ทริปโบราณสถาน อยุธยา-ลพบุรี : Part VI
ความเดิมในตอนที่แล้ว
ใช้เวลาไม่นานนักในการเดินทางพิพิธภัณฑ์มายังบริเวณสถานีรถไฟลพบุรี
เราไม่ได้มาดูรถไฟกันหรอกนะ ...สถานที่สุดท้ายในทริปนี้อยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟ
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เป็นวัดในตำบลท่าหิน อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟลพบุรี สร้างในสมัยใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด เมื่อเข้าไปในบริเวณวัด จะพบศาลาเปลื้องเครื่องเป็นอันดับแรก ศาลาเปลื้องเครื่องนี้ใช้เป็นที่สำหรับพระเจ้าแผ่นดินเปลื้องเครื่องทรงก่อนที่จะเข้าพิธีทางศาสนาในพระวิหารหรือพระอุโบสถ ปัจจุบันศาลาเปลื้องเครื่องคงเหลือเพียงเสาเอนอยู่เท่านั้น ส่วนอื่นปรักหักพังไปหมดแล้ว
เรากวาดสายตามองดูเสาต้นใหญ่ๆ ที่ก่อด้วยอิฐเรียงสูงขึ้นไป พลางนึกภาพว่า ตอนนั้นบรรดาชางสร้างกันด้วยความศรัทธามากเพียงใด จึงค่อยๆ เรียงอิฐเป็นชั้นขึ้นไป แล้วโปกปูน ตกแต่งประดับลวดลาย
ถัดจากศาลาเปลื้องเครื่องเป็นวิหารหลวง ซึ่งสร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เป็นวิหารขนาดใหญ่มาก ประตูทำเป็นเหลี่ยมแบบไทย หน้าต่างเจาะช่องแบบโกธิคของฝรั่งเศส
ภายในสร้างฐานชุกชีประดิษฐานพระพุทธรูป
ทางทิศใต้ของวิหารหลวงเป็นพระอุโบสถขนาดย่อม ประตูหน้าต่างเป็นแบบฝรั่งเศสทั้งหมด ห่างไปทางทิศตะวันตกของวิหารหลวงเป็นพระปรางค์องค์ใหญ่ที่สูงที่สุดในลพบุรี
พระปรางค์เป็นพระปรางค์องค์เดียวโดดๆ ไม่ใช่เรียงกันสามองค์เช่น พระปรางค์สามยอดแต่เชื่อว่าสร้างในรุ่นเดียวกัน คือ ระหว่าง พ.ศ.๑๕๐๐ - ๑๘๐๐ สร้างเป็นพุทธเจดีย์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ องค์ปรางค์ก่อด้วยศิลาแลงโบกปูน มีเครื่องประดับลวดลายเป็นพระพุทธรูปและพุทธประวัติ ที่ลายปูนปั้นหน้าบันพระปรางค์แสดงถึงอิทธิพลของพุทธศาสนา นิกายมหายาน และซุ้มโคปุระของปรางค์องค์ใหญ่เป็นศิลปะละโว้ มีลายปูนปั้นที่ถือว่างามมาก
แต่น่าเสียดายในการบูรณะทำให้เสียหายไปไม่ใช่น้อยแต่ยังพอหลงเหลือให้ชมความงามคือทางซ้ายหรือทางใต้ของพระปรางค์ เงยหน้ามองสูงสักหน่อย ที่หน้าบันจะเห็นภาพพระอมิตาประทับบนดอกบัวมีก้านในสวรรค์สุขาวดี ตามคติพุทธมหายาน ลายปูนปั้นที่หน้ากระดานแถวบนสุด เป็นลายกระหนกที่รับอิทธิพลขอมศิลปะสมัยละโว้ ลายปูนปั้น มกรคายนาคหน้าบันซุ้มโคปุระ หรือซุ้มหน้าของปรางค์ประธาน เป็นศิลปะละโว้ กับอโยธยา
เดิมคงจะสร้างในสมัยขอมเรืองอำนาจ แต่ได้รับการซ่อมแซมในสมัยสมเด็จพระราเมศวร สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และ สมเด็จพระนารายณ์ ลวดลายจึงปะปนกันหลายสมัย ปรางค์องค์นี้เดิมบรรจุพระพุทธรูปไว้เป็นจำนวนมาก ที่ขึ้นชื่อคือ พระเครื่องสมัยลพบุรี เช่น พระหูยาน พระร่วง ซึ่งมีการขุดพบเป็นจำนวนมาก
เราเดินตามวิทยากรชมดูไปทีละจุด พร้อมคิดตามไปด้วย เพื่อนร่วมทริปหลายท่านเป็นผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ศิลป์บ้าง ประวัติศาสตร์บ้าง โบราณคดีบ้าง ต่างมีข้อซักถาม เราได้แต่สงบฟัง และเก็บเกี่ยวความรู้กลับมา สิ่งที่ต่างๆ ที่ยังสงสัย ก็ชวนให้ขวนขวาย หาหนังสือมาศึกษาเพิ่มเติม เพื่อให้การเดินทางท่องเที่ยวในครั้งต่อไปของเรา สนุกสนานยิ่งขึ้น
อีกสิ่งหนึ่งที่สมควรจะกล่าวถึงคือปรางค์รายทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่มุมกลีบมะเฟืองทุกมุมปั้นเป็นรูป เทพพนมหันออกรอบทิศ พระพักตร์เป็นสี่เหลี่ยม พระขนงต่อกัน ลักษณะเป็นศิลปะแบบอู่ทอง ชฎาเป็นทรงสามเหลี่ยมมีรัศมีออกไปโดยรอบ เป็นศิลปะที่มีความงามแปลกตาหาดูได้ยากในเมืองไทย
ศิลปะที่ปรากฎ ณ โบราณสถานแห่งนี้ ปะปนกันในหลายแบบ เนื่องจากมีการบูรณะกันต่อๆ มาในหลายรัชกาล แต่ปัจจุบัน สิ่งที่คงเหลือให้เราได้เห็น เรียนรู้ และศึกษา มีเพียง "ซากปรักหักพัง" แต่ถ้าหากเราได้ผู้แนะนำที่ดี มีจินตนาการ สร้างภาพไปพร้อมกับสิ่งที่เห็นและรับรู้ เราก็จะตระหนักได้ถึงความเชี่ยวชาญเชิงช่าง และทึ่งในความสามารถของบรรพบุรุษ ผู้สร้างสรรค์ สิ่งสวยงามเหล่านี้ให้ปรากฏแก่สายตาชาวโลก และเราก็จะรักและหวงแหน พร้อมที่จะช่วยกันสืบสานรักษากันต่อไป
เราเชื่ออย่างนั้น
พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงมากแล้ว ได้เวลาเดินทางกลับกรุงเทพมหานครกันซะที แล้วเราคงมีโอกาสกลับมาเยือนลพบุรีและอยุธยาอีก มีเรื่องราวอีกมากมายรอให้เราเรียนรู้
ปล. ข้อมูลเชิงประวัติ คัดลอกจาก //th.wikipedia.org
Create Date : 30 เมษายน 2554 |
|
4 comments |
Last Update : 30 เมษายน 2554 9:33:51 น. |
Counter : 1597 Pageviews. |
|
|
|