื่อใช้เป็นบ้านพักประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มาตั้งแต่สมัย พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ในปี พ.ศ. 2522 และมาแล้วเสร็จในยุครัฐบาลพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ปี พ.ศ. 2524 พลเอกเปรม ได้ย้ายเข้าไปพัก แต่ก็อยู่เพียง 2 วันก็ย้ายออกไปพักที่บ้านพักเดิมคือ บ้านสี่เสาเทเวศร์ นายกรัฐมนตรียุคต่อมา ก็ไม่ได้ย้ายเข้าไปพักที่บ้านพิษณุโลก แต่ได้ใช้เป็นที่ทำงานของที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในยุค พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี คณะที่ปรึกษาหนุ่มๆ ของ พล.อ.ชาติชาย ใช้บ้านหลังนี้ทำงาน จนมีชื่อเสียงโด่งดัง เรียกกันติดปากสื่อมวลชนว่า "ที่ปรึกษาบ้านพิษฯ" ปัจจุบันใช้เป็นที่รับรองแขกเมืองคนสำคัญของรัฐบาล จนถึงทุกวันนี้
เนื่องจากพวกเรามากันเป็นคณะใหญ่ ทั้งปั่นจักรยานมา ทั้งกลุ่มที่นั่งรถบัสมา และที่แห่งนี้ก็เป็นสถานที่ราชการสำคัญ จึงไม่ได้เข้าไปชมภายใน ได้แต่ฟังบรรยายและชื่อชมอาคารแต่เพียงภายนอกเท่านั้น ไม่หน่ำใจ...เราแยกตัวไปเดินเล่นรอบๆ ดีกว่า
อาคารไม้ด้านหลังนี้ น่าจะเป็นเรือนรับรองด้วย หรือไม่ก็อาจเป็นห้องทำงาน ห้องจัดเลี้ยง ...ก็เดากันไปนะ ไม่มีใครตอบเรา (ก็เราไม่ได้ถาม)
ประติมากรรมหินอ่อน ที่ตั้งประดับสวนภายนอกนี้ เป็นของดั่งเดิมคู่กับบ้านหลังนี้ มาตั้งแต่แรกสร้าง เป็นของนำเข้า สวยๆ ทั้งนั้นเลย
นักปั่น นักท่องเที่ยว และนักถ่ายภาพทั้งหลายก็เลยกระจายตัว ถ่ายรูปกันสนุกสนาน ทั้งๆ ที่ริมสนามมีป้ายปัก "ห้ามถ่ายรูป" แต่ก็ขอโทษเถอะค่ะ ...ไหนๆ ก็มีโอกาสได้เข้ามาแล้ว ก็เก็บภาพเป็นที่ระลึกไว้หน่อย
คณะรถบัสเคลื่อนตัวแล้ว ...คณะจักรยานก็เคลื่อนตัวตาม ปั่นกันต่อไป ยังคงอยู่บนถนนพิษณุโลก ไม่ไกลกันนั้นก็ได้จอดรถริมถนน กลุ่มรถบัส เข้าไปภายในได้ แต่จักรยาน...ถูกห้ามไว้แต่เพียงภายนอก
บ้านนรสิงห์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เพื่อพระราชทานแก่ พลเอก พลเรือเอก เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) ผู้เคยดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการมหาดเล็ก และผู้บัญชาการกรมมหรสพ ทั้งยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ถวายงานใกล้ชิด โปรดให้เป็นหัวหน้าห้องพระบรรทม นั่งร่วมโต๊ะเสวย ทั้งมื้อกลางวัน และกลางคืน ตลอดรัชกาล และตามเสด็จโดยลำพัง เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย
ชื่อบ้านนรสิงห์ ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่า เป็นชื่อพระราชทาน หรือเจ้าของบ้านตั้งขึ้นเอง คาดว่าเนื่องจากเจ้าพระยารามราฆพ เคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมมหรสพ ซึ่งมีตราเป็นรูปนรสิงห์ อันเป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์ อวตารลงมาปราบยักษ์หิรัณยกศิปุ แต่เดิม เคยมีรูปปั้นนรสิงห์เต็มตัว ตั้งอยู่กลางสนามหญ้าหน้าตึกไกรสร (ตึกไทยคู่ฟ้า) ปัจจุบันไม่ปรากฏว่าเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่ใด
ต่อมา ราวต้นปี พ.ศ. 2484 ระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา ญี่ปุ่นได้เจรจาขอซื้อ หรือเช่าบ้านนรสิงห์ เพื่อทำเป็นสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ด้วยเห็นว่ามีความสวยงามยิ่ง ต่อมาในเดือนมีนาคม ปีเดียวกัน เจ้าพระยารามราฆพ เจ้าของบ้าน ได้มีหนังสือถึง นายปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อเสนอขายบ้านแก่รัฐบาล ในราคา 2,000,000 บาท เพราะเห็นว่าใหญ่โตเกินฐานะ และเสียค่าบำรุงรักษาสูง แต่กระทรวงการคลังปฏิเสธ
ล่วงมาถึงเดือนกันยายน ปีเดียวกัน จอมพล แปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เห็นควรให้รัฐบาลไทยซื้อบ้านนรสิงห์ไว้ เพื่อเป็นสถานที่รับรองแขกเมือง ในที่สุด ได้ตกลงซื้อขายกันในราคา 1,000,000 บาท โดยคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา และ พลเอกเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน (อุ่ม) ได้อนุมัติภายใต้พระบรมราชานุญาต ให้กระทรวงการคลัง จ่ายเงินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แก่เจ้าพระยารามราฆพ แล้วมอบบ้านนรสิงห์ ให้สำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ดูแล โดยให้ใช้เป็นที่ตั้งทำเนียบรัฐบาล และเป็นสถานที่รับรองแขกเมือง ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
รัฐบาลไทยจึงเปลี่ยนชื่อบ้านนรสิงห์เป็น ทำเนียบสามัคคีชัย และ ทำเนียบรัฐบาล ตามลำดับ พร้อมกันนั้น ได้ย้ายที่ทำการสำนักนายกรัฐมนตรี จากวังสวนกุหลาบ เข้ามาด้วย ต่อมา ในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ซื้อทำเนียบรัฐบาล จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยทำสัญญาซื้อขายกันในราคา 17,780,802.36 บาท แล้วจึงทำการโอนกรรมสิทธิ์ ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดพระนคร เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2512
เมื่อฟังบรรยายประวัติความเป็นมาจบ ก็ได้แต่ยืนเกาะรั้ว สอดกล้องเข้าไปถ่ายภาพอาคาร ได้มาไม่กี่ภาพหรอกนะ เพราะมุมน้อย... เมื่อนำภาพอาคารทั้งสองหลังมาเทียบเคียงกัน จะเห็นได้ว่า มีลักษณะการออกแบบเป็นอย่างเดียว เพราะเป็นผลงานการออกแบบก่อสร้างโดยช่างอิตาลีคนเดียวกันนั่นเอง
เอาล่ะ ได้เวลาปั่นกันต่อไปแล้วจ๊ะ
โปรดติดตามตอนต่อไป
ข้อมูลจาก : //th.wikipedia.org/
Create Date : 05 พฤษภาคม 2554 |
|
5 comments |
Last Update : 23 กันยายน 2560 9:59:24 น. |
Counter : 2264 Pageviews. |
|
|
|
ถ้าได้ไปเดินเที่ยวแถวนั้น คงอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปมาเหมือนกันนะคะ