|
เลียบริมโขง เมืองอุบล : Part III
ความเดิมตอนที่แล้ว
ยังคงอยู่บนเส้นทางจากพิบูลมังสาหารมุ่งหน้าโขงเจียม เวลาตอนนี้ปาเข้าไปเกือบบ่ายสองโมงแล้ว หาิที่กินข้าวกลางวันกันได้แล้ว ... กางแผนทีดูกับคนขับรถตู้ แล้วสรุปกันว่า ไปกินข้าวที่แก่งสะพือ ละกัน มาถึงแม่น้ำมูลแล้ว ก็ต้องกินปลากันหน่อย
แก่งสะพือ เป็นแก่งที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี เป็นแก่งที่อยู่ในแม่น้ำมูล ในเขตอำเภอพิบูลมังสาหาร
แก่งสะพือ เป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า "ซำพืด" หรือ "ซำปื้ด" ซึ่งเป็นภาษาส่วยที่แปลว่า งูใหญ่ หรืองูเหลือม แก่งสะพือ จะมีหินน้อยใหญ่สลับซับซ้อน กระแสน้ำไหลผ่านกระทบหิน แล้วเกิดเป็นฟองขาวมีเสียงดังตลอดเวลา ริมแก่งจะมีศาลาพักร้อนตั้งอยู่ สำหรับให้นักท่องเที่ยวนั่งชมทัศนียภาพของแก่ง
ช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม แก่งสะพือจะมีผู้นิยมไปเที่ยวกันมาก เพราะน้ำจะลดทำให้เห็นแก่งได้ชัดเจนและสวยงาม ส่วนในฤดูฝนน้ำจะท่วมแก่ง
นั่นคือ คำอธิบายถึง "แก่งสะพือ" ในเวปไกด์อุบล เราไปเที่ยวเดือนมกราคม ..เราก็ควรได้เห็นแก่งชัดเจน .. แต่ปรากฎว่า ไม่เลย ...ที่เราเห็นคือ ลำน้ำมูล ที่สวยงาม เต็มเปี่ยม น่าลงไปเล่นน้ำ ความเห็นของคนขับรถตู้ในเรื่องที่ผิดธรรมชาตินี้ก็คือ "เพราะจีนทำเขื่อน" จริงเท็จประการใดยังไม่มีใคร "ฟันธง" ให้
บริเวณริมแก่งมีร้านอาหารหลายร้าน เลือกไม่ถูก พวกเราก็เลือกทำเลที่จะนั่ง ...แล้วก็มีแม่ค้ามาบริการกางโต๊ะ เสนอเมนู ก็สั่งอาหารกันไป นั่งริมแม่น้ำมูล ก็ต้องสั่งปลา เลือกต้มยำปลาอะไรไม่รู้ จำไม่ได้ 1 หม้อ ปลาเนื้ออ่อนทอด แล้วเราก็ไปเดินดูแม่ค้าเจ้าเล็กๆ ได้งบปิ้งมาอีก 1 ห่อ เพือนเราซื้อแหนมใบมะยมด้วย มื้อนี้ หมดไปหลายร้อยอยู่นะ ...ถือว่า "แพงใช้ได้" คิดซะว่าแลกกับค่าวิวสวยๆ ลมเย็นๆ ละกัน
อิ่มแล้วเดินดูร้านค้าอีกนิดพอให้อาหารย่อย แล้วก็เดินทางต่อ เกิดมีคนนึกได้ว่า ย่านนีมีร้านขายซาลาเปาเจ้าอรุ่อยอยู่ตรงสี่แยกที่เลี้ยวเข้ามา ขาย้อนออกไปก็เลยจอดรถ แวะซื้อมาชิมกัน คนละลูก
ตะีกี้ยังอิ่มอึดอัดกันอยู่เลย แต่พอได้ซาลาเปาร้อนๆ ก็ต้องรีบหม่ำกัน อืมม์ ...ยังไม่อร่อย...หรือว่ายังอิ่มกันอยู่ก็ไม่รู้นะ ถ้ามีโอกาสผ่านไปเที่ยวอีก จะไปลองชิมใหม่
ข้ามแม่น้ำมูล เดินทางกันต่อไป ฟ้าใสๆ ถ่ายรูปฟ้ากับเมฆระหว่างไปเรื่อยๆ ไม่นาน ก็ถึงจุดแวะเที่ยวอีกแล้ว
วัดดอนธาตุตั้งอยู่ทิศตะวันออกของแก่งสะพือ อยู่ห่างไปประมาณ 6 กิโลเมตร ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำมูล ระหว่างบ้านทรายมูล และบ้านคันไร่ เกาะดอนธาตุ มีเนื้อที่ประมาณ 130 ไร่เมื่อปี พ.ศ. 2480 หลวงปู่เสาร์ (พระครู วิเวก พุทธกิจ) และท่านพระอาจารย์ดี ฉันโนได้จาริกมาปักกลดกรรมฐานหาที่ดินเหมาะสมก่อสร้างวัดวิปัสสนากรรมฐานฝ่ายธรรมยุตินิกาย และได้ก่อสร้างวัดภูเขาแก้วขึ้นเป็นรูปร่าง
ในปี พ.ศ. 2481พ.ศ. 2490 พระปู่แย จากวัดบูรพาอุบล มาจำพรรษา 1 ปี พ.ศ. 2491 ท่านพระปู่แดง จากวัดบูรพามาดูแลรักษา พ.ศ. 2492 ท่านพระอาจารย์ เหลียว ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ดูแลรักษาวัดนาน 11 ปี ลังจากปี พ.ศ.2509 วัดนี้ไม่มีพระภิกษุเข้าจำพรรษาระยะหนึ่ง แม้ว่าจะขาดพระภิกษุจำพรรษาแต่ว่ามีผู้เป็นสตรีเพศดูแลรักษาศาสนสมบัติแห่งนี้อยู่ 2 ท่าน คือแม่ชีพัน และ แม่ชีปลา
วัดดอนธาตุ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาตามประกาศในราชกิจจนุเบกษา เล่ม 99 ตอนที่ 143 วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2525
มาเที่ยวโซนอีสานไม่พ้นต้องตามรอยพระเกจิค่ะ เราก็ไม่ใช่นักปฏิบัติที่รู้จักเกจิอาจารย์มากนัก ชื่อหลวงปู่เสาร์มาได้ยินก็ตอนที่พี่ณงบอก แต่ที่แวะกันก็เพราะว่า "วัดนี้เป็นเกาะ ต้องนั่งเรือข้ามไป" ฟังดูตื่นเต้นดีนะ
ก่อนจะถึงจุดหมาย ก็เกริ่นเชิญชวนให้คุณเพื่อนร่วมทริปเย็นใจรู้ก่อน "เพียงเล็กน้อย" ...เล็กน้อยเท่าที่พี่ณงบอกมานั่นแหละ เพราะเราไม่รู้อะไรไปมากว่านั้น รถตู้จอดส่ง แล้วชี้ทางให้ไปเคาะระฆัง
มีกลุ่มคนและพระสงฆ์อีกคณะมาถึงก่อนเรา แต่ยังไม่มีใครเคาะระฆังเรียกเรือมารับ แล้วแต่ละคนก็รีๆ รอๆ ไม่เคาะกันซะที ...เราก็เลย เคาะเอง เบาๆ คนฝั่งโน้นคงได้ยินหรอกนะ ...รอกันเงียบๆ คนขับรถตู้ก็เลยมาเคาะให้อีกครั้งแบบดังๆ ได้ผล ...คนเรือฝั่งโน้นกระวีกระวาดออกเรือมารับ
เมื่อข้ามมาึถึงวัด...ก็ต้องเดินตามป้าย เพราะมียักมีใครให้ถามทาง คนขับเรือส่งแล้วก็เดินหายไปทางไหนไม่รู้ ... ก็เลยเดินไปตามทางเรื่อยๆ เหมือนขึ้นเขานิดๆ แล้วพวกเราก็ได้เห็นเจดีย์องค์ใหญ่ ตรงหน้า
เข้าไปกราบอัฐิธาตุหลวงปู่เสาร์ อ่านประวัติของท่านที่มีการจัดทำไว้ พร้อมจัดแสดงเครื่องอัฐบริขารและหนังสือต่างๆ ออกมากราบนมัสการรูปปั้นบนกุฎิของหลวงปู่
หน้ากุฎิมีแท่นหินที่หลวงปู่ใช้นั่งกรรมฐาน
และทางที่ท่านใช้เดินจงกรม
ถ้าเป็นผู้สนใจศึกษาประวัิติและปฏิบัิติตามแนวทางของหลวงปู่เสาร์ คงจะซาบซึ้งดี แต่เราเพียงแค่ระลึกถึงว่า เมื่อก่อนตอนที่ท่านเดินทางมาที่นี่ อยู่ที่นี่ มีความเป็นอยู่เรียบง่ายเพียงใด
นอกจากนี้ในบริเวณวัดยังมีพื้นที่สำหรับผู้มาปฏิบัติธรรม มีศาลาสำหรับทำพิธีทางศาสนาด้วย พวกเราเดินชมกันอย่างสงบเสงี่ยมเป็นอย่างมาก เป็นทริปที่เงียบสงบจริงๆ อยู่ในพื้นที่แห่งธรรม ดูทุกอย่างสงบนิ่ง เหมือนเวลาหยุดอยู่กับที แต่พอเหลือบตามมองนาฬิกา แท้จริงแล้ว เวลายังคงเดินหน้าไปเรื่อยๆ เข็มนาฬิกาบอกเวลาล่วงเลยผ่านไปอีกเกือบชั่วโมงแล้ว พวกเราต้องเดินทางกันต่อแล้วล่ะ
โปรดติดตามตอนต่อไป
ปล. ข้อมูลแก่งสะพือ : //guideubon.com/news/view.php?t=37&s_id=3&d_id=3 ข้อมูลวัดดอนธาตุและประวัติหลวงปู่เสาร์ : //www.phibun.com/place_name_phiboon_mungsaharn/place_name=watdontat
Create Date : 20 พฤษภาคม 2554 |
Last Update : 21 พฤษภาคม 2554 21:13:42 น. |
|
6 comments
|
Counter : 1642 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: ณงลักษณ์ IP: 58.8.62.118 วันที่: 21 พฤษภาคม 2554 เวลา:20:57:50 น. |
|
โดย: นัทธ์ วันที่: 21 พฤษภาคม 2554 เวลา:21:40:18 น. |
|
โดย: ณงลักษณ์ IP: 58.8.62.118 วันที่: 21 พฤษภาคม 2554 เวลา:22:21:10 น. |
|
โดย: นัทธ์ วันที่: 21 พฤษภาคม 2554 เวลา:22:58:11 น. |
|
โดย: sugarpiggy วันที่: 2 มิถุนายน 2554 เวลา:15:35:05 น. |
|
| |
|
นัทธ์ |
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 39 คน [?]
|
รักที่จะอ่าน รักที่จะเขียน เปิดพื้นที่ไว้ สำหรับแปะเรื่องราว มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ณ ที่นี้
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามผู้ใดละเมิด โดยนำภาพถ่ายและ/หรือข้อความต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมดใน Blog แห่งนี้ไปใช้ และ/หรือเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
|
|
|
|
|
|