|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
สยามทัศน์สัญจร "ย่านคลองสาน" - Part III
ความเดิมตอนที่แล้ว
เลาะลัดตัดตรอกซอกซอยจนมาถึง "สุเหร่าตึกขาว หรือ มัสยิดเซฟี" ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในตัวอาหาร พวกผู้หญิงก็ได้รับผ้าบางๆ สำหรับคลุมผมไว้ 1 ผืน โดยทั่วไปในมัสยิดจะแยกบริเวณทำละหมาดของชายและหญิง ที่นี่ก็เช่นกัน ซึ่งบริเวณทำละหมาดของผู้หญิง จะอยู่บนชั้น 2 มีระเบียงกั้นเพื่อไม่ให้ชายหญิงได้แลเห็นกัน เราจะรับประทานอาหารกลางวันกันที่นี่
มัสยิดเซฟีเป็นศาสนาสถานที่ก่อตั้งโดยพ่อค้าชาวเมืองสุหรัตจากประเทศอินเดีย โดยใช้ชื่อกลุ่มว่า ดาวุดีโบราห์ ซึ่งเป็นนิกายชีอะห์อีกสาขาหนึ่ง พ่อค้ากลุ่มนี้เป็นคนในบังคับอังกฤษที่เดินทางเข้ามาค้าขายช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ คนไทยมักเรียกว่า นักกุด่า หรือ นาขุด่า ที่มาจากภาษาเปอร์เซีย แปลว่า เจ้าของเรือสินค้า กลุ่มคนเหล่านี้เคยทำมาค้าขายอยู่บริเวณตึกขาวตึกแดงย่านอุทยานสมเดีจย่าในปัจจุบัน ก่อนที่จะขยายการค้าข้ามฝั่งแม่น้ำมายังบริเวณท่าน้ำราชวงศ์ และเชิงสะพานช้างโรงสี ถนนเฟื่องนคร
สุเหร่าตึกขาวนี้สร้างขึ้นก่อนสุเหร่าตึกแดงของนิกายสุหนี่ (ที่แวะเยี่ยมก่อนหน้านี้) โดยกลุ่มนายห้างชาวอินเดียหลายคน มีอับดุลการเดอร์เซน อาลี วาสี เจ้าของห้างวาสี ไชยาอูดิน มูฮำหมัด อาลี พ่อค้าเร่เพชรพลอยตามบ้าน อับดุลราฮิม เจ้าของห้างอับดุลราฮิม นายห้างมัสกาตี เป็นต้น ช่วยกันซื้อที่ดินและสร้างเป็นสุเหร่าขึ้น
พวกเรานั่งฟังท่านอิหม่ามกล่าวต้อนรับ เป็นภาษาอังกฤษสำเนียงแขกที่ฟังยาก จบแล้วจึงรับประทานอาหารร่วมกัน โดยเป็นการรับประทานอาหารตามแบบวัฒนธรรมของอิสลาม แยกวงชายและวงหญิง ล้อมวงกันประมาณ 6 คน กลางวงมีถาดใบใหญ่วางไว้ เป็นการรับประทานด้วยมือ ก่อนอื่นก็ต้องล้างมือกันก่อน แล้วเอานิ้วแตะเกลือป่นแล้วนำมาแตะลิ้น เป็นการทำความสะอาดในช่องปากกันซะก่อน จานแรกเป็นขนมหวาน เหมือนวุ้นน้ำเขียวใส่นมนะ หวานมาก แล้วก็ตามด้วยของคาว
ไก่ เป็นกับข้าว วางกลางวง
ข้าวหมก ที่ผสมเครื่องเทศ ถั่ว และไก่ชิ้นเล็ก คนเดินโต๊ะ ตักให้แต่ละคน
แล้วก็มีซุปไก่ให้ซดคล่องๆ คอ ปิดท้ายด้วยผลไม้ คือ สัปปะรดและทับทิบ จากนั้นก็ล้างปากด้วยเกลือป่นอีกรอบ เป็นอันเสร็จพิธีการรับประทานอาหาร เข้าไปร่วมตัวกันภายในบริเวณห้องทำละหมาด ชมวิดีทัศน์และฟังบรรยายเกี่ยวกับความเป็นมาของนิกายและตัวอาคารสถาปัตยกรรมแห่งนี้ บางคน (รวมทั้งเรา) อาศัยฟังเสียงจากลำโพง ตัวเองออกมาเดินวนไปวนมาภายนอก เพื่อเก็บภาพ
ก่อนกลับก็คืนผ้าคลุมหัวให้เรียบร้อย แล้วเดินตัดซอกโกดังออกมาตามทางเดิน เดินตามถนนเลียบแม่น้ำ ออกมาถึงท่าน้ำราชวงศ์ ถึงเวลานี้ ร้านค้าแผงลอยก็ตั้งร้านแล้ว รวมทั้งหมูสะเด๊ะเจ้าดัง แต่พวกเราเพิ่งอิ่มกันมาเต็มที่ จึงเดินผ่านไปโดยไม่สนใจ มาหยุดยืนรวมตัวกันอยู่หน้า "ศาลเจ้าซำไนเกง"
ศาลเจ้าเก่าแก่ของชาวฮากกาหรือชาวจีนแคะ ตัวศาลเดิมสร้างขึ้นปลายรัชสมัยร.3 ติดท่าำน้ำดินแดง ส่วนศาลปัจจุบันสร้างขึ้นในช่วงรัชกาลที่ 6 ก่อนตัดถนนท่าดินแดงเล็กน้อย ภายในประดิษฐานสามเทพธิดา ซำไนฮูหยิน เป็นประธาน เป็นเทพเจ้าที่ได้รับการกราบไหว้กันมากในหมู่ชาวฮากกา และแถบพื้นที่ไต้หวัน
ประวัติของทั้งสามท่านเป็นบุคคลที่มีชีวิตจริงในช่วงราชวงศ์ถัง ได้รับการศึกษาเล่าเรียนวิทยาอาคมจากนักพรตเต๋า มีกฤษฎาภินิหารต่างๆ ที่ใช้ช่วยเหลือชาวบ้านมากมาย จนภายหลังเสียชีวิตลง จึงได้รับการตั้งศาลกราบไหว้บูชามาจนถึงปัจจุบัน เจ้าแม่ทั้ืงสามประกอบด้วย ตั้งฮูหยิน ลิ้มฮูหยิน และลี่ฮูหยิน
เราไม่ได้เข้าไปจุดธูปไหว้เจ้าแม่ภายในศาล เพราะคนเยอะ เวลาน้อย พนมมือไหว้และอธิษฐานขอพรให้คุ้มครองตัวเองและครอบครัว เท่านั้นพอ จากนั้นชาวคณะก็ออกเดินกันต่อไป โปรดติดตามตอนต่อไป
Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2554 |
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2554 22:36:18 น. |
|
1 comments
|
Counter : 2090 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:14:55:45 น. |
|
| |
|
นัทธ์ |
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 39 คน [?]
|
รักที่จะอ่าน รักที่จะเขียน เปิดพื้นที่ไว้ สำหรับแปะเรื่องราว มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ณ ที่นี้
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามผู้ใดละเมิด โดยนำภาพถ่ายและ/หรือข้อความต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมดใน Blog แห่งนี้ไปใช้ และ/หรือเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
|
|
|
|
|
|
ฝากรูป
ห่างหายไปเสียสองสามวัน มัวแต่ยุ่งกับเรื่องงานอยู่ค่ะ วันนี้ว่างสิ่งแรกที่ทำคืออัฟblogและนำรูปมาฝากกัน ระลึกถึงและขอบคุณมิตรภาพบนโลกไอทีค่ะคุณนัทธ์